เนื่องจากการติดตั้งโปรแกรมประกอบการ ยื่นแบบทางอินเทอร์เน็ต จำเป็นต้องอาศัยสภาพแวดล้อมไม่ว่าจะเป็น ฮาร์ดแวร์ หรือซอฟต์แวร์ ที่เหมาะสม จึงจะทำให้โปรแกรมสามารถเรียกใช้งานได้อย่างถูกต้อง โดยทั่วไปคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้แต่ละท่านจะถูกติดตั้งอยู่ในสภาวะที่แตกต่าง กัน จึงมีความเป็นไปได้ที่จะพบปัญหาจากการติดตั้งโปรแกรมประกอบต่างๆ ซึ่งสามารถสรุปปัญหา และวิธีการแก้ไขได้เป็น 3 ทางดังนี้
วิธีแก้ปัญหาการติดตั้งโปรแกรมประกอบ
กรณีที่ติดตั้ง โปรแกรมเรียบร้อยแล้ว แต่เปิดโปรแกรมแล้วมี error แจ้งว่า "... msvbvm60.dll Could not be found ..." หรือ "... msstdfmt.dll Could not be found ..." ให้
Download Service Pack 1
ไปทำการติดตั้ง (เลือกลง Path ใดก็ได้)
กรณีที่มี error แจ้งว่า "...Can not Register" ให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. เปิด Command Prompt
* change directory ไปที่ c:\windows\system
(กรณี OS เป็น Windows98, ME หรือต่ำกว่า Windows2000)
* change directory ไปที่ c:\winnt\system32
(กรณี OS เป็น Windows2000 ขึ้นไป)
2. คีย์ regsvr32 msvbvm60.dll หรือ regsvr32 msstdfmt.dll แล้วกด Enter
*********
แนะนำว่า แบบนี้ง่ายกว่า นะครับ
ไปที่ Start --> Run
แล้วพิมพ์ลงไปว่า
regsvr32 MSSTDFMT.DLL
เท่านี้แหละ
แต่ ก่อนหน้านี้ต้องเอาไฟล์ MSSTDFMT.DLL ไปลงไว้ที่โฟลเดอร์ Systems ก่อนนะ
****************
3. ทำการ เปิดโปรแกรมดูใหม่
กรณีที่มี error แจ้งว่า "... (ชื่อไฟล์).ocx not found หรือ expire"
* ให้ทำการ copy ไฟล์ดังกล่าวจาก Path ที่ติดตั้งโปรแกรมใบแนบไว้ก่อนแล้ว ไปไว้ที่ c:\windows\system (กรณีที่เป็น Windows98, ME หรือต่ำกว่า Windows2000)
* ให้ทำการ copy ไฟล์ดังกล่าวจาก Path ที่ติดตั้งโปรแกรมใบแนบไว้ก่อนแล้ว ไปไว้ที่ c:\winnt\system32 (กรณีที่เป็น Windows 2000 ขึ้นไป)
----------
แหล่งที่มา
http://rdserver.rd.go.th/advise/other/amend.html
วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553
วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553
เปิดหลักฐานจะ ๆ รัฐ สั่งสื่อปิดปากสื่อ
เอกสาร หลักฐาน ตามลิ้งค์นี้ นะครับ
http://www.prachataiwebboard.com/webboard/id/33123
http://www.prachataiwebboard.com/webboard/id/33123
วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553
# ทำบุญ... ปี 2553
เวป http://www.palungjit.com/ โดน ขโมยไปแล้วนะครับ
ต้องใช้ http://www.palungjit.org/ แทน นะครับ
เนื่องจาก Link บาง Link นั้นไม่สามารถเข้าไปดูได้
เนื่องจากทาง เวปมาสเตอร์ได้ทำการย้ายกระทู้
และก็ไม่สามารถตามได้ จึงเรียนมาไว้ ณ ที่นี้
ทำบุญเดือน ธค. 2553
ทำบุญเดือน พย. 2553
ทำบุญเดือน ตค. 2553
ทำบุญเดือน กย. 2553
ทำบุญเดือน สค. 2553
ทำบุญเดือน กค. 2553
ทำบุญเดือน มิย. 2553
ทำบุญเดือน พค. 2553
ทำบุญเดือน มีค. 2553
ทำบุญเดือน กพ. 2553
ทำบุญเดือน มค. 2553
ต้องใช้ http://www.palungjit.org/ แทน นะครับ
เนื่องจาก Link บาง Link นั้นไม่สามารถเข้าไปดูได้
เนื่องจากทาง เวปมาสเตอร์ได้ทำการย้ายกระทู้
และก็ไม่สามารถตามได้ จึงเรียนมาไว้ ณ ที่นี้
ทำบุญเดือน ธค. 2553
ทำบุญเดือน พย. 2553
ทำบุญเดือน ตค. 2553
ทำบุญเดือน กย. 2553
ทำบุญเดือน สค. 2553
ทำบุญเดือน กค. 2553
ทำบุญเดือน มิย. 2553
ทำบุญเดือน พค. 2553
ทำบุญเดือน มีค. 2553
ทำบุญเดือน กพ. 2553
ทำบุญเดือน มค. 2553
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553
ใครว่าสาวเสื้อแดงไม่สวย ผมขอเถียงไม่จริง... ลองชมดู
อันนี้ ถ่ายกับมือ ตอนเลิกงานแล้ว จะกลับบ้านครับ....
ถ่ายใน รถ TAXI ผ่านกระจกรถ ภาพก็เลยไม่ค่อยคมเท่าไร ครับ
เป็นช่วงตอนเย็น พวกเค้าจะไปพระราม 3 กัน
ก็เลยมาเจอ กันตรงทางรถไฟ พอดี หันไปเจอ
เลย ถ่ายไว้ชมกันนะครับ
อันนี้ รูปใหญ่หน่อยครับ
ถ่ายใน รถ TAXI ผ่านกระจกรถ ภาพก็เลยไม่ค่อยคมเท่าไร ครับ
เป็นช่วงตอนเย็น พวกเค้าจะไปพระราม 3 กัน
ก็เลยมาเจอ กันตรงทางรถไฟ พอดี หันไปเจอ
เลย ถ่ายไว้ชมกันนะครับ
อันนี้ รูปใหญ่หน่อยครับ
วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553
# ทำบุญ มีึค. 2553
ขอเชิญร่วมบุญมหากฐินปลดหนี้ปี ๒๕๕๓ วัดหนองหญ้าปล้องเพื่อสร้างสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก ๑๐ วา
สามารถโอนเงินร่วมบุญตามกำลังศรัทธา หรือร่วมบูชาวัตถุมงคลได้ที่
ชื่อบัญชี : นายชัยรัตน์ ธรรมทัตโต
ธนาคาร : กสิกรไทย
สาขา : ถนนรัชดาภิเษก หข.
เลขที่บัญชี : ๐๘๙-๒-๘๐๕๖๙-๗ (089-2-80569-7)
โทร : ๐๘๖-๖๖๖-๗๗๖๔ (086-666-7764)
-------------------------------------
ขอเชิญบูชาพระรุ่นเสาร์ 5 ของหลวงปู่บุญตา เพื่อนำปัจจัยร่วมสร้างพระอุโบสถเสา 108 ต้น
ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์ผ่านทาง
น.ส.อทิตยา โคจำนงค์
ธนาคารกรุงเทพ สาขาห้าแยกโนนไฮ
เลขที่บัญชี 5000479146
ประเภทบัญชี ออมทรัพย์
-----------------------------
สถานะสมาชิก •ผู้สนับสนุนบริจาค •ผู้สนับสนุนพิเศษ •สมาชิก Premium
ร่วม บริจาคทำบุญโอนได้ที่บัญชี
ธนาคาร ไทยพาณิชย์
Siam Commercial Bank (SCB)
สาขา : เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์
เลขที่บัญชี : 365 - 215 048 - 7
ชื่อบัญชี : Yosutee Thakana
------------------------
ร่วมบุญบูชาตะกรุด"เมตตา มหาอำนาจ"รายได้เพื่อสร้างศาลาการเปรียญวัดเขาวงศ์
ชุดที่ 1
ชุดที่ 2
สามารถโอนเงินร่วมบุญได้ที่
บัญชี คุณนิมิตร มณีนิล
ธนาคารกสิกรไทย สาขานวนคร
บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 4052592302
*****************
บริจาค สนับสนุน เวบฅนไทพิทักษ์ประชาธิปไตย
*************************
ขอความเมตตาอนุเคราะห์ให้การช่วยเหลือทำบุญถวายค่าน้ำค่าไฟค่าภัตตาหาร แก่วัดยากจน
ร่วมทำบุญ ผ่านทางธนานัติ หรือ
โอนเข้าผ่านบัญชีธนาคารกรุงเทพ
สาขาศรีนครพิงค์ เลขที่ 252-440866-9
ชื่อ พระอาจารย์ธนธรณ์
กองทุนค่าน้ำค่าไฟวัด หรือเดินทางมาร่วมทำบุญได้ที่วัด เจริญพร โทร.089-9555-870
สามารถโอนเงินร่วมบุญตามกำลังศรัทธา หรือร่วมบูชาวัตถุมงคลได้ที่
ชื่อบัญชี : นายชัยรัตน์ ธรรมทัตโต
ธนาคาร : กสิกรไทย
สาขา : ถนนรัชดาภิเษก หข.
เลขที่บัญชี : ๐๘๙-๒-๘๐๕๖๙-๗ (089-2-80569-7)
โทร : ๐๘๖-๖๖๖-๗๗๖๔ (086-666-7764)
-------------------------------------
ขอเชิญบูชาพระรุ่นเสาร์ 5 ของหลวงปู่บุญตา เพื่อนำปัจจัยร่วมสร้างพระอุโบสถเสา 108 ต้น
ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์ผ่านทาง
น.ส.อทิตยา โคจำนงค์
ธนาคารกรุงเทพ สาขาห้าแยกโนนไฮ
เลขที่บัญชี 5000479146
ประเภทบัญชี ออมทรัพย์
-----------------------------
สถานะสมาชิก •ผู้สนับสนุนบริจาค •ผู้สนับสนุนพิเศษ •สมาชิก Premium
ร่วม บริจาคทำบุญโอนได้ที่บัญชี
ธนาคาร ไทยพาณิชย์
Siam Commercial Bank (SCB)
สาขา : เซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์
เลขที่บัญชี : 365 - 215 048 - 7
ชื่อบัญชี : Yosutee Thakana
------------------------
ร่วมบุญบูชาตะกรุด"เมตตา มหาอำนาจ"รายได้เพื่อสร้างศาลาการเปรียญวัดเขาวงศ์
ชุดที่ 1
ชุดที่ 2
สามารถโอนเงินร่วมบุญได้ที่
บัญชี คุณนิมิตร มณีนิล
ธนาคารกสิกรไทย สาขานวนคร
บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 4052592302
*****************
บริจาค สนับสนุน เวบฅนไทพิทักษ์ประชาธิปไตย
*************************
ขอความเมตตาอนุเคราะห์ให้การช่วยเหลือทำบุญถวายค่าน้ำค่าไฟค่าภัตตาหาร แก่วัดยากจน
ร่วมทำบุญ ผ่านทางธนานัติ หรือ
โอนเข้าผ่านบัญชีธนาคารกรุงเทพ
สาขาศรีนครพิงค์ เลขที่ 252-440866-9
ชื่อ พระอาจารย์ธนธรณ์
กองทุนค่าน้ำค่าไฟวัด หรือเดินทางมาร่วมทำบุญได้ที่วัด เจริญพร โทร.089-9555-870
วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553
องค์กรนี้ ก็แปลก มีหัวหน้าไว้สร้างปัญหา เออ... ปกติเค้ามีไว้แก้ปัญหานี้นะ
แหม พลาดไปรับ หยวน เวอร์ชั่นเก่าหน่อย
พูด ย้ำไป ย้ำมา อยู่นั้น ละ
ญ ดูในเวป ซิ ไม่มีก็อย่ารับ
รู้แล้ว
ญ ดูในเวป ซิ ไม่มีก็อย่ารับ
รู้แล้ว
ญ ดูในเวป ซิ ไม่มีก็อย่ารับ
เฮ้ย รู้แล้วว ๆๆๆๆ
ก็รับมาแล้วจะเอาไง หา จะเอาไง
จะให้แก้ยัง บอกซิ บอก
ก็ยังพูดต่อไป อะไร ไม่รู้แล้ว ผมไม่ฟังแล้วว
ผมก็แก้ไขเอง ก็ ทำรับซื้อคืน กลับมา 1 หยวน
5.11 บาท
ยังอีก ... นี้ พูดไม่้ได้เลยยย ขึ้นเสียง อย่างนั้นอย่างนี้
เออ... เป็นหัวหน้า ไม่รู้จักแก้ปัญหา
ปัญหา ง่าย ๆๆ แค่นี้ เอง 5.11 บาท มีปัญหาแค่นี้ แก้ไม่รู้จะแก้ยังไง ผมต้องทำไงดีว่ะเนี่ย
ครั้งก่อน ก็ แบบนี้ ประหยัด ๆๆๆ เนี้ย ถอนต่างสาขา ไม่ถึงหมื่น ถ่ายทำมัยยยยย
ผม ก็ตอบว่า ก็จะถ่าย จะทำมัย
เอาอีก
ผมก็ย้ำคำเดิม
เอาอีก แม่ง ไม่เลิก ก็กระแทกเสียง ก็จะถ่ายจะทำมัย
เอาอีก ด่าเลย.... เนี่ยยๆ ๆๆๆ ขึ้นเสียง
ด่า กัน ลั่นสาขา ตั้ง 20 กว่านาที เหี้ยจริง ๆๆ เลย
พอถามว่า ในคำสั่ง ธ. มีห้ามหรือไง
ค่อยเงียบได้ หน่อย เออ... เน๊อะ องค์กรนี้ จัญไร ยังไงไม่รู้
แม่ง ถอน 9 พัน ซีร๊อก ไว้หน่อย จะอะไรอยู่นั้นและ
ค่าซีร๊อก 0.50 สต. แม่งด่ากันซะ กระจาย
ต้องให้ตอบยังไง แม่ง ถึงจะพอใจว่ะ
ทำพูด วนไปวนมาย้ำไปย้ำมา ต้องให้ลุก ไปสนอง โอฐหรือไง เป็น ..... ตั้งแต่เมื่อไร ว่ะ
ไอ้วิธีพูดแบบนี้ ต้องให้ตอบยังไง
ก็บอกว่า รู้แล้ว ๆ แล้วจะให้ตอบยังไง
หา.... จะให้ตอบยังไง ย้ำอยู่นั้นละ จะเอาอะไร ต้องการอะไร อยากอะไร มีปัญหาอะไร หา
ข๊ากกกกกกก ถุ้ย
*********************
กูไม่มีอะไรจะคุยกับพวกมึงแล้ว ไอ้เหี้ย
ทำบันทึกกล่าวโทษ กูไปเลยไอ้สัตว์...
คนเราอย่างมากก็แค่ตาย จะเอายังไง ก็เอา ไอ้เหี้ย
เค้าจะได้ย้าย ๆๆ กูไปสักที ก็เบื่อจะทำงานกับพวกมึงเต็มทนแล้วไอ้สัตว์ วัน ๆๆ มีแต่หาเรื่องมาให้กู้เดือดร้อน ไม่หยุดไม่หย่อน 3 - 4 ปี มีแต่เรื่องมาตลอด สัตว์ เอยยยย
ขอย้าย กี่ ที ๆๆ ก็ไม่ได้ ไปด้วยวิธี นี้ ก็ดีเหมือนกัน 5555555
*****************************
พูด ย้ำไป ย้ำมา อยู่นั้น ละ
ญ ดูในเวป ซิ ไม่มีก็อย่ารับ
รู้แล้ว
ญ ดูในเวป ซิ ไม่มีก็อย่ารับ
รู้แล้ว
ญ ดูในเวป ซิ ไม่มีก็อย่ารับ
เฮ้ย รู้แล้วว ๆๆๆๆ
ก็รับมาแล้วจะเอาไง หา จะเอาไง
จะให้แก้ยัง บอกซิ บอก
ก็ยังพูดต่อไป อะไร ไม่รู้แล้ว ผมไม่ฟังแล้วว
ผมก็แก้ไขเอง ก็ ทำรับซื้อคืน กลับมา 1 หยวน
5.11 บาท
ยังอีก ... นี้ พูดไม่้ได้เลยยย ขึ้นเสียง อย่างนั้นอย่างนี้
เออ... เป็นหัวหน้า ไม่รู้จักแก้ปัญหา
ปัญหา ง่าย ๆๆ แค่นี้ เอง 5.11 บาท มีปัญหาแค่นี้ แก้ไม่รู้จะแก้ยังไง ผมต้องทำไงดีว่ะเนี่ย
ครั้งก่อน ก็ แบบนี้ ประหยัด ๆๆๆ เนี้ย ถอนต่างสาขา ไม่ถึงหมื่น ถ่ายทำมัยยยยย
ผม ก็ตอบว่า ก็จะถ่าย จะทำมัย
เอาอีก
ผมก็ย้ำคำเดิม
เอาอีก แม่ง ไม่เลิก ก็กระแทกเสียง ก็จะถ่ายจะทำมัย
เอาอีก ด่าเลย.... เนี่ยยๆ ๆๆๆ ขึ้นเสียง
ด่า กัน ลั่นสาขา ตั้ง 20 กว่านาที เหี้ยจริง ๆๆ เลย
พอถามว่า ในคำสั่ง ธ. มีห้ามหรือไง
ค่อยเงียบได้ หน่อย เออ... เน๊อะ องค์กรนี้ จัญไร ยังไงไม่รู้
แม่ง ถอน 9 พัน ซีร๊อก ไว้หน่อย จะอะไรอยู่นั้นและ
ค่าซีร๊อก 0.50 สต. แม่งด่ากันซะ กระจาย
ต้องให้ตอบยังไง แม่ง ถึงจะพอใจว่ะ
ทำพูด วนไปวนมาย้ำไปย้ำมา ต้องให้ลุก ไปสนอง โอฐหรือไง เป็น ..... ตั้งแต่เมื่อไร ว่ะ
ไอ้วิธีพูดแบบนี้ ต้องให้ตอบยังไง
ก็บอกว่า รู้แล้ว ๆ แล้วจะให้ตอบยังไง
หา.... จะให้ตอบยังไง ย้ำอยู่นั้นละ จะเอาอะไร ต้องการอะไร อยากอะไร มีปัญหาอะไร หา
ข๊ากกกกกกก ถุ้ย
*********************
กูไม่มีอะไรจะคุยกับพวกมึงแล้ว ไอ้เหี้ย
ทำบันทึกกล่าวโทษ กูไปเลยไอ้สัตว์...
คนเราอย่างมากก็แค่ตาย จะเอายังไง ก็เอา ไอ้เหี้ย
เค้าจะได้ย้าย ๆๆ กูไปสักที ก็เบื่อจะทำงานกับพวกมึงเต็มทนแล้วไอ้สัตว์ วัน ๆๆ มีแต่หาเรื่องมาให้กู้เดือดร้อน ไม่หยุดไม่หย่อน 3 - 4 ปี มีแต่เรื่องมาตลอด สัตว์ เอยยยย
ขอย้าย กี่ ที ๆๆ ก็ไม่ได้ ไปด้วยวิธี นี้ ก็ดีเหมือนกัน 5555555
*****************************
วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553
ร่วมคลิป ... คน เสื้อแดง
แหล่งร่วมคลิป เสื้อแดง...
http://www.mediafire.com/?sharekey=f3bf5b20eaaa85cfab1eab3e9fa335ca21d13a13757cf50d
ช่วงแรก คนกรุงตอนรับ เสื้อแดง
ช่วงหลัง เสื้ัอแดง ร่วมพล....
http://www.youtube.com/watch?v=KdzvrLlmzj0
http://www.mediafire.com/?sharekey=f3bf5b20eaaa85cfab1eab3e9fa335ca21d13a13757cf50d
ช่วงแรก คนกรุงตอนรับ เสื้อแดง
ช่วงหลัง เสื้ัอแดง ร่วมพล....
http://www.youtube.com/watch?v=KdzvrLlmzj0
เอาเรื่อง โกง ๆๆ มาให้ดูกัน ครับ...
โกงพอเพียงอีก โผล่ชัยนาท ขออะไรก็ได้กรองน้ำ
โฆษก พท. แปลกใจโครงการชุมชนพอเพียง หลังลงพื้นที่ชัยนาท พบทุจริตกว่า 40 ชุมชน ขออะไรก็ได้เครื่องกรองน้ำ 2.5แสน หมด จี้ดีเอสไอ ลงดาบ ชี้หลังเปลี่ยนอธิบดีเกียร์ว่าง อ้างเพราะรองนายกฯ-รมต.-นายกฯคนปชป.
เมื่อ วันที่ 11 ต.ค. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยยังติดตามการทุจริตโครงการชุมชนพอเพียงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดชาวจ.ชัยนาท ร้องเรียนว่าไม่ได้รับอนุมัติโครงการตามที่ขอ คณะทำงานของพรรคเพื่อไทยจึงได้ลงพื้นที่พบว่าโครงการชุมชนพอเพียงที่จ .ชัยนาทมีการ ทุจริตถึง 40 ชุมชน รวมวงเงิน 8.9 ล้านบาท เช่น ชุมชนบ้านเทพรัตน์ ต.ดงคอน อ.สรรคบุรี ได้งบ 3 แสนบาท ขอโรงสีข้าวเปลือก แต่ได้เครื่องกรองน้ำดื่มราคา 2.5 แสนบาท ชุมชนบ้านดงเทพรัตน์ ได้งบ 3.5 แสนบาท ขอเลี้ยงปลาราคา 2.8 แสนบาท และโรงงานผลิตน้ำพริกราคา 7 หมื่นบาท แต่กลับอนุมัติเครื่องกรองน้ำดื่มราคา 2.5 แสนบาท สร้างความเสียหายให้กับประชาชนและประเทศชาติ เหมือนเชื้อโรคทุจริตร้ายที่ไม่มีวันตราย โครงการชุมชนพอเพียงมีการทุจริตกระจายทั่วประเทศ และได้ยื่นให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม ตรวจสอบ แต่หลังจากเปลี่ยนอธิบดีกรมดีเอสไอ จากพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็น นายธาริต เพ็งดิษฐ์ คดีไม่คืบหน้า
นายพร้อมพงศ์ กล่าวต่อว่า ขอตั้งข้อสังเกตว่าทุจริตโครงการชุมชนพอเพียง ไม่คืบหน้า เพราะนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ รับผิดชอบโครงการนี้ เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมก็เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จึงขอให้นายกรัฐมนตรี และดีเอสไอเร่งดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้
------------------------------------------
โกงข้าวโพดฉาว
แฉ โครงการรับจำนำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของรัฐบาลส่อทุจริต อีกแล้ว หลังประธานคณะกรรมการกลางกลุ่มเกษตรแห่งประเทศไทย รับมอบอำนาจจากองค์การคลังสินค้า เข้าตรวจสอบโกดัง 5 แห่งในจังหวัดตาก พบข้าวโพดที่รับจำนำไว้สูญหายไปอื้อ บางโกดังมีทั้งสต๊อกลม ยัดไส้กระสอบด้วยซังข้าวโพด ดิน และทราย เพื่อเพิ่มน้ำหนัก แถมบางแห่งยังสมรู้ร่วมคิดกับธนาคาร ทำเครดิตเอาเงินออกมาใช้อย่างฟุ่มเฟือย ทำเป็นขบวนการใหญ่ฉ้อโกงกันมโหฬาร เตรียมแจ้งความดำเนินคดีเจ้าของโกดังขี้โกงแล้ว
พบโครงการรับจำนำ ข้าวโพดของรัฐบาลฉาวโฉ่ ส่อมีการทุจริตกันอย่างมโหฬารครั้งนี้ เปิดเผยเมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 4 ต.ค. นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ประธานคณะกรรมการกลาง กลุ่มเกษตรแห่งประเทศไทย ทำหน้าที่ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบวิธีปฏิบัติงานตามโครงการ แทรกแซงราคาสินค้าเกษตรในการรับจำนำสินค้าเกษตร ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) กระทรวงพาณิชย์ และคณะได้เดินทางมายังพื้นที่ อ.แม่สอด อ.พบพระ และ อ.แม่ระมาด จ.ตาก เพื่อตรวจสอบโกดังเก็บข้าวโพดตามโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2551/2552 จำนวน 17 แห่ง ที่ทำสัญญารับฝากข้าวโพด เพื่อตรวจดูว่ามีข้าวโพดในโกดังเก็บสินค้าตามสัญญาหรือไม่
ภายหลัง การตรวจสอบ นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม เปิดเผยว่า ได้รับการร้องเรียนจากบุคคลหลายฝ่ายเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวโพดเลี้ยง สัตว์ ปี 2551/2552 ว่า มีการจำนำสต๊อกลมบ้าง ไม่มีสินค้าบ้าง มีการแอบนำข้าวโพดไปขายก่อนบ้าง จำนวนหลายแสนตัน โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.ตาก จึงนำคณะเดินทางเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริง จากการตรวจสอบโกดังเก็บข้าวโพด 5 แห่ง ในจำนวน 17 แห่ง ปรากฏว่าพบมีการส่อทุจริตทั้ง 5 แห่ง คือที่โกดัง หจก.ชัยสมบูรณ์ธุรกิจ เลขที่ 498 หมู่ 1 ต.พบพระ อ.พบพระ ซึ่งโครงการรับจำนำได้ฝากข้าวโพดไว้จำนวน 10,034 ตัน ผลการตรวจสอบพบว่ามีการปลอมปนนำซังข้าวโพด ทราย และดิน ยัดใส่ไว้ในกระสอบข้าวโพดจำนวนมาก และจากการประเมินเบื้องต้นคาดว่า มีข้าวโพดหายจากสต๊อกราว 2,500 ตัน จึงเข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.พบพระ และสั่งอายัดข้าวโพดทั้งหมดไว้ตรวจสอบ เพื่อประเมินความเสียหายแล้วแจ้งความเพิ่มเติม
นายอุบลศักดิ์เปิด เผยต่อไปว่า ส่วนโกดังอีก 4 แห่ง พบว่าไม่มีข้าวโพดครบตามจำนวนที่รับจำนำไว้ ขาด 3 พันตันบ้าง 4 พันตันบ้าง บางแห่งขาดไปถึง 7 พันตัน แสดงให้เห็นว่ามีการฉ้อโกงกันเป็นขบวนการ เพราะในหลักการรับจำนำ โกดังที่รับฝากจะต้องดูแลข้าวโพดให้สมบูรณ์ จำนวนสินค้าต้องอยู่ครบถ้วน การตรวจสอบครั้งนี้ยังพบว่า นอกจากข้าวโพดที่ฝากไว้ในโกดังจะปลอมปน หรือหายไปส่วนหนึ่งแล้ว ยังพบว่าเจ้าของโกดังยังนำข้าวโพดที่รับฝากไปทำเครดิตกับธนาคารเพื่อนำเงิน ออกมาใช้กันอย่างฟุ่มเฟือย สิ่งเหล่านี้ทำกันเป็นขบวนการ ธนาคารจะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ แสดงว่าธนาคารมีส่วนร่วมทุจริตด้วย ทรัพย์สินที่อยู่ในโกดังเป็นสิทธิ์ขององค์การคลังสินค้าอยู่ก่อนแล้ว รายอื่นจะมาเป็นเจ้าของไม่ได้
"การตรวจสอบในพื้นที่ จ.ตาก ครั้งนี้ จะต้องตรวจสอบโกดังในโครงการทั้ง 17 แห่ง โดยจะใช้วิธีรื้อกองข้าวโพดเพื่อค้นหาสิ่งปลอมปน และชั่งน้ำหนักตรวจสอบ จึงจะประเมินความเสียหาย ก่อนจะแจ้งความเพิ่มเติมตามกรณีไป หากข้าวโพดไม่ครบก็แจ้งข้อหาฉ้อโกง ถ้าเสียหายก็ดำเนินการฟ้องแพ่ง ซึ่งในวันที่ 5 ต.ค.นี้ ตนจะแจ้งให้ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ร่วมตรวจสอบโกดังที่รับฝากข้าวโพดทุกแห่งเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และจะดำเนินการตรวจสอบลักษณะนี้ทั่วประเทศ เพื่อขจัดขบวนการโกงชาติบ้านเมือง" ประธานคณะกรรมการกลางฯ กล่าว
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ จ.ตาก มีโกดังที่ร่วมรับฝากข้าวโพด คือ อ.แม่สอด หจก.พืชผลสุวรรณ, หจก.อเนกธัญกิจ, หจก.ชัยอนันต์การเกษตร, หจก.สิงห์รุ่งเรืองพืชผลการเกษตร, หจก.แพสีห์แดง, หจก.เลิศรุ่งเรืองการเกษตร, สหกรณ์นิคมแม่สอด จำกัด, ร้านพะวอพืชผลและไซโล ที่ อ.แม่ระมาด สหกรณ์นิคมแม่ระมาด จำกัด, หจก.ปฎิพงษ์การเกษตร, บริษัทเพชรจินดาการเกษตร (พืชผล) จำกัด ที่ อ.วังเจ้า หจก.พรเทพอะโกร, หจก.จินดาการเกษตรและไซโล ที่ อ.พบพระ ร้าน พี.พี.ธุรกิจการเกษตร, หจก.ชัยสมบูรณ์ธุรกิจ และ หจก.ชัยอนันต์การเกษตร รวมทุกโกดังมีข้าวโพดของโครงการรับฝากอยู่จำนวนนับแสนตัน
-------------------------------------------
ปูดอีกพิรุธซื้อรถจักร-อะไหล่รถไฟ1.2พันล้าน
พท.ตี กินรายวัน ปูดอีกประมูลซื้อรถจักร-อะไหล่รถไฟ 1.2 พันล้าน พิรุธอื้อ ส่อทำผิดระเบียบจัดซื้อจัดจ้าง สงสัยสมรู้ร่วมคิด โยงใยเครือญาติบุคคลในรัฐบาล ปชป.อุ้ม"วิทยา"ชี้จี้ออกไม่เป็นธรรม ควรให้พิสูจน์ความจริงก่อน อ้าง 5 ชื่อที่แพทย์ชนบทแจ้งนายกฯไม่มี รมว.สธ. ขณะที่ รมช.ศธ.สั่ง สอศ.แจงปมยัดครุภัณฑ์วิทยาลัยอาชีวะ
@ พท.ปูดพิรุธประมูลร.ฟ.ท."1.2พันล."
น.อ.อนุ ดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. คณะทำงานสำนักงานปราบโกง (สปก.401) พรรคเพื่อไทย (พท.) แถลงเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ณ ที่ทำการ พท.ว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ออกประกาศ ร.ฟ.ท. งานการจัดซื้อรถจักรดีเซลไฟฟ้าจำนวน 7 คัน พร้อมเครื่องอะไหล่มูลค่า 1,200 ล้านบาท ซึ่ง พท.เห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวมีข้อพิรุธความน่าสงสัยในกระบวนการและขั้น ตอนการออกร่างประกาศเชิญชวนเสนอราคา (ทีโออาร์) หลายประการดังนี้ 1.ทีโออาร์ที่ออกในประกาศเว็บไซต์ของ ร.ฟ.ท.ระหว่างวันที่ 2-12 ตุลาคม ความยาว 98 หน้า เพื่อให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นนั้น ในข้อ 4.9 ได้ระบุให้บริษัทที่สนใจเข้าร่วมประกวดราคา ยื่นเอกสารการประกวดราคาในวันที่ 13 ตุลาคม เวลา 10.00-11.00 น. ซึ่งในทางปฏิบัติเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีบริษัทใดมายื่นเอกสารประกวดราคาได้ ทัน เพราะหลังจากสิ้นสุดการแสดง ความคิดเห็นในวันที่ 12 ตุลาคมแล้ว ร.ฟ.ท.จะต้องนำข้อมูลทั้งหมด ในคณะกรรมการร่างประกวดราคาพิจารณาทบทวนแล้วสรุปผลเพื่อประกาศเป็นทีโออาร์ อย่างเป็นทางการ โดยมีลายเซ็นของผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. หรือประธานคณะกรรมการประกวดราคาลงนามกำกับ จึงจะถือได้ว่าทีโออาร์ฉบับนั้นสมบูรณ์ หมายความว่าถ้าวันที่ 13 ตุลาคม เวลา 10.00-11.00 น. เป็นเวลาที่กำหนดให้มีการยื่นซองประกวดราคา คณะทำงานพิจารณาร่างทีโออาร์ จะมีเวลาพิจารณาร่างดังกล่าวเพียงแค่ไม่ถึงครึ่งวัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ
@ ส่อทำขัดระเบียบจัดซื้อจัดจ้าง
2.ร่าง เอกสารประกวดราคาได้อ้างอิงประกาศฝ่ายการพัสดุ ร.ฟ.ท. ซึ่งในช่วงที่จะลงวันที่กลับเว้นไว้ ไม่ลงวันที่กำกับ แสดงให้เห็นว่าเอกสารฉบับนี้ยังไม่สมบูรณ์ รวมถึงหลักประกันตามข้อ 7 ในทีโออาร์ ก็ยังไม่ได้กำหนดระยะเวลาของการค้ำประกันซอง เพียงแต่ให้คำจำกัดความว่า ต้องค้ำประกันในระยะเวลา 180 วันเท่านั้น แต่ร่างทีโออาร์ฉบับนี้กลับไม่ได้กำหนดวันยื่นซองทางเทคนิคว่าเป็นวันที่ เท่าไหร่ ดังนั้น บริษัทที่จะเข้ามาร่วม จะไม่มีทางที่จะวางแผนในการยื่นทีโออาร์ได้เลย ซึ่งเป็นเรื่องตลกมาก 3.ระเบียบว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างของ ร.ฟ.ท. กำหนดให้การประกาศทีโออาร์ จะต้องประกาศอย่างเป็นทางการไม่น้อยกว่า 7 วันทำการ ดังนั้น การกำหนดให้ยื่นซองประกวดราคาในวันที่ 13 ตุลาคม จึงน่าจะเป็นการขัดต่อระเบียบว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างของ ร.ฟ.ท. และ 4.การยื่นซองประกวดราคา การเตรียมเอกสารในการยื่นซอง ตลอดจนการหาหลักประกันเพื่อให้ธนาคารออกหนังสือรับรองการค้ำประกัน จำนวน 50.2 ล้านบาท ไม่น่าเชื่อว่าจะมีบริษัทใดที่จะเตรียมเอกสารได้ทัน นอกจากมีหูทิพย์ ตาทิพย์ มีญาณวิเศษ ที่จะทราบล่วงหน้าว่าคณะกรรมการประกวดราคาและผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. จะพิจารณาหรือกำหนดให้ทีโออาร์ออกมาในลักษณะใด หรือมีการเปลี่ยนแปลงจากที่ร่างไว้เดิมหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องคุณสมบัติผู้ร่วมประกวดราคา
@ สงสัยโยงใยญาติคนในรัฐบาล
"พรรค เพื่อไทยจึงตั้งข้อสังเกตว่า การดำเนินการในครั้งนี้ อาจมีการส่อไปในทางสมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มบริษัทใดบริษัทหนึ่งหรือไม่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าบริษัทดังกล่าวจะมีความสัมพันธ์กับบุคคลในรัฐบาลในทาง เครือญาติ เพราะเห็นได้ชัดว่ามีการเร่งรัด ลุกลี้ลุกลนส่อไปในทางฮั้วประมูลหรือไม่ จึงขอเรียกร้องให้นายกฯตรวจสอบการดำเนินการของกระทรวงคมนาคม เพราะเป็นกระทรวงที่ต้องบริหารงบฯจากไทยเข้มแข็งซึ่งมาจากภาษีประชาชนจำนวน มาก หากใช้งบฯไม่เป็นไปตามวัตถุ ประสงค์ งบฯนี้อาจทำให้ภูมิใจไม่ไหว เพราะไทยไม่เข้มแข็งอย่างแน่นอน" น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว
---------------------------------------------
ครุภัณฑ์ฉาว ศธ.
@ รมช.ศธ.สั่งสอศ.แจงปมครุภัณฑ์
นาง สาวนริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มอบหมายให้ผู้บริหาร สอศ.ชี้แจงข้อมูล กรณีผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาหลายแห่ง ออกมาเปิดโปงผู้บริหาร สอศ.ทำหนังสือแจ้งไปยังวิทยาลัย ว่าได้จัดครุภัณฑ์ตามแผนพัฒนาปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2553 ที่มีวงเงิน จัดสรรให้วิทยาลัย 401 แห่งทั่วประเทศ 4,625 ล้านบาท ให้กับวิทยาลัยอาชีวะต่างๆ ใช้ในการเรียนการสอน ทั้งที่วิทยาลัยไม่ทราบเรื่องมาก่อน และไม่ได้ทำคำเสนอขอแต่อย่างใด นอกจากนี้ครุภัณฑ์หลายรายการยังแพงกว่าราคาตลาดถึง 2-3 เท่าตัวด้วย
นาง สาวนริศรากล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดเรื่องนี้ แต่ได้มอบให้ผู้บริหาร สอศ.ชี้แจงข้อมูลให้ได้รับทราบแล้ว พร้อมทั้งจะให้ชี้แจงในที่ประชุมผู้บริหารองค์กรหลักที่มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการ ศธ.เป็นประธานประชุมในวันที่ 12 ตุลาคม ด้วยว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร
@ ผอ.แฉออกสเปคไม่ตรงที่ต้องการ
ผู้ อำนวยการวิทยาลัยแห่งหนึ่งใน จ.สุพรรณ บุรี กล่าวว่า คุณลักษณะเฉพาะครุภัณฑ์หรือสเปคที่ สอศ.กำหนดมาให้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างนั้น ไม่ตรงตามความต้องการทั้งหมด อย่างในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา วิทยาลัยได้รับงบประมาณเกือบ 10 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อครุภัณฑ์ประเภทหนึ่ง แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ทำให้กลุ่มวิทยาลัยหลายแห่ง เช่น วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี (วษท.) รวมตัวกันกำหนดคุณ ลักษณะเฉพาะครุภัณฑ์ออกมาอีกชุดหนึ่ง เพื่อเสนอให้ สอศ.พิจารณาเห็นชอบให้เป็นทางเลือกหนึ่ง ทั้งนี้ ปัญหาดังกล่าวเคยเสนอในช่วงที่ นายประเสริฐ แก้วเพ็ชร เป็นรองเลขาธิการ กอศ.แล้วและนายประเสริฐได้ให้กลุ่มวิทยาลัยร่วมทำคุณลักษณะเฉพาะครุภัณฑ์ เสนอมา แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้รับการสานต่อเรื่องนี้หรือไม่ เนื่องจากนายประเสริฐเพิ่งเกษียณอายุราชการไป
"สอศ.ได้จัดส่ง คุณลักษณะเฉพาะครุภัณฑ์มาให้พร้อมได้กำหนดให้ดำเนินการจัดซื้อให้เสร็จภายใน วันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งผมยังไม่ได้ดำเนินการอะไร เพราะอยากจะรอคุณลักษณะเฉพาะครุภัณฑ์อีกชุดและอยากให้แต่ละวิทยาลัยอย่า เพิ่งรีบจัดซื้อควรจะรอก่อน ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นปัญหาเดิมซื้อมาแล้วไม่ตรงตามความต้องการของอาจารย์ผู้ สอน" ผอ.วิทยาลัยคนเดิมกล่าว
------------------------------------------------
ปลอมปนข้าวแจกให้เกษตรกร
@ พท.จี้รมว.เกษตรฯหามือปลอมข้าว
ส่วน เรื่องการแจกพันธุ์ข้าวหอมมะลิให้กับเกษตรกร จ.ยโสธร ที่อาจมีการปลอมปนนั้น นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พท.แถลงว่า ที่นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงว่าการดำเนินการเป็นการใช้งบประมาณ ประจำปี 2552 จากงบฯแปรญัตติ ซึ่งจังหวัดยโสธร โดยผู้ว่าราชการจังหวัดได้ลงนามบันทึกข้อตกลงการซื้อขายเมล็ดพันธุ์ข้าวหอม มะลิ 105 กับอธิบดีกรมการข้าว และกรมการข้าวได้จัดส่งเมล็ดพันธุ์ดังกล่าวให้กับจังหวัดในวันที่ 30 เมษายน ด้วยงบประมาณ 26 ล้านบาท และที่อธิบดีกรมการข้าวออกมายืนยันคุณภาพและมาตรฐานเมล็ดพันธุ์ และเชื่อว่าหากเป็นเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิของกรมการข้าว จะไม่มีการปลอมปนอย่างเด็ดขาดนั้น ขอยืนยันว่าพรรคไม่ได้มีความสงสัยในคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ออกมา จากกรมการข้าวแต่อย่างใด แต่จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในนาข้าวเกษตรจังหวัดยโสธร ที่ได้รับเมล็ดพันธุ์ในโครงการดังกล่าวแล้วนำไปปลูก พบว่า มีต้นข้าวออกรวงก่อนกำหนดถึงร้อยละ 50 ของแปลง ในขณะที่ต้นข้าวที่เหลือยังไม่ตั้งท้องด้วยซ้ำ ถือเป็นความเสียหายของเกษตรกร เพราะไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ หรือหากเก็บเกี่ยวก็ต้องทำลายต้นข้าวที่เหลือไปด้วย นอกจากนี้ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายโดยไม่สามารถขายข้าวได้คุ้มกับต้นทุน 3,000 บาท/ไร่ ดังนั้น แทนที่กระทรวงเกษตรฯและผู้เกี่ยวข้อง จะรีบแย่งกันออกมาตอบโต้ ขอเรียกร้องให้รีบเข้าไปแก้ไขปัญหาเกษตรกรที่เดือดร้อนจะดีกว่า และควรรีบสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดที่นำเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ปลอมปนไปแจกเกษตรกร เพื่อนำมาลงโทษ โดยเร็ว "ขอตั้งข้อสังเกตว่า เมล็ดพันธุ์ข้าว ไม่ได้มาจากการผลิตของกรมการข้าวทั้งหมด เชื่อได้ว่ามีการนำเมล็ดข้าวอื่นมาปลอมปนในภายหลังในการจัดซื้อจัดจ้างหลัง จากนั้นหรือไม่" นายการุณกล่าว
@ ข้องใจปลอมปนของกรมการข้าว
น.อ.อนุ ดิษฐ์ นาครทรรพ กล่าวว่า ยืนยันว่าต้นทางที่มาจากกรมการข้าว ใส่ถุงมามีมาตรฐานที่สูงมาก มีความสมบูรณ์ถึงร้อยละ 99.08 ดังนั้น ปัญหาน่าจะเกิดขึ้นเมื่อมีการ ส่งพันธุ์ข้าวมายังจังหวัด เพราะเป็นที่น่าสังเกตว่าขนาดบรรจุถุงจากกรมการข้าว มีน้ำหนัก 25-50-100 กิโลกรัมต่อ 1 ถุง แต่เมื่อมาถึงจังหวัด มีนโยบายแจกให้เกษตรกรรายละ 30 กิโลกรัม ดังนั้น จึงต้องแกะแล้วตักแบ่ง เชื่อว่าไม่ได้เป็นการปนพันธุ์อื่นเข้ามา แต่เป็นการนำพันธุ์หอมมะลิที่ไม่ได้มาจากกรมการข้าวเข้ามามากกว่า ส่วนที่พรรคชาติไทยพัฒนาเรียกร้องหากตรวจสอบแล้วไม่มีการปลอมปน จะขอโทษหรือไม่ ยืนยันว่าถ้าตรวจสอบแล้วไม่มีปัญหา พท.พร้อมขอโทษพรรคชาติไทยพัฒนา แต่ขอให้มีการลงพื้นที่ตรวจสอบด้วย ต้องบอกได้ว่ามีเมล็ด พันธุ์ข้าวมาปลอมปนในบรรจุภัณฑ์ของกรมการข้าวได้อย่างไร แต่เมื่อปรากฏรายละเอียดขนาดนี้ก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องขอโทษ เพราะชัดเจน ขอให้รีบไปแก้ไข ดีกว่า
นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พท. กล่าวว่า พื้นที่อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งของตนมีปัญหามาก มีการไปแจกเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิ นายก อบต. เชิญโรงสีไปดูเมล็ดพันธุ์ที่แจก โรงสีบอกเลยว่าเป็นการปลอมปน เคยบอกไปยังผู้ว่าฯก็ได้แต่ตั้งกรรม การสอบ แต่ไม่มีความคืบหน้าอะไร
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า ในการแถลงข่าวสมาชิก พท. นำเพาเวอร์พอยท์มาฉายประกอบด้วย เป็นภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวนาข้าวที่อ้างว่าอยู่ในจังหวัดยโสธร โดยมีการเปรียบเทียบระหว่างนาข้าวที่ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ไม่มีการปลอมปน ซึ่งข้าวออกรวงพร้อมกันเต็มผืนนา ขณะที่นาที่มีการปลอมปนเมล็ดพันธุ์จะออกรวงไม่สม่ำเสมอ เป็นด่างๆ อีกทั้งยังออกรวงไม่ครบ 12 รวงใน 1 กออีกด้วย
------------------------------------------
ทุจริตโครงการไทยเข้มแข็ง สธ.
@ กก.สอบสธ.ยันมีอิสระคุ้ยจัดซื้อ
ขณะ ที่ปัญหางบประมาณตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ภายหลังชมรมแพทย์ชนบทแสดงความเห็นว่าคณะกรรมการตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้าง ครุภัณฑ์ทางการแพทย์ อาจไม่กล้าสาวถึงตัวผู้บงการที่แท้จริง เนื่องจากจะมีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการประจำในสังกัด สธ. หลายตำแหน่งในเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ยังระบุว่ามีการให้ผู้ตรวจราชการลงไปเกลี้ยกล่อมให้โรงพยาบาลใน พื้นที่ยืนยันความต้องการครุภัณฑ์ทางการแพทย์ตามบัญชีเดิมนั้น
นพ.เสรี หงษ์หยก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กล่าวว่า คณะกรรมการทุกคน เมื่อได้รับความไว้วางใจก็ตั้งใจทำงานอย่างตรงไปตรงมา ทุกคนมีอิสระในการสอบข้อเท็จจริงบนพื้นฐานของข้อกฎหมาย ระเบียบ ธรรมา ภิบาล และให้ความเป็นธรรมต่อผู้ถูกพาดพิงทุกคน ส่วนที่ นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ให้สัมภาษณ์ว่ามีข้อมูลและรายชื่อที่ได้เปิดเผยต่อนายกรัฐมนตรีไปแล้วเมื่อ ต้นสัปดาห์ ก็ขอให้ส่งหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรไปที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุด นี้ด้วย เพื่อคณะกรรมการจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
@ เร่งผู้ตรวจ18เขตสรุปรายมีปัญหา
นพ.ชู วิทย์ ลิขิตยิ่งวรา หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า หลังจากที่ สธ.ดำเนินการภายใต้หลักประกันสุขภาพ มุ่งให้ประชาชนได้รับบริการถ้วนหน้า สถานบริการสาธารณสุขไม่ได้รับงบประมาณในการจัดซื้อครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้าง มานานหลายปี ขณะนี้นับเป็นโอกาสดีที่ได้รับงบประมาณจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งของ รัฐบาล เพื่อให้สถานบริการสาธารณสุข ได้มีอาคารสถานที่และเครื่องมือเครื่องใช้ในการดูแลสุขภาพประชาชนอย่างทั่ว ถึง สธ.มีความตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง ไม่ต้องการให้เกิดปัญหาการทุจริตในกระทรวง ซึ่งในที่ประชุมสำนักตรวจราชการเมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา มีมติให้ผู้ตรวจราชการ สธ.ทั้ง 18 เขต เข้าไปประชุมนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลทั่วไป/โรงพยาบาลชุมชน สาธารณสุขอำเภอ เร่งสำรวจข้อมูล โดยเฉพาะครุภัณฑ์บางรายการที่มีปัญหา โดยจะรวบรวมข้อมูลจาก 18 เขต ส่งให้ปลัด สธ.ในบ่ายวันที่ 12 ตุลาคมนี้ และยืนยันว่าจะให้สถานบริการสาธารณสุขเป็นผู้เลือกครุภัณฑ์เอง ไม่มีการบังคับแต่อย่างใด
@ "ใต้"ไม่หยุดจริงเปิดซองประมูลแล้ว
แหล่ง ข่าวจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.ยะลา แจ้งว่า แม้ล่าสุด สธ.จะสั่งระงับการจัดซื้อจัดจ้างไว้ชั่วคราวเพื่อรอผลตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่ข้อเท็จจริงขณะนี้ในพื้นที่ จ.ยะลา มีการเปิดซองประมูลด้วยวิธีการพิเศษเพื่อว่าจ้างบริษัทรับเหมาก่อสร้างแฟลต ที่พักพยาบาลเรียบร้อยแล้ว จำนวน 5 แห่ง เหลือเพียงรองบประมาณจากส่วนกลางส่งมอบให้เท่านั้น เรื่องนี้น่าสังเกตว่า การดำเนินการเป็นไปด้วยความเร่งรีบ เหมือนเป็นการตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก และไม่เพียงแต่ในพื้นที่ จ.ยะลา เพราะจากการพูดคุยกับแพทย์ในจังหวัดใกล้เคียงพบว่า ที่ จ.นราธิวาส ก็มีการเปิดซองว่าจ้างบริษัทรับเหมาก่อสร้างแฟลตที่พักแล้วเช่นกัน
--------------------------------------------
แฉอีก ขอไก่ได้เห็ด คุ้ยทุจริตพอเพียง
พรรค เพื่อไทยตามติดลากไส้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง พบไม่ชอบมาพากลแล้ว 31 ชุมชน วงเงินกว่า 6 ล้าน พร้อมคุ้ยทุจริตกระทรวงศึกษาธิการ แฉเปลี่ยนสเปคโครงการที่ทางโรงเรียนได้นำเสนอไป ซึ่งไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ทางโรงเรียนเสนอ...
นายพร้อมพงศ์ นพ ฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มีประชาชน จ.สระบุรี ร้องเรียนพรรคเพื่อไทยว่า มีการทุจริตในโครงการชุมชนพอเพียง คณะทำงานของพรรคเพื่อไทยจึงได้ลงพื้นที่และพบปัญหาในโครงการชุมชนพอเพียงที่ ส่อไปในทางไม่สุจริตที่ อ.แก่งคอย อ.หนองแซง และอ.หนองแค จ.สระบุรี จำนวน 31 ชุมชน วงเงิน 6,360,000 บาท เช่น ชุมชนบ้านบึงไม้ ได้งบประมาณ 250,000 บาทขอเครื่องทำปุ๋ยชีวภาพแต่ได้ประปาชุมชนราคา 150,000 บาท ทำให้งบหายไปทันที 100,000 บาท ที่ชุมชนบ้านหนองจอก ได้งบประมาณ 200,000 บาทขอโรงสีข้าวเครื่องมือเกษตรแต่ได้เครื่องกรองน้ำประปาวงเงิน 150,000 บาท เงินหายไป 50,000 บาท ที่ชุมชนบ้านสองคอนใต้ ได้รับงบประมาณ 200,000 บาท ขอตู้ทำน้ำดื่มแต่ได้เครื่องปั่นไฟราคา 150,000 บาทเงินหายไป 50,000 บาท และที่ชุมชนป่าไผ่ใต้ ได้รับงบประมาณ 200,000 บาท ขอโรงเรือนไก่ไข่แต่กลับได้โรงเรือนเพาะเห็ดราคา 150,000 บาท เงินหายไป 50,000 บาท ทั้งนี้ โครงการชุมชนพอเพียงมีขบวนการจัดการทั้งข้าราชการ นักการเมือง และพ่อค้า โดยให้สินค้าไม่ตรงตามความต้องการของประชาชน โครงการชุมชนพอเพียงเหมือนแผลเน่าที่รัฐบาลไม่ยอมรักษา เป็นโรคร้ายที่รัฐบาลไม่ยอมเยียวยา ทำให้ประชาชนเสียประโยชน์และชุมชนอ่อนแอ
โฆษก พรรคเพื่อไทย กล่าวด้วยว่า มีข้าราชการครูสพฐ 7 จากจ.นครราชสีมายื่นหนังสือร้องเรียนต่อพรรคเพื่อไทยว่าโรงเรียนการศึกษา ขั้นพื้นฐานเขต 7 จ.นครราชสีมากว่า 20 โรงเรียนได้นำเสนอโครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงศึกษาธิการ แต่น่าจะเกิดการทุจริตขึ้น เนื่องจากมีการเปลี่ยนสเปคโครงการที่ทางโรงเรียนได้นำเสนอไป ซึ่งไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ทางโรงเรียนเสนอ โดยเสนอสร้างอาคารเรียนแต่กลับได้ห้องประชุมทั้งๆที่โรงเรียนและประชาคมไม่ ต้องการเพราะไม่มีความจำเป็น รวมทั้งการซื้อวัสดุครุภัณฑ์ที่โรงเรียนเสนอซื้อสินค้าที่โรงเรียนต้องการ เกี่ยวกับการเรียนการสอนที่มีความจำเป็นในท้องถิ่น แต่กลับมีการเปลี่ยนแปลงสินค้าวัสดุครุภัณฑ์ที่มาคาแพงกว่าท้องตลาดและ โรงเรียนไม่ต้องการมาให้แทน ทั้งนี้ในวันจันทร์ที่ 5 ต.ค.พรรคจะส่งคณะทำงานลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอีกครั้ง
“โครงการไทยเข้มแข็งที่ใช้เงินนอกงบประมาณสำหรับกระทรวงศึกษาธิการ น่าจะมี การทุจริตเกิดขึ้นเป็นขบวนการใหญ่เหมือนโครงการชุมชนพอเพียงและโครงการไทย เข้มแข็งที่มีการจัดซื้อครุภัณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข นี่คือการทุจริตเชิงนโยบาย เป็นการปล้นภาษีประชาชนกลางวันแสกๆ นายอภิสิทธิ์ ต้องไปกู้เงินทั้งต้นทั้งดอกมาดำเนินการแต่ขาดการตรวจสอบอย่างเป็นระบบ ปล่อยให้มีการทุจริตในหลายพื้นที่ เหล่านี้คือการบริหารของรัฐบาลระบอบอภิสิทธิ์ชนที่ทำอะไรก็ไม่ผิด”โฆษกพรรค เพื่อไทยกล่าว
------------------------------------------
พท.ปูดนักการเมือง กินหัวคิว ต่อรถเมล์4พันคัน
ระบุ มีฝ่ายการเมืองตกลงพูดคุยกัน โดยได้ค่าดูแลพูดคุยต่อคันเป็นตัวเลขพอสมควร เชื่อรัฐบาลอนุมัติเพื่อเอาใจพรรคภูมิใจไทย ไม่ให้เสียหน้าเพียงเท่านั้น เชื่อโครงการนี้ไม่เกิดขึ้นแน่นอน....
วันนี้(3 ต.ค.)นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. และประธานภาค กทม.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.)มีมติเห็นชอบโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ข้อสังเกตว่า โครงการดังกล่าวคงเกิดยาก ไม่เกิดในรัฐบาลนี้แน่นอน เพราะรายละเอียดในโครงการดังกล่าว กำหนดเงื่อนประเด็นต่างๆ ที่ต้องทำตามข้อตกลงค่อนข้างมาก และยังทำลายระบบของ ขสมก.ไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้ของขสมก.ได้ วันนี้ทางสหภาพแรงงาน ขสมก.เริ่มออกมาเคลื่อนไหว เพราะจะตกงานหรือถูกเออร์รี่รีไทออกไปจากการนำระบบจัดเก็บตั๋วแบบอีทิคเก็ต เข้ามาใช้
ส่วนกรณีการให้บริษัทในประเทศดำเนินการต่อรถนั้น นายวิชาญ กล่าวว่า อยากถามรัฐบาลว่า รถจำนวน 4,000 คัน ต้องใช้เวลาเท่าใด และยังมีข่าวออกมาว่าโรงงานที่ประกอบรถนั้น มีฝ่ายการเมืองไปตกลงพูดคุยกัน โดยได้ค่าดูแลพูดคุยต่อคันเป็นตัวเลขพอสมควร อย่างไรก็ตามโครงการนี้เกิดขึ้นเพียงต้องการปลอบใจ เอาใจพรรคภูมิใจไทยไม่ให้เสียหน้าเท่านั้น และซื้อเวลาให้ความหวังคน กทม.
----------------------------------------
สว.กระตุกรบ. อย่ามูมมาม เหตุกลัวอยู่ไม่นาน
ส.ว.จี้รบ.ทำโปร่งใสใช้เงิน ไทยเข้มแข็ง รองปธ.กมธ.สธ.แนะอย่ารีบทุจริตเพราะกลัวอยู่ไม่นานเรียกร้องปรับปรุงการทำ โครงการ ชี้เฟส 2 ควรยกระดับทางวิชาชีพ ไม่ใช่ซื้อเครื่องมือเพื่อรอบุคคลากร
ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 5 ต.ค.มีการประชุมวุฒิสภา โดยมีนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม ก่อนเข้าสู่วาระการประชุมได้เปิดให้สมาชิกหารือ โดยนายเจริญ ภักดีวานิช ส.ว.พัทลุง ขอหารือกรณีปัญหาความไม่โปร่งใสในการใช้เงินกู้เพื่อดำเนินโครงการไทย เข้มแข็งของรัฐบาล ปัจจุบันปรากฏเป็นข่าวมาก หลายโครงการ หลายกระทรวงส่งกลิ่นทุจริต หากปล่อยให้เกิดอย่างนี้ประเทศย่อยยับ ส.ว.หลายคนจึงรู้สึกเป็นห่วง ขอให้รัฐบาลรีบสะสาง ตัดไฟแต่ต้นลม ต้องสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองใหม่ให้ได้
ด้าน นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ส.ว.สรรหา รองประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา หารือถึงปัญหาการจัดซื้อครุภัณฑ์ในกระทรวงสาธารณสุข โดยการยกระดับสถานีอนามัยตำบาล เป็นโรงพยาบาลตำบล ถือเป็นเรื่องดี แต่การเร่งรัดจากรัฐบาล ประกอบกับการมีงบไทยเข้มแข็งเข้ามาเหมือนต้องการเร่งรัดเพื่อให้มีผลงานออก มาเร็ว ไม่รู้ว่ากลัวจะอยู่ไม่ได้นานหรือไม่ มีการกระจายงบลงไปในสถานีอนามัยตำบล 1,000 แห่ง ในปีนี้ ปีหน้าอีก 1,000 แห่ง และอีก 6 ,000 แห่งที่จะทยอยในปีต่อๆไป รวมถึงการจัดซื้อครุภัณฑ์รวมแล้วใช้งบหลายหมื่นล้านบาท แต่ก็มีปัญหาไม่ตรงกับความต้องการกับพื้นที่ และแพทย์ จึงขอให้รัฐบาลปรับปรุงการทำโครงการ โดยการดำเนินการตามเฟส 2 ควรยกระดับทางวิชาชีพ ไม่ใช่ซื้อเครื่องมือเพื่อรอบุคคลากร
------------------------------------------
เผยบอลลูน380ล.ใช้ดับไฟใต้ ค้างเติ้งที่อู่ตะเภาเปล่าประโยชน์
รายงาน ข่าวจากกองทัพภาค 4 เปิดเผยว่ากองทัพซื้อบอลลูนในราคาลำละ 380 ล้าน เพื่อภารกิจบินลาดตระเวนตรวจสอบถ่ายภาพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นการใช้เงินที่ไม่ก่อประโยชน์ในการแก้ปัญหามากนัก เนื่องจากกองกำลังขบวนการแบ่งแยกดินแดนใช้วิธีการปะปนอยู่กับมวลชน ไม่แต่งเครื่องแบบ ไม่ติดอาวุธ ไม่ที่ค่ายพักในป่า และหลบเข้า-ออก ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งผลสุดท้ายบัลลูนที่ซื้อมาคงทำประโยชน์ต่อการปราบปราม ป้องกัน การก่อเหตุร้ายได้ไม่มากนัก และอาจจะไม่ได้ใช้เลยก็ได้
“บอลลูนที่ สั่งซื้อจากประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกส่งมาเก็บไว้ที่สนามบินอู่ตะเภาแล้ว มีแต่ตัวบอลลูน ส่วนกล้องถ่ายภาพอินฟราเรด 2 ตัว ซึ่งเป็นเขี้ยวเล็บที่สำคัญ ยังส่งเข้ามาไม่ได้ เพราะติดขัดเรื่อง “กฎหมาย” ที่ห้ามส่งออกของอเมริกา ดังนั้นจึงยังหวังไม่ได้ว่าสุดท้าย ประชาชนในพื้นที่จะได้บอลลูนเป็นของเล่นชิ้นใหม่จากกองทัพ”
ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่า กองทัพมีผู้มีความรู้มากมาย แต่เรื่องอย่างนี้คิดไม่้เป็นหรือ ซึ่งก็ไม่น่าเป็นไปได้
หรือจะเป็นอีกข้อพิสูจน์ว่า หน่วยงานราชการทั้งหลาย ต่างหากที่เป็นผู้สูบเลือดสูบเนื้อประชาชน
----------------------------------------
เสาธงต้นละ5แสน-คาดสูญหมื่นล.
นพ.เกรียง ศักดิ์กล่าวอีกว่า มีหลักฐานใบเสร็จชัด เช่น เรื่องการก่อสร้างโรงพยาบาล เช่น ปี 2551 รพ.ภูกระดึงทำหอพักพยาบาล 24 ห้อง ราคากลาง 6.8 ล้านบาท ประมูลได้ 6.5 ล้านบาท แต่ราคากลางตามเอสพี 2 อยู่ที่ 9.5 ล้านบาท ส่วนการจัดซื้อเสาธงให้ รพ.ทั่วประเทศ ความสูง 20 เมตร ราคากลางเอสพี 2 ต้นละ 495,000 บาท ทั้งที่ราคาจริงไม่น่าจะอยู่แค่ 20,000 บาท จากการตรวจสอบราคาสินค้าก่อสร้างครุภัณฑ์ชนิดอื่นๆ น่าจะเพิ่มสูงขึ้นเกินความเป็นจริงไม่ต่ำ 30% คิดเป็นเงินกว่าหมื่นล้านบาท
"ผม เชื่อว่ามีคนบงการอยู่เบื้องหลัง จนทำให้บริษัทเหล่านี้ย่ามใจกล้าข่มขู่โรงพยาบาลที่จัดซื้อ สิ่งที่เกิดขึ้นน่าจะมีปัญหาว่าเงินจะเข้ากระเป๋าใคร โดยเฉพาะเครื่องตรวจสารชีวะเคมีในเลือดเงิน น่าจะเข้ากระเป๋าใครบางคนเกือบ 100% เพราะบริษัทต้องลงทุนฟรีเพื่อจะขายน้ำยาอยู่แล้ว" นพ.เกรียงศักดิ์กล่าว
นพ.เกรียงศักดิ์กล่าวว่า สำหรับเครื่องช่วยหายใจและเครื่องรมยาสลบมีราคากลางที่สูงเกินความจริงและ สเปคที่สูงเกินไป ไม่ตรงกับที่พื้นที่ร้องขอ มีการจัดสรรเครื่องมือที่ราคา 1.5 ล้านบาทเท่ากันหมดโดยไปเพิ่มออพชั่นบางอย่างที่ไม่มีความจำเป็น และกำหนดสเปคเพื่อให้เข้ากับบริษัทผู้จำหน่ายบางแห่ง เช่น รพ.ใน จ.สกลนคร เสนอขอในราคา 7.5 แสนบาท 6 เครื่อง แต่กลับจัดสรรให้เพียง 3 เครื่องในราคา 1.5 ล้านบาท ทำให้ขาดโอกาสในการได้เครื่องมือที่ตรงกับความต้องการของพื้นที่ และความจริงแล้วราคาน่าจะไม่เกิน 1.2 ล้านบาท เรื่องเครื่องมือทางการแพทย์กำลังมีผู้ไม่หวังดีพยายามดูดเงินภาษีประเทศ ชาติอาจไม่น้อยกว่าหมื่นล้านบาทเช่นกัน ทั้ง 3 กรณีคือเชิงนโยบาย การเพิ่มราคากลางและเพิ่มราคาเครื่องมือแพทย์น่าจะทบทวนและปรับปรุงได้ไม่ น้อยกว่า 3 หมื่นล้านบาท
-------------------------------------------
ฉาวไม่เลิกชุมชนพอเพียง
บุรีรัมย์ – บุรีรัมย์ ฉาวอีก! กรรมการกองทุนชุมชนพอเพียง พร้อมชาวบ้านสมาชิก บุกโรงพักแจ้งความกล่าวหาประธานกองทุน รวมหัวบริษัททุจริตโครงการเลี้ยงไก่พันธุ์ไข่ไม่เป็นไปตามจุดประสงค์โครงการ เผย นำไก่พันธุ์ไข่แก่เสื่อมสภาพพิการ และหัวอาหารปลอมผสมแกลบ เป็นเงินร่วม 2.5 แสน มาแจกจ่ายให้ชาวบ้านโดยไม่ผ่านการตรวจรับของกรรมการ
ช่วง บ่ายวันนี้ (1 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.00 น.นายปรัชญา อยู่สาโค อายุ 53 ปี รองประธานและกรรมการกองทุนชุมชนพอเพียงบ้านคอก:-) ม.7 ต.นางรอง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ พร้อมชาวบ้านที่เป็นสมาชิกร่วม 10 คน ได้นำหัวอาหารไก่ปลอมผสมรำและแกลบ เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.สำราญ ศรีพลกรัง พนักงานสอบสวน สภ.นางรอง ไว้เป็นหลักฐาน หลังทางบริษัท “สมประสงค์ฟาร์ม” ตั้งอยู่เลขที่ 11 ม.9 ต.ดอนเงิน อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม ได้นำไก่พันธุ์ไข่แก่และ หมดสภาพ พิการ ขนล่วง จำนวน 800 ตัว ที่ถูกโละทิ้งจากฟาร์ม ไม่ใช่ไก่รุ่นตามที่ตกลงกันไว้
พร้อม ทั้งหัวอาหารปลอมผสมทั้งรำและแกลบบรรจุกระสอบเย็บด้วยมือ จำนวน 149 กระสอบ รวมทั้งอุปกรณ์ในการเลี้ยงไก่พันธุ์ไข่ รวมมูลค่า 249,900 บาท มาส่งให้กับ นายเฮี๊ยะ อาจเอื้อม ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นประธานกองทุนฯ เมื่อเวลา 04.00 น.วันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยไม่มีใบนำส่งสินค้า อีกทั้งไม่มีการเรียกคณะกรรมการไปตรวจรับสินค้าตามระเบียบ ประกอบกับสินค้าทุกรายการไม่ระบุที่มาและบริษัทผู้ผลิต ซึ่งไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ส่อถึงความไม่โปร่งใสทั้งผู้รับและผู้ส่ง เชื่อว่า ประธานกับทางบริษัท ดำเนินการไม่โปร่งใส มีการทุจริตในโครงการ จึงได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้เป็นหลักฐาน
---------------------------------------
ชักหัวคิวไทยเข้มแข็งเละ
โพสต์ทูเดย์ — ประธานส.อ.ท. ผงะตัวเลขรีดหัวคิวงบไทยเข้มแข็งสูง 20-25% แถมล็อกสเปกอื้อ
นาย สันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ได้รับทราบจากบรรดาผู้รับเหมาก่อสร้างว่ามีการกินค่าหัวคิวในโครงการต่างๆ ภายใต้งบประมาณไทยเข้มแข็งสูงถึง 20-25% ถือว่ามากเกินไป ทำให้โครงการไม่มีความโปร่งใส และอาจจะมีปัญหาการดำเนินการได้
“ที่น่าเป็นห่วงคือการกินค่าหัวคิวกันมากเกินไป ถ้ากินแค่ 5% ก็คงไม่เป็นไรถือว่าธรรมดา” นายสันติ กล่าว
ประธาน ส.อ.ท. ยังเชื่อว่าการเบิกจ่ายงบโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาลน่าจะทำได้รวดเร็ว เพราะมีการกำหนดแบบหรือมี การล็อกสเปกจากผู้ประกอบการไว้เรียบร้อยแล้ว
ทั้ง นี้ โครงการไทยเข้มแข็ง วงเงินลงทุน 1.43 ล้านล้านบาท ก็จะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบปี 2552 ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท แต่ในปี 2553 จะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจถึง 1.04 ล้านล้านบาท ก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ
นายอานนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า หากสามารถทำโครงการลงทุนไทยเข้มแข็งได้อย่างที่รัฐบาลประกาศไว้ น่าจะเกิดผลดีต่อ ตลาดเงินตลาดทุน โดยเฉพาะสถาบันการเงิน ขณะที่ภาครัฐก็จะเก็บภาษีได้มากขึ้น ส่วนผู้ที่จะได้รับผลดีโดยตรงที่สุดคือภาคธุรกิจก่อสร้าง
-----------------------------------------
มหกรรมค่าหัวคิวเขย่าไทยเข้มแข็ง
ดูเหมือนว่าข่าวคาวการทุจริตจัดซื้อจัดจ้างในโครงการไทยเข้มแข็งของ รัฐบาล จะ “ดัง” ขึ้นทุกขณะ
ไล่ตั้งแต่การที่ชมรมแพทย์ชนบทออกมาเปิดโปงการยัดเยียดให้ซื้อเครื่องมือ แพทย์ให้แก่สถานีอนามัยและโรงพยาบาลในต่างจังหวัด
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยระบบแสงอัลตราไวโอเลตระบบปิด หรือ ยูวี แฟน ราคาเครื่องละ 4 หมื่นบาท จำนวน 800 ตัว
ตาม มาด้วยกลิ่นตุๆ ของการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา มูลค่ากว่า 710 ล้านบาท ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีการล็อกสเปกเอื้อบริษัทรับเหมา
แต่ที่ซัดตรงๆ แบบ “ชัดเจน” ไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา แถมโพล่งกลางวงสัมมนา
นั่นคือกรณี นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า ผู้รับเหมาก่อสร้างตอนนี้กำลังเดือดร้อนหนัก
เพราะมีการกิน “ค่าหัวคิว” ในโครงการต่างๆ ภายใต้งบประมาณไทยเข้มแข็งสูงถึง 2025%
“ถ้ากินแค่ 5% ก็คงไม่เป็นไร ถือว่าธรรมดา” นายสันติ ระบุ
งานนี้ถือเป็นการแฉข้อมูล “ใต้โต๊ะ” ขึ้นมาวางให้เห็นกัน “บนโต๊ะ”
ถือว่าน้ำหนักไม่ธรรมดา เพราะเป็นการบอกเล่าของนักธุรกิจรุ่นใหญ่ในสภาอุตสาหกรรม ที่เป็นตัวแทนของบริษัทเอกชนทั่วประเทศ
จากเสียงสะท้อนครั้งนี้ ประเมินสัญญาณได้ว่า ภาคเอกชนเริ่มทนไม่ไหวกับ “ธุรกิจการเมือง” ที่เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลชุดปัจจุบัน
หลังจากที่เคยเจ็บปวดกับ “ธนกิจ การเมือง” ในรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมาก่อน
ความรู้สึกของสังคมตอนนี้ คือเหมือนหนีเสือปะจระเข้หรือไม่??
ทั้งที่ปัญหาการชักหัวคิวอาจไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เครือข่ายพรรคประชา ธิปัตย์อย่างเดียว
แต่ยังหมายรวมถึงพรรคร่วมรัฐบาล ที่มีข่าวด้านลบกระเส็นกระสายออกมาไม่เว้นแต่ละวัน
“ค่าหัวคิว” รับเหมาก่อสร้าง ยังทำให้กระทรวงคมนาคมนั่งไม่ติด ต้องออกมาชี้แจงแบบฉับพลันทันใด
โดย นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ตอบโต้ประธานส.อ.ท. ว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดการเรียกเก็บเงินใต้โต๊ะจากเอกชน หรือหากมีจริง เอกชนที่รายงานต่อนายกรัฐมนตรีก็ต้องมีหลักฐานมาแสดง
เพราะโครงการที่คมนาคมรับผิดชอบ โดยเฉพาะกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ส่วนใหญ่เป็นโครงการก่อสร้างกว่า 2,000 โครงการ
รวมเป็นเงิน 4.5 หมื่นล้านบาท กระจายไปยังผู้รับเหมาหลายเจ้า ไม่ได้เจาะจงที่รายใดรายเดียว
“มีหลักฐานก็ให้นำมาแสดง เพราะไม่อยากให้พูดอ้างขึ้นมาลอยๆ เพราะทำให้หลายคนเสียหาย” นายสุพจน์ กล่าว
สำหรับโครงการที่ถูกจับตามองมากที่สุด คือ โครงการถนนไร้ฝุ่น ที่พรรคภูมิใจไทยภูมิใจนำเสนอนั้น
ก่อนหน้านี้ มีข่าววงในออกมาว่า ได้มีการแบ่งเค้กให้สส.แต่ละจังหวัด แต่ละพรรคไปคนละเส้นสองเส้น
เรียกได้ว่าแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ เพราะเรื่องผลประโยชน์ไม่มีฝักฝ่าย มีแต่พรรค พวก และเพื่อน
โดย นายวิชาญ คุณากูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท ยืนยันว่า การเก็บค่าหัวคิวไม่น่าจะเกิดขึ้นกับโครงการถนนไร้ฝุ่น เพราะเป็นโครงการขนาดเล็ก วงเงินก่อสร้างแต่ละโครงการไม่มาก อยู่ที่ 2030 ล้านบาท
อีกทั้งกำไรแต่ละโครงการก็ไม่มาก คือโครงการที่ไม่เกิน 20 ล้านบาท จะอยู่ที่ 12.5% เกิน 100 ล้านบาท จะอยู่ที่ 9% เท่านั้น
หมายความว่าผู้รับเหมาก็กำไรน้อยอยู่แล้ว จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าหัวคิวให้ข้าราชการและนักการเมือง
ปัญหาก็คือถ้าไม่ใช่เรื่องจริง แล้วคนอย่างประธานส.อ.ท.จะกล้าออกมาชนฉะกับรัฐบาลชุดนี้หรือไม่??
มันเสียเครดิต...
เคาะตัวเลขกันให้เห็นจะจะ คือโครงการไทยเข้มแข็ง วงเงินเต็มๆ 1.43 ล้านล้านบาท
หัวคิว 10% เท่ากับเงินตกหล่นระหว่างทาง 1.43 แสนล้านบาท
หัวคิว 20% เงินเข้ากระเป๋าเหลือบไรทางการเมือง 2.86 แสนล้านบาท
ถือเป็นการกระจายรายได้ที่ค่อนข้างกระจุกตัว และจะเขย่าโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาลชุดนี้ไปอีกนาน
ถ้าประชาธิปัตย์คุมเกมไม่ดีมีสิทธิไป!!!
*****************************************
พลิกคำวินิจฉัย"หนึ่งเดียว"ในองค์คณะคดียึดทรัพย์"ม.ล.ฤทธิเทพ" ตอบโจทย์ ทำไม"ทักษิณ"มิได้ร่ำรวยผิดปกติ
Wed, 03/17/2010 - 20:40 | by เฒ่ากร่าง | Report topic
หมายเหตุ"มติชนออนไลน์"- เป็นส่วนหนึ่งของคำวินิจฉัยส่วนตนของ ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล รองประธานศาลฎีกาซึ่งเป็นผู้พพิพากษาเพียงคนเดียวในองค์คณะจากทั้งหมด 9 คนที่เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือชินคอร์ปทั้ง 5 กรณี ในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณกว่า 46,000 ล้านบาท
แม้ว่า ม.ล.ฤทธิเทพ จะเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ณ ป้อมเพชร อดีต ภรรยาซุกหุ้นหรือคงไว้ซึ่งหุ้นชินคอร์ปจำนวน 1,419 ล้านหุ้นก็ตาม
ต่อไปนี้เป็นเหตุผลในคำวินิจฉัยส่วนตนที่เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณมิได้ร่ำรวยผิดปกติ
--------------------------------------------------------
ปัญหาประการต่อไปมีว่า เงินที่ได้จากการขายหุ้นและเงินปันผลตามคำร้องเป็นทรัพย์ที่ต้องตกเป็นของแผ่นดิน หรือไม่
เห็นว่า ข้อเท็จจริงซึ่งฟังเป็นที่ยุติแล้วว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้ใช้อำนาจรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของบริษัทชินคอร์ป ทั้งห้ากรณี ดังได้วินิจฉัยข้างต้นแล้ว นับเป็นข้อสำคัญประการหนึ่งที่บ่งชี้ว่า หุ้นบริษัทชินคอร์ปไม่ได้มีค่าสูงเพิ่มขึ้นขึ้นผิดปกติ แต่ก็ยังม่ข้อสนับสนุนอื่นอีกที่สอดคล้องกันคือ นอกจากทางไต่สวนจะไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้สั่งการหรือมอบนโยบายต่างๆ ทั้งห้ากรณีแล้ว
ยังเห็นว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับเหตุคดีนี้ ย่อมเป็นผู้มีอำนาจวางแนวนโยบายในการบริหารราชการในแต่ละกระทรวงที่ตนต้องรับผิดชอบโดยอิสระ
การจะฟังว่า เมื่อรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ดังกล่าว ทำงานอยู่ในรัฐบาลเดียวกับผู้ถูกกล่าวหา หรือสังกัดพรรคการเมืองเดียวกันกับผู้ถูกกล่าวหา ย่อมมีผลให้รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ เหล่านั้นต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ถูกกล่าวหาทุกกรณีไป แม้กระทั่งคำสั่งที่อาจมีผลเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ถูกกล่าวหา ทั้งที่เป็นไปได้ว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐภายใต้การบังคับบัญชาหรือกำกับดูแลของผู้ถูกกล่าวหา อาจกระทำการต่างๆ เองเพื่อให้เป็นที่พอใจแก่ผู้ถูกกล่าวหาก็ได้นั้น ย่อมเป็นการรับฟังพยานหลักฐานไปในทางที่เป็นโทษแก่ผู้ถูกกล่าวหา ทั้งๆ ที่ยังมีมูลเหตุยังไม่ชัดแจ้งพอ และเป็นเหตุผลที่ถูกโต้แย้งได้อีกด้วย
นอกจากนี้ยังเห็นว่า หุ้นบริษัทชินคอร์ปมีราคาสูงขึ้นในระหว่างที่ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ถือเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะราคาหุ้นจะสูงหรือต่ำในแต่ละช่วงเวลาย่อมต้องอาศัยปัจจัยหลายประการที่เกิดจากทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ นอกเหนือจากการดำเนินการ 5 กรณีตามคำร้องด้วยเหตุผลดังนี้
ประการแรก บริษัทชินคอร์ปเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจด้วยการเป็นผู้ลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) มีบริษัทในเครือหลายบริษัทประกอบธุรกิจสัมปทานจากรัฐ ย่อมทำให้นักลงทุนเล็งเห็นได้ว่า แนวโน้มที่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐ และทำให้บริษัทชินคอร์ปเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่มีคู่แข่งทางการค้าน้อยหรือแทบไม่มี
นอกจากนี้ยังเป็นบริษัทที่ลงทุนประกอบกิจการด้วยจำนวนเงินมาก อันสามารถทำผลประโยชน์ตอบแทนได้ในปริมาณมากเช่นกัน สิ่งสำคัญเหล่านี้ส่งผลให้บริษัทชินคอร์ปและบริษัทในเคครือมีความมั่นคงสูง ได้เปรียบบริษัทอื่นๆ สามารถเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนได้มาก จึงเป็นที่ต้องการของนักลงทุนทั้งภายในและภายนอกประเทศยิ่งกว่าบริษัทอื่น
ประการที่ 2 เมื่อพิจารณาถึงดุลอำนาจทางการเงินของผู้ซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ป คือกลุ่มเทมาเส็ก ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่า เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ของโลกรายหนึ่งที่มีกำลังซื้อสูง กับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตำแหน่งดาวเทียมของประเทศไทยที่ได้รับอนุมัติจาก ITU เป็นตำแหน่งที่มีศักยภาพสูงมาก สามารถครอบคลุมพื้นที่ให้บริการ (Foot Print) แผ่ไพศาลไปได้กว้างไกลมากกว่าตำแหน่งอื่นที่หลายประเทศได้รับอนุมัติ
ทั้งตามทางไต่สวนยังได้ความว่า ดาวเทียม iPSTAR เป็นดาวเทียมที่ใหญ่และดีที่สุดในโลก เป็นดาวเทียมดวงแรกของโลกที่มีหลายช่องสัญญาณ ทำงานได้หลากหลายกว่า ติดต่อได้ 14 ประเทศ มีสถานีภาคพื้นดิน 18 แห่ง มีประสิทธิภาพสูง คุณสมบัติทางเทคนิคดีกว่าดาวเทียมทั่วไป สร้างขึ้นเพื่อรองรับความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และยังทำให้ประชาชนสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ในราคาที่ถูกลงย่อมเป็นที่ปรารถนาอย่างยิ่งของประเทศที่ต้องการศักยภาพทางยุทธศาสตร์ และความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีกิจการดาวเทียม เพื่อชิงความได้เปรียบทางด้านธุรกิจสื่อสารทางดาวเทียม หรือแม้แต่ในเรื่องความมั่นคงของประเทศของตน
หุ้นบริษัทชินคอร์ปจึงเปรียบได้กับเพชรเม็ดงามที่ผุ้ครอบครองสามารถต่อรองราคาซื้อขายได้สูง อันเป็นสิ่งปกติในกลไกทางธุรกิจและการซื้อขายหลักทรัพย์
ประการที่ 3 บริษัทในเครือบริษัทชินคอร์ปหลายบริษัทลงทุนว่าจ้างบุคลากรที่ความรู้เฉพาะด้านกิจการของบริษัทหรอืผู้ที่มีประสบการณ์สูงในการทำงานเกี่ยวกับกิจการของบริษัทเป็นผู้บริหาร ย่อมทำให้มีความได้เปรียบทางด้านแผนธุรกิจการค้าและมีผลประกอบการที่ดี รวมทั้งเกิดความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ได้มากยิ่งกว่าผู้ประกอบธุรกิจอื่นอีกหลายรายที่ไม่ได้ลงทุนในด้านนี้
และประการสุดท้าย เมื่อเปรียบเทียมดัชนีราคาหุ้นบริษัทชินคอร์ปกับหุ้นของบริษัทอื่นๆ ที่ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ และเป็นที่นิยมของผู้ลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วงเวลาเดียวกันก่อนมีการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้กลุ่มเทมาเส็กแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่า เป็นราคาขึ้นลงที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงฟังไม่ได้ว่า หุ้นบริษัทชินคอร์ปจำนวน 1,419,490,150 หุ้น หรือเงินที่ได้จากการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป 69,722,880,923.05 บาท รวมทั้งเงินปันผลอีก 6,898,722,129 บาท เป็นทรัพย์สินที่ผู้ถูกกล่าวหาได้มาเนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม ทั้งไม่เป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นมากผิดปกติหรือได้มาโดยไม่สมควรสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่อันถือว่า เป็นการร่ำรวยผิดปกติ ตามคำจำกัดความแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 ที่จะต้องสั่งให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 35 วรรคสอง
สำหรับคำร้องคัดค้านของผู้ถูกกล่าวหา และของผู้คัดค้านทั้งยี่สิบสอง ซึ่งขอให้ศาลมีเพิกถอนคำสั่ง คตส. ที่อายัดเงินและทรัพย์สินนั้น เมื่อปรากฏว่า คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส. )เพิกถอยคำสั่งอายัดเงินของผู้คัดค้านที่ 7 ที่ 8 ที่ 14 ที่ 17 และที่ 19 ต้องตามความประสงค์ของผู้คัดค้านเหล่านี้และมีผลให้เงินของผู้คัดค้านเหล่านี้หลุดพ้นจากการถูกอายัดแล้ว จึงไม่มีเหตุต้องขอให้สาลมีคำสั่งเช่นว่านั้นซ้ำอีก
ส่วนเงินและทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1-6 ที่ 9-13 ที่ 15 ที่ 16 ที่ 18 และที่ 20-22 ซึ่ง คตส. ยังคงมีคำสั่งอายัดไว้นั้น เมื่อไม่อาจสั่งให้ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ตกเป็นของแผ่นดินแล้ว ก็ไม่มีเหตุที่จะอายัดอีกต่อไป
จึงมีความเห็นว่า ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง และเพิกถอนคำสั่ง คตส.ที่อายัดเงินรวมทั้งทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหากับของผู้คัดค้านที่ 1-6 ที่ 9-13 ที่ 15 ที่ 16 ที่ 18 และที่ 20-22 ยกคำร้องคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 7 ที่ 8 ที่ 14 ที่ 17 และที่ 19
โฆษก พท. แปลกใจโครงการชุมชนพอเพียง หลังลงพื้นที่ชัยนาท พบทุจริตกว่า 40 ชุมชน ขออะไรก็ได้เครื่องกรองน้ำ 2.5แสน หมด จี้ดีเอสไอ ลงดาบ ชี้หลังเปลี่ยนอธิบดีเกียร์ว่าง อ้างเพราะรองนายกฯ-รมต.-นายกฯคนปชป.
เมื่อ วันที่ 11 ต.ค. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยยังติดตามการทุจริตโครงการชุมชนพอเพียงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดชาวจ.ชัยนาท ร้องเรียนว่าไม่ได้รับอนุมัติโครงการตามที่ขอ คณะทำงานของพรรคเพื่อไทยจึงได้ลงพื้นที่พบว่าโครงการชุมชนพอเพียงที่จ .ชัยนาทมีการ ทุจริตถึง 40 ชุมชน รวมวงเงิน 8.9 ล้านบาท เช่น ชุมชนบ้านเทพรัตน์ ต.ดงคอน อ.สรรคบุรี ได้งบ 3 แสนบาท ขอโรงสีข้าวเปลือก แต่ได้เครื่องกรองน้ำดื่มราคา 2.5 แสนบาท ชุมชนบ้านดงเทพรัตน์ ได้งบ 3.5 แสนบาท ขอเลี้ยงปลาราคา 2.8 แสนบาท และโรงงานผลิตน้ำพริกราคา 7 หมื่นบาท แต่กลับอนุมัติเครื่องกรองน้ำดื่มราคา 2.5 แสนบาท สร้างความเสียหายให้กับประชาชนและประเทศชาติ เหมือนเชื้อโรคทุจริตร้ายที่ไม่มีวันตราย โครงการชุมชนพอเพียงมีการทุจริตกระจายทั่วประเทศ และได้ยื่นให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม ตรวจสอบ แต่หลังจากเปลี่ยนอธิบดีกรมดีเอสไอ จากพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็น นายธาริต เพ็งดิษฐ์ คดีไม่คืบหน้า
นายพร้อมพงศ์ กล่าวต่อว่า ขอตั้งข้อสังเกตว่าทุจริตโครงการชุมชนพอเพียง ไม่คืบหน้า เพราะนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ รับผิดชอบโครงการนี้ เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมก็เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จึงขอให้นายกรัฐมนตรี และดีเอสไอเร่งดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้
------------------------------------------
โกงข้าวโพดฉาว
แฉ โครงการรับจำนำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของรัฐบาลส่อทุจริต อีกแล้ว หลังประธานคณะกรรมการกลางกลุ่มเกษตรแห่งประเทศไทย รับมอบอำนาจจากองค์การคลังสินค้า เข้าตรวจสอบโกดัง 5 แห่งในจังหวัดตาก พบข้าวโพดที่รับจำนำไว้สูญหายไปอื้อ บางโกดังมีทั้งสต๊อกลม ยัดไส้กระสอบด้วยซังข้าวโพด ดิน และทราย เพื่อเพิ่มน้ำหนัก แถมบางแห่งยังสมรู้ร่วมคิดกับธนาคาร ทำเครดิตเอาเงินออกมาใช้อย่างฟุ่มเฟือย ทำเป็นขบวนการใหญ่ฉ้อโกงกันมโหฬาร เตรียมแจ้งความดำเนินคดีเจ้าของโกดังขี้โกงแล้ว
พบโครงการรับจำนำ ข้าวโพดของรัฐบาลฉาวโฉ่ ส่อมีการทุจริตกันอย่างมโหฬารครั้งนี้ เปิดเผยเมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 4 ต.ค. นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ประธานคณะกรรมการกลาง กลุ่มเกษตรแห่งประเทศไทย ทำหน้าที่ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบวิธีปฏิบัติงานตามโครงการ แทรกแซงราคาสินค้าเกษตรในการรับจำนำสินค้าเกษตร ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) กระทรวงพาณิชย์ และคณะได้เดินทางมายังพื้นที่ อ.แม่สอด อ.พบพระ และ อ.แม่ระมาด จ.ตาก เพื่อตรวจสอบโกดังเก็บข้าวโพดตามโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2551/2552 จำนวน 17 แห่ง ที่ทำสัญญารับฝากข้าวโพด เพื่อตรวจดูว่ามีข้าวโพดในโกดังเก็บสินค้าตามสัญญาหรือไม่
ภายหลัง การตรวจสอบ นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม เปิดเผยว่า ได้รับการร้องเรียนจากบุคคลหลายฝ่ายเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวโพดเลี้ยง สัตว์ ปี 2551/2552 ว่า มีการจำนำสต๊อกลมบ้าง ไม่มีสินค้าบ้าง มีการแอบนำข้าวโพดไปขายก่อนบ้าง จำนวนหลายแสนตัน โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.ตาก จึงนำคณะเดินทางเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริง จากการตรวจสอบโกดังเก็บข้าวโพด 5 แห่ง ในจำนวน 17 แห่ง ปรากฏว่าพบมีการส่อทุจริตทั้ง 5 แห่ง คือที่โกดัง หจก.ชัยสมบูรณ์ธุรกิจ เลขที่ 498 หมู่ 1 ต.พบพระ อ.พบพระ ซึ่งโครงการรับจำนำได้ฝากข้าวโพดไว้จำนวน 10,034 ตัน ผลการตรวจสอบพบว่ามีการปลอมปนนำซังข้าวโพด ทราย และดิน ยัดใส่ไว้ในกระสอบข้าวโพดจำนวนมาก และจากการประเมินเบื้องต้นคาดว่า มีข้าวโพดหายจากสต๊อกราว 2,500 ตัน จึงเข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.พบพระ และสั่งอายัดข้าวโพดทั้งหมดไว้ตรวจสอบ เพื่อประเมินความเสียหายแล้วแจ้งความเพิ่มเติม
นายอุบลศักดิ์เปิด เผยต่อไปว่า ส่วนโกดังอีก 4 แห่ง พบว่าไม่มีข้าวโพดครบตามจำนวนที่รับจำนำไว้ ขาด 3 พันตันบ้าง 4 พันตันบ้าง บางแห่งขาดไปถึง 7 พันตัน แสดงให้เห็นว่ามีการฉ้อโกงกันเป็นขบวนการ เพราะในหลักการรับจำนำ โกดังที่รับฝากจะต้องดูแลข้าวโพดให้สมบูรณ์ จำนวนสินค้าต้องอยู่ครบถ้วน การตรวจสอบครั้งนี้ยังพบว่า นอกจากข้าวโพดที่ฝากไว้ในโกดังจะปลอมปน หรือหายไปส่วนหนึ่งแล้ว ยังพบว่าเจ้าของโกดังยังนำข้าวโพดที่รับฝากไปทำเครดิตกับธนาคารเพื่อนำเงิน ออกมาใช้กันอย่างฟุ่มเฟือย สิ่งเหล่านี้ทำกันเป็นขบวนการ ธนาคารจะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ แสดงว่าธนาคารมีส่วนร่วมทุจริตด้วย ทรัพย์สินที่อยู่ในโกดังเป็นสิทธิ์ขององค์การคลังสินค้าอยู่ก่อนแล้ว รายอื่นจะมาเป็นเจ้าของไม่ได้
"การตรวจสอบในพื้นที่ จ.ตาก ครั้งนี้ จะต้องตรวจสอบโกดังในโครงการทั้ง 17 แห่ง โดยจะใช้วิธีรื้อกองข้าวโพดเพื่อค้นหาสิ่งปลอมปน และชั่งน้ำหนักตรวจสอบ จึงจะประเมินความเสียหาย ก่อนจะแจ้งความเพิ่มเติมตามกรณีไป หากข้าวโพดไม่ครบก็แจ้งข้อหาฉ้อโกง ถ้าเสียหายก็ดำเนินการฟ้องแพ่ง ซึ่งในวันที่ 5 ต.ค.นี้ ตนจะแจ้งให้ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ร่วมตรวจสอบโกดังที่รับฝากข้าวโพดทุกแห่งเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และจะดำเนินการตรวจสอบลักษณะนี้ทั่วประเทศ เพื่อขจัดขบวนการโกงชาติบ้านเมือง" ประธานคณะกรรมการกลางฯ กล่าว
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ จ.ตาก มีโกดังที่ร่วมรับฝากข้าวโพด คือ อ.แม่สอด หจก.พืชผลสุวรรณ, หจก.อเนกธัญกิจ, หจก.ชัยอนันต์การเกษตร, หจก.สิงห์รุ่งเรืองพืชผลการเกษตร, หจก.แพสีห์แดง, หจก.เลิศรุ่งเรืองการเกษตร, สหกรณ์นิคมแม่สอด จำกัด, ร้านพะวอพืชผลและไซโล ที่ อ.แม่ระมาด สหกรณ์นิคมแม่ระมาด จำกัด, หจก.ปฎิพงษ์การเกษตร, บริษัทเพชรจินดาการเกษตร (พืชผล) จำกัด ที่ อ.วังเจ้า หจก.พรเทพอะโกร, หจก.จินดาการเกษตรและไซโล ที่ อ.พบพระ ร้าน พี.พี.ธุรกิจการเกษตร, หจก.ชัยสมบูรณ์ธุรกิจ และ หจก.ชัยอนันต์การเกษตร รวมทุกโกดังมีข้าวโพดของโครงการรับฝากอยู่จำนวนนับแสนตัน
-------------------------------------------
ปูดอีกพิรุธซื้อรถจักร-อะไหล่รถไฟ1.2พันล้าน
พท.ตี กินรายวัน ปูดอีกประมูลซื้อรถจักร-อะไหล่รถไฟ 1.2 พันล้าน พิรุธอื้อ ส่อทำผิดระเบียบจัดซื้อจัดจ้าง สงสัยสมรู้ร่วมคิด โยงใยเครือญาติบุคคลในรัฐบาล ปชป.อุ้ม"วิทยา"ชี้จี้ออกไม่เป็นธรรม ควรให้พิสูจน์ความจริงก่อน อ้าง 5 ชื่อที่แพทย์ชนบทแจ้งนายกฯไม่มี รมว.สธ. ขณะที่ รมช.ศธ.สั่ง สอศ.แจงปมยัดครุภัณฑ์วิทยาลัยอาชีวะ
@ พท.ปูดพิรุธประมูลร.ฟ.ท."1.2พันล."
น.อ.อนุ ดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. คณะทำงานสำนักงานปราบโกง (สปก.401) พรรคเพื่อไทย (พท.) แถลงเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ณ ที่ทำการ พท.ว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ออกประกาศ ร.ฟ.ท. งานการจัดซื้อรถจักรดีเซลไฟฟ้าจำนวน 7 คัน พร้อมเครื่องอะไหล่มูลค่า 1,200 ล้านบาท ซึ่ง พท.เห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวมีข้อพิรุธความน่าสงสัยในกระบวนการและขั้น ตอนการออกร่างประกาศเชิญชวนเสนอราคา (ทีโออาร์) หลายประการดังนี้ 1.ทีโออาร์ที่ออกในประกาศเว็บไซต์ของ ร.ฟ.ท.ระหว่างวันที่ 2-12 ตุลาคม ความยาว 98 หน้า เพื่อให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นนั้น ในข้อ 4.9 ได้ระบุให้บริษัทที่สนใจเข้าร่วมประกวดราคา ยื่นเอกสารการประกวดราคาในวันที่ 13 ตุลาคม เวลา 10.00-11.00 น. ซึ่งในทางปฏิบัติเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีบริษัทใดมายื่นเอกสารประกวดราคาได้ ทัน เพราะหลังจากสิ้นสุดการแสดง ความคิดเห็นในวันที่ 12 ตุลาคมแล้ว ร.ฟ.ท.จะต้องนำข้อมูลทั้งหมด ในคณะกรรมการร่างประกวดราคาพิจารณาทบทวนแล้วสรุปผลเพื่อประกาศเป็นทีโออาร์ อย่างเป็นทางการ โดยมีลายเซ็นของผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. หรือประธานคณะกรรมการประกวดราคาลงนามกำกับ จึงจะถือได้ว่าทีโออาร์ฉบับนั้นสมบูรณ์ หมายความว่าถ้าวันที่ 13 ตุลาคม เวลา 10.00-11.00 น. เป็นเวลาที่กำหนดให้มีการยื่นซองประกวดราคา คณะทำงานพิจารณาร่างทีโออาร์ จะมีเวลาพิจารณาร่างดังกล่าวเพียงแค่ไม่ถึงครึ่งวัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ
@ ส่อทำขัดระเบียบจัดซื้อจัดจ้าง
2.ร่าง เอกสารประกวดราคาได้อ้างอิงประกาศฝ่ายการพัสดุ ร.ฟ.ท. ซึ่งในช่วงที่จะลงวันที่กลับเว้นไว้ ไม่ลงวันที่กำกับ แสดงให้เห็นว่าเอกสารฉบับนี้ยังไม่สมบูรณ์ รวมถึงหลักประกันตามข้อ 7 ในทีโออาร์ ก็ยังไม่ได้กำหนดระยะเวลาของการค้ำประกันซอง เพียงแต่ให้คำจำกัดความว่า ต้องค้ำประกันในระยะเวลา 180 วันเท่านั้น แต่ร่างทีโออาร์ฉบับนี้กลับไม่ได้กำหนดวันยื่นซองทางเทคนิคว่าเป็นวันที่ เท่าไหร่ ดังนั้น บริษัทที่จะเข้ามาร่วม จะไม่มีทางที่จะวางแผนในการยื่นทีโออาร์ได้เลย ซึ่งเป็นเรื่องตลกมาก 3.ระเบียบว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างของ ร.ฟ.ท. กำหนดให้การประกาศทีโออาร์ จะต้องประกาศอย่างเป็นทางการไม่น้อยกว่า 7 วันทำการ ดังนั้น การกำหนดให้ยื่นซองประกวดราคาในวันที่ 13 ตุลาคม จึงน่าจะเป็นการขัดต่อระเบียบว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างของ ร.ฟ.ท. และ 4.การยื่นซองประกวดราคา การเตรียมเอกสารในการยื่นซอง ตลอดจนการหาหลักประกันเพื่อให้ธนาคารออกหนังสือรับรองการค้ำประกัน จำนวน 50.2 ล้านบาท ไม่น่าเชื่อว่าจะมีบริษัทใดที่จะเตรียมเอกสารได้ทัน นอกจากมีหูทิพย์ ตาทิพย์ มีญาณวิเศษ ที่จะทราบล่วงหน้าว่าคณะกรรมการประกวดราคาและผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. จะพิจารณาหรือกำหนดให้ทีโออาร์ออกมาในลักษณะใด หรือมีการเปลี่ยนแปลงจากที่ร่างไว้เดิมหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องคุณสมบัติผู้ร่วมประกวดราคา
@ สงสัยโยงใยญาติคนในรัฐบาล
"พรรค เพื่อไทยจึงตั้งข้อสังเกตว่า การดำเนินการในครั้งนี้ อาจมีการส่อไปในทางสมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มบริษัทใดบริษัทหนึ่งหรือไม่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าบริษัทดังกล่าวจะมีความสัมพันธ์กับบุคคลในรัฐบาลในทาง เครือญาติ เพราะเห็นได้ชัดว่ามีการเร่งรัด ลุกลี้ลุกลนส่อไปในทางฮั้วประมูลหรือไม่ จึงขอเรียกร้องให้นายกฯตรวจสอบการดำเนินการของกระทรวงคมนาคม เพราะเป็นกระทรวงที่ต้องบริหารงบฯจากไทยเข้มแข็งซึ่งมาจากภาษีประชาชนจำนวน มาก หากใช้งบฯไม่เป็นไปตามวัตถุ ประสงค์ งบฯนี้อาจทำให้ภูมิใจไม่ไหว เพราะไทยไม่เข้มแข็งอย่างแน่นอน" น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว
---------------------------------------------
ครุภัณฑ์ฉาว ศธ.
@ รมช.ศธ.สั่งสอศ.แจงปมครุภัณฑ์
นาง สาวนริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มอบหมายให้ผู้บริหาร สอศ.ชี้แจงข้อมูล กรณีผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาหลายแห่ง ออกมาเปิดโปงผู้บริหาร สอศ.ทำหนังสือแจ้งไปยังวิทยาลัย ว่าได้จัดครุภัณฑ์ตามแผนพัฒนาปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2553 ที่มีวงเงิน จัดสรรให้วิทยาลัย 401 แห่งทั่วประเทศ 4,625 ล้านบาท ให้กับวิทยาลัยอาชีวะต่างๆ ใช้ในการเรียนการสอน ทั้งที่วิทยาลัยไม่ทราบเรื่องมาก่อน และไม่ได้ทำคำเสนอขอแต่อย่างใด นอกจากนี้ครุภัณฑ์หลายรายการยังแพงกว่าราคาตลาดถึง 2-3 เท่าตัวด้วย
นาง สาวนริศรากล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดเรื่องนี้ แต่ได้มอบให้ผู้บริหาร สอศ.ชี้แจงข้อมูลให้ได้รับทราบแล้ว พร้อมทั้งจะให้ชี้แจงในที่ประชุมผู้บริหารองค์กรหลักที่มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการ ศธ.เป็นประธานประชุมในวันที่ 12 ตุลาคม ด้วยว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร
@ ผอ.แฉออกสเปคไม่ตรงที่ต้องการ
ผู้ อำนวยการวิทยาลัยแห่งหนึ่งใน จ.สุพรรณ บุรี กล่าวว่า คุณลักษณะเฉพาะครุภัณฑ์หรือสเปคที่ สอศ.กำหนดมาให้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างนั้น ไม่ตรงตามความต้องการทั้งหมด อย่างในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา วิทยาลัยได้รับงบประมาณเกือบ 10 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อครุภัณฑ์ประเภทหนึ่ง แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ทำให้กลุ่มวิทยาลัยหลายแห่ง เช่น วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี (วษท.) รวมตัวกันกำหนดคุณ ลักษณะเฉพาะครุภัณฑ์ออกมาอีกชุดหนึ่ง เพื่อเสนอให้ สอศ.พิจารณาเห็นชอบให้เป็นทางเลือกหนึ่ง ทั้งนี้ ปัญหาดังกล่าวเคยเสนอในช่วงที่ นายประเสริฐ แก้วเพ็ชร เป็นรองเลขาธิการ กอศ.แล้วและนายประเสริฐได้ให้กลุ่มวิทยาลัยร่วมทำคุณลักษณะเฉพาะครุภัณฑ์ เสนอมา แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้รับการสานต่อเรื่องนี้หรือไม่ เนื่องจากนายประเสริฐเพิ่งเกษียณอายุราชการไป
"สอศ.ได้จัดส่ง คุณลักษณะเฉพาะครุภัณฑ์มาให้พร้อมได้กำหนดให้ดำเนินการจัดซื้อให้เสร็จภายใน วันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งผมยังไม่ได้ดำเนินการอะไร เพราะอยากจะรอคุณลักษณะเฉพาะครุภัณฑ์อีกชุดและอยากให้แต่ละวิทยาลัยอย่า เพิ่งรีบจัดซื้อควรจะรอก่อน ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นปัญหาเดิมซื้อมาแล้วไม่ตรงตามความต้องการของอาจารย์ผู้ สอน" ผอ.วิทยาลัยคนเดิมกล่าว
------------------------------------------------
ปลอมปนข้าวแจกให้เกษตรกร
@ พท.จี้รมว.เกษตรฯหามือปลอมข้าว
ส่วน เรื่องการแจกพันธุ์ข้าวหอมมะลิให้กับเกษตรกร จ.ยโสธร ที่อาจมีการปลอมปนนั้น นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พท.แถลงว่า ที่นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงว่าการดำเนินการเป็นการใช้งบประมาณ ประจำปี 2552 จากงบฯแปรญัตติ ซึ่งจังหวัดยโสธร โดยผู้ว่าราชการจังหวัดได้ลงนามบันทึกข้อตกลงการซื้อขายเมล็ดพันธุ์ข้าวหอม มะลิ 105 กับอธิบดีกรมการข้าว และกรมการข้าวได้จัดส่งเมล็ดพันธุ์ดังกล่าวให้กับจังหวัดในวันที่ 30 เมษายน ด้วยงบประมาณ 26 ล้านบาท และที่อธิบดีกรมการข้าวออกมายืนยันคุณภาพและมาตรฐานเมล็ดพันธุ์ และเชื่อว่าหากเป็นเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิของกรมการข้าว จะไม่มีการปลอมปนอย่างเด็ดขาดนั้น ขอยืนยันว่าพรรคไม่ได้มีความสงสัยในคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ออกมา จากกรมการข้าวแต่อย่างใด แต่จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในนาข้าวเกษตรจังหวัดยโสธร ที่ได้รับเมล็ดพันธุ์ในโครงการดังกล่าวแล้วนำไปปลูก พบว่า มีต้นข้าวออกรวงก่อนกำหนดถึงร้อยละ 50 ของแปลง ในขณะที่ต้นข้าวที่เหลือยังไม่ตั้งท้องด้วยซ้ำ ถือเป็นความเสียหายของเกษตรกร เพราะไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ หรือหากเก็บเกี่ยวก็ต้องทำลายต้นข้าวที่เหลือไปด้วย นอกจากนี้ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายโดยไม่สามารถขายข้าวได้คุ้มกับต้นทุน 3,000 บาท/ไร่ ดังนั้น แทนที่กระทรวงเกษตรฯและผู้เกี่ยวข้อง จะรีบแย่งกันออกมาตอบโต้ ขอเรียกร้องให้รีบเข้าไปแก้ไขปัญหาเกษตรกรที่เดือดร้อนจะดีกว่า และควรรีบสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดที่นำเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ปลอมปนไปแจกเกษตรกร เพื่อนำมาลงโทษ โดยเร็ว "ขอตั้งข้อสังเกตว่า เมล็ดพันธุ์ข้าว ไม่ได้มาจากการผลิตของกรมการข้าวทั้งหมด เชื่อได้ว่ามีการนำเมล็ดข้าวอื่นมาปลอมปนในภายหลังในการจัดซื้อจัดจ้างหลัง จากนั้นหรือไม่" นายการุณกล่าว
@ ข้องใจปลอมปนของกรมการข้าว
น.อ.อนุ ดิษฐ์ นาครทรรพ กล่าวว่า ยืนยันว่าต้นทางที่มาจากกรมการข้าว ใส่ถุงมามีมาตรฐานที่สูงมาก มีความสมบูรณ์ถึงร้อยละ 99.08 ดังนั้น ปัญหาน่าจะเกิดขึ้นเมื่อมีการ ส่งพันธุ์ข้าวมายังจังหวัด เพราะเป็นที่น่าสังเกตว่าขนาดบรรจุถุงจากกรมการข้าว มีน้ำหนัก 25-50-100 กิโลกรัมต่อ 1 ถุง แต่เมื่อมาถึงจังหวัด มีนโยบายแจกให้เกษตรกรรายละ 30 กิโลกรัม ดังนั้น จึงต้องแกะแล้วตักแบ่ง เชื่อว่าไม่ได้เป็นการปนพันธุ์อื่นเข้ามา แต่เป็นการนำพันธุ์หอมมะลิที่ไม่ได้มาจากกรมการข้าวเข้ามามากกว่า ส่วนที่พรรคชาติไทยพัฒนาเรียกร้องหากตรวจสอบแล้วไม่มีการปลอมปน จะขอโทษหรือไม่ ยืนยันว่าถ้าตรวจสอบแล้วไม่มีปัญหา พท.พร้อมขอโทษพรรคชาติไทยพัฒนา แต่ขอให้มีการลงพื้นที่ตรวจสอบด้วย ต้องบอกได้ว่ามีเมล็ด พันธุ์ข้าวมาปลอมปนในบรรจุภัณฑ์ของกรมการข้าวได้อย่างไร แต่เมื่อปรากฏรายละเอียดขนาดนี้ก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องขอโทษ เพราะชัดเจน ขอให้รีบไปแก้ไข ดีกว่า
นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พท. กล่าวว่า พื้นที่อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งของตนมีปัญหามาก มีการไปแจกเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิ นายก อบต. เชิญโรงสีไปดูเมล็ดพันธุ์ที่แจก โรงสีบอกเลยว่าเป็นการปลอมปน เคยบอกไปยังผู้ว่าฯก็ได้แต่ตั้งกรรม การสอบ แต่ไม่มีความคืบหน้าอะไร
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า ในการแถลงข่าวสมาชิก พท. นำเพาเวอร์พอยท์มาฉายประกอบด้วย เป็นภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวนาข้าวที่อ้างว่าอยู่ในจังหวัดยโสธร โดยมีการเปรียบเทียบระหว่างนาข้าวที่ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ไม่มีการปลอมปน ซึ่งข้าวออกรวงพร้อมกันเต็มผืนนา ขณะที่นาที่มีการปลอมปนเมล็ดพันธุ์จะออกรวงไม่สม่ำเสมอ เป็นด่างๆ อีกทั้งยังออกรวงไม่ครบ 12 รวงใน 1 กออีกด้วย
------------------------------------------
ทุจริตโครงการไทยเข้มแข็ง สธ.
@ กก.สอบสธ.ยันมีอิสระคุ้ยจัดซื้อ
ขณะ ที่ปัญหางบประมาณตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ภายหลังชมรมแพทย์ชนบทแสดงความเห็นว่าคณะกรรมการตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้าง ครุภัณฑ์ทางการแพทย์ อาจไม่กล้าสาวถึงตัวผู้บงการที่แท้จริง เนื่องจากจะมีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการประจำในสังกัด สธ. หลายตำแหน่งในเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ยังระบุว่ามีการให้ผู้ตรวจราชการลงไปเกลี้ยกล่อมให้โรงพยาบาลใน พื้นที่ยืนยันความต้องการครุภัณฑ์ทางการแพทย์ตามบัญชีเดิมนั้น
นพ.เสรี หงษ์หยก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กล่าวว่า คณะกรรมการทุกคน เมื่อได้รับความไว้วางใจก็ตั้งใจทำงานอย่างตรงไปตรงมา ทุกคนมีอิสระในการสอบข้อเท็จจริงบนพื้นฐานของข้อกฎหมาย ระเบียบ ธรรมา ภิบาล และให้ความเป็นธรรมต่อผู้ถูกพาดพิงทุกคน ส่วนที่ นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ให้สัมภาษณ์ว่ามีข้อมูลและรายชื่อที่ได้เปิดเผยต่อนายกรัฐมนตรีไปแล้วเมื่อ ต้นสัปดาห์ ก็ขอให้ส่งหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรไปที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุด นี้ด้วย เพื่อคณะกรรมการจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
@ เร่งผู้ตรวจ18เขตสรุปรายมีปัญหา
นพ.ชู วิทย์ ลิขิตยิ่งวรา หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า หลังจากที่ สธ.ดำเนินการภายใต้หลักประกันสุขภาพ มุ่งให้ประชาชนได้รับบริการถ้วนหน้า สถานบริการสาธารณสุขไม่ได้รับงบประมาณในการจัดซื้อครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้าง มานานหลายปี ขณะนี้นับเป็นโอกาสดีที่ได้รับงบประมาณจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งของ รัฐบาล เพื่อให้สถานบริการสาธารณสุข ได้มีอาคารสถานที่และเครื่องมือเครื่องใช้ในการดูแลสุขภาพประชาชนอย่างทั่ว ถึง สธ.มีความตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง ไม่ต้องการให้เกิดปัญหาการทุจริตในกระทรวง ซึ่งในที่ประชุมสำนักตรวจราชการเมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา มีมติให้ผู้ตรวจราชการ สธ.ทั้ง 18 เขต เข้าไปประชุมนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลทั่วไป/โรงพยาบาลชุมชน สาธารณสุขอำเภอ เร่งสำรวจข้อมูล โดยเฉพาะครุภัณฑ์บางรายการที่มีปัญหา โดยจะรวบรวมข้อมูลจาก 18 เขต ส่งให้ปลัด สธ.ในบ่ายวันที่ 12 ตุลาคมนี้ และยืนยันว่าจะให้สถานบริการสาธารณสุขเป็นผู้เลือกครุภัณฑ์เอง ไม่มีการบังคับแต่อย่างใด
@ "ใต้"ไม่หยุดจริงเปิดซองประมูลแล้ว
แหล่ง ข่าวจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.ยะลา แจ้งว่า แม้ล่าสุด สธ.จะสั่งระงับการจัดซื้อจัดจ้างไว้ชั่วคราวเพื่อรอผลตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่ข้อเท็จจริงขณะนี้ในพื้นที่ จ.ยะลา มีการเปิดซองประมูลด้วยวิธีการพิเศษเพื่อว่าจ้างบริษัทรับเหมาก่อสร้างแฟลต ที่พักพยาบาลเรียบร้อยแล้ว จำนวน 5 แห่ง เหลือเพียงรองบประมาณจากส่วนกลางส่งมอบให้เท่านั้น เรื่องนี้น่าสังเกตว่า การดำเนินการเป็นไปด้วยความเร่งรีบ เหมือนเป็นการตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก และไม่เพียงแต่ในพื้นที่ จ.ยะลา เพราะจากการพูดคุยกับแพทย์ในจังหวัดใกล้เคียงพบว่า ที่ จ.นราธิวาส ก็มีการเปิดซองว่าจ้างบริษัทรับเหมาก่อสร้างแฟลตที่พักแล้วเช่นกัน
--------------------------------------------
แฉอีก ขอไก่ได้เห็ด คุ้ยทุจริตพอเพียง
พรรค เพื่อไทยตามติดลากไส้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง พบไม่ชอบมาพากลแล้ว 31 ชุมชน วงเงินกว่า 6 ล้าน พร้อมคุ้ยทุจริตกระทรวงศึกษาธิการ แฉเปลี่ยนสเปคโครงการที่ทางโรงเรียนได้นำเสนอไป ซึ่งไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ทางโรงเรียนเสนอ...
นายพร้อมพงศ์ นพ ฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มีประชาชน จ.สระบุรี ร้องเรียนพรรคเพื่อไทยว่า มีการทุจริตในโครงการชุมชนพอเพียง คณะทำงานของพรรคเพื่อไทยจึงได้ลงพื้นที่และพบปัญหาในโครงการชุมชนพอเพียงที่ ส่อไปในทางไม่สุจริตที่ อ.แก่งคอย อ.หนองแซง และอ.หนองแค จ.สระบุรี จำนวน 31 ชุมชน วงเงิน 6,360,000 บาท เช่น ชุมชนบ้านบึงไม้ ได้งบประมาณ 250,000 บาทขอเครื่องทำปุ๋ยชีวภาพแต่ได้ประปาชุมชนราคา 150,000 บาท ทำให้งบหายไปทันที 100,000 บาท ที่ชุมชนบ้านหนองจอก ได้งบประมาณ 200,000 บาทขอโรงสีข้าวเครื่องมือเกษตรแต่ได้เครื่องกรองน้ำประปาวงเงิน 150,000 บาท เงินหายไป 50,000 บาท ที่ชุมชนบ้านสองคอนใต้ ได้รับงบประมาณ 200,000 บาท ขอตู้ทำน้ำดื่มแต่ได้เครื่องปั่นไฟราคา 150,000 บาทเงินหายไป 50,000 บาท และที่ชุมชนป่าไผ่ใต้ ได้รับงบประมาณ 200,000 บาท ขอโรงเรือนไก่ไข่แต่กลับได้โรงเรือนเพาะเห็ดราคา 150,000 บาท เงินหายไป 50,000 บาท ทั้งนี้ โครงการชุมชนพอเพียงมีขบวนการจัดการทั้งข้าราชการ นักการเมือง และพ่อค้า โดยให้สินค้าไม่ตรงตามความต้องการของประชาชน โครงการชุมชนพอเพียงเหมือนแผลเน่าที่รัฐบาลไม่ยอมรักษา เป็นโรคร้ายที่รัฐบาลไม่ยอมเยียวยา ทำให้ประชาชนเสียประโยชน์และชุมชนอ่อนแอ
โฆษก พรรคเพื่อไทย กล่าวด้วยว่า มีข้าราชการครูสพฐ 7 จากจ.นครราชสีมายื่นหนังสือร้องเรียนต่อพรรคเพื่อไทยว่าโรงเรียนการศึกษา ขั้นพื้นฐานเขต 7 จ.นครราชสีมากว่า 20 โรงเรียนได้นำเสนอโครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงศึกษาธิการ แต่น่าจะเกิดการทุจริตขึ้น เนื่องจากมีการเปลี่ยนสเปคโครงการที่ทางโรงเรียนได้นำเสนอไป ซึ่งไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ทางโรงเรียนเสนอ โดยเสนอสร้างอาคารเรียนแต่กลับได้ห้องประชุมทั้งๆที่โรงเรียนและประชาคมไม่ ต้องการเพราะไม่มีความจำเป็น รวมทั้งการซื้อวัสดุครุภัณฑ์ที่โรงเรียนเสนอซื้อสินค้าที่โรงเรียนต้องการ เกี่ยวกับการเรียนการสอนที่มีความจำเป็นในท้องถิ่น แต่กลับมีการเปลี่ยนแปลงสินค้าวัสดุครุภัณฑ์ที่มาคาแพงกว่าท้องตลาดและ โรงเรียนไม่ต้องการมาให้แทน ทั้งนี้ในวันจันทร์ที่ 5 ต.ค.พรรคจะส่งคณะทำงานลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอีกครั้ง
“โครงการไทยเข้มแข็งที่ใช้เงินนอกงบประมาณสำหรับกระทรวงศึกษาธิการ น่าจะมี การทุจริตเกิดขึ้นเป็นขบวนการใหญ่เหมือนโครงการชุมชนพอเพียงและโครงการไทย เข้มแข็งที่มีการจัดซื้อครุภัณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข นี่คือการทุจริตเชิงนโยบาย เป็นการปล้นภาษีประชาชนกลางวันแสกๆ นายอภิสิทธิ์ ต้องไปกู้เงินทั้งต้นทั้งดอกมาดำเนินการแต่ขาดการตรวจสอบอย่างเป็นระบบ ปล่อยให้มีการทุจริตในหลายพื้นที่ เหล่านี้คือการบริหารของรัฐบาลระบอบอภิสิทธิ์ชนที่ทำอะไรก็ไม่ผิด”โฆษกพรรค เพื่อไทยกล่าว
------------------------------------------
พท.ปูดนักการเมือง กินหัวคิว ต่อรถเมล์4พันคัน
ระบุ มีฝ่ายการเมืองตกลงพูดคุยกัน โดยได้ค่าดูแลพูดคุยต่อคันเป็นตัวเลขพอสมควร เชื่อรัฐบาลอนุมัติเพื่อเอาใจพรรคภูมิใจไทย ไม่ให้เสียหน้าเพียงเท่านั้น เชื่อโครงการนี้ไม่เกิดขึ้นแน่นอน....
วันนี้(3 ต.ค.)นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. และประธานภาค กทม.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.)มีมติเห็นชอบโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ข้อสังเกตว่า โครงการดังกล่าวคงเกิดยาก ไม่เกิดในรัฐบาลนี้แน่นอน เพราะรายละเอียดในโครงการดังกล่าว กำหนดเงื่อนประเด็นต่างๆ ที่ต้องทำตามข้อตกลงค่อนข้างมาก และยังทำลายระบบของ ขสมก.ไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้ของขสมก.ได้ วันนี้ทางสหภาพแรงงาน ขสมก.เริ่มออกมาเคลื่อนไหว เพราะจะตกงานหรือถูกเออร์รี่รีไทออกไปจากการนำระบบจัดเก็บตั๋วแบบอีทิคเก็ต เข้ามาใช้
ส่วนกรณีการให้บริษัทในประเทศดำเนินการต่อรถนั้น นายวิชาญ กล่าวว่า อยากถามรัฐบาลว่า รถจำนวน 4,000 คัน ต้องใช้เวลาเท่าใด และยังมีข่าวออกมาว่าโรงงานที่ประกอบรถนั้น มีฝ่ายการเมืองไปตกลงพูดคุยกัน โดยได้ค่าดูแลพูดคุยต่อคันเป็นตัวเลขพอสมควร อย่างไรก็ตามโครงการนี้เกิดขึ้นเพียงต้องการปลอบใจ เอาใจพรรคภูมิใจไทยไม่ให้เสียหน้าเท่านั้น และซื้อเวลาให้ความหวังคน กทม.
----------------------------------------
สว.กระตุกรบ. อย่ามูมมาม เหตุกลัวอยู่ไม่นาน
ส.ว.จี้รบ.ทำโปร่งใสใช้เงิน ไทยเข้มแข็ง รองปธ.กมธ.สธ.แนะอย่ารีบทุจริตเพราะกลัวอยู่ไม่นานเรียกร้องปรับปรุงการทำ โครงการ ชี้เฟส 2 ควรยกระดับทางวิชาชีพ ไม่ใช่ซื้อเครื่องมือเพื่อรอบุคคลากร
ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 5 ต.ค.มีการประชุมวุฒิสภา โดยมีนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม ก่อนเข้าสู่วาระการประชุมได้เปิดให้สมาชิกหารือ โดยนายเจริญ ภักดีวานิช ส.ว.พัทลุง ขอหารือกรณีปัญหาความไม่โปร่งใสในการใช้เงินกู้เพื่อดำเนินโครงการไทย เข้มแข็งของรัฐบาล ปัจจุบันปรากฏเป็นข่าวมาก หลายโครงการ หลายกระทรวงส่งกลิ่นทุจริต หากปล่อยให้เกิดอย่างนี้ประเทศย่อยยับ ส.ว.หลายคนจึงรู้สึกเป็นห่วง ขอให้รัฐบาลรีบสะสาง ตัดไฟแต่ต้นลม ต้องสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองใหม่ให้ได้
ด้าน นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ส.ว.สรรหา รองประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา หารือถึงปัญหาการจัดซื้อครุภัณฑ์ในกระทรวงสาธารณสุข โดยการยกระดับสถานีอนามัยตำบาล เป็นโรงพยาบาลตำบล ถือเป็นเรื่องดี แต่การเร่งรัดจากรัฐบาล ประกอบกับการมีงบไทยเข้มแข็งเข้ามาเหมือนต้องการเร่งรัดเพื่อให้มีผลงานออก มาเร็ว ไม่รู้ว่ากลัวจะอยู่ไม่ได้นานหรือไม่ มีการกระจายงบลงไปในสถานีอนามัยตำบล 1,000 แห่ง ในปีนี้ ปีหน้าอีก 1,000 แห่ง และอีก 6 ,000 แห่งที่จะทยอยในปีต่อๆไป รวมถึงการจัดซื้อครุภัณฑ์รวมแล้วใช้งบหลายหมื่นล้านบาท แต่ก็มีปัญหาไม่ตรงกับความต้องการกับพื้นที่ และแพทย์ จึงขอให้รัฐบาลปรับปรุงการทำโครงการ โดยการดำเนินการตามเฟส 2 ควรยกระดับทางวิชาชีพ ไม่ใช่ซื้อเครื่องมือเพื่อรอบุคคลากร
------------------------------------------
เผยบอลลูน380ล.ใช้ดับไฟใต้ ค้างเติ้งที่อู่ตะเภาเปล่าประโยชน์
รายงาน ข่าวจากกองทัพภาค 4 เปิดเผยว่ากองทัพซื้อบอลลูนในราคาลำละ 380 ล้าน เพื่อภารกิจบินลาดตระเวนตรวจสอบถ่ายภาพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นการใช้เงินที่ไม่ก่อประโยชน์ในการแก้ปัญหามากนัก เนื่องจากกองกำลังขบวนการแบ่งแยกดินแดนใช้วิธีการปะปนอยู่กับมวลชน ไม่แต่งเครื่องแบบ ไม่ติดอาวุธ ไม่ที่ค่ายพักในป่า และหลบเข้า-ออก ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งผลสุดท้ายบัลลูนที่ซื้อมาคงทำประโยชน์ต่อการปราบปราม ป้องกัน การก่อเหตุร้ายได้ไม่มากนัก และอาจจะไม่ได้ใช้เลยก็ได้
“บอลลูนที่ สั่งซื้อจากประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกส่งมาเก็บไว้ที่สนามบินอู่ตะเภาแล้ว มีแต่ตัวบอลลูน ส่วนกล้องถ่ายภาพอินฟราเรด 2 ตัว ซึ่งเป็นเขี้ยวเล็บที่สำคัญ ยังส่งเข้ามาไม่ได้ เพราะติดขัดเรื่อง “กฎหมาย” ที่ห้ามส่งออกของอเมริกา ดังนั้นจึงยังหวังไม่ได้ว่าสุดท้าย ประชาชนในพื้นที่จะได้บอลลูนเป็นของเล่นชิ้นใหม่จากกองทัพ”
ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่า กองทัพมีผู้มีความรู้มากมาย แต่เรื่องอย่างนี้คิดไม่้เป็นหรือ ซึ่งก็ไม่น่าเป็นไปได้
หรือจะเป็นอีกข้อพิสูจน์ว่า หน่วยงานราชการทั้งหลาย ต่างหากที่เป็นผู้สูบเลือดสูบเนื้อประชาชน
----------------------------------------
เสาธงต้นละ5แสน-คาดสูญหมื่นล.
นพ.เกรียง ศักดิ์กล่าวอีกว่า มีหลักฐานใบเสร็จชัด เช่น เรื่องการก่อสร้างโรงพยาบาล เช่น ปี 2551 รพ.ภูกระดึงทำหอพักพยาบาล 24 ห้อง ราคากลาง 6.8 ล้านบาท ประมูลได้ 6.5 ล้านบาท แต่ราคากลางตามเอสพี 2 อยู่ที่ 9.5 ล้านบาท ส่วนการจัดซื้อเสาธงให้ รพ.ทั่วประเทศ ความสูง 20 เมตร ราคากลางเอสพี 2 ต้นละ 495,000 บาท ทั้งที่ราคาจริงไม่น่าจะอยู่แค่ 20,000 บาท จากการตรวจสอบราคาสินค้าก่อสร้างครุภัณฑ์ชนิดอื่นๆ น่าจะเพิ่มสูงขึ้นเกินความเป็นจริงไม่ต่ำ 30% คิดเป็นเงินกว่าหมื่นล้านบาท
"ผม เชื่อว่ามีคนบงการอยู่เบื้องหลัง จนทำให้บริษัทเหล่านี้ย่ามใจกล้าข่มขู่โรงพยาบาลที่จัดซื้อ สิ่งที่เกิดขึ้นน่าจะมีปัญหาว่าเงินจะเข้ากระเป๋าใคร โดยเฉพาะเครื่องตรวจสารชีวะเคมีในเลือดเงิน น่าจะเข้ากระเป๋าใครบางคนเกือบ 100% เพราะบริษัทต้องลงทุนฟรีเพื่อจะขายน้ำยาอยู่แล้ว" นพ.เกรียงศักดิ์กล่าว
นพ.เกรียงศักดิ์กล่าวว่า สำหรับเครื่องช่วยหายใจและเครื่องรมยาสลบมีราคากลางที่สูงเกินความจริงและ สเปคที่สูงเกินไป ไม่ตรงกับที่พื้นที่ร้องขอ มีการจัดสรรเครื่องมือที่ราคา 1.5 ล้านบาทเท่ากันหมดโดยไปเพิ่มออพชั่นบางอย่างที่ไม่มีความจำเป็น และกำหนดสเปคเพื่อให้เข้ากับบริษัทผู้จำหน่ายบางแห่ง เช่น รพ.ใน จ.สกลนคร เสนอขอในราคา 7.5 แสนบาท 6 เครื่อง แต่กลับจัดสรรให้เพียง 3 เครื่องในราคา 1.5 ล้านบาท ทำให้ขาดโอกาสในการได้เครื่องมือที่ตรงกับความต้องการของพื้นที่ และความจริงแล้วราคาน่าจะไม่เกิน 1.2 ล้านบาท เรื่องเครื่องมือทางการแพทย์กำลังมีผู้ไม่หวังดีพยายามดูดเงินภาษีประเทศ ชาติอาจไม่น้อยกว่าหมื่นล้านบาทเช่นกัน ทั้ง 3 กรณีคือเชิงนโยบาย การเพิ่มราคากลางและเพิ่มราคาเครื่องมือแพทย์น่าจะทบทวนและปรับปรุงได้ไม่ น้อยกว่า 3 หมื่นล้านบาท
-------------------------------------------
ฉาวไม่เลิกชุมชนพอเพียง
บุรีรัมย์ – บุรีรัมย์ ฉาวอีก! กรรมการกองทุนชุมชนพอเพียง พร้อมชาวบ้านสมาชิก บุกโรงพักแจ้งความกล่าวหาประธานกองทุน รวมหัวบริษัททุจริตโครงการเลี้ยงไก่พันธุ์ไข่ไม่เป็นไปตามจุดประสงค์โครงการ เผย นำไก่พันธุ์ไข่แก่เสื่อมสภาพพิการ และหัวอาหารปลอมผสมแกลบ เป็นเงินร่วม 2.5 แสน มาแจกจ่ายให้ชาวบ้านโดยไม่ผ่านการตรวจรับของกรรมการ
ช่วง บ่ายวันนี้ (1 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.00 น.นายปรัชญา อยู่สาโค อายุ 53 ปี รองประธานและกรรมการกองทุนชุมชนพอเพียงบ้านคอก:-) ม.7 ต.นางรอง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ พร้อมชาวบ้านที่เป็นสมาชิกร่วม 10 คน ได้นำหัวอาหารไก่ปลอมผสมรำและแกลบ เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.สำราญ ศรีพลกรัง พนักงานสอบสวน สภ.นางรอง ไว้เป็นหลักฐาน หลังทางบริษัท “สมประสงค์ฟาร์ม” ตั้งอยู่เลขที่ 11 ม.9 ต.ดอนเงิน อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม ได้นำไก่พันธุ์ไข่แก่และ หมดสภาพ พิการ ขนล่วง จำนวน 800 ตัว ที่ถูกโละทิ้งจากฟาร์ม ไม่ใช่ไก่รุ่นตามที่ตกลงกันไว้
พร้อม ทั้งหัวอาหารปลอมผสมทั้งรำและแกลบบรรจุกระสอบเย็บด้วยมือ จำนวน 149 กระสอบ รวมทั้งอุปกรณ์ในการเลี้ยงไก่พันธุ์ไข่ รวมมูลค่า 249,900 บาท มาส่งให้กับ นายเฮี๊ยะ อาจเอื้อม ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นประธานกองทุนฯ เมื่อเวลา 04.00 น.วันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยไม่มีใบนำส่งสินค้า อีกทั้งไม่มีการเรียกคณะกรรมการไปตรวจรับสินค้าตามระเบียบ ประกอบกับสินค้าทุกรายการไม่ระบุที่มาและบริษัทผู้ผลิต ซึ่งไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ส่อถึงความไม่โปร่งใสทั้งผู้รับและผู้ส่ง เชื่อว่า ประธานกับทางบริษัท ดำเนินการไม่โปร่งใส มีการทุจริตในโครงการ จึงได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้เป็นหลักฐาน
---------------------------------------
ชักหัวคิวไทยเข้มแข็งเละ
โพสต์ทูเดย์ — ประธานส.อ.ท. ผงะตัวเลขรีดหัวคิวงบไทยเข้มแข็งสูง 20-25% แถมล็อกสเปกอื้อ
นาย สันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ได้รับทราบจากบรรดาผู้รับเหมาก่อสร้างว่ามีการกินค่าหัวคิวในโครงการต่างๆ ภายใต้งบประมาณไทยเข้มแข็งสูงถึง 20-25% ถือว่ามากเกินไป ทำให้โครงการไม่มีความโปร่งใส และอาจจะมีปัญหาการดำเนินการได้
“ที่น่าเป็นห่วงคือการกินค่าหัวคิวกันมากเกินไป ถ้ากินแค่ 5% ก็คงไม่เป็นไรถือว่าธรรมดา” นายสันติ กล่าว
ประธาน ส.อ.ท. ยังเชื่อว่าการเบิกจ่ายงบโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาลน่าจะทำได้รวดเร็ว เพราะมีการกำหนดแบบหรือมี การล็อกสเปกจากผู้ประกอบการไว้เรียบร้อยแล้ว
ทั้ง นี้ โครงการไทยเข้มแข็ง วงเงินลงทุน 1.43 ล้านล้านบาท ก็จะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบปี 2552 ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท แต่ในปี 2553 จะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจถึง 1.04 ล้านล้านบาท ก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ
นายอานนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า หากสามารถทำโครงการลงทุนไทยเข้มแข็งได้อย่างที่รัฐบาลประกาศไว้ น่าจะเกิดผลดีต่อ ตลาดเงินตลาดทุน โดยเฉพาะสถาบันการเงิน ขณะที่ภาครัฐก็จะเก็บภาษีได้มากขึ้น ส่วนผู้ที่จะได้รับผลดีโดยตรงที่สุดคือภาคธุรกิจก่อสร้าง
-----------------------------------------
มหกรรมค่าหัวคิวเขย่าไทยเข้มแข็ง
ดูเหมือนว่าข่าวคาวการทุจริตจัดซื้อจัดจ้างในโครงการไทยเข้มแข็งของ รัฐบาล จะ “ดัง” ขึ้นทุกขณะ
ไล่ตั้งแต่การที่ชมรมแพทย์ชนบทออกมาเปิดโปงการยัดเยียดให้ซื้อเครื่องมือ แพทย์ให้แก่สถานีอนามัยและโรงพยาบาลในต่างจังหวัด
ไม่ว่าจะเป็นเครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยระบบแสงอัลตราไวโอเลตระบบปิด หรือ ยูวี แฟน ราคาเครื่องละ 4 หมื่นบาท จำนวน 800 ตัว
ตาม มาด้วยกลิ่นตุๆ ของการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา มูลค่ากว่า 710 ล้านบาท ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีการล็อกสเปกเอื้อบริษัทรับเหมา
แต่ที่ซัดตรงๆ แบบ “ชัดเจน” ไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา แถมโพล่งกลางวงสัมมนา
นั่นคือกรณี นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า ผู้รับเหมาก่อสร้างตอนนี้กำลังเดือดร้อนหนัก
เพราะมีการกิน “ค่าหัวคิว” ในโครงการต่างๆ ภายใต้งบประมาณไทยเข้มแข็งสูงถึง 2025%
“ถ้ากินแค่ 5% ก็คงไม่เป็นไร ถือว่าธรรมดา” นายสันติ ระบุ
งานนี้ถือเป็นการแฉข้อมูล “ใต้โต๊ะ” ขึ้นมาวางให้เห็นกัน “บนโต๊ะ”
ถือว่าน้ำหนักไม่ธรรมดา เพราะเป็นการบอกเล่าของนักธุรกิจรุ่นใหญ่ในสภาอุตสาหกรรม ที่เป็นตัวแทนของบริษัทเอกชนทั่วประเทศ
จากเสียงสะท้อนครั้งนี้ ประเมินสัญญาณได้ว่า ภาคเอกชนเริ่มทนไม่ไหวกับ “ธุรกิจการเมือง” ที่เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลชุดปัจจุบัน
หลังจากที่เคยเจ็บปวดกับ “ธนกิจ การเมือง” ในรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมาก่อน
ความรู้สึกของสังคมตอนนี้ คือเหมือนหนีเสือปะจระเข้หรือไม่??
ทั้งที่ปัญหาการชักหัวคิวอาจไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เครือข่ายพรรคประชา ธิปัตย์อย่างเดียว
แต่ยังหมายรวมถึงพรรคร่วมรัฐบาล ที่มีข่าวด้านลบกระเส็นกระสายออกมาไม่เว้นแต่ละวัน
“ค่าหัวคิว” รับเหมาก่อสร้าง ยังทำให้กระทรวงคมนาคมนั่งไม่ติด ต้องออกมาชี้แจงแบบฉับพลันทันใด
โดย นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ตอบโต้ประธานส.อ.ท. ว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดการเรียกเก็บเงินใต้โต๊ะจากเอกชน หรือหากมีจริง เอกชนที่รายงานต่อนายกรัฐมนตรีก็ต้องมีหลักฐานมาแสดง
เพราะโครงการที่คมนาคมรับผิดชอบ โดยเฉพาะกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ส่วนใหญ่เป็นโครงการก่อสร้างกว่า 2,000 โครงการ
รวมเป็นเงิน 4.5 หมื่นล้านบาท กระจายไปยังผู้รับเหมาหลายเจ้า ไม่ได้เจาะจงที่รายใดรายเดียว
“มีหลักฐานก็ให้นำมาแสดง เพราะไม่อยากให้พูดอ้างขึ้นมาลอยๆ เพราะทำให้หลายคนเสียหาย” นายสุพจน์ กล่าว
สำหรับโครงการที่ถูกจับตามองมากที่สุด คือ โครงการถนนไร้ฝุ่น ที่พรรคภูมิใจไทยภูมิใจนำเสนอนั้น
ก่อนหน้านี้ มีข่าววงในออกมาว่า ได้มีการแบ่งเค้กให้สส.แต่ละจังหวัด แต่ละพรรคไปคนละเส้นสองเส้น
เรียกได้ว่าแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ เพราะเรื่องผลประโยชน์ไม่มีฝักฝ่าย มีแต่พรรค พวก และเพื่อน
โดย นายวิชาญ คุณากูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท ยืนยันว่า การเก็บค่าหัวคิวไม่น่าจะเกิดขึ้นกับโครงการถนนไร้ฝุ่น เพราะเป็นโครงการขนาดเล็ก วงเงินก่อสร้างแต่ละโครงการไม่มาก อยู่ที่ 2030 ล้านบาท
อีกทั้งกำไรแต่ละโครงการก็ไม่มาก คือโครงการที่ไม่เกิน 20 ล้านบาท จะอยู่ที่ 12.5% เกิน 100 ล้านบาท จะอยู่ที่ 9% เท่านั้น
หมายความว่าผู้รับเหมาก็กำไรน้อยอยู่แล้ว จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าหัวคิวให้ข้าราชการและนักการเมือง
ปัญหาก็คือถ้าไม่ใช่เรื่องจริง แล้วคนอย่างประธานส.อ.ท.จะกล้าออกมาชนฉะกับรัฐบาลชุดนี้หรือไม่??
มันเสียเครดิต...
เคาะตัวเลขกันให้เห็นจะจะ คือโครงการไทยเข้มแข็ง วงเงินเต็มๆ 1.43 ล้านล้านบาท
หัวคิว 10% เท่ากับเงินตกหล่นระหว่างทาง 1.43 แสนล้านบาท
หัวคิว 20% เงินเข้ากระเป๋าเหลือบไรทางการเมือง 2.86 แสนล้านบาท
ถือเป็นการกระจายรายได้ที่ค่อนข้างกระจุกตัว และจะเขย่าโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาลชุดนี้ไปอีกนาน
ถ้าประชาธิปัตย์คุมเกมไม่ดีมีสิทธิไป!!!
*****************************************
พลิกคำวินิจฉัย"หนึ่งเดียว"ในองค์คณะคดียึดทรัพย์"ม.ล.ฤทธิเทพ" ตอบโจทย์ ทำไม"ทักษิณ"มิได้ร่ำรวยผิดปกติ
Wed, 03/17/2010 - 20:40 | by เฒ่ากร่าง | Report topic
หมายเหตุ"มติชนออนไลน์"- เป็นส่วนหนึ่งของคำวินิจฉัยส่วนตนของ ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล รองประธานศาลฎีกาซึ่งเป็นผู้พพิพากษาเพียงคนเดียวในองค์คณะจากทั้งหมด 9 คนที่เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือชินคอร์ปทั้ง 5 กรณี ในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณกว่า 46,000 ล้านบาท
แม้ว่า ม.ล.ฤทธิเทพ จะเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ณ ป้อมเพชร อดีต ภรรยาซุกหุ้นหรือคงไว้ซึ่งหุ้นชินคอร์ปจำนวน 1,419 ล้านหุ้นก็ตาม
ต่อไปนี้เป็นเหตุผลในคำวินิจฉัยส่วนตนที่เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณมิได้ร่ำรวยผิดปกติ
--------------------------------------------------------
ปัญหาประการต่อไปมีว่า เงินที่ได้จากการขายหุ้นและเงินปันผลตามคำร้องเป็นทรัพย์ที่ต้องตกเป็นของแผ่นดิน หรือไม่
เห็นว่า ข้อเท็จจริงซึ่งฟังเป็นที่ยุติแล้วว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้ใช้อำนาจรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของบริษัทชินคอร์ป ทั้งห้ากรณี ดังได้วินิจฉัยข้างต้นแล้ว นับเป็นข้อสำคัญประการหนึ่งที่บ่งชี้ว่า หุ้นบริษัทชินคอร์ปไม่ได้มีค่าสูงเพิ่มขึ้นขึ้นผิดปกติ แต่ก็ยังม่ข้อสนับสนุนอื่นอีกที่สอดคล้องกันคือ นอกจากทางไต่สวนจะไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้สั่งการหรือมอบนโยบายต่างๆ ทั้งห้ากรณีแล้ว
ยังเห็นว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับเหตุคดีนี้ ย่อมเป็นผู้มีอำนาจวางแนวนโยบายในการบริหารราชการในแต่ละกระทรวงที่ตนต้องรับผิดชอบโดยอิสระ
การจะฟังว่า เมื่อรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ดังกล่าว ทำงานอยู่ในรัฐบาลเดียวกับผู้ถูกกล่าวหา หรือสังกัดพรรคการเมืองเดียวกันกับผู้ถูกกล่าวหา ย่อมมีผลให้รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ เหล่านั้นต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ถูกกล่าวหาทุกกรณีไป แม้กระทั่งคำสั่งที่อาจมีผลเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ถูกกล่าวหา ทั้งที่เป็นไปได้ว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐภายใต้การบังคับบัญชาหรือกำกับดูแลของผู้ถูกกล่าวหา อาจกระทำการต่างๆ เองเพื่อให้เป็นที่พอใจแก่ผู้ถูกกล่าวหาก็ได้นั้น ย่อมเป็นการรับฟังพยานหลักฐานไปในทางที่เป็นโทษแก่ผู้ถูกกล่าวหา ทั้งๆ ที่ยังมีมูลเหตุยังไม่ชัดแจ้งพอ และเป็นเหตุผลที่ถูกโต้แย้งได้อีกด้วย
นอกจากนี้ยังเห็นว่า หุ้นบริษัทชินคอร์ปมีราคาสูงขึ้นในระหว่างที่ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ถือเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะราคาหุ้นจะสูงหรือต่ำในแต่ละช่วงเวลาย่อมต้องอาศัยปัจจัยหลายประการที่เกิดจากทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ นอกเหนือจากการดำเนินการ 5 กรณีตามคำร้องด้วยเหตุผลดังนี้
ประการแรก บริษัทชินคอร์ปเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจด้วยการเป็นผู้ลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) มีบริษัทในเครือหลายบริษัทประกอบธุรกิจสัมปทานจากรัฐ ย่อมทำให้นักลงทุนเล็งเห็นได้ว่า แนวโน้มที่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐ และทำให้บริษัทชินคอร์ปเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่มีคู่แข่งทางการค้าน้อยหรือแทบไม่มี
นอกจากนี้ยังเป็นบริษัทที่ลงทุนประกอบกิจการด้วยจำนวนเงินมาก อันสามารถทำผลประโยชน์ตอบแทนได้ในปริมาณมากเช่นกัน สิ่งสำคัญเหล่านี้ส่งผลให้บริษัทชินคอร์ปและบริษัทในเคครือมีความมั่นคงสูง ได้เปรียบบริษัทอื่นๆ สามารถเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนได้มาก จึงเป็นที่ต้องการของนักลงทุนทั้งภายในและภายนอกประเทศยิ่งกว่าบริษัทอื่น
ประการที่ 2 เมื่อพิจารณาถึงดุลอำนาจทางการเงินของผู้ซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ป คือกลุ่มเทมาเส็ก ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่า เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ของโลกรายหนึ่งที่มีกำลังซื้อสูง กับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตำแหน่งดาวเทียมของประเทศไทยที่ได้รับอนุมัติจาก ITU เป็นตำแหน่งที่มีศักยภาพสูงมาก สามารถครอบคลุมพื้นที่ให้บริการ (Foot Print) แผ่ไพศาลไปได้กว้างไกลมากกว่าตำแหน่งอื่นที่หลายประเทศได้รับอนุมัติ
ทั้งตามทางไต่สวนยังได้ความว่า ดาวเทียม iPSTAR เป็นดาวเทียมที่ใหญ่และดีที่สุดในโลก เป็นดาวเทียมดวงแรกของโลกที่มีหลายช่องสัญญาณ ทำงานได้หลากหลายกว่า ติดต่อได้ 14 ประเทศ มีสถานีภาคพื้นดิน 18 แห่ง มีประสิทธิภาพสูง คุณสมบัติทางเทคนิคดีกว่าดาวเทียมทั่วไป สร้างขึ้นเพื่อรองรับความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และยังทำให้ประชาชนสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ในราคาที่ถูกลงย่อมเป็นที่ปรารถนาอย่างยิ่งของประเทศที่ต้องการศักยภาพทางยุทธศาสตร์ และความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีกิจการดาวเทียม เพื่อชิงความได้เปรียบทางด้านธุรกิจสื่อสารทางดาวเทียม หรือแม้แต่ในเรื่องความมั่นคงของประเทศของตน
หุ้นบริษัทชินคอร์ปจึงเปรียบได้กับเพชรเม็ดงามที่ผุ้ครอบครองสามารถต่อรองราคาซื้อขายได้สูง อันเป็นสิ่งปกติในกลไกทางธุรกิจและการซื้อขายหลักทรัพย์
ประการที่ 3 บริษัทในเครือบริษัทชินคอร์ปหลายบริษัทลงทุนว่าจ้างบุคลากรที่ความรู้เฉพาะด้านกิจการของบริษัทหรอืผู้ที่มีประสบการณ์สูงในการทำงานเกี่ยวกับกิจการของบริษัทเป็นผู้บริหาร ย่อมทำให้มีความได้เปรียบทางด้านแผนธุรกิจการค้าและมีผลประกอบการที่ดี รวมทั้งเกิดความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ได้มากยิ่งกว่าผู้ประกอบธุรกิจอื่นอีกหลายรายที่ไม่ได้ลงทุนในด้านนี้
และประการสุดท้าย เมื่อเปรียบเทียมดัชนีราคาหุ้นบริษัทชินคอร์ปกับหุ้นของบริษัทอื่นๆ ที่ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ และเป็นที่นิยมของผู้ลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วงเวลาเดียวกันก่อนมีการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้กลุ่มเทมาเส็กแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่า เป็นราคาขึ้นลงที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด
ด้วยเหตุดังกล่าว จึงฟังไม่ได้ว่า หุ้นบริษัทชินคอร์ปจำนวน 1,419,490,150 หุ้น หรือเงินที่ได้จากการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป 69,722,880,923.05 บาท รวมทั้งเงินปันผลอีก 6,898,722,129 บาท เป็นทรัพย์สินที่ผู้ถูกกล่าวหาได้มาเนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม ทั้งไม่เป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นมากผิดปกติหรือได้มาโดยไม่สมควรสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่อันถือว่า เป็นการร่ำรวยผิดปกติ ตามคำจำกัดความแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 ที่จะต้องสั่งให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 35 วรรคสอง
สำหรับคำร้องคัดค้านของผู้ถูกกล่าวหา และของผู้คัดค้านทั้งยี่สิบสอง ซึ่งขอให้ศาลมีเพิกถอนคำสั่ง คตส. ที่อายัดเงินและทรัพย์สินนั้น เมื่อปรากฏว่า คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส. )เพิกถอยคำสั่งอายัดเงินของผู้คัดค้านที่ 7 ที่ 8 ที่ 14 ที่ 17 และที่ 19 ต้องตามความประสงค์ของผู้คัดค้านเหล่านี้และมีผลให้เงินของผู้คัดค้านเหล่านี้หลุดพ้นจากการถูกอายัดแล้ว จึงไม่มีเหตุต้องขอให้สาลมีคำสั่งเช่นว่านั้นซ้ำอีก
ส่วนเงินและทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1-6 ที่ 9-13 ที่ 15 ที่ 16 ที่ 18 และที่ 20-22 ซึ่ง คตส. ยังคงมีคำสั่งอายัดไว้นั้น เมื่อไม่อาจสั่งให้ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ตกเป็นของแผ่นดินแล้ว ก็ไม่มีเหตุที่จะอายัดอีกต่อไป
จึงมีความเห็นว่า ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง และเพิกถอนคำสั่ง คตส.ที่อายัดเงินรวมทั้งทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหากับของผู้คัดค้านที่ 1-6 ที่ 9-13 ที่ 15 ที่ 16 ที่ 18 และที่ 20-22 ยกคำร้องคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 7 ที่ 8 ที่ 14 ที่ 17 และที่ 19
วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553
การเก็บค่า CPI (ดัชนีชี้วัดคอรัปชั่น) ระหว่างประเทศคงบอกอะไรได้ดีกว่า การสร้างวาทกรรม
จาก ประชาไท
Comment #270742 by Zatan Claus
http://www.prachataiwebboard.com/webboard/id/29144
ส่วนอันนี้บทความ เย้ย จริยธรรมคุณธรรมจอมปลอม ใครคือสัตว์นรกโกงกินบ้านเมือง
การเก็บ CPI (ดัชนีชี้วัดคอรัปชั่น) กระทำโดยองค์กร Transparency International เป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ได้รับการสนับสนุนจาก UN มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเบอรลินประเทศเยอรมัน
โดยมีปรัชญาแนวทางในการดำเนินการคือ ต้านคอรัปชั่นที่เกิดจากพนักงานรัฐ หน่วยงานของรัฐ และรัฐบาลที่มีการคอรัปชั่น
ข้อมูลจาก Transparency International ได้ถูกอ้างอิงจากสื่อสารมวลชนมากมายทั้งต่างประเทศและในประเทศประเทศไทย หลายๆคนคงเคยได้ยินหรือผ่านตามาบ้างถึงการจัดลำดับโดยองค์กรนี้
การเก็บข้อมูลเริ่มกระทำและถูกเผยแพร่ในปี คศ. 1995 หรือ พศ. 2538 โดยเริ่มเก็บข้อมูลจาก 41 ประเทศ ไทยอยู่ในลำดับที่ 34
ตรงกับสมัยที่ประเทศไทยมีนายกชื่อ ชวน หลีกภัย โดยมีค่า CPI เท่ากับ 2.79 และเป็นค่าที่ต่ำที่สุดเท่าที่ Transparency International เคยทำการสำรวจประเทศไทยไว้
ปีถัดมา (2539) ค่า CPI ของประเทศไทย เท่ากับ 3.33 สมัยที่นายกรัฐมนตรีชื่อ บรรหาร ศิลปอาชา และ ชวลิต ยงใจยุทธ
ส่วนในปี 2540 ค่า CPI ของประเทศไทยต่ำลงอีกครั้ง โดยมีค่า 3.06 ในปีนั้นนายกรัฐมนตรีชื่อ ชวน หลีกภัย
จะเห็นได้ว่าประเทศไทยในยุคที่สมัยนายกรัฐมนตรีชื่อ ชวน หลีกภัย เจ้าของฉายา "เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์" แต่ค่าดัชนีชี้วัดคอรัปชั่นกลับไม่เป็นดังฉายาเพราะเลวอย่างต่อเนื่อง โดยค่าสูงสุดที่นายชวนหลีกภัยได้คือ 3.2 ในปลายๆสมัยที่ครอบครองตำแหน่ง ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่บ่งชี้ได้อย่างดีถึงการตอแหลหน้าด้านของพรรคประชาธิ ปัตย์ และสื่อสามานชน
ดัชนี้ชี้วัดคอรัปชั่นกลับมาดีขึ้นในกลางสมัยนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร โดยมีค่าที่ดีที่สุดเท่ากับ 3.8 เป็นค่าที่โปร่งใสที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย
เป็นที่น่าสลดใจกับประเทศไทย เพราะรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร กลับถูกกล่าวหาและโจมตีอย่างหนักว่าคอปรัปชั่นมากที่สุด โดยสื่อชั่ว และกลุ่มอำนาจอีแอบทางการเมือง ทั้งยังใช้ข้อมูลนี้บิดเบือนข้อเท็จจริงด้วยการนำเอาอันดับในการจัดลำดับมา เปรียบเทียบสองรัฐบาลโดยไม่ยอมใส่จำนวนประเทศที่ถูกจัดลำดับเอาไว้ด้วยในการ ให้ข่าวดังนี้
ปี 38 ชวน อันดับ34
ปี 48 ทักษิณ อันดับ 59
ทั้งที่ถ้าไม่มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลความจริงจะแสดงได้แบบนี้
ปี 38 ชวน อันดับ 34 จากทั้งหมด 41 ประเทศ (เกือบบ๊วย)
ปี 48 ทักษิณ อันดับ 59 จากทั้งหมด 139 ประเทศ (กลางต้น)
เป็นที่น่าเสียดายเพราะถ้าไม่อคติหรือด้อยปัญญาจนเกินไป สามารถดูได้จากการพล็อตกราฟจะเห็นแนวโน้มว่ารัฐบาลทักษินกำลังดำเนินการแก้ ปัญหาคอรัปชั่นซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย ได้ถูกกลุ่มการเมืองการทหารที่อ้างจริยธรรมเข้ามากล่าวหาให้ร้าย จนในที่สุดนำไปถึงการทำรัฐประหารซึ่งไม่สมควรจะมีอยู่ในการปกครองระบอบ ประชาธิปไตย
ความตอแหลไม่อาจจางหายจากประเทศไทย
รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ได้ทำ cpi ของไทยตกต่ำลงอีกครั้งโดยค่า cpi ได่้ลดลงต่ำอีกครั้งกระโจนจากค่า 3.6 ในสมัยนายกทักษิน เหลือเพียง 3.2 ในสมัยรัฐบาลขิงแก่
ความตอแหลของบางชนชั้น อาจถึงขีดสุงสุดที่มนุษย์พึงกระทำ โดยใช้ลิ้นออกสื่อชั่วทุกวันกล่าวถึงแต่ จริยธรรม คุณธรรม ในขณะที่รุมทึ้งประเทศ
เป็นที่น่าแปลกใจอีกครั้งว่า ค่าดัชนีชี้วัดคอรัปชั่น กลับทำท่าจะดีขึ้นอีกครั้ง ในสมัยนายกสมัครสุนทรเวช นายกนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และรักษาการนายกรัฐมนตรี โดยได้ค่า cpi 3.4
แต่ทั้งนี้ต้องสลดใจกับประเทศไทยอีกครั้งเพราะความตอแหลยังไม่จางหาย รัฐบาลเหล่านี้ไม่มีที่ยืนบนพื้นที่สื่อ ถูกกลุ่มอำนาจที่มองไม่เห็นเล่นงานอีกครั้ง จนไม่อาจบริหารประเทศได้ต่อ
กลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามได้กุมอำนาจรัฐต่อ และได้รับการสนับสนุนจากสื่อชั่วเป็นอย่างดี และอีกครั้งที่วัดดัชนีชี้วัดคอรัปชั่นเลวขึ้น รัฐบาลที่พร่ำบ่นถึง คุณธรรม จริยธรรม ความพอเพียง กลับมาอีกครั้งพร้อมกับการโกง ความไม่โปร่งใสในการบริหารประเทศ โดยมีหลักฐานที่ไม่ต้องสุ่มเดา ไม่ต้องนั่งเทียน แต่สื่อชั่วยังคงบิดเบือนให้ข้อมูลกับประชาชน
ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าในประเทศไทยนั้น รัฐบาลที่ถูกจัดอันดันว่ามีความโปร่งใสสูงกว่า กลับถูกแตะตัดขาโดยผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ถูกกล่าวหาว่าทุจริจโดยสื่อสารมวลชน
รัฐบาลบาลที่ทำงานจริงมีผลงานให้ได้เห็น ถูกกระทำจนไม่มีที่ยืนในประเทศ โครงการดีๆกลับถูกทำให้เป็นอัมพาธ หรือไม่ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเอาความชอบไปเป็นของตน
ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลที่มีการคอรัปชั่น โกงบ้านโกงเมืองมากกว่า กลับได้รับการ "เชียร" โดยผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง และการสนับสนุนจากสื่อหลักอยู่เสมอ
และรัฐบาลสำนวนโวหาร(ทำงานด้วยปาก) จะถูกยกยอโดยสื่อไทยให้มีความสามารถและโปรงใส และได้รับการ "เชียร" จากกลุ่มอีแอบทางการเมือง ทั้งๆที่พฤติกรรมตรงกันข้าม
อนิจจาประเทศไทย
ข้อสังเกตุ
1. เมื่อพรรคการเมืองที่ชื่อ ประชาธิปัตย์ ได้บริหารประเทศ ดัชนีชี้วัดคอรัปชั่นจะตกต่ำหรือหักหัวลงเสมอ
2. สมัยนายชวน หลีกภัย ค่า cpi ที่ต่ำสุดเท่ากับ 2.79 สมัยนายทักษิณ ค่า cpi สูงสุดเท่ากับ 3.8
3. ถ้าไปค้นหาข้อมูลดูในเว็บขององค์กรที่อ้างถึงจะพบได้ว่ามีแค่ไม่กี่สมัยที่ ประเทศไทยมีความโปร่งใสสูงกว่า(โกงน้อยกว่า)จีนคอมมิวนีสส์
อ้างอิง
http://www.transparency.org
http://en.wikipedia.org/wiki/Corruption_Perceptions_Index
http://www.prachatai.com/journal/2009/11/26677
Comment #270742 by Zatan Claus
http://www.prachataiwebboard.com/webboard/id/29144
ส่วนอันนี้บทความ เย้ย จริยธรรมคุณธรรมจอมปลอม ใครคือสัตว์นรกโกงกินบ้านเมือง
การเก็บ CPI (ดัชนีชี้วัดคอรัปชั่น) กระทำโดยองค์กร Transparency International เป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ได้รับการสนับสนุนจาก UN มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเบอรลินประเทศเยอรมัน
โดยมีปรัชญาแนวทางในการดำเนินการคือ ต้านคอรัปชั่นที่เกิดจากพนักงานรัฐ หน่วยงานของรัฐ และรัฐบาลที่มีการคอรัปชั่น
ข้อมูลจาก Transparency International ได้ถูกอ้างอิงจากสื่อสารมวลชนมากมายทั้งต่างประเทศและในประเทศประเทศไทย หลายๆคนคงเคยได้ยินหรือผ่านตามาบ้างถึงการจัดลำดับโดยองค์กรนี้
การเก็บข้อมูลเริ่มกระทำและถูกเผยแพร่ในปี คศ. 1995 หรือ พศ. 2538 โดยเริ่มเก็บข้อมูลจาก 41 ประเทศ ไทยอยู่ในลำดับที่ 34
ตรงกับสมัยที่ประเทศไทยมีนายกชื่อ ชวน หลีกภัย โดยมีค่า CPI เท่ากับ 2.79 และเป็นค่าที่ต่ำที่สุดเท่าที่ Transparency International เคยทำการสำรวจประเทศไทยไว้
ปีถัดมา (2539) ค่า CPI ของประเทศไทย เท่ากับ 3.33 สมัยที่นายกรัฐมนตรีชื่อ บรรหาร ศิลปอาชา และ ชวลิต ยงใจยุทธ
ส่วนในปี 2540 ค่า CPI ของประเทศไทยต่ำลงอีกครั้ง โดยมีค่า 3.06 ในปีนั้นนายกรัฐมนตรีชื่อ ชวน หลีกภัย
จะเห็นได้ว่าประเทศไทยในยุคที่สมัยนายกรัฐมนตรีชื่อ ชวน หลีกภัย เจ้าของฉายา "เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์" แต่ค่าดัชนีชี้วัดคอรัปชั่นกลับไม่เป็นดังฉายาเพราะเลวอย่างต่อเนื่อง โดยค่าสูงสุดที่นายชวนหลีกภัยได้คือ 3.2 ในปลายๆสมัยที่ครอบครองตำแหน่ง ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่บ่งชี้ได้อย่างดีถึงการตอแหลหน้าด้านของพรรคประชาธิ ปัตย์ และสื่อสามานชน
ดัชนี้ชี้วัดคอรัปชั่นกลับมาดีขึ้นในกลางสมัยนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร โดยมีค่าที่ดีที่สุดเท่ากับ 3.8 เป็นค่าที่โปร่งใสที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย
เป็นที่น่าสลดใจกับประเทศไทย เพราะรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร กลับถูกกล่าวหาและโจมตีอย่างหนักว่าคอปรัปชั่นมากที่สุด โดยสื่อชั่ว และกลุ่มอำนาจอีแอบทางการเมือง ทั้งยังใช้ข้อมูลนี้บิดเบือนข้อเท็จจริงด้วยการนำเอาอันดับในการจัดลำดับมา เปรียบเทียบสองรัฐบาลโดยไม่ยอมใส่จำนวนประเทศที่ถูกจัดลำดับเอาไว้ด้วยในการ ให้ข่าวดังนี้
ปี 38 ชวน อันดับ34
ปี 48 ทักษิณ อันดับ 59
ทั้งที่ถ้าไม่มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลความจริงจะแสดงได้แบบนี้
ปี 38 ชวน อันดับ 34 จากทั้งหมด 41 ประเทศ (เกือบบ๊วย)
ปี 48 ทักษิณ อันดับ 59 จากทั้งหมด 139 ประเทศ (กลางต้น)
เป็นที่น่าเสียดายเพราะถ้าไม่อคติหรือด้อยปัญญาจนเกินไป สามารถดูได้จากการพล็อตกราฟจะเห็นแนวโน้มว่ารัฐบาลทักษินกำลังดำเนินการแก้ ปัญหาคอรัปชั่นซึ่งเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย ได้ถูกกลุ่มการเมืองการทหารที่อ้างจริยธรรมเข้ามากล่าวหาให้ร้าย จนในที่สุดนำไปถึงการทำรัฐประหารซึ่งไม่สมควรจะมีอยู่ในการปกครองระบอบ ประชาธิปไตย
ความตอแหลไม่อาจจางหายจากประเทศไทย
รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ได้ทำ cpi ของไทยตกต่ำลงอีกครั้งโดยค่า cpi ได่้ลดลงต่ำอีกครั้งกระโจนจากค่า 3.6 ในสมัยนายกทักษิน เหลือเพียง 3.2 ในสมัยรัฐบาลขิงแก่
ความตอแหลของบางชนชั้น อาจถึงขีดสุงสุดที่มนุษย์พึงกระทำ โดยใช้ลิ้นออกสื่อชั่วทุกวันกล่าวถึงแต่ จริยธรรม คุณธรรม ในขณะที่รุมทึ้งประเทศ
เป็นที่น่าแปลกใจอีกครั้งว่า ค่าดัชนีชี้วัดคอรัปชั่น กลับทำท่าจะดีขึ้นอีกครั้ง ในสมัยนายกสมัครสุนทรเวช นายกนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และรักษาการนายกรัฐมนตรี โดยได้ค่า cpi 3.4
แต่ทั้งนี้ต้องสลดใจกับประเทศไทยอีกครั้งเพราะความตอแหลยังไม่จางหาย รัฐบาลเหล่านี้ไม่มีที่ยืนบนพื้นที่สื่อ ถูกกลุ่มอำนาจที่มองไม่เห็นเล่นงานอีกครั้ง จนไม่อาจบริหารประเทศได้ต่อ
กลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามได้กุมอำนาจรัฐต่อ และได้รับการสนับสนุนจากสื่อชั่วเป็นอย่างดี และอีกครั้งที่วัดดัชนีชี้วัดคอรัปชั่นเลวขึ้น รัฐบาลที่พร่ำบ่นถึง คุณธรรม จริยธรรม ความพอเพียง กลับมาอีกครั้งพร้อมกับการโกง ความไม่โปร่งใสในการบริหารประเทศ โดยมีหลักฐานที่ไม่ต้องสุ่มเดา ไม่ต้องนั่งเทียน แต่สื่อชั่วยังคงบิดเบือนให้ข้อมูลกับประชาชน
ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าในประเทศไทยนั้น รัฐบาลที่ถูกจัดอันดันว่ามีความโปร่งใสสูงกว่า กลับถูกแตะตัดขาโดยผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ถูกกล่าวหาว่าทุจริจโดยสื่อสารมวลชน
รัฐบาลบาลที่ทำงานจริงมีผลงานให้ได้เห็น ถูกกระทำจนไม่มีที่ยืนในประเทศ โครงการดีๆกลับถูกทำให้เป็นอัมพาธ หรือไม่ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเอาความชอบไปเป็นของตน
ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลที่มีการคอรัปชั่น โกงบ้านโกงเมืองมากกว่า กลับได้รับการ "เชียร" โดยผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง และการสนับสนุนจากสื่อหลักอยู่เสมอ
และรัฐบาลสำนวนโวหาร(ทำงานด้วยปาก) จะถูกยกยอโดยสื่อไทยให้มีความสามารถและโปรงใส และได้รับการ "เชียร" จากกลุ่มอีแอบทางการเมือง ทั้งๆที่พฤติกรรมตรงกันข้าม
อนิจจาประเทศไทย
ข้อสังเกตุ
1. เมื่อพรรคการเมืองที่ชื่อ ประชาธิปัตย์ ได้บริหารประเทศ ดัชนีชี้วัดคอรัปชั่นจะตกต่ำหรือหักหัวลงเสมอ
2. สมัยนายชวน หลีกภัย ค่า cpi ที่ต่ำสุดเท่ากับ 2.79 สมัยนายทักษิณ ค่า cpi สูงสุดเท่ากับ 3.8
3. ถ้าไปค้นหาข้อมูลดูในเว็บขององค์กรที่อ้างถึงจะพบได้ว่ามีแค่ไม่กี่สมัยที่ ประเทศไทยมีความโปร่งใสสูงกว่า(โกงน้อยกว่า)จีนคอมมิวนีสส์
อ้างอิง
http://www.transparency.org
http://en.wikipedia.org/wiki/Corruption_Perceptions_Index
http://www.prachatai.com/journal/2009/11/26677
วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553
ไม่รู้ไปโดนอะไรมา มาลงกับผม อีกแล้ว
เสาร์ ที่ 14 มีค 2553
พอกลับถึงบ้าน... เอาแล้ว นังมาลีปากกระโทน
แหกปากส่งเสียงเข้ามาในบ้าน...
เรื่องก็ว่า นมแพง ไม่มีเงินเลี้ยงเด็ก ๆๆ ต้องให้แดกน้ำข้าวแล้ว...
เอาเข้าไป แหกปากอยู่นั้น...
ผมก็ไม่อยากจะแปล หรอกนะ แต่ทำมัยผมต้องมาเดือดร้อนด้วย...
ผมทำอะไรผิด ฤ ถึงได้ทำกับผมแบบนี้
ทำมัยคนทำดี อัปรีย์ ถึงได้กินหัว ว่ะ
ผมทำงานให้องค์กร เสียดิบดีขนาดนี้ องค์กรตอบแทนผมแบบนี้หรือครับ
ถ่อย เถื่อน แบบนี้ เหรอ...
นี้มันองค์กร แบบไหน เหรอนี้ ...
เบื้องหน้า ดูดี ลับหลัง ก็ ต่ำทราม
พอกลับถึงบ้าน... เอาแล้ว นังมาลีปากกระโทน
แหกปากส่งเสียงเข้ามาในบ้าน...
เรื่องก็ว่า นมแพง ไม่มีเงินเลี้ยงเด็ก ๆๆ ต้องให้แดกน้ำข้าวแล้ว...
เอาเข้าไป แหกปากอยู่นั้น...
ผมก็ไม่อยากจะแปล หรอกนะ แต่ทำมัยผมต้องมาเดือดร้อนด้วย...
ผมทำอะไรผิด ฤ ถึงได้ทำกับผมแบบนี้
ทำมัยคนทำดี อัปรีย์ ถึงได้กินหัว ว่ะ
ผมทำงานให้องค์กร เสียดิบดีขนาดนี้ องค์กรตอบแทนผมแบบนี้หรือครับ
ถ่อย เถื่อน แบบนี้ เหรอ...
นี้มันองค์กร แบบไหน เหรอนี้ ...
เบื้องหน้า ดูดี ลับหลัง ก็ ต่ำทราม
วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553
ฤ ประเทศไทย จะเป็นแบบ เวียดนามใต้ โมเดล
เมื่อก่อน 19 กย. 49 พวกเราไม่รู้ อะไรเป็นอะไร ...
ผ่านมา 3 ปี ตัวละคอน มากมาย ได้โผล่ให้เราได้รับทราบกัน ว่าใครเป็นใคร อย่างไร และทำมัย ...
การปกครองด้วย ชนกลุ่มน้อย... (พวก วรรณะ "จัญไร" )
อันประำกอบไปด้วย
- อำมาตย์
- กลุ่มทุนไดโนเสาร์
- กลุ่มทุนสี เทา / ดำ
- กลุ่ม พ่อค้า/แม่ค้า อยากมีสี มี อินฟร๊วน
- กากเดนศักดินาฯ หลงยุค
- ข้าราชการ ในระบบ รับ/ส่ง ส่วย
- นักวิชาเกิน... เล็งผลเลิศ หวัง ตำแหน่ง รศ ศจ ... เป็นรางวัล
- ยังเปรต
- พวก นักไต่สังคม ชั้่นเลว..
ฯลฯ
โดย มี ปืน / กม. / ตราชู / สื่อ .... เป็นอาวุธ
การสร้างชนกลุ่มน้อย กระจุกหนึ่ง มาเป็น ผู้ชี้ ผิด / ชี้ถูกสังคม ... มาปกครองประเทศ อย่างเบ็ดเสร็จ...
นี้มัน เวียดนามใต้ โมเดล ชัด ๆๆ
สุดท้ายแล้ว ก็จะสิ้นชาติ...
------------------------------
เวียดนามใต้... ในยุคนั้น....
ชาวคริสฯ 12% ปกครองชาวพุทธ 80% กว่า ของประเทศ
รัฐบาล ชาวคริสฯ ทำทุกอย่าง เีพียงเพื่อ เอาใจ เจ้านายฯ
เป็นเด็กดีของ เ้จ้านายฯ
การกลั่นแกล้ง แล้วใช้ กม. 2 มาตราฐาน มาบังคับใช้
การตัดสิน อรรถคดี ที่ตีความตั้งใจจะให้ผิดให้ได้
การกล่าวเท็จ... แล้วยัดข้อหา เรื่อยเปื่อย
เป็น วัฒนธรรม พวก คูลคั๊กแคน มีลักษณะ พฤติกรรมแบบเดียวกัน
จะพูดกดหัว ทำเป็น ชนชั้นที่ เหนือกว่า...
เพื่อการสร้างความชอบทำ ในการกระทำตามอำเภอใจ
จนถึงใช้กำลังเข้าเข่นฆ่าคนที่เห็นต่าง.....
มันจะต่างอะไร กับ คนสีแดง ที่มีอยู่ 80 กับ คนเสื้อขี้ ที่มีแค่ ไม่ถึง 10%
แต่ทำอะไร ก็จะมีบุคคลระดับสูงคอยให้ท้าย ว่าดี ว่าประเสริฐ
มันต่างกันตรงไหน... เหมือนกัน ไม่แตกต่าง...
สุดท้าย ก็คงอาจจะถึงกับ สิ้นชาติ ... ก็ได้ใครจะไปรู้
--------------------------
ลองอ่าน บางส่วน ที่มีคนเค้าเขียนเอาไว้นะครับ แล้วลองเปรียบเทียบกันดู.........
พระพุทธศาสนาในเวียดนาม ฤาประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย
ชาวพุทธสละชีพเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา..........
---------------------------
ดัง ที่ได้กล่าวไปแล้วว่าเมืองเว้ เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชประมุขสงฆ์ในพุทธศาสนา เมืองเว้นี้อยู่ห่างจากไซ่ง่อนไปทางเหนือ ๔๐๐ ไมล์
ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๖ เป็นเวลาที่ โง เดียม ถึก สังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิคเวียตนาม ซึ่งเดินทางไปประชุมสังคายนาวาติกัน ๒ (VATICAN COUNCIL ๒) ณ กรุงวาติกัน ประเทศ อิตาลี ได้แถลงต่อที่ประชุมวาติกันว่า "ประเทศเวียตนามเป็นประชากรของพระเจ้า ประชาชนเวียตนามล้วนนับถือในพระเจ้าและซื่อสัตย์ต่อสันตะปาปา" พร้อมกันนั้น ได้โทรเลข ด่วน สั่งให้บาทหลวงคริสเตียนโรมันคาทอลิค ใต้บังคับบัญชาของตน ในเมืองเว้
สั่งให้ประชาชน ทุกบ้านชักธงรูปไม้กางเขนอันเป็นธงทางศาสนาของคริสเตียนโรมันคาทอลิคขึ้น เพื่อเป็นข่าวทางสื่อมวลชนยืนยันให้สันตะปาปาเชื่อถือ และมอบตำแหน่ง คาร์ดินัล ให้กับโง เดียม ถึก (การชักธงทางศาสนาดังกล่าว เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายว่าด้วยการชักธงของเวียตนามใต้ แต่กฎหมายที่ออกมานี้ ออกมาเพื่อใช้บังคับในพุทธศาสนา เท่านั้น)
ในวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๖ (สองวันต่อมา) ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา พุทธศาสนิกชนในเมืองเว้ จึงได้ชักธงทางพุทธศาสนาขึ้นบ้าง แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้ดำเนินการนำธง ลงจากเสา แล้วนำไปเผาทิ้ง พร้อมทั้งประกาศห้ามประชาชนในเมืองเว้ ชักธงทางพุทธศาสนา และห้ามชุมนุมประกอบพิธีวิสาขบูชาเด็ดขาด (เหมือนในเมืองไทยปี พ.ศ.๒๕๔๒ มีการอ้างเรื่องธงประจำวัด เพื่อใช้สร้างกระแสทำลายพุทธแบบเดียวกัน และมีการออกหนังสือห้ามพระภิกษุสงฆ์ทั่วประเทศ มาปฏิบัติศาสนกิจกับวัด ?) และห้ามชุมนุมประกอบ พิธี วิสาขบูชา เด็ดขาดหากผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องถูกลงโทษโดยเด็ดขาด ฐานกบฏ
พุทธ ศาสนิกชนที่ได้เดินทาง เพื่อจะมาร่วมศาสนพิธีวันวิสาขบูชา ในเมืองเว้ประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน แทนที่จะได้ปฏิบัติกุศลกิจ กลับถูกห้ามปรามเช่นนั้น จึงได้เดินขบวน ประท้วง รัฐบาล ในจำนวนนั้นมีพระสงฆ์ สามเณร และนางชี ถึง ๒,๐๐๐ รูป เดินเป็นแถวหน้า
เมื่อ บาทหลวง โรมันคาทอลิครู้เรื่อง จึงโทรเลขด่วนไปยัง โง เดียม ถึก ที่วาติกัน กรุงโรม ว่าควรดำเนินการอย่างไรต่อไป โง เดียม ถึก จึงโทรเลขสั่งให้ปราบปรามแบบ "มิชชั่น" กับ พุทธศาสนิกชนในฐานะศัตรูพระเจ้า โดยปฏิบัติตาม VATICAN COUNCIL ๒ ข้อที่ ๗:๗
นั่นหมายถึงให้ปราบปรามอย่างรุนแรงเด็ดขาด ไม่ต้องคำนึงถึงรูปแบบและวิธีการ (บาทหลวงคริสเตียนเวียตนาม จะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าตำรวจลับในท้องถิ่น และมีอำนาจ สั่งการ เจ้าหน้าที่ของรัฐได้อีกด้วย) เจ้าหน้าที่ตำรวจคริสเตียน ได้ขับรถบรรทุกชนฝ่าเข้าไปกลางขบวน อันมีพระภิกษุสงฆ์และนางชี ซึ่งเดินเป็นแถวหน้าถูกรถทับตาย ในทันที ๗๐ รูป พุทธศาสนิกชนตาย ๓๐ คน และบาดเจ็บจำนวนพันกว่าคน จากการถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตีด้วยกระบอง เพื่อสลายการเดินขบวน ที่เหลือถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม คุมขัง ไปทั้งหมด
บาทหลวงคริสเตียนผู้ทำหน้าที่สั่งการตำรวจ นั้น ได้แถลงแทนรัฐบาลว่า "ผู้เดินขบวนเป็นคอมมิวนิสต์ พระสงฆ์ และนางชีเป็น แนวร่วมคอมมิวนิสต์ที่ต้องการทำลาย ศาสนา และเป็นผู้ขว้างระเบิดทำลายโบสถ์คริสต์??
" ได้มีการจับกุมพุทธศาสนิกชนผู้เกี่ยวข้องในการเดินขบวนนี้ ซึ่งมีทั้งพระภิกษุ สามเณร นางชี และพุทธศาสนิกชนอีกหลายพันคน ข่าวการปราบปรามชาวพุทธนี้ ได้ถูกสั่งห้าม มิให้มีการเสนอข่าวต่อสื่อมวลชน และ CIA ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ตรวจสอบข่าวสารทางการทูตที่จะส่งออกไปนอกประเทศเวียตนามโดยเข้มงวด เพราะไม่ต้องการให้กระเทือนสถานภาพของรัฐบาล โง ดินห์ เดียม ซึ่งสหรัฐอเมริกามีผลประโยชน์ร่วมอยู่ด้วย
จาก สาเหตุการปราบปรามดังกล่าวแม้ทางการจะปิดข่าวโดยวิธีการใดๆ ก็ตาม ข่าวนี้ก็ได้กระจายออกไปสู่เมืองต่างๆ ในเดือนมิถุนายน และเดือนกรกฎาคม ปีเดียวกันนั้น ได้มี การเดินขบวนประท้วงรัฐบาลและโง เดียน ถึก เกิดขึ้นไปทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องพอสรุปเหตุการณ์สำคัญได้ ดังนี้
วันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๖ ได้มีการเดินขบวนหน้ารัฐสภา โดยมีป้ายแสดงข้อความว่าเรียกร้องรัฐบาลทำข้อตกลง หยุดทำร้ายเข่นฆ่าพุทธบริษัทในทันที หากไม่ทำสัญญา ชาวพุทธจะเผาตัวเอง เป็นการป้องกันพระพุทธศาสนา
วันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๖ รัฐบาลไม่ยอมสัญญาใดๆ วัดพุทธแถบนอกเมืองเว้ถูกตำรวจเข้าเผาทำลาย ชาวพุทธเริ่มอดอาหารประท้วง มีพระภิกษุ ๒ รูป เสนอความจำนงค์ จะปลงชีพตนเองปกป้องพระพุทธศาสนา
วันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๖
พระ ภิกษุในพุทธศาสนานาม ทิจ กวาง ดึ๊ก อายุ ๗๓ ปี ทนเห็นความทารุณโหดร้าย ในการใช้อำนาจรัฐปราบปรามเข่นฆ่าชาวพุทธต่อไปไม่ไหว จึงได้ประกาศอุทิศชีวิต เพื่อป้องกันพระพุทธศาสนาโดยได้เขียนข้อเรียกร้องต่อ รัฐบาล โง ดินห์ เดียม ว่า
๑. เพื่อป้องกันพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาดั้งเดิมของประเทศชาติ
๒. ขอเตือนการกระทำที่บีบคั้น และฆ่าพระภิกษุ นางชี และคนทั่วไปในประเทศ
๓. ขอร้องให้ท่านมอบอิสรภาพ ให้แก่ผู้นำชาวพุทธทั้งหลาย ในคณะกรรมการป้องกัน พระพุทธศาสนา พระภิกษุ นางชี และพุทธ ศาสนิกชน ที่ถูกจับขังอยู่ ในขณะนี้
๔. ให้ยุติสถานการณ์เลวร้าย และเลิกจับพระภิกษุ นางชี และพุทธศาสนิกชนอีก
๕. ให้เลิกองค์การคณะสงฆ์รวมทั้งบุคคลที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาหลอกลวง ปิดบังความจริงเป็นเหตุให้ประชาชนโง่เขลา
๖ คณะกรรมการสหพันธ์เพื่อพระพุทธศาสนาที่บริสุทธิ์ ที่รัฐบาล โง ดินห์ เดียม และพี่ชายตั้งขึ้นมาเพื่อหลอกลวงประชาชน
หลัง จากได้เขียนข้อเรียกร้องเสร็จ ท่านก็ได้เข้าสู่ขบวนพุทธศาสนิกชนประมาณ ๑,๐๐๐ คนด้วยความสงบ เพื่อไปสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้ พระภิกษุ สามเณร แม่ชี และ พุทธศาสนิกชนที่ถูกเจ้าหน้าที่ขับรถพุ่งชนเสียชีวิตในวันที่ ๘ พ.ค.๒๕๐๖ ที่ผ่านมา จากนั้นขบวนชาวพุทธศาสนิกชนก็เดินต่อไปอย่างสงบ โดยมีรถนำพระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก ไปยังกลางเมืองหลวง พระภิกษุผู้เสียสละวัย ๗๓ ปีได้ก้าวลงจากรถไปนั่งขัดสมาธิกลางวงเวียนซึ่งมีพุทธบริษัทแวดล้อมเป็นวง ใหญ่ พุทธบริษัท
ได้ หยิบถังน้ำมันเบนซิน ๕ แกลลอนออกมาจากรถคันนั้น แล้วเอาน้ำมันราดบนพระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก จนหมด ต่อจากนั้นก็เอาไฟจุดร่างนั้น ไฟลุกโชติช่วง ท่วมร่างของ พระภิกษุ ผู้เสียสละ ขณะที่ไฟลุกท่วมร่างอยู่ปรากฏว่าพระภิกษุวัย ๗๓ คงนั่งนิ่งด้วยสมาธิจิตอันแน่วแน่ไม่ไหวติง ไม่แสดงอาการทุกข์เวทนาในสังขารแต่อย่างใดเลย เปลวไฟอันร้อนระอุ ได้เผาจีวร และผิวหนังไหม้เกรียม อยู่ประมาณ ๑๐ นาที ร่างของท่านที่นั่งขัดสมาธิอยู่นั้น ก็หงายหลังอย่างเงียบสงบ
นี่ คือพระภิกษุในพระพุทธศาสนาที่ได้เสียสละชีวิตเพื่อพิทักษ์พุทธศาสนา นับเป็นรูปแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ การพลีชีพของท่านนั้น นอกจากจะเป็นการปฏิบัติตาม คำ ประกาศในนามพุทธศาสนิกชน ที่จะสละชีวิตรักษาพระพุทธศาสนา ให้พ้นจากการกลั่นแกล้งบีบคั้น และปราบปรามจากรัฐบาล โง ดินห์ เดียม แล้วยังแสดงถึงความเด็ดเดี่ยว มั่นคง ของพุทธศาสนิกชนด้วย สรีระของท่านถูกห่อหุ้มด้วยธงธรรมจักร พุทธบริษัทจำนวน ๑,๐๐๐ คน พากันอัญเชิญสรีระของท่านไปไว้ ณ เจดีย์วัดซาลอย ในเมืองเว้
หลังจากนั้นได้มีพุทธบริษัทสละ ชีพเพื่อพระพุทธศาสนาอีก คือ สามเณรวัย ๑๗ และพระภิกษุวัย ๗๑ ที่เมืองเว้ แม่ชีที่เมืองนาตรัง พระภิกษุ เล้ อายุ ๒๐ อุทิศร่างเผาตนในเจดีย์ ซึ่งมีพระภิกษุอีก ๒ รูปที่อดอาหารประท้วงมากว่า ๑๐ วัน ที่เมืองพานเทียต ห่างจากไซ่ง่อน ๑๐๐ ไมล์ แม่ชีเยียง เหียน อุทิศร่างเผาตน ประท้วงการกดขี่เข่นฆ่าชาวพุทธ ของ สังฆราชคริสเตียน
โรมัน คาทอลิค โง เดียม ถึก และที่เจดีย์หูดาม ซึ่งเป็นเจดีย์ใหญ่ที่สุดใน เมืองเว้ พระภิกษุวัย ๗๑ ปี ได้พลีชีพอุทิศร่างพิทักษ์พระพุทธศาสนาอีกเช่นกัน
วัน อาทิตย์ ที่หน้าโบสถ์คริสต์โรมันคาทอลิคในไซ่ง่อน พระภิกษุ ทิจ เทียน มี หรือ ฮวางเมียว ได้นั่งขัดสมาธิ รดร่างชุ่มโชกด้วยน้ำมันก๊าด แล้วจุดไฟเผาสรีระของท่านด้วยตนเอง เมื่อเวลา ๑๐.๐๐ น. ขณะที่ชาวเวียตนามเข้ารีตคริสต์อยู่ในโบสถ์นั้นประมาณ ๑,๐๐๐ คน ท่านได้เขียนจดหมายถึงสังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค โง เดียม ถึก และ ประธานาธิบดี โง ดินห์ เดียม เพื่อขอความเป็นธรรมให้เลิกฆ่าและปราบปรามพุทธศาสนิกชน
อุบาสิกา มาย เกี๊ยต อุทิศชีวิตพิทักษ์พุทธศาสนา ในไซ่ง่อน ด้วยการเอาขวานสับข้อมือตัวเอง แล้วเอามือที่ขาดนั้น ผูกกับหนังสือประท้วงการปราบปราม ของคริสเตียนโรมัน คาทอลิค ส่งให้รัฐบาล ?
จากการอุทิศชีวิตโดยการเผาตัวเองเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนานี้เอง ทำให้มีพุทธบริษัทเผาตัวเองตามอีกมากมาย
รัฐบาล โง ดินห์ เดียม ได้ประกาศว่าจะทำตามข้อเรียกร้องในจดหมายของ พระ ทิจ กวาง ดึ๊ก ที่อุทิศชีวิตเผาตัวเองนั้น แต่นั่นเป็นเพียงคำพูดที่กลับกลอกหาความจริงใดๆ ไม่ได้ กลับกลายเป็นสัญญาณไฟเขียวให้ สังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค โง เดียม ถึก เร่งใช้อำนาจผ่านตำรวจในสังกัด ทำการฆ่าและทำร้ายพระภิกษุ และพุทธบริษัท รุนแรงหนักขึ้น ไปอีก และ กลับกลายเป็นว่า พุทธศาสนิกชนเหล่านี้คือผู้ที่ร่วมมือกับฝ่ายตรงข้ามต้องการล้มล้างรัฐบาล
ตำรวจคริสเตียนของ โง เดียม ถึก ได้ทำการเผาวัด ฆ่าพระภิกษุสงฆ์ระดับผู้ใหญ่ นางชี และพุทธศาสนิกชนหนักยิ่งกว่าเดิมขึ้นไปอีก
- วัดกลายเป็นที่ต้องห้ามของการทำศาสนพิธี โดยมีลวดหนามและสิ่งกีดขวาง ไปปิดกั้นตามถนนในเมืองใหญ่ๆ เช่นเว้ และไซ่ง่อน
- พระภิกษุหรือผู้ใส่ชุดขาวหรือชุดอุบาสกออุบาสิกา คือผู้สวมเครื่องแบบของผู้ทำลายความมั่นคงของรัฐบาล
- พระภิกษุสงฆ์โกนศีรษะโล้นห่มผ้ากาสาวพัสสตร์ คือเป้าหมายของตำรวจเวียตนามที่เข้ารีตเป็นคริสเตียนโรมันคาทอลิค
ภาพ ของพระสงฆ์ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไล่ยิง จนกระทั่งมรณภาพบนบาทวิถี กลายเป็นภาพที่ประชาชนเห็นเป็นปกติ ศพของพุทธศาสนิกชน ที่ทับถมตามฐานเจดีย์ คือสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกวัน
ไซ่ง่อน ๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๖
รัฐบาล คริสเตียนโรมันคาทอลิค โง ดินห์ เดียม ปฏิเสธอย่างเป็นทางการ ที่จะไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ได้ให้ไว้ว่า จะเลิกปราบปราม และ เข่นฆ่า ชาวพุทธ จึงมีความคาดหมาย กันว่า อาจมีการเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
"เจ้า หน้าที่กรมการศาสนา" (สังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค โง เดียม ถึก ควบคุม) ได้บังคับให้องค์กรปกครองคณะสงฆ์เวียตนาม พระภิกษุสงฆ์เจ้าอาวาสวัดในพุทธศาสนา องค์กรพุทธศาสนา ลงนามเซ็นชื่อรับรองว่า จะซื่อสัตย์ต่อรัฐบาล โง ดินห์ เดียม และจะเชื่อฟัง โง เดียม ถึก ซึ่งเป็นสังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค รวมทั้งอยู่ใต้คำสั่งของสมาคม สงฆ์ แห่งชาติ (ที่รัฐบาลตั้งขึ้นเท่านั้น) และจะไม่จัดการเคลื่อนไหวประท้วงใดๆ (สำนักข่าว ยู.พี.ไอ.)
ไซ่ง่อน ๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๖
เกิด การเล่นสกปรกขึ้น ซึ่งมีรัฐบาลประธานาธิบดี โง ดินห์ เดียม ผู้ถือคริสต์ศาสนา กำลังบีบคั้นพุทธศาสนิกชนที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ก็คือ มีมือมืดได้ "ลอบวางยา" พระภิกษุสงฆ์ชั้นสูง ในพระพุทธศาสนาหลายรูป
(เหมือน ประเทศไทย ปี พ.ศ.๒๕๔๒ หลวงปู่โง่น ได้ถูกวางยาพิษหลังจากกลับจากยุโรป แพทย์ไม่ยอมให้ผ่าตัดพิสูจน์ศพ และเกิดกับพระสายปฏิบัติกรรมฐาน สมาธิจิต แถบภาค อีสานของไทย หลายรูป) จนกระทั่งอาพาธหนักต้องเข้าโรงพยาบาลจำนวนถึง ๒๐ รูป
โฆษกชาวพุทธได้กล่าวเพิ่มเติมว่า การปฏิบัติของรัฐบาล โง ดินห์ เดียม ที่ปราบปราม ชาวพุทธนั้น ได้ทวีความรุนแรงขึ้น และเตือนให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายพึงระวังตัว (สำนักข่าว ยู.พี.ไอ)
ไซ่ง่อน ๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๖
มี ผู้ฆ่าตัวตายเพื่อประท้วงรัฐบาล ที่ปราบปราม เข่นฆ่าชาวพุทธ ผู้ฆ่าตัวตายผู้นี้เป็นนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล เป็นผู้นับถือพุทธศาสนา ชื่อ เหงียน เทือง ทัม ได้กินยาพิษและไปเสีย ชีวิต ที่โรงพยาบาล ทั้งนี้เนื่องจากเขาได้ถูกกล่าวหาจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจของสังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค โง เดียม ถึก ว่าทำลายความมั่นคง ของชาติ โดยกระทำตัว เข้าข้างชาวพุทธ และวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล นายเหงียน เทือง ทัม ได้เขียนจดหมายขอให้รัฐบาล หยุดการเข่นฆ่าพระสงฆ์ชาวพุทธ ไว้ ก่อนตาย (สำนักข่าว รอยเตอร์)
ไซ่ง่อน ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๖
ตำรวจ คริสเตียนของ โง เดียม ถึก ได้ใช้อำนาจเข่นฆ่าชาวพุทธอย่างโหดเหี้ยมทารุณ บางพวกได้เข้าบุกตีกระหน่ำกลุ่มชาวพุทธที่มาชุมนุมเรียกร้อง บางคนก็ล็อคคอผู้หญิง ลาก ขึ้นรถบรรทุกไป เข้าค่ายกักกันเป็นจำนวนหลายร้อย ทั้งพระภิกษุ แม่ชี ฆราวาสทั้งหญิงชาย ตลอดจนกระทั่งเด็ก ประธานาธิบดีโง ดินห์ เดียม ได้ตัดสินใจ "ขยี้" ประชาชน ชาวพุทธที่มีเป็นส่วนใหญ่ ๙๐% ในเวียตนามใต้แล้ว โดยไม่รับฟังและไม่ยินยอมตามคำเรียกร้องใดๆ ทำให้เขากลายเป็น "ผู้เผด็จการทางศาสนา"
วัน เดียวกันที่เมืองพูลัม มีการชุมนุมของชาวพุทธ พระภิกษุ และแม่ชี รวมทั้งผู้หญิงและเด็ก ถูกตำรวจลากตัวอย่างไม่ปราณีขึ้นรถบรรทุกส่งไปยังค่ายกักกันประมาณ ๑,๕๐๐ คน บาตรพระ ลูกประคำ รองเท้า หมวก และสิ่งของหล่นเกลื่อนกลาด
ที่ เจดีย์เกี๊ยกมินท์ มีการชุมนุมของชาวพุทธอย่างสงบโดยการนั่งสมาธิ แต่ตำรวจคริสเตียนก็ไม่ละเว้น ตั้งข้อหาว่า "นั่งสมาธิเพื่อสาปแช่งรัฐบาล" ระดมกำลังเข้าไปทุบตีที่หัว และ ร่างกาย ลากขึ้นรถไปทั้งหมด ที่หน้าตลาดใหญ่กลางกรุงไซ่ง่อน แม่ชี ๑๐๐ คน สวดมนต์อยู่ แต่ตำรวจของ โง เดียม ถึก ก็ระดมตีและจับไปกักขังทั้งหมด (สำนักข่าว ยู.พี.ไอ)
ไซ่ง่อน ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๖
เจดีย์ ใหญ่ซึ่งเป็นที่ปฏิบัติธรรมของพุทธศาสนิกชนอย่างน้อย ๓ แห่งถูกตำรวจปิดล้อมตลอดวัน เว้นแต่ในตอนเช้าจะเปิดให้เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แต่ก็ไม่มีพุทธบริษัทคนใด ออกจากเจดีย์ทั้ง ๓ แห่ง อาหารที่พระภิกษุได้บิณฑบาตไว้ ได้ถูกนำออกมาเลี้ยงพุทธศาสนิกชน และขณะนี้อาหารได้ร่อยหรอลงไปทุกทีแล้ว และบางเจดีย์พระภิกษุและแม่ชี พุทธศาสนิกชน ต้องกินข้าวกับเกลือ แต่ก็ยังต่อสู้ต่อไป(สำนักข่าว ยู.พี.ไอ.)
เมืองเว้ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๖
ตำรวจ คริสเตียนของ โง เดียม ถึก สังฆราชโรมันคาทอลิค ได้ใช้กำลังบุกตะลุยเข้าสู่เจดีย์ ขณะที่มีการสวดมนต์ของพระและพุทธศาสนิกชน ยังผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ๒๐ รูป และ อาการปางตาย ๕ รูปพระภิกษุสงฆ์บางรูปถูกตีซ้ำแล้วซ้ำอีกจนสลบคาที่ (สำนักข่าว เอ.พี)
เมืองเว้ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๖
ภาย ใต้กฎอัยการศึก ตำรวจคริสเตียนจำนวน ๑๒,๐๐๐คน กระจายกำลังเตรียมพร้อมเพื่อทำการกวาดล้าง เข่นฆ่าชาวพุทธอย่างเต็มที่ หลังจาก ที่มีการเผาตัวตายของพระภิกษุ ทิจ เตียว เดียว ในเจดีย์ตูดาม ข่าวแจ้งว่าขณะนี้รอบเจดีย์ตูดามอันเป็นเจดีย์สำคัญของเมืองเว้ มีตำรวจล้อมรอบ และมีลวดหนามล้อมไว้ กันคน ภายในหนีออกมา และตำรวจ ได้ตั้งด่านตรวจผู้คนอย่างเข้มงวดที่สุด ภายในเจดีย์มีพระภิกษุและแม่ชี สวดมนต์ผ่านเครื่องขยายเสียงได้ยินถึงภายนอก ซึ่งมีพุทธศาสนิกชน ที่นั่งอยู่ ตามข้างถนน นอกลวดหนาม ที่ปิดกั้น พนมมือและสวดมนต์ตามไปด้วย สถานการณ์ตึงเครียดพร้อมระเบิดทุกเมื่อ (สำนักข่าว เอ.พี)
นี่ เป็นส่วนหนึ่งในการเข่นฆ่าพุทธศาสนิกชน ที่กระทำโดยรัฐบาลที่นับถือศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิค พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ของรัฐ เหตุการณ์อันสุดหฤโหด ในประวัติศาสตร์มนุษย ชาติ ของการเข่นฆ่า พระภิกษุในพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชนซึ่งมีแต่เสียงสวดมนต์และปราศจากอาวุธ นั้น ไม่มีครั้งใดจะยิ่งใหญ่อำมหิตยิ่งกว่าเหตุการณ์ในเจดีย์ซาลอย กลาง กรุงไซ่ง่อนอีกแล้ว
ชั่วอึดใจเดียวก็มีเสียง ระเบิด และเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว ระคนไปด้วยเสียงระฆัง กลอง เสียงตะโกนให้ช่วย และเสียงพระสวดมนต์พระปริต ดังออกมาจากข้างในเจดีย์
เมื่อ ตำรวจวิ่งขึ้นไปยังชั้นต่างๆ ถึงตัวก็ตีด้วยพานท้ายปืนล้มลง บางองค์ถูกยิง หลายคนถูกระเบิดแก๊สน้ำตา น้ำตาไหลพรากหาทางไปไม่ได้แล้วก็โดนยิงด้วยปืนเข้าที่กลางหลัง พระบางรูป วิ่งขึ้นไปบนยอดเจดีย์ ตีกลองและระฆัง เพราะไม่สามารถจะทำอะไรได้กว่านั้น เพราะไม่มีอาวุธนอกจากไม้สำหรับเคาะบักฮื้อ (ปลาสีแดงเล็กๆ ใช้เคาะพร้อมสวดมนต์) ซึ่งใหญ่กว่าก้านธูปนิดเดียวเท่านั้น ตำรวจคนหนึ่งวิ่งตามขึ้นไปทัน และจับตัวโยนลงมาจากชั้น ๔ ศีรษะกระทบพื้นหินข้างล่างดังสนั่น เลือดกระจาย พระเณรที่เหลืออยู่ ในชั้นสูง ขึ้นไป เอาเครื่องกีดขวางประตูและปิดหน้าต่างด้วยลูกกรงเหล็ก
รถ บรรทุกตำรวจหลายสิบคันที่จอดอยู่ในบริเวณวัด ล้วนถูกอัดแน่นไปด้วย พระภิกษุ (ประมาณ 700 รูป) แม่ชี และพุทธบริษัทอีกหลายร้อยคน ที่ถูกกวาดต้อนมาเหมือนสัตว์ ประเภทหนึ่ง ภายในเจดีย์ยังคงมีเสียงปืน และเสียงระเบิดดังออกมาอย่างไม่ขาดระยะ และหน้าต่างด้านหลังเจดีย์ได้ค่อยๆ เปิดออก พระภิกษุ ๒ รูปก็ปีนหน้าต่างกระโดดออกมา แล้วปีนข้ามเข้าไปในที่จอดรถ เขตบ้านชาวอเมริกันซึ่งรั้วติดกับวัด ตำรวจใช้ปืนกลยิงกระหน่ำ พระองค์หนึ่งร่วงตกลงมากองกับพื้น อีกองค์หนึ่งสามารถหลบรอดไปได้
เช้าตรู่วัน รุ่งขึ้น ประชาชนในไซ่ง่อน ก็แลเห็นตำรวจเต็มท้องถนน และตามสี่แยกต่างๆ รอบๆ เจดีย์ซาลอยและเจดีย์ของวัดพุทธศาสนาอื่นๆ ในไซ่ง่อน ซึ่งได้ถูกทหารเข้ายึด ในคืน เดียวกันกับที่วัดซาลอย ข่าวได้รับทราบทั่วไปว่า พระภิกษุสามเณรและแม่ชีที่ถูกจับจากวัดต่างๆ ในคืนนั้นมีจำนวนกว่า ๑๐,๐๐๐ คน และสังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค โง เดียม ถึก ได้ประกาศกฎอัยการศึกในไซ่ง่อนโดย ห้ามประชาชนที่เป็นพุทธศาสนิกชน ออกจากบ้านเวลา ๒๑.๐๐ น. ถึง ๐๕.๐๐ น. ยกเว้นผู้ที่เป็นคริสเตียน ซึ่งได้รับอนุญาตพิเศษ ตำรวจได้รับคำสั่งให้ยิงทุกคนได้โดยเสรี รวมทั้งเครื่องบินก็ห้ามขึ้นลงในท่าอากาศยานด้วย... ที่โบสถ์คาทอลิคมีการกระจายเสียงว่า รัฐบาล โง ดินห์ เดียม. ประกาศเผาเมือง และ ยอมทิ้งเมืองไซ่ง่อน หากมีการรัฐประหารและแพ้...
ใน ขณะเดียวกันที่เมืองเว้ อันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชทินเกี๊ยตประมุขสงฆ์แห่งพระพุทธศาสนา สมเด็จสังฆราชองค์นี้ได้ถูกจับไปขัง ถูกซ้อม และบังคับให้ออก แถลงการณ์ มอบอำนาจการบริหารคณะสงฆ์ให้กับพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นบาทหลวงคริสต์โรมันคาทอลิค ที่ปลอมเข้าไปบวชเป็นพระสงฆ์พุทธชื่อ ทิจ เทียน หัว ซึ่ง โง เดียม ถึก ได้แต่งตั้งให้เป็น ประธานกรรมการ "คณะกรรมการป้องกันพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ??"
(เหมือน ในประเทศไทย ปี พ.ศ.๒๕๔๒ มีผู้ก่อชนวนฟ้องร้องให้ถอด พระมหาเถระ กรรมการองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย ออกจากตำแหน่ง เพราะไม่ทำตามคำสั่งของนักการเมือง และ ได้ตั้ง องค์กรอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาขึ้นเมื่อ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๒)
ดูแล กิจกรรมศาสนพิธีของชาวพุทธในประเทศเวียตนาม (พุทธศาสนิกชนไม่เลื่อมใส การเข่นฆ่าที่รุนแรงโดยตำรวจคริสเตียนโรมันคาทอลิค ภายใต้การบัญชาการของ โง เดียม ถึก การบัญชาการนั้นข้ามประเทศมาจากกรุงวาติกัน ประเทศอิตาลี ขณะที่นาย โง เดียม ถึก ได้เดินทางไปประชุม VATICAN COUNCIL ๒ และการปราบปรามนี้เรียกว่า "มิชชั่น" หรือ "การรุกแบบตรงตัว" นั่นเอง
ทหารเวียดนามเดินขบวนร่วมกับพุทธศาสนิกชน
ทหาร เวียตนามส่วนใหญ่ในสมัย โง ดินห์ เดียม เป็นพุทธศาสนิกชน การกระทำของ โง ดินห์ เดียม กระทบต่อจิตใจของพวกเขาอย่างร้ายแรง นับตั้งแต่นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ชั้นผู้น้อย และชั้นกลาง ต่างตกอยู่ในฐานะที่ไม่สะดวกใจในการรับคำสั่งจากประธานาธิบดี ถึงขนาดผู้บัญชาการทหารบางเหล่า ปฏิเสธที่จะปฏิบัติการใดๆ อันเป็นการทำร้าย ชาวพุทธ ทหารชาวพุทธไปวัด ไม่ค่อยได้ แม้แต่ขออนุญาตก็ตาม
(เหมือนในประเทศไทย ปี พ.ศ. ๒๕๔๒ กรณีข้าราชการทหารแต่งเครื่องแบบเข้าประกอบการกุศลในวัด แล้วโดนผู้บังคับบัญชาสั่งตั้งกรรมการสอบสวน ทั้งๆ ที่ประเทศไทย ปกครอง ระบอบประชาธิปไตย... มีเสรีภาพในการนับถือศาสนา และไม่มีระเบียบวินัยข้อใด ห้ามแต่งกายเข้าวัด เพื่อประกอบศาสนพิธี ??)
นาย ทหารเวียตนามที่นับถือพระพุทธศาสนากับนายทหารที่นับถือคริสต์ศาสนา ต่างอยู่ในภาวะที่ไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน และอยู่ในฐานะที่ไม่สะดวกใจ ในการรับคำสั่ง หรือ การบัญชาการใดๆ ในเมื่อต้องอยู่ในสังกัดกรมกองเดียวกัน
หลัง จากที่เกิดเหตุการณ์อุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนา พระภิกษุและพุทธศาสนิกชนเผาร่างตนเองนั้น ทำให้นายทหารที่เป็นพุทธศาสนิกชน ซึ่งเป็นนายทหารส่วนใหญ่ของ กองทัพ ไม่พอใจและเสียใจ ต่อการกระทำของรัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง ทหารเวียตนามทั้งกรมรบพิเศษ ผูกผ้าสีเหลืองที่คอ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการสนับสนุนพระพุทธศาสนา โดยแถลงว่า
"พวกเขาไว้ทุกข์ให้พระภิกษุที่ เผาตนเองเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อันเป็นอุดมการณ์ของพุทธศาสนิกชน แต่งเครื่องแบบออกมาเดินขบวนร่วมกับพุทธศาสนิกชน และประกาศว่า พวกเขาพร้อมที่จะรบ และพร้อมที่จะตาย เพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา และแจกจ่ายแถลงการณ์ ข่าวการอุทิศชีวิตของพระทิจ กวาง ดึ๊ก ไปยังสาธารณชน พร้อมเปิดเผย การกระทำ อันไม่ถูกต้องของรัฐบาล แต่ถูกตำรวจคริสเตียนของ โง เดียม ถึก สั่งเก็บเอกสารทั้งหมด
(เหมือน ประเทศไทยปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่มีการสั่งยึดเอกสาร ซึ่งจัดทำโดยนายทหารฝ่ายเสนาธิการสามเหล่าทัพ จากที่ทำการไปรษณีย์ โดยอ้างว่า ทำลายความมั่นคง ซึ่งการกระทำ ของตำรวจนั้น เป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๘ มาตรา ๓๙ และมีความผิดกฎหมายอาญามาตรา ๘๖ ???)
ที่เมืองมีโธ ซึ่งอยู่ทางเหนือไซ่ง่อน ๘๐ กม. ทหารที่นับถือพุทธศาสนาได้ปะทะกับทหารซึ่งเป็นคริสเตียนโรมันคาทอลิคของ โง ดินห์ เดียม มีทหารเสียชีวิต ๖๐๐ นาย บาดเจ็บ ๑,๒๐๐ นาย เป็นนายทหารสัญญาบัตร ๗๐ นาย
(จากคำปราศรัย ของประธานาธิบดี จอนด์ เอฟ เคเนดี้ ทางโทรทัศน์ในวันที่ ๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๐๖ อาจทำให้สามารถวิเคราะห์ได้ว่า เป็นการเห็นด้วย ในการปราบปรามพุทธ ศาสนิกชน โดยรัฐบาล โง ดินห์ เดียม ใช่หรือไม่ ?? ทั้งไม่ปรากฏการกระทำใดๆ หลังจากนั้นอย่างเป็นรูปธรรมจากสหรัฐอเมริกา ในอันที่จะระงับการใช้กำลังปราบปราม เข่นฆ่า ชาวพุทธอย่างป่าเถื่อน ซึ่งไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ของโลก และนี่คือก้าวแรกของความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกา ในสงครามเวียตนาม ในการยึดฐานมวลชน ทางด้าน จิตวิทยา ที่สหรัฐพลาดในการวิเคราะห์พื้นฐาน ความสำนึกในชาติ และศาสนา ของชาวเวียตนาม)
http://gotoknow.org/blog/peacewarrior/90247
ผ่านมา 3 ปี ตัวละคอน มากมาย ได้โผล่ให้เราได้รับทราบกัน ว่าใครเป็นใคร อย่างไร และทำมัย ...
การปกครองด้วย ชนกลุ่มน้อย... (พวก วรรณะ "จัญไร" )
อันประำกอบไปด้วย
- อำมาตย์
- กลุ่มทุนไดโนเสาร์
- กลุ่มทุนสี เทา / ดำ
- กลุ่ม พ่อค้า/แม่ค้า อยากมีสี มี อินฟร๊วน
- กากเดนศักดินาฯ หลงยุค
- ข้าราชการ ในระบบ รับ/ส่ง ส่วย
- นักวิชาเกิน... เล็งผลเลิศ หวัง ตำแหน่ง รศ ศจ ... เป็นรางวัล
- ยังเปรต
- พวก นักไต่สังคม ชั้่นเลว..
ฯลฯ
โดย มี ปืน / กม. / ตราชู / สื่อ .... เป็นอาวุธ
การสร้างชนกลุ่มน้อย กระจุกหนึ่ง มาเป็น ผู้ชี้ ผิด / ชี้ถูกสังคม ... มาปกครองประเทศ อย่างเบ็ดเสร็จ...
นี้มัน เวียดนามใต้ โมเดล ชัด ๆๆ
สุดท้ายแล้ว ก็จะสิ้นชาติ...
------------------------------
เวียดนามใต้... ในยุคนั้น....
ชาวคริสฯ 12% ปกครองชาวพุทธ 80% กว่า ของประเทศ
รัฐบาล ชาวคริสฯ ทำทุกอย่าง เีพียงเพื่อ เอาใจ เจ้านายฯ
เป็นเด็กดีของ เ้จ้านายฯ
การกลั่นแกล้ง แล้วใช้ กม. 2 มาตราฐาน มาบังคับใช้
การตัดสิน อรรถคดี ที่ตีความตั้งใจจะให้ผิดให้ได้
การกล่าวเท็จ... แล้วยัดข้อหา เรื่อยเปื่อย
เป็น วัฒนธรรม พวก คูลคั๊กแคน มีลักษณะ พฤติกรรมแบบเดียวกัน
จะพูดกดหัว ทำเป็น ชนชั้นที่ เหนือกว่า...
เพื่อการสร้างความชอบทำ ในการกระทำตามอำเภอใจ
จนถึงใช้กำลังเข้าเข่นฆ่าคนที่เห็นต่าง.....
มันจะต่างอะไร กับ คนสีแดง ที่มีอยู่ 80 กับ คนเสื้อขี้ ที่มีแค่ ไม่ถึง 10%
แต่ทำอะไร ก็จะมีบุคคลระดับสูงคอยให้ท้าย ว่าดี ว่าประเสริฐ
มันต่างกันตรงไหน... เหมือนกัน ไม่แตกต่าง...
สุดท้าย ก็คงอาจจะถึงกับ สิ้นชาติ ... ก็ได้ใครจะไปรู้
--------------------------
ลองอ่าน บางส่วน ที่มีคนเค้าเขียนเอาไว้นะครับ แล้วลองเปรียบเทียบกันดู.........
พระพุทธศาสนาในเวียดนาม ฤาประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย
ชาวพุทธสละชีพเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา..........
---------------------------
ดัง ที่ได้กล่าวไปแล้วว่าเมืองเว้ เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชประมุขสงฆ์ในพุทธศาสนา เมืองเว้นี้อยู่ห่างจากไซ่ง่อนไปทางเหนือ ๔๐๐ ไมล์
ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๖ เป็นเวลาที่ โง เดียม ถึก สังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิคเวียตนาม ซึ่งเดินทางไปประชุมสังคายนาวาติกัน ๒ (VATICAN COUNCIL ๒) ณ กรุงวาติกัน ประเทศ อิตาลี ได้แถลงต่อที่ประชุมวาติกันว่า "ประเทศเวียตนามเป็นประชากรของพระเจ้า ประชาชนเวียตนามล้วนนับถือในพระเจ้าและซื่อสัตย์ต่อสันตะปาปา" พร้อมกันนั้น ได้โทรเลข ด่วน สั่งให้บาทหลวงคริสเตียนโรมันคาทอลิค ใต้บังคับบัญชาของตน ในเมืองเว้
สั่งให้ประชาชน ทุกบ้านชักธงรูปไม้กางเขนอันเป็นธงทางศาสนาของคริสเตียนโรมันคาทอลิคขึ้น เพื่อเป็นข่าวทางสื่อมวลชนยืนยันให้สันตะปาปาเชื่อถือ และมอบตำแหน่ง คาร์ดินัล ให้กับโง เดียม ถึก (การชักธงทางศาสนาดังกล่าว เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายว่าด้วยการชักธงของเวียตนามใต้ แต่กฎหมายที่ออกมานี้ ออกมาเพื่อใช้บังคับในพุทธศาสนา เท่านั้น)
ในวันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๖ (สองวันต่อมา) ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา พุทธศาสนิกชนในเมืองเว้ จึงได้ชักธงทางพุทธศาสนาขึ้นบ้าง แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้ดำเนินการนำธง ลงจากเสา แล้วนำไปเผาทิ้ง พร้อมทั้งประกาศห้ามประชาชนในเมืองเว้ ชักธงทางพุทธศาสนา และห้ามชุมนุมประกอบพิธีวิสาขบูชาเด็ดขาด (เหมือนในเมืองไทยปี พ.ศ.๒๕๔๒ มีการอ้างเรื่องธงประจำวัด เพื่อใช้สร้างกระแสทำลายพุทธแบบเดียวกัน และมีการออกหนังสือห้ามพระภิกษุสงฆ์ทั่วประเทศ มาปฏิบัติศาสนกิจกับวัด ?) และห้ามชุมนุมประกอบ พิธี วิสาขบูชา เด็ดขาดหากผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องถูกลงโทษโดยเด็ดขาด ฐานกบฏ
พุทธ ศาสนิกชนที่ได้เดินทาง เพื่อจะมาร่วมศาสนพิธีวันวิสาขบูชา ในเมืองเว้ประมาณ ๑๐,๐๐๐ คน แทนที่จะได้ปฏิบัติกุศลกิจ กลับถูกห้ามปรามเช่นนั้น จึงได้เดินขบวน ประท้วง รัฐบาล ในจำนวนนั้นมีพระสงฆ์ สามเณร และนางชี ถึง ๒,๐๐๐ รูป เดินเป็นแถวหน้า
เมื่อ บาทหลวง โรมันคาทอลิครู้เรื่อง จึงโทรเลขด่วนไปยัง โง เดียม ถึก ที่วาติกัน กรุงโรม ว่าควรดำเนินการอย่างไรต่อไป โง เดียม ถึก จึงโทรเลขสั่งให้ปราบปรามแบบ "มิชชั่น" กับ พุทธศาสนิกชนในฐานะศัตรูพระเจ้า โดยปฏิบัติตาม VATICAN COUNCIL ๒ ข้อที่ ๗:๗
นั่นหมายถึงให้ปราบปรามอย่างรุนแรงเด็ดขาด ไม่ต้องคำนึงถึงรูปแบบและวิธีการ (บาทหลวงคริสเตียนเวียตนาม จะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าตำรวจลับในท้องถิ่น และมีอำนาจ สั่งการ เจ้าหน้าที่ของรัฐได้อีกด้วย) เจ้าหน้าที่ตำรวจคริสเตียน ได้ขับรถบรรทุกชนฝ่าเข้าไปกลางขบวน อันมีพระภิกษุสงฆ์และนางชี ซึ่งเดินเป็นแถวหน้าถูกรถทับตาย ในทันที ๗๐ รูป พุทธศาสนิกชนตาย ๓๐ คน และบาดเจ็บจำนวนพันกว่าคน จากการถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตีด้วยกระบอง เพื่อสลายการเดินขบวน ที่เหลือถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม คุมขัง ไปทั้งหมด
บาทหลวงคริสเตียนผู้ทำหน้าที่สั่งการตำรวจ นั้น ได้แถลงแทนรัฐบาลว่า "ผู้เดินขบวนเป็นคอมมิวนิสต์ พระสงฆ์ และนางชีเป็น แนวร่วมคอมมิวนิสต์ที่ต้องการทำลาย ศาสนา และเป็นผู้ขว้างระเบิดทำลายโบสถ์คริสต์??
" ได้มีการจับกุมพุทธศาสนิกชนผู้เกี่ยวข้องในการเดินขบวนนี้ ซึ่งมีทั้งพระภิกษุ สามเณร นางชี และพุทธศาสนิกชนอีกหลายพันคน ข่าวการปราบปรามชาวพุทธนี้ ได้ถูกสั่งห้าม มิให้มีการเสนอข่าวต่อสื่อมวลชน และ CIA ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่หน่วยรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ตรวจสอบข่าวสารทางการทูตที่จะส่งออกไปนอกประเทศเวียตนามโดยเข้มงวด เพราะไม่ต้องการให้กระเทือนสถานภาพของรัฐบาล โง ดินห์ เดียม ซึ่งสหรัฐอเมริกามีผลประโยชน์ร่วมอยู่ด้วย
จาก สาเหตุการปราบปรามดังกล่าวแม้ทางการจะปิดข่าวโดยวิธีการใดๆ ก็ตาม ข่าวนี้ก็ได้กระจายออกไปสู่เมืองต่างๆ ในเดือนมิถุนายน และเดือนกรกฎาคม ปีเดียวกันนั้น ได้มี การเดินขบวนประท้วงรัฐบาลและโง เดียน ถึก เกิดขึ้นไปทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องพอสรุปเหตุการณ์สำคัญได้ ดังนี้
วันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๖ ได้มีการเดินขบวนหน้ารัฐสภา โดยมีป้ายแสดงข้อความว่าเรียกร้องรัฐบาลทำข้อตกลง หยุดทำร้ายเข่นฆ่าพุทธบริษัทในทันที หากไม่ทำสัญญา ชาวพุทธจะเผาตัวเอง เป็นการป้องกันพระพุทธศาสนา
วันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๐๖ รัฐบาลไม่ยอมสัญญาใดๆ วัดพุทธแถบนอกเมืองเว้ถูกตำรวจเข้าเผาทำลาย ชาวพุทธเริ่มอดอาหารประท้วง มีพระภิกษุ ๒ รูป เสนอความจำนงค์ จะปลงชีพตนเองปกป้องพระพุทธศาสนา
วันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๖
พระ ภิกษุในพุทธศาสนานาม ทิจ กวาง ดึ๊ก อายุ ๗๓ ปี ทนเห็นความทารุณโหดร้าย ในการใช้อำนาจรัฐปราบปรามเข่นฆ่าชาวพุทธต่อไปไม่ไหว จึงได้ประกาศอุทิศชีวิต เพื่อป้องกันพระพุทธศาสนาโดยได้เขียนข้อเรียกร้องต่อ รัฐบาล โง ดินห์ เดียม ว่า
๑. เพื่อป้องกันพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาดั้งเดิมของประเทศชาติ
๒. ขอเตือนการกระทำที่บีบคั้น และฆ่าพระภิกษุ นางชี และคนทั่วไปในประเทศ
๓. ขอร้องให้ท่านมอบอิสรภาพ ให้แก่ผู้นำชาวพุทธทั้งหลาย ในคณะกรรมการป้องกัน พระพุทธศาสนา พระภิกษุ นางชี และพุทธ ศาสนิกชน ที่ถูกจับขังอยู่ ในขณะนี้
๔. ให้ยุติสถานการณ์เลวร้าย และเลิกจับพระภิกษุ นางชี และพุทธศาสนิกชนอีก
๕. ให้เลิกองค์การคณะสงฆ์รวมทั้งบุคคลที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาหลอกลวง ปิดบังความจริงเป็นเหตุให้ประชาชนโง่เขลา
๖ คณะกรรมการสหพันธ์เพื่อพระพุทธศาสนาที่บริสุทธิ์ ที่รัฐบาล โง ดินห์ เดียม และพี่ชายตั้งขึ้นมาเพื่อหลอกลวงประชาชน
หลัง จากได้เขียนข้อเรียกร้องเสร็จ ท่านก็ได้เข้าสู่ขบวนพุทธศาสนิกชนประมาณ ๑,๐๐๐ คนด้วยความสงบ เพื่อไปสวดมนต์อุทิศส่วนกุศลให้ พระภิกษุ สามเณร แม่ชี และ พุทธศาสนิกชนที่ถูกเจ้าหน้าที่ขับรถพุ่งชนเสียชีวิตในวันที่ ๘ พ.ค.๒๕๐๖ ที่ผ่านมา จากนั้นขบวนชาวพุทธศาสนิกชนก็เดินต่อไปอย่างสงบ โดยมีรถนำพระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก ไปยังกลางเมืองหลวง พระภิกษุผู้เสียสละวัย ๗๓ ปีได้ก้าวลงจากรถไปนั่งขัดสมาธิกลางวงเวียนซึ่งมีพุทธบริษัทแวดล้อมเป็นวง ใหญ่ พุทธบริษัท
ได้ หยิบถังน้ำมันเบนซิน ๕ แกลลอนออกมาจากรถคันนั้น แล้วเอาน้ำมันราดบนพระภิกษุ ทิจ กวาง ดึ๊ก จนหมด ต่อจากนั้นก็เอาไฟจุดร่างนั้น ไฟลุกโชติช่วง ท่วมร่างของ พระภิกษุ ผู้เสียสละ ขณะที่ไฟลุกท่วมร่างอยู่ปรากฏว่าพระภิกษุวัย ๗๓ คงนั่งนิ่งด้วยสมาธิจิตอันแน่วแน่ไม่ไหวติง ไม่แสดงอาการทุกข์เวทนาในสังขารแต่อย่างใดเลย เปลวไฟอันร้อนระอุ ได้เผาจีวร และผิวหนังไหม้เกรียม อยู่ประมาณ ๑๐ นาที ร่างของท่านที่นั่งขัดสมาธิอยู่นั้น ก็หงายหลังอย่างเงียบสงบ
นี่ คือพระภิกษุในพระพุทธศาสนาที่ได้เสียสละชีวิตเพื่อพิทักษ์พุทธศาสนา นับเป็นรูปแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ การพลีชีพของท่านนั้น นอกจากจะเป็นการปฏิบัติตาม คำ ประกาศในนามพุทธศาสนิกชน ที่จะสละชีวิตรักษาพระพุทธศาสนา ให้พ้นจากการกลั่นแกล้งบีบคั้น และปราบปรามจากรัฐบาล โง ดินห์ เดียม แล้วยังแสดงถึงความเด็ดเดี่ยว มั่นคง ของพุทธศาสนิกชนด้วย สรีระของท่านถูกห่อหุ้มด้วยธงธรรมจักร พุทธบริษัทจำนวน ๑,๐๐๐ คน พากันอัญเชิญสรีระของท่านไปไว้ ณ เจดีย์วัดซาลอย ในเมืองเว้
หลังจากนั้นได้มีพุทธบริษัทสละ ชีพเพื่อพระพุทธศาสนาอีก คือ สามเณรวัย ๑๗ และพระภิกษุวัย ๗๑ ที่เมืองเว้ แม่ชีที่เมืองนาตรัง พระภิกษุ เล้ อายุ ๒๐ อุทิศร่างเผาตนในเจดีย์ ซึ่งมีพระภิกษุอีก ๒ รูปที่อดอาหารประท้วงมากว่า ๑๐ วัน ที่เมืองพานเทียต ห่างจากไซ่ง่อน ๑๐๐ ไมล์ แม่ชีเยียง เหียน อุทิศร่างเผาตน ประท้วงการกดขี่เข่นฆ่าชาวพุทธ ของ สังฆราชคริสเตียน
โรมัน คาทอลิค โง เดียม ถึก และที่เจดีย์หูดาม ซึ่งเป็นเจดีย์ใหญ่ที่สุดใน เมืองเว้ พระภิกษุวัย ๗๑ ปี ได้พลีชีพอุทิศร่างพิทักษ์พระพุทธศาสนาอีกเช่นกัน
วัน อาทิตย์ ที่หน้าโบสถ์คริสต์โรมันคาทอลิคในไซ่ง่อน พระภิกษุ ทิจ เทียน มี หรือ ฮวางเมียว ได้นั่งขัดสมาธิ รดร่างชุ่มโชกด้วยน้ำมันก๊าด แล้วจุดไฟเผาสรีระของท่านด้วยตนเอง เมื่อเวลา ๑๐.๐๐ น. ขณะที่ชาวเวียตนามเข้ารีตคริสต์อยู่ในโบสถ์นั้นประมาณ ๑,๐๐๐ คน ท่านได้เขียนจดหมายถึงสังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค โง เดียม ถึก และ ประธานาธิบดี โง ดินห์ เดียม เพื่อขอความเป็นธรรมให้เลิกฆ่าและปราบปรามพุทธศาสนิกชน
อุบาสิกา มาย เกี๊ยต อุทิศชีวิตพิทักษ์พุทธศาสนา ในไซ่ง่อน ด้วยการเอาขวานสับข้อมือตัวเอง แล้วเอามือที่ขาดนั้น ผูกกับหนังสือประท้วงการปราบปราม ของคริสเตียนโรมัน คาทอลิค ส่งให้รัฐบาล ?
จากการอุทิศชีวิตโดยการเผาตัวเองเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนานี้เอง ทำให้มีพุทธบริษัทเผาตัวเองตามอีกมากมาย
รัฐบาล โง ดินห์ เดียม ได้ประกาศว่าจะทำตามข้อเรียกร้องในจดหมายของ พระ ทิจ กวาง ดึ๊ก ที่อุทิศชีวิตเผาตัวเองนั้น แต่นั่นเป็นเพียงคำพูดที่กลับกลอกหาความจริงใดๆ ไม่ได้ กลับกลายเป็นสัญญาณไฟเขียวให้ สังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค โง เดียม ถึก เร่งใช้อำนาจผ่านตำรวจในสังกัด ทำการฆ่าและทำร้ายพระภิกษุ และพุทธบริษัท รุนแรงหนักขึ้น ไปอีก และ กลับกลายเป็นว่า พุทธศาสนิกชนเหล่านี้คือผู้ที่ร่วมมือกับฝ่ายตรงข้ามต้องการล้มล้างรัฐบาล
ตำรวจคริสเตียนของ โง เดียม ถึก ได้ทำการเผาวัด ฆ่าพระภิกษุสงฆ์ระดับผู้ใหญ่ นางชี และพุทธศาสนิกชนหนักยิ่งกว่าเดิมขึ้นไปอีก
- วัดกลายเป็นที่ต้องห้ามของการทำศาสนพิธี โดยมีลวดหนามและสิ่งกีดขวาง ไปปิดกั้นตามถนนในเมืองใหญ่ๆ เช่นเว้ และไซ่ง่อน
- พระภิกษุหรือผู้ใส่ชุดขาวหรือชุดอุบาสกออุบาสิกา คือผู้สวมเครื่องแบบของผู้ทำลายความมั่นคงของรัฐบาล
- พระภิกษุสงฆ์โกนศีรษะโล้นห่มผ้ากาสาวพัสสตร์ คือเป้าหมายของตำรวจเวียตนามที่เข้ารีตเป็นคริสเตียนโรมันคาทอลิค
ภาพ ของพระสงฆ์ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจไล่ยิง จนกระทั่งมรณภาพบนบาทวิถี กลายเป็นภาพที่ประชาชนเห็นเป็นปกติ ศพของพุทธศาสนิกชน ที่ทับถมตามฐานเจดีย์ คือสิ่งที่เกิดขึ้น ทุกวัน
ไซ่ง่อน ๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๖
รัฐบาล คริสเตียนโรมันคาทอลิค โง ดินห์ เดียม ปฏิเสธอย่างเป็นทางการ ที่จะไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ได้ให้ไว้ว่า จะเลิกปราบปราม และ เข่นฆ่า ชาวพุทธ จึงมีความคาดหมาย กันว่า อาจมีการเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
"เจ้า หน้าที่กรมการศาสนา" (สังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค โง เดียม ถึก ควบคุม) ได้บังคับให้องค์กรปกครองคณะสงฆ์เวียตนาม พระภิกษุสงฆ์เจ้าอาวาสวัดในพุทธศาสนา องค์กรพุทธศาสนา ลงนามเซ็นชื่อรับรองว่า จะซื่อสัตย์ต่อรัฐบาล โง ดินห์ เดียม และจะเชื่อฟัง โง เดียม ถึก ซึ่งเป็นสังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค รวมทั้งอยู่ใต้คำสั่งของสมาคม สงฆ์ แห่งชาติ (ที่รัฐบาลตั้งขึ้นเท่านั้น) และจะไม่จัดการเคลื่อนไหวประท้วงใดๆ (สำนักข่าว ยู.พี.ไอ.)
ไซ่ง่อน ๔ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๖
เกิด การเล่นสกปรกขึ้น ซึ่งมีรัฐบาลประธานาธิบดี โง ดินห์ เดียม ผู้ถือคริสต์ศาสนา กำลังบีบคั้นพุทธศาสนิกชนที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ก็คือ มีมือมืดได้ "ลอบวางยา" พระภิกษุสงฆ์ชั้นสูง ในพระพุทธศาสนาหลายรูป
(เหมือน ประเทศไทย ปี พ.ศ.๒๕๔๒ หลวงปู่โง่น ได้ถูกวางยาพิษหลังจากกลับจากยุโรป แพทย์ไม่ยอมให้ผ่าตัดพิสูจน์ศพ และเกิดกับพระสายปฏิบัติกรรมฐาน สมาธิจิต แถบภาค อีสานของไทย หลายรูป) จนกระทั่งอาพาธหนักต้องเข้าโรงพยาบาลจำนวนถึง ๒๐ รูป
โฆษกชาวพุทธได้กล่าวเพิ่มเติมว่า การปฏิบัติของรัฐบาล โง ดินห์ เดียม ที่ปราบปราม ชาวพุทธนั้น ได้ทวีความรุนแรงขึ้น และเตือนให้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายพึงระวังตัว (สำนักข่าว ยู.พี.ไอ)
ไซ่ง่อน ๘ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๖
มี ผู้ฆ่าตัวตายเพื่อประท้วงรัฐบาล ที่ปราบปราม เข่นฆ่าชาวพุทธ ผู้ฆ่าตัวตายผู้นี้เป็นนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล เป็นผู้นับถือพุทธศาสนา ชื่อ เหงียน เทือง ทัม ได้กินยาพิษและไปเสีย ชีวิต ที่โรงพยาบาล ทั้งนี้เนื่องจากเขาได้ถูกกล่าวหาจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจของสังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค โง เดียม ถึก ว่าทำลายความมั่นคง ของชาติ โดยกระทำตัว เข้าข้างชาวพุทธ และวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล นายเหงียน เทือง ทัม ได้เขียนจดหมายขอให้รัฐบาล หยุดการเข่นฆ่าพระสงฆ์ชาวพุทธ ไว้ ก่อนตาย (สำนักข่าว รอยเตอร์)
ไซ่ง่อน ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๖
ตำรวจ คริสเตียนของ โง เดียม ถึก ได้ใช้อำนาจเข่นฆ่าชาวพุทธอย่างโหดเหี้ยมทารุณ บางพวกได้เข้าบุกตีกระหน่ำกลุ่มชาวพุทธที่มาชุมนุมเรียกร้อง บางคนก็ล็อคคอผู้หญิง ลาก ขึ้นรถบรรทุกไป เข้าค่ายกักกันเป็นจำนวนหลายร้อย ทั้งพระภิกษุ แม่ชี ฆราวาสทั้งหญิงชาย ตลอดจนกระทั่งเด็ก ประธานาธิบดีโง ดินห์ เดียม ได้ตัดสินใจ "ขยี้" ประชาชน ชาวพุทธที่มีเป็นส่วนใหญ่ ๙๐% ในเวียตนามใต้แล้ว โดยไม่รับฟังและไม่ยินยอมตามคำเรียกร้องใดๆ ทำให้เขากลายเป็น "ผู้เผด็จการทางศาสนา"
วัน เดียวกันที่เมืองพูลัม มีการชุมนุมของชาวพุทธ พระภิกษุ และแม่ชี รวมทั้งผู้หญิงและเด็ก ถูกตำรวจลากตัวอย่างไม่ปราณีขึ้นรถบรรทุกส่งไปยังค่ายกักกันประมาณ ๑,๕๐๐ คน บาตรพระ ลูกประคำ รองเท้า หมวก และสิ่งของหล่นเกลื่อนกลาด
ที่ เจดีย์เกี๊ยกมินท์ มีการชุมนุมของชาวพุทธอย่างสงบโดยการนั่งสมาธิ แต่ตำรวจคริสเตียนก็ไม่ละเว้น ตั้งข้อหาว่า "นั่งสมาธิเพื่อสาปแช่งรัฐบาล" ระดมกำลังเข้าไปทุบตีที่หัว และ ร่างกาย ลากขึ้นรถไปทั้งหมด ที่หน้าตลาดใหญ่กลางกรุงไซ่ง่อน แม่ชี ๑๐๐ คน สวดมนต์อยู่ แต่ตำรวจของ โง เดียม ถึก ก็ระดมตีและจับไปกักขังทั้งหมด (สำนักข่าว ยู.พี.ไอ)
ไซ่ง่อน ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๐๖
เจดีย์ ใหญ่ซึ่งเป็นที่ปฏิบัติธรรมของพุทธศาสนิกชนอย่างน้อย ๓ แห่งถูกตำรวจปิดล้อมตลอดวัน เว้นแต่ในตอนเช้าจะเปิดให้เพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แต่ก็ไม่มีพุทธบริษัทคนใด ออกจากเจดีย์ทั้ง ๓ แห่ง อาหารที่พระภิกษุได้บิณฑบาตไว้ ได้ถูกนำออกมาเลี้ยงพุทธศาสนิกชน และขณะนี้อาหารได้ร่อยหรอลงไปทุกทีแล้ว และบางเจดีย์พระภิกษุและแม่ชี พุทธศาสนิกชน ต้องกินข้าวกับเกลือ แต่ก็ยังต่อสู้ต่อไป(สำนักข่าว ยู.พี.ไอ.)
เมืองเว้ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๖
ตำรวจ คริสเตียนของ โง เดียม ถึก สังฆราชโรมันคาทอลิค ได้ใช้กำลังบุกตะลุยเข้าสู่เจดีย์ ขณะที่มีการสวดมนต์ของพระและพุทธศาสนิกชน ยังผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ๒๐ รูป และ อาการปางตาย ๕ รูปพระภิกษุสงฆ์บางรูปถูกตีซ้ำแล้วซ้ำอีกจนสลบคาที่ (สำนักข่าว เอ.พี)
เมืองเว้ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๐๖
ภาย ใต้กฎอัยการศึก ตำรวจคริสเตียนจำนวน ๑๒,๐๐๐คน กระจายกำลังเตรียมพร้อมเพื่อทำการกวาดล้าง เข่นฆ่าชาวพุทธอย่างเต็มที่ หลังจาก ที่มีการเผาตัวตายของพระภิกษุ ทิจ เตียว เดียว ในเจดีย์ตูดาม ข่าวแจ้งว่าขณะนี้รอบเจดีย์ตูดามอันเป็นเจดีย์สำคัญของเมืองเว้ มีตำรวจล้อมรอบ และมีลวดหนามล้อมไว้ กันคน ภายในหนีออกมา และตำรวจ ได้ตั้งด่านตรวจผู้คนอย่างเข้มงวดที่สุด ภายในเจดีย์มีพระภิกษุและแม่ชี สวดมนต์ผ่านเครื่องขยายเสียงได้ยินถึงภายนอก ซึ่งมีพุทธศาสนิกชน ที่นั่งอยู่ ตามข้างถนน นอกลวดหนาม ที่ปิดกั้น พนมมือและสวดมนต์ตามไปด้วย สถานการณ์ตึงเครียดพร้อมระเบิดทุกเมื่อ (สำนักข่าว เอ.พี)
นี่ เป็นส่วนหนึ่งในการเข่นฆ่าพุทธศาสนิกชน ที่กระทำโดยรัฐบาลที่นับถือศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิค พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ของรัฐ เหตุการณ์อันสุดหฤโหด ในประวัติศาสตร์มนุษย ชาติ ของการเข่นฆ่า พระภิกษุในพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชนซึ่งมีแต่เสียงสวดมนต์และปราศจากอาวุธ นั้น ไม่มีครั้งใดจะยิ่งใหญ่อำมหิตยิ่งกว่าเหตุการณ์ในเจดีย์ซาลอย กลาง กรุงไซ่ง่อนอีกแล้ว
ชั่วอึดใจเดียวก็มีเสียง ระเบิด และเสียงปืนดังสนั่นหวั่นไหว ระคนไปด้วยเสียงระฆัง กลอง เสียงตะโกนให้ช่วย และเสียงพระสวดมนต์พระปริต ดังออกมาจากข้างในเจดีย์
เมื่อ ตำรวจวิ่งขึ้นไปยังชั้นต่างๆ ถึงตัวก็ตีด้วยพานท้ายปืนล้มลง บางองค์ถูกยิง หลายคนถูกระเบิดแก๊สน้ำตา น้ำตาไหลพรากหาทางไปไม่ได้แล้วก็โดนยิงด้วยปืนเข้าที่กลางหลัง พระบางรูป วิ่งขึ้นไปบนยอดเจดีย์ ตีกลองและระฆัง เพราะไม่สามารถจะทำอะไรได้กว่านั้น เพราะไม่มีอาวุธนอกจากไม้สำหรับเคาะบักฮื้อ (ปลาสีแดงเล็กๆ ใช้เคาะพร้อมสวดมนต์) ซึ่งใหญ่กว่าก้านธูปนิดเดียวเท่านั้น ตำรวจคนหนึ่งวิ่งตามขึ้นไปทัน และจับตัวโยนลงมาจากชั้น ๔ ศีรษะกระทบพื้นหินข้างล่างดังสนั่น เลือดกระจาย พระเณรที่เหลืออยู่ ในชั้นสูง ขึ้นไป เอาเครื่องกีดขวางประตูและปิดหน้าต่างด้วยลูกกรงเหล็ก
รถ บรรทุกตำรวจหลายสิบคันที่จอดอยู่ในบริเวณวัด ล้วนถูกอัดแน่นไปด้วย พระภิกษุ (ประมาณ 700 รูป) แม่ชี และพุทธบริษัทอีกหลายร้อยคน ที่ถูกกวาดต้อนมาเหมือนสัตว์ ประเภทหนึ่ง ภายในเจดีย์ยังคงมีเสียงปืน และเสียงระเบิดดังออกมาอย่างไม่ขาดระยะ และหน้าต่างด้านหลังเจดีย์ได้ค่อยๆ เปิดออก พระภิกษุ ๒ รูปก็ปีนหน้าต่างกระโดดออกมา แล้วปีนข้ามเข้าไปในที่จอดรถ เขตบ้านชาวอเมริกันซึ่งรั้วติดกับวัด ตำรวจใช้ปืนกลยิงกระหน่ำ พระองค์หนึ่งร่วงตกลงมากองกับพื้น อีกองค์หนึ่งสามารถหลบรอดไปได้
เช้าตรู่วัน รุ่งขึ้น ประชาชนในไซ่ง่อน ก็แลเห็นตำรวจเต็มท้องถนน และตามสี่แยกต่างๆ รอบๆ เจดีย์ซาลอยและเจดีย์ของวัดพุทธศาสนาอื่นๆ ในไซ่ง่อน ซึ่งได้ถูกทหารเข้ายึด ในคืน เดียวกันกับที่วัดซาลอย ข่าวได้รับทราบทั่วไปว่า พระภิกษุสามเณรและแม่ชีที่ถูกจับจากวัดต่างๆ ในคืนนั้นมีจำนวนกว่า ๑๐,๐๐๐ คน และสังฆราชคริสเตียนโรมันคาทอลิค โง เดียม ถึก ได้ประกาศกฎอัยการศึกในไซ่ง่อนโดย ห้ามประชาชนที่เป็นพุทธศาสนิกชน ออกจากบ้านเวลา ๒๑.๐๐ น. ถึง ๐๕.๐๐ น. ยกเว้นผู้ที่เป็นคริสเตียน ซึ่งได้รับอนุญาตพิเศษ ตำรวจได้รับคำสั่งให้ยิงทุกคนได้โดยเสรี รวมทั้งเครื่องบินก็ห้ามขึ้นลงในท่าอากาศยานด้วย... ที่โบสถ์คาทอลิคมีการกระจายเสียงว่า รัฐบาล โง ดินห์ เดียม. ประกาศเผาเมือง และ ยอมทิ้งเมืองไซ่ง่อน หากมีการรัฐประหารและแพ้...
ใน ขณะเดียวกันที่เมืองเว้ อันเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชทินเกี๊ยตประมุขสงฆ์แห่งพระพุทธศาสนา สมเด็จสังฆราชองค์นี้ได้ถูกจับไปขัง ถูกซ้อม และบังคับให้ออก แถลงการณ์ มอบอำนาจการบริหารคณะสงฆ์ให้กับพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นบาทหลวงคริสต์โรมันคาทอลิค ที่ปลอมเข้าไปบวชเป็นพระสงฆ์พุทธชื่อ ทิจ เทียน หัว ซึ่ง โง เดียม ถึก ได้แต่งตั้งให้เป็น ประธานกรรมการ "คณะกรรมการป้องกันพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ??"
(เหมือน ในประเทศไทย ปี พ.ศ.๒๕๔๒ มีผู้ก่อชนวนฟ้องร้องให้ถอด พระมหาเถระ กรรมการองค์กรปกครองคณะสงฆ์ไทย ออกจากตำแหน่ง เพราะไม่ทำตามคำสั่งของนักการเมือง และ ได้ตั้ง องค์กรอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาขึ้นเมื่อ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๒)
ดูแล กิจกรรมศาสนพิธีของชาวพุทธในประเทศเวียตนาม (พุทธศาสนิกชนไม่เลื่อมใส การเข่นฆ่าที่รุนแรงโดยตำรวจคริสเตียนโรมันคาทอลิค ภายใต้การบัญชาการของ โง เดียม ถึก การบัญชาการนั้นข้ามประเทศมาจากกรุงวาติกัน ประเทศอิตาลี ขณะที่นาย โง เดียม ถึก ได้เดินทางไปประชุม VATICAN COUNCIL ๒ และการปราบปรามนี้เรียกว่า "มิชชั่น" หรือ "การรุกแบบตรงตัว" นั่นเอง
ทหารเวียดนามเดินขบวนร่วมกับพุทธศาสนิกชน
ทหาร เวียตนามส่วนใหญ่ในสมัย โง ดินห์ เดียม เป็นพุทธศาสนิกชน การกระทำของ โง ดินห์ เดียม กระทบต่อจิตใจของพวกเขาอย่างร้ายแรง นับตั้งแต่นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ชั้นผู้น้อย และชั้นกลาง ต่างตกอยู่ในฐานะที่ไม่สะดวกใจในการรับคำสั่งจากประธานาธิบดี ถึงขนาดผู้บัญชาการทหารบางเหล่า ปฏิเสธที่จะปฏิบัติการใดๆ อันเป็นการทำร้าย ชาวพุทธ ทหารชาวพุทธไปวัด ไม่ค่อยได้ แม้แต่ขออนุญาตก็ตาม
(เหมือนในประเทศไทย ปี พ.ศ. ๒๕๔๒ กรณีข้าราชการทหารแต่งเครื่องแบบเข้าประกอบการกุศลในวัด แล้วโดนผู้บังคับบัญชาสั่งตั้งกรรมการสอบสวน ทั้งๆ ที่ประเทศไทย ปกครอง ระบอบประชาธิปไตย... มีเสรีภาพในการนับถือศาสนา และไม่มีระเบียบวินัยข้อใด ห้ามแต่งกายเข้าวัด เพื่อประกอบศาสนพิธี ??)
นาย ทหารเวียตนามที่นับถือพระพุทธศาสนากับนายทหารที่นับถือคริสต์ศาสนา ต่างอยู่ในภาวะที่ไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน และอยู่ในฐานะที่ไม่สะดวกใจ ในการรับคำสั่ง หรือ การบัญชาการใดๆ ในเมื่อต้องอยู่ในสังกัดกรมกองเดียวกัน
หลัง จากที่เกิดเหตุการณ์อุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนา พระภิกษุและพุทธศาสนิกชนเผาร่างตนเองนั้น ทำให้นายทหารที่เป็นพุทธศาสนิกชน ซึ่งเป็นนายทหารส่วนใหญ่ของ กองทัพ ไม่พอใจและเสียใจ ต่อการกระทำของรัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง ทหารเวียตนามทั้งกรมรบพิเศษ ผูกผ้าสีเหลืองที่คอ เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการสนับสนุนพระพุทธศาสนา โดยแถลงว่า
"พวกเขาไว้ทุกข์ให้พระภิกษุที่ เผาตนเองเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อันเป็นอุดมการณ์ของพุทธศาสนิกชน แต่งเครื่องแบบออกมาเดินขบวนร่วมกับพุทธศาสนิกชน และประกาศว่า พวกเขาพร้อมที่จะรบ และพร้อมที่จะตาย เพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา และแจกจ่ายแถลงการณ์ ข่าวการอุทิศชีวิตของพระทิจ กวาง ดึ๊ก ไปยังสาธารณชน พร้อมเปิดเผย การกระทำ อันไม่ถูกต้องของรัฐบาล แต่ถูกตำรวจคริสเตียนของ โง เดียม ถึก สั่งเก็บเอกสารทั้งหมด
(เหมือน ประเทศไทยปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่มีการสั่งยึดเอกสาร ซึ่งจัดทำโดยนายทหารฝ่ายเสนาธิการสามเหล่าทัพ จากที่ทำการไปรษณีย์ โดยอ้างว่า ทำลายความมั่นคง ซึ่งการกระทำ ของตำรวจนั้น เป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๘ มาตรา ๓๙ และมีความผิดกฎหมายอาญามาตรา ๘๖ ???)
ที่เมืองมีโธ ซึ่งอยู่ทางเหนือไซ่ง่อน ๘๐ กม. ทหารที่นับถือพุทธศาสนาได้ปะทะกับทหารซึ่งเป็นคริสเตียนโรมันคาทอลิคของ โง ดินห์ เดียม มีทหารเสียชีวิต ๖๐๐ นาย บาดเจ็บ ๑,๒๐๐ นาย เป็นนายทหารสัญญาบัตร ๗๐ นาย
(จากคำปราศรัย ของประธานาธิบดี จอนด์ เอฟ เคเนดี้ ทางโทรทัศน์ในวันที่ ๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๐๖ อาจทำให้สามารถวิเคราะห์ได้ว่า เป็นการเห็นด้วย ในการปราบปรามพุทธ ศาสนิกชน โดยรัฐบาล โง ดินห์ เดียม ใช่หรือไม่ ?? ทั้งไม่ปรากฏการกระทำใดๆ หลังจากนั้นอย่างเป็นรูปธรรมจากสหรัฐอเมริกา ในอันที่จะระงับการใช้กำลังปราบปราม เข่นฆ่า ชาวพุทธอย่างป่าเถื่อน ซึ่งไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ของโลก และนี่คือก้าวแรกของความพ่ายแพ้ของสหรัฐอเมริกา ในสงครามเวียตนาม ในการยึดฐานมวลชน ทางด้าน จิตวิทยา ที่สหรัฐพลาดในการวิเคราะห์พื้นฐาน ความสำนึกในชาติ และศาสนา ของชาวเวียตนาม)
http://gotoknow.org/blog/peacewarrior/90247
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)