วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553

เมื่อผู้กำกับ "รักแห่งสยาม" แสดงความรู้สึกเรื่อง สีแดง - สีเหลือง

แหล่งที่มา....
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1271232137&grpid=01&catid=

เมื่อผู้กำกับ "รักแห่งสยาม" เขียนจดหมายตอบน้องเรื่องผลกระทบจากเหตุการณ์ 10 เมษายน

...เพราะภราดรภาพในใจของคนถูกปลุกขึ้นมา แล้ว อุดมคติแห่งความเท่าเทียมเริ่มคุกครุ่นในใจของผู้คนที่ถูกกดขี่ข่มเหง และถูกปลุกเร้าด้วยความชิงชังของชนชั้นกลางที่ถูกดึงไปเปนเครื่องมือของชน ชั้นสูงอย่างเต็มตัว...

หมายเหตุ "ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล" หรือ "มะเดี่ยว" ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง "รักแห่งสยาม" รวมทั้งหนังสะท้อนปัญหาสังคมไทยในยุคปลายรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร หลาย ๆ เรื่อง เช่น "คน ผี ปีศาจ" และ "13 เกมสยอง" ได้เขียนจดหมายตอบกลับไปยังเพื่อนรุ่นน้องที่เข้ามาระบายอารมณ์ความรู้สึก ผิดหวังเสียใจกับปฏิกิริยาของคนรอบข้างที่มีต่อเหตุการณ์นองเลือดในวันที่ 10 เมษายน โดยเขาได้นำเนื้อหาในจดหมายดังกล่าวไปโพสต์ไว้ในเว็บล็อกส่วนตัว http://mdsponx.spaces.live.com มติชนออนไลน์เห็นว่าจดหมายของชูเกียรติมีเนื้อหาน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ดังต่อไปนี้

-----------------------------------------------------------------------------

10 เมษายน 2553
posted on 12 Apr 2010 19:31 by nanoguy in Nanolife

จริงๆตอนนี้ผมยอมรับว่าอยู่ในภาวะอารมณ์ที่ไม่ปกติอย่างยิ่ง ผมเคยสนุกสนานกับการนั่งด่าหนังห่วยๆ ชมหนังดีๆ เป็นพารากราฟยาวๆ เพื่อมาประกอบรางวัลกำมะลองี่เง่าๆอย่าง Nanoguy Awards อยู่ทุกปี และตอนนี้ผมเองก็มีภาระต้นฉบับที่ต้องส่งบรรณาธิการ แต่นอกจากกองข้อมูลที่หามากองไว้แล้ว หนังผมก็ยังไม่ได้ดู และการเขียนก็ยังไม่คืบหน้า เพราะว่าตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์ทำอะไรจริงๆ และอาจจะต้องทิ้งรางวัลที่ผมนั่งทำมาทุกปีให้เหลือทิ้งไว้แค่นอมินี

ผมไม่ใช่คนจิตใจงดงาม อ่อนไหว เปี่ยมไปด้วยธรรมะ อะไรขนาดนั้นหรอกครับ ผมมันก็คนนิสัยธรรมดาคนนึง ที่ชอบการดูหนังเลือดสาด ฆ่าคน สมองไหล จนที่บ้านหาว่าเป็นโรคจิต แต่ตอนนี้ - อาจจะพูดเวอร์เกินไป - ผมกำลังอยู่ในขั้นเสื่อมศรัทธาในเพื่อนมนุษย์ขั้นร้ายแรง

คุณเต้-ไกรวุฒิ จุลพงศธร ตั้งสเตตัสไว้ในเฟซบุึคของเขา เรื่องของ simulacrum ที่เป็นคอนเซ็ปต์ของ Jean Baudrillard ว่าด้วยความจริงที่ยิ่งกว่าความจริง (hyperreality) และการสนทนาในวันนั้นคงให้ภาพชัดที่สุด เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ และบางทีถ้าไม่มีเฟซบุคเราก็คงไม่รู้ว่าคนรอบตัวของเราหลายคนโหดร้ายและมืด บอดแค่ไหน

ปีที่แล้ว ตอนสงกรานต์เลือด ก็มีการปราบปราม มีความรุนแรง และมีความเห็นที่สาปแช่งให้ฝ่ายตรงข้ามตายห่ากันไปให้หมด เราก็ได้แต่นั่งครุ่นคิดว่าหวังว่าพี่น้องมิตรสหายรอบตัวเราจะไม่เป็นคนจิต ใจหยาบช้าเช่นนั้น หยาบช้าพอที่จะสนุกสนานเมื่อเห็นผู้ที่ยืนอยู่คนละฝั่งถูกยิงสมองไหล เลือดสาด วิญญาณดับสูญ และนั่งหัวร่อร่าบอกว่าพวกเขาเป็นควาย

แต่วันนี้เฟซบุคทำให้ผมเห็น และผมเศร้ามาก ว่าคนรอบตัวผมคิดกันได้ถึงเพียงนี้

บางคนเรียนคณะรัฐศาสตร์แท้ๆ กลับคิดได้เพียงว่า ผู้ชุมนุมเสื้อแดงมีความรู้เรื่องประชาธิปไตยมากแค่ไหน ถึงจะออกมาชุมนุมเรียกร้อง ผมเองก็อยากถามเขาเหมือนกันว่า ร่ำเรียนมาจนป่านนี้แล้ว พวกเขารู้เรื่องประชาธิปไตยจริงหรือ ถึงได้เอาสถานะของตัวเองเข้าข่มได้ขนาดนี น่าอับอายยิ่งกว่ารุ่นน้องผมคนหนึ่ง ตอนแรกผมไม่ชอบแนวคิดเขาเลย เพราะเขาสนับสนุนและชื่นชอบนายกษิต ภิรมย์ และพยายามโยนบาปให้เสื้อแดงตลอดเวลา แต่อย่างน้อยผมก็ชื่นชมเขา ที่เขายอมรับตรงๆว่าเขาไม่ศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย
บางคนก็ฉลาดเฉลี่ยวกว่า ใช้การเสียดสีที่เจ็บแสบกว่า ไม่มีการหลุดมาว่าอยากให้ใครตาย แต่จิตสันดานด้านหยาบมันแฝงชัดอยู่ในคำพูดเหล่านั้น

ช่วงเริ่มต้นสลายการชุมนุม (ภายใต้คำที่น่ารังเกียจทุเรศอุบาทว์อย่าง "การขอพื้นที่คืน") มีความเห็นมากมายที่สนับสนุนให้ทหารฆ่าประชาชน ผมไม่พูดก็ได้ว่าประชาชนที่ไม่มีอาวุธ เพราะเสื้อแดงเองก็ต้องมีสัญชาตญาณในการป้องกันตนเอง โดยเฉพาะเมื่อทหารมีอาวุธสงครามครบมือ อุ่นเครื่องกันมาตั้งแต่คราวที่ปะทะกันที่สถานีดาวเทียมไทยคม ที่มีการยิงกันจริงๆ และที่ผ่านฟ้า สี่แยกคอกวัว ถนนดินสอ มีกระทั่งรถถังกับรถฮัมวี่ที่บรรทุกอาวุธสงครามมาเต็มอัตรา

สิ่งพวกนี้เทียบไม่ได้นะครับ กับการปล่อยบอลลูนไปก่อกวนเฮลิคอปเตอร์(ที่ใช้ในการปล่อยแก๊สน้ำตา) การใช้ด้ามธงทิ่มๆไปที่ทหาร การขว้างปาขวดน้ำ ก้อนหิน ก้อนอิฐ หรือแม้แต่การเข้าไปรุมประชาทัณฑ์ทหาร ผมเถียงเผื่อให้อีกก็ได้ว่า แม้ผู้ชุมนุมจะมีอาวุธในลักษณะประสงค์เอาชีวิตเหมือนทหาร (เช่น ปืนอาก้า เป็นอาทิ) แต่ในขณะชุมนุมนั้น มีหลักฐานการใช้อาวุธเหล่านี้เข้าไประรานคนอื่นหรือไม่ และหากต้องมีการใช้อาวุธเหล่านี้เพื่อป้องกันตัว ก็เป็นสิทธิของผู้ชุมนุมเหมือนกัน ไม่ต่างกับที่รัฐบาลอ้างว่าทหารมีกระสุนจริงไว้เพื่อป้องกันในเหตุจวนตัว (หลังจากที่ครั้งแรกกล่าวว่ากระสุนจริงมีไว้ยิงขึ้นฟ้าเท่านั้น)

ผมช็อค เมื่อหลายคนกำลังตั้งข้อสมมติฐานว่า เสื้อแดงเริ่มต้นความรุนแรงก่อนด้วยอาวุธหนัก ดังนั้นทหารจึงมีสิทธิปราบปรามด้วยอาวุธหนักเช่นกัน ผมถามว่าถ้าทหารไม่มาที่นี่ จะเอื้อให้เกิดเหตุเช่นนี้หรือไม่?

ผมขี้เกียจย้ำซ้ำไปมาจริงๆเลย(เพราะพูดไปหลายครั้งมากในเฟซบุค) ว่าการชุมนุมของเสื้อแดงนั้นไม่ได้ิผิดกฎหมายอะไร มันมีคนเดือดร้อน ผมไม่เถียง หลายคนที่ผมรู้จักก็เดือดร้อนอย่างยิ่งเพราะการชุมนุมของคนเสื้อแดง ก็เป็นสิทธิของพวกเขาที่จะไม่ชอบม็อบ ผมก็ไม่ได้บังคับให้พวกเขามาชอบ แต่ผมรับไม่ได้กับคนที่พยายามจะเดินตามตูดรัฐบาล ด้วยการบอกว่าเสื้อแดงผิดกฎหมายอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเอาเข้าจริงแล้วมีแต่กฎหมายเล็กจ้อย เช่น กฎหมายจราจร

แล้วมันเ้รื่องอะไรที่รัฐบาลจะใช้ พรบ.ความมั่นคง กับ พรก.สถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง

กลับมาที่เรื่องที่ขัดข้องของผมต่อ พี่ที่ผมรู้จักคนหนึ่งก็อยู่ในกลุ่มคนที่ผมช็อค เขาเข้ามาสนับสนุนว่า "ตายๆกันไปให้หมดดีแล้ว" ในช่วงเริ่มต้นสลายการชุมนุม และวันถัดมา เมื่อผมตั้งสเตตัสที่พูดเรื่องการป้องกันตัวของคนเสื้อแดง เขาก็เข้ามาแย้งว่า "ทหารก็คนนะตี้" ผมขี้เกียจเถียงเขาว่า "แล้วเสื้อแดงไม่ใช่คนหรือไง" ไม่อยากให้ความขัดแย้งหรือความที่เรารู้จักกันมานานต้องมาพังเพราะเรื่องการ เมือง มันทุเรศ

วันนั้น(ช่วงคาบเกี่ยว 10-11 เมษายน) ผม block คนไป 4 คน เพราะผมรู้สึกอิดหนาและขยะแขยงอย่างยิ่งกับพฤติกรรมของพวกเขา ผมอยากเชื่อว่ามันเป็นแค่ความไร้สติชั่ววูบ อยากเชื่ออย่างนั้นมากๆ เพราะ 3 คนในนั้นเป็นเพื่อนของผมสมัยมัธยมปลาย คนหนึ่งสนิทกันมากถึงขั้นเคยคุยกันได้ทุกเรื่อง ณ เวลานั้น อีกสองคนก็เป็นเพื่อนผู้หญิง ที่คนหนึ่งดูน่ารักสดใสอ่อนโยน และอีกคนหนึ่งแม้จะปากร้ายไปหน่อยแต่ก็เป็นเพื่อนเฮฮาที่ไม่มีอะไรต้องเถียง กัน

เอานอกจากสามคนนั้นก่อน รุ่นน้องร่วมคณะผมคนหนึ่ง ซึ่งผมเองจำได้แต่ชื่อภาษาอังกฤษที่เธอเอามาตั้งเป็นชื่อของเธอในเฟซบุค แรกๆผมก็เฉยๆ เมื่อเธอยังคงอัพสเตตัสเรื่อยเปื่อยเรื่องรถยนต์สีเหลืองของเธอ การแสดงออกทางการเมืองอย่างสูงสุดในชีัวิต ด้วยการบีบแตรใส่หูคนเสื้อแดงตามที่ต่างๆที่เธอขับรถไปพบเจอ จนกระทั่งช่วงที่เธอเริ่มสาปแช่งคนเสื้อแดง เฆี่ยนตีพวกเขาด้วยเก้าอี้ที่ชื่อวาทกรรม "ทักษิณซื้อ" ผมก็ hide เธอไประยะหนึ่ง เพื่อที่จะไม่ต้องมาขุ่นข้องหมองใจกันทีหลัง

กระทั่งวันหนึ่ง ผมเข้าไปคอมเมนต์สเตตัสของเพื่อนร่วมคณะ ซึ่งนั่งเรียนกันมาตลอด คนหนึ่ง ผมรู้ว่าเขาเป็นคนที่ไม่ชอบเสื้อแดงและทักษิณอย่างยิ่ง ซึ่งผมก็ไม่ได้ไปจุ้นจ้านอะไรเขา เขาตั้งสเตตัสในทำนองว่าตอนนี้เขาไม่อยากคุยกับคนเสื้อแดง เพราะพวกมันคิดจะเผาบ้านเผาเมือง ผมก็เข้าไปแสดงความเห็นสั้นๆทิ้งไว้ ก่อนเขาจะรีบมาออกตัวว่าเราคุยกับตี้ได้นะ (แสดงว่าผมเป็นเสื้อแดงไปแล้วสินะ) ก่อนที่ยัยน้องคนนั้นก็มาท้าทายให้ผม block เธอในสเตตัสนั้น แน่นอน ผมทำให้ และยินดีครับ อีห่า!

ก่อนจะ block ผมได้ลองแวบไปดูสเตตัสของเธอ เพราะเพื่อนผมหลายคนที่เกลียดเสื้อแดง อย่างน้อยพวกเขายังไม่มองการตายของคนเป็นเรื่องสนุกสนานหรือควรค่าที่จะเกิด ขึ้น แต่สเตตัสของยัยรุ่นน้องคนนี้เขียนไว้ว่า "ขอไว้อาลัยให้กับคนไทย ที่เห็นคุณค่าของเงินมากกว่ารวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย" พร้อมกับเพื่อนๆของเธอที่นำเอารูปคนตายที่ถูกยิงสมองไหล มาล้อเล่นพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เหมือนกับว่านี่ไม่ใช่ศพมนุษย์ ในคอมเมนต์ของสเตตัสอันนั้น

ผมได้แต่รู้สึกยินดีที่จะกด remove friends ออกไป พร้อมกับยินดีอย่างยิ่งที่ตัวเป็นๆของเราไม่ได้พบปะพูดคุยกันเป็นกิจจะ ลักษณะก่อนหน้านี้ เสียดายแค่ผมลืมที่จะแคปภาพหน้าจอคำพูดอันหยาบทรามของเธอไว้ เผื่อเป็นหลักฐานให้เธอได้ระลึกว่า เธอเคยมีความคิดแบบใดต่อคนเหมือนกัน

เพื่อนผมอีกสามคนที่พูดถึงนี้ เป็นกรณีที่ผมเศร้ายิ่งกว่า เราเคยอยู่ห้องเดียวกัน คุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ และแน่นอน นั่งด่าทักษิณด้วยกันอย่างมันปาก หนึ่งในนั้น(ซึ่งผมไม่ได้ hide เธอไว้ตั้งแต่แรก เหมือนกับอีก 2 คน) เธอตั้งสเตตัสขึ้นโพล่งมาว่า "รับไม่ได้ ถ้าต้องยุบสภาเพราะพวกไพร่แดง"

กรณีนี้ผมยังไม่ช็อคเท่ากับความเห็นของเพื่อนผมที่มาคอมเมนต์ในสเตตัสอันนี้ (ซึ่งเป็นคนที่ผมสนิทที่สุดใน 3 คนดังกล่าว) เขาพิมพ์ว่า "ช่ายๆ ถ้าเกิดยุบไป พวกไพร่แดงก็ได้ใจกันพอดี" แน่นอนว่าผมปรี๊ดแตก ผมพิมพ์ตอบกลับไปทันทีในทำนองว่า มีคนตายถึง 15 คนแล้ว(ปัจจุบัน 20-21 ผมไม่แน่ใจตัวเลข) ใครเขาจะเอาเวลามา "ได้ใจ" วะ?

ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการทะเลาะทุ่มเถียงใส่กัน ผมยังจะรับได้มากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อนคนที่ 3 เข้ามาคอมเมนต์ คุยข้ามหัวผมไปที่เจ้าของสเตตัส เอ่ยว่า "ทีนี้เข้าใจอารมณ์กูหรือยัง กูจะดีลีตแม่งแระ" ส่วนอีกสองคนก็เข้ามาสนับสนุนกันว่า "เออ เข้าใจ จริงด้วยว่ะแม่ง"

มันมีหลายอารมณ์นะครับตอนนั้น ที่ทำให้ผมตัดสินใจ remove สามคนนี้ทิ้งไปอย่างไม่ลังเล อย่างน้อยก็ในเฟซบุคและชีวิตจริงในช่วงเวลาอันใกล้นี้

สายตาพวกเขาที่มองผม มันไม่ได้มองว่าผมเป็นเพื่อนพวกเขาอีกต่อไป มันมองว่าผมเป็นแค่เศษไพร่ เป็นแค่ควายที่หลงโง่งมไปกับการชุมนุมของเสื้อแดง ที่เข้าไปป้วนเปี้ยนหรือบังเอิญติดอยู่ในลิสต์เพื่อนอันสูงส่งของพวกเขา ที่มีแต่ปัญญาชนผู้อยากเล่นสงกรานต์ อยากเดินพารากอน ความเห็นของผมเป็นแค่ความพยายามยุแยง ปั่นป่วน ความคิดอันสวยหรูของพวกเขา - ผมทั้งเศร้าและโกรธ เมื่อพวกเขาเป็นฝ่ายที่เลือกจะมองว่าผมเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ หรืออย่างน้อยก็มองว่าผมไม่ใช่เพื่อนของพวกเขาอีกต่อไป ก่อนที่ผมจะทันคิดอย่างนั้นเสียอีก

(นี่ยังไม่รวมกับ fact ที่ว่า ผมเคยเข้าไปแสดงความเห็นทางการเมืองที่เอนมาทางเสื้อแดงแย้งกับ 1 ใน 3 คนนั้น เพียงแค่ 2 ครั้ง ตั้งแต่เล่นเฟซบุคมา แต่เธอกลับใช้น้ำเสียงหยามเหยีัยด เหมือนกับว่าผมไปทำให้หน้าเฟซบุคของเธอรกรุงรังด้วยข้อความชั้นต่ำอยู่ทุก วี่ทุกวัน แล้วก็ทำท่าทำทางเหมือนกับปราณีผมเสียเหลือเกิน ที่ยังอุตส่าห์เก็บไว้อยู่ในลิสต์ โธ่ เหี้ยเอ๊ย!)

ผมเคยคิดว่า ผมจะไ่ม่พยายามทำอย่างนี้กับใคร ผมยังคุยกับคนที่เห็นต่างได้ แต่ถ้ามืดบอดกันถึงขั้นนี้ ผมก็ได้แต่ทำอย่างที่ผมทำไป เพราะเห็นแล้วว่าไม่มีประโยชน์อะไร ไม่มีแม้แต่การคิดจะเปิดประเด็นเถียงกัน คุยกัน ซึ่งถ้าเพื่อนกันไม่มีท่าทีแบบนั้น ผมก็ไม่รู้จะเก็บไว้ทำซากทำเผือกอะไร บางทีถ้าไปกินเหล้ากันอาจจะคุยกันได้มากกว่านี้ แต่สถานการณ์ที่เป็น ผมมองว่าเขาเหล่านั้นถ้ารู้ว่าผมจะไปก็คงแยกตัวออกไปแต่แรกมากกว่า

------------------------------------------------------------
13 เมษายน


โยนิโสมนสิการ


จากที่ได้ป่าวประกาศไปในเฟศบุคว่าจะทำรายการตอบคำถาม ก็มีผู้คนส่งคำถามมามากมาย มีไม่น้อยที่เปนคำถามเกี่ยวกับสังคมและการเมือง จะอ่านตอบลงไปในยูทูปก็เกรงใจเพราะว่าในการดำเนินรายการหมายมุ่งว่าทำเพื่อ ความบันเทิงเริงใจ การค้นหาความจริงทางสังคมและการเมืองตอนนี้มีผู้คนออกมาแสดงความเห็นกันมาก มายอยู่แล้วจึงปล่อยให้เปนหน้าที่ของท่านเหล่านั้นไป


หากแต่ก็ยังมีความกลัดใจอยู่ไม่น้อยในประเด็นความขัดแย้งแล ความเศร้าที่ต้องมีผู้คนเสียชีวิตบาดเจ็บไปในเหตุการณ์ จึงหยิบจดหมายของน้องคนหนึ่งที่เขียนมาในใจความถามว่า เขาควรทำอย่างไรดีเมื่อเริ่มขัดแย้งกับเพื่อนในเฟศบุคเกี่ยวกับการเมือง ทั้งที่เปนเพื่อนสนิทที่นิสัยดี พอความขัดแย้งเกิดขึ้นเขาและเธอว์เหล่านั้นต่างแสดงตัวตนที่โหดเหี้ยมอำมหิต ออกมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ จดหมายส่งมาถึงข้าพเจ้าหลายวันหากแต่ยังไม่ได้ตอบ แล้วไม่นาน น้องคนนั้นก็นำไปเขียนลงบลอกด้วยความสับสนว้าวุ่นใจ แฝงความทุกข์ใจที่เสียเพื่อนอยู่ในที เจือระคนด้วยความโกรธเคืองอยู่บ้าง ข้าพเจ้าเชื่อว่าความโกรธนั้นไม่ได้มุ่งหมายไปที่ตัวบุคคล แต่ยังแผ่ลามไปถึงสังคม แลทุกสิ่งที่ปลูกความคิดอัปยศเหล่านั้นให้เพื่อนของเขา จึงขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านในบลอกนี้ ก่อนที่จะอ่านจดหมายตอบกลับของข้าพเจ้าต่อไป


http://nanoguy.exteen.com/20100412/entry


จดหมายถึงน้อง


ตี้น้องรัก


จากคำถามสั้น ๆ วันก่อนที่เธอว์ได้ถามพี่มา บัดนี้ได้แจกแจงรายละเอียดจนเห็นภาพชัดแจ้ง โดยที่ไม่ต้องจินตนาการใด ๆ เพราะรอบข้างตัวพี่ ตัวเรา ตัวเขา ตัวเธอว์ เหล่านั้นเราต่างประสบปัญหานี้กันทั้งสิ้น แม้แต่ตัวพี่เองที่ วันนี้คงพูดไม่ได้แล้วว่าเปนกลางทางการเมือง


การออกตัวว่าเห็นด้วยกับกลุ่มคนเสื้อแดงเปนเรื่องที่สุ่มเสี่ยงอย่าง มากในสังคมกรุงเทพสาธารณะ (ในที่นี้หมายถึงในโลกไซเบอร์นี้ด้วย) เพราะเราจะถูกชี้หน้าด่าทันทีว่าเปนลิ่วล้อของทักษิณ เปนคนโง่ที่ถูกล้างสมอง ไร้การศึกษา ชีวิตมีค่าเพียงธุลีดิน และถูกเกลียดชังไปในทันที แต่พี่ว่าการออกตัวอย่างชัดเจนยังดีกว่า การออกตัวว่าเปนกลางแล้วซ่อนความยินดีอำมหิตอยู่ภายในอย่างคนที่ตี้ได้เจอ คนพวกนี้เขาไม่ถามเราหรอกว่าทำไมเราถึงเห็นด้วยกับเสื้อแดง เหมือนที่เขาตอบเราไม่ได้เหมือนกัน ว่าทำไมถึงเกลียดทักษิณ แล้วส่วนใหญ่ก็จะอธิบายไม่ได้ด้วยว่าทักษิณทำผิดอะไร มักจะเชื่อเพราะเขาบอกมา เชื่อเพราะเขาพูดกัน เชื่อเพราะสื่อชี้ให้เห็นเปนแบบนี้ และที่น่าเศร้า เชื่อ เพราะกลัวจะถูกหาว่าไม่ฉลาดทันคน


พี่ทำหนังวิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาลทักษิณมาตั้งแต่ก่อนเรียนจบ มหาวิทยาลัยจนถึงเรื่องสิบสามเกมสยอง ก่อนที่รัฐบาลของเขาจะถูกรัฐประหารในคืนที่ถ่ายทำมิวสิควีดีโอเพลงประกอบ ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ส่วนใหญ่ที่พูดถึงในเนื้องานคือเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในสงครามยาบ้า อันเปนนโยบายของรัฐบาล เรื่องการแทรกแซงสื่อและนโยบายประชานิยม พี่ ไม่ค่อยกล้าแตะเรื่องการเลี่ยงภาษีหรือการทุจริตต่าง ๆ ที่เขายกมาเปนประเด็นในช่วงท้าย ๆ ของการดำรงตำแหน่งนั่นเปนเพราะว่าพี่ไม่เข้าใจระบบภาษี ไม่เข้าใจวิธีการฟอกเงิน การวิพากษ์วิจารณ์สิ่งใดที่เราไม่รู้แจ้งจึงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่นัก เพราะวันหนึ่งสิ่งต่าง ๆ อาจจะย้อนมาหาตัวเราเอง อนึ่ง หากจะพูดเรื่องภาษี พี่ก็ยังเห็นคนรอบข้างตั้งหลายคนพยายามหลบเลี่ยงภาษีด้วยวิธีต่าง ๆ นานาเช่นกันและที่ไม่น่าพูดถึงเลยก็มีคนในประเทศนี้ตั้งหลายคนที่ไม่ต้อง เสียภาษีและก็ใช้ทรัพยากรเดียวกันบนผืนแผ่นดินไทย รวมถึงพี่ด้วย ที่บางอารมณ์เมื่อนึกถึงความทุจริตที่เกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้าในหน่วยงานของรัฐ พี่ก็ไม่อยากจะเสียภาษีเหมือนกัน แต่ก็เลี่ยงไมได้เพราะหัก ณ ที่จ่ายเงินทุกครั้งเมื่อพี่ได้รับค่าจ้าง


เราคงไม่ต้องอธิบายแรงผลักดันในการออกมาต่อสู้ของชนชั้นราก หญ้าให้เสียเวลาเพราะมีคนได้อธิบายไปแทบจนหมดสิ้นแล้วแต่คนส่วนใหญ่ในเมือง ก็ยังเลือกที่จะไม่เข้าใจ อาจจะเปนเพราะชาวนาในความคิดเขาก็ยังเอาควายไถนาเกี่ยวข้าว สวมงอบกันเหมือนในโปสการ์ดของการท่องเที่ยวฯ ความยากจนและการถูกกดขี่มันเปนอย่างไรคงยากจะจินตนาการถึงในสังคมของผู้ที่ ร้องเรียนทุกอย่างได้ผ่านทางอินเตอร์เน็ตตั้งแต่เรื่องของแถมจากการชิงโชค สินค้าไปจนถึงโดยแย่งอาหารในชาบูชิ บุฟเฟต์ ไม่ว่าจะให้ข้อมูลอย่างไร การชุมนุมของคนเสื้อแดงเปนการทำลายธุรกิจ การใช้จ่ายอันศรีวิไลซ์และความสำราญสะดวกสบายของเขาเหล่านั้น มากกว่าจะเปนการเรียกร้องความเปนธรรมทางการเมืองที่เขาถูกลิดรอนมาหลาย ทศวรรษแล้ว


มีคำถามของน้องคนหนึ่งชื่อ "ปาริณ" ถามได้น่าสนใจว่า "ใครคือชนชั้นกลาง" เปนคำถามที่ดีมากสำหรับเด็กมัธยมผู้ใฝ่รู้ จริงแล้วแต่ละสาขาก็มีอรรถาธิบายต่อคำว่าชนชั้นกลางของตัวเอง ทางรัฐศาสตร์ก็แบบนึง เศรษฐศาสตร์ก็แบบนึง สังคมศาสตร์ นิเทศศาสตร์ก็อีกแบบนึงแล้วแต่จะพูดไป แต่สรุปรวมคำอธิบายในแบบของพี่ ชนชั้นกลางคือผู้ที่อยู่อาศัยในเขตเมือง ทำงานอยู่ในระบบธุรกิจ จุดมุ่งหมายของชนชั้นกลางคือการถีบตัวไปสู่ชีวิตที่สูงขึ้นในระดับชนชั้นสูง คนพวกนี้มีความอ่อนไหวเปราะบางทางความรู้สึกเพราะชีวิตของพวกเขาไม่มีความ มั่นคง เกือบทั้งหมดมีหนี้สิ้น ไม่ว่าจะเปนบ้านหรือรถ หรือธุรกิจ ดังนั้นไม่แปลกที่พวกเขาจะมีความกังวลในใจตลอดเวลาเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการ เมืองและต้องการหาแหล่งอำนาจไว้พึ่งพิง ชนชั้นกลางอ่อนไหวกับข่าว เชื่อสื่อง่ายโดยเฉพาะสื่อทางเลือกอย่างเช่น อินเตอร์เน็ต และเคเบิลทีวีพวกเขาพร้อมใจจะเชื่อฟอร์เวิร์ดเมล์ ข่าวซุบซิบ หรืออะไรก็ตามที่ขึ้นต้นว่า "ข่าววงใน" สิ่งที่พวกเขากลัวคือการตามไม่ทันกระแส โดยเฉพาะยุคแห่งข้อมูลข่าวสารนี้ใครรู้ก่อน ปล่อยข่าวได้ก่อน ย่อมได้รับการยกย่องราวกับเปนกูรู ข้อพิสูจน์นี้เห็นได้จากรายการแฉที่ได้รับความนิยมมากมาย พิธีกรหรือนักเขียนที่มีชื่อเสียงในการแฉไม่ว่าจะเปน มดดำ ซ้อเจ็ด หรือช่องเคเบิลใด ๆ ที่เปิดแล้วมีแต่กระเทยมาเม้าธ์กัน ตอนนี้มีมากมายและได้รับการยกย่องเสียด้วย ในขณะที่เราถูกสอนว่าการนินทาผู้อื่นนั้นไม่ดี โดยเฉพาะคนที่ไม่รู้จัก แต่ทำไมถึง...


ช่างมัน เรามานินทาชนชั้นกลางกันต่อ ด้วยรู้จุดอ่อนข้างต้น ชนชั้นปกครองจึงหลอกเอาขนมผสมน้ำยาได้โดยง่าย ด้วยสื่อที่เปนของทหารและรัฐเกือบทั้งหมดเขาจะทำให้เราเชื่ออะไร รักอะไร เกลียดอะไรได้โดยง่าย เรียนนิเทศมาสื่อแบบนี้เขาบอกว่าเปนสื่อของรัฐบาลเผด็จการทหาร ไม่ใช่สื่อของเสรีนิยมประชาธิปไตยอย่างที่เราเชื่อกัน เพราะถ้าเปนเช่นนั้นจริง ฟรีทีวีเราคงมีมากกว่าสิบช่องให้มีการแข่งขันเสรีมากกว่าจะต้องทนดูอะไรห่วย ๆ โง่ ๆ ไร้รสนิยม ที่รัฐและนายทุนสื่อที่มีอยู่ไม่กี่เจ้ายัดเยียดให้เราดูแล้วบอกว่า "ชาวบ้านเขาต้องการแบบนี้" ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาอยากดูแบบนี้หรือไม่มีปัญญาทำแบบอื่น หรือกลัวเขาจะฉลาดขึ้นมา


นอกเรื่องอีกแล้ว มาเรื่องชนชั้นกลางต่อ อย่าหาว่าเม้าธ์เลย ชนชั้นกลางไม่ค่อยแคร์ต่อความเปนไปของโลกมากนักจน กว่าจะมีปัญหาเดือดร้อนมาถึงตัว ในวัยมหาลัยเขาไปค่ายอาสากัน แต่ก็เหมือนไปเที่ยวไปกอบโกยความสนุกจากชาวบ้านแล้วก็สร้างห้องสมุด ห้องน้ำ โรงอาหารให้เขาอย่างที่เขาต้องการหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วทุกคนก็ลืมไปสิ้นเมื่อตอนแวะตลาดซื้อของฝาก เขาไปเที่ยวชนบทเพื่อดูความเรียบง่าย พอเพียง ทางอุดมคติก่อนจะกลับมาชอปปิ้งในห้างหรูด้วยบัตรเครดิตที่หมุนเดือนชนเดือน แล้วเขาก็ด่าคนที่มาชุมนุมเหยียดหยามเขาเหมือนไม่ใช่คน ทั้งที่ผู้คนเหล่านั้นอาจจะเปนลุงป้าน้าอาที่เคยไปสร้างห้องสมุด โรงอาหารให้กับเขาเมื่อไปค่ายก็เปนได้ เขาไปวัดปล่อยนกปล่อยปลาถวายสังฆทาน แต่ไม่ฟังเทศน์ หลายคนอ่านหนังสือพระดังแต่ไม่รู้จัก "กาลามสูตร" เข้าใจว่าเปน "กามสูตร" หากลองปฏิบัติตาม กาลามสูตรที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ พี่เชื่อว่าหลายคนคงเปนอิสระจากการครอบงำทางความคิดและเกิด "โยนิโสมนสิการ" ซึ่งไม่ใช่ความยินดีในโยนี แต่ลองไปเปิดหาความหมายเอาเองเถิด


แล้วที่เม้าธ์ชนชั้นกลางมาหลายย่อหน้านี้มันตอบคำถามใดของตี้ หากตี้มีโยนิโสมนสิการแล้วก็จะเข้าใจว่า น้องคนที่เขามีความยินดีในความตายของผู้คนเหล่านั้นเขาเปนชนชั้นกลางที่ขาด ซึ่งวิจารณญาณโดยแท้ อาจจะเปนความเยาว์ความเขลาของนาง หรือสื่อที่บิดเบือนโลกของนางไปให้เห็นกงจักรเปนดอกบัว เห็นความตายเปนเรื่องน่ายินดี เห็นความแตกต่างทางการเมืองเปนเรื่องที่ต้องเอามาตัดสินคนว่าโง่เง่าต่ำตม ถ้าเปนพี่ก็คงช็อคมิใช่น้อยถ้าได้เห็นการเอารูปคนตายมาหยามเกียรติและชี้ชวน กันวิพากษ์วิจารณ์ เหตุการณ์นี้มองในแง่ดีเราก็จะเห็นตัวตนที่แท้จริงของคนเหล่านั้นเหมือนกัน นะตี้ มันทำให้เรามีตาทิพย์ เพราะขณะที่คนอื่นมองเห็นความศรีวิไล ซ์ของน้อง ๆ เหล่านั้นว่าเปนคนรุ่นใหม่ ทันสมัย มีการศึกษาและเปนอนาคตของชาติ แต่เรามองเห็นด้านของปีศาจร้าย ความกักฬะโสมม ที่อยู่ในใจนาง ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องความเชื่อทางการเมือง แต่เปนเรื่องของสภาพจิตใจมากกว่า


เมื่อไหร่ที่เรามองเห็นมนุษย์ไม่ใช่ มนุษย์ เรายังเชื่อในอำนาจนิยม วันหนึ่งที่เรามีอำนาจเราก็จะกลายเปนปีศาจร้ายทำลายได้ทุกอย่างกระทั่งชีวิต คนได้อย่างสนุกสนาน คิดดูว่าแค่มีอำนาจในมือในการพิมพ์คีย์บอร์ดยังเปนได้ขนาดนี้ วันหนึ่งที่เขามีสิทธิ์ชี้เปนชี้ตายคนพวกเขาจะสนุกสนานขนาดไหน แล้วเราจะหวังอะไรกับอนาคตของชาติที่เปนแบบนี้


ความหวังเรื่องสันติยังคงมืดมน แม้ขณะที่นั่งพิมพ์อยู่นี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งก็มีมติให้ยุบพรรคประชาธิปปัตย์แล้วก็ยังไม่มีสัญญาณ อะไรว่าการชุมนุมจะเลิกรา พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังขออุทธรณ์ดิ้นรนเอาชีวิตรอด หรือถึงแม้จะเลิกชุมนุมไปแล้วการหวนกลับมาของทักษิณก็อาจจะมีการชุมนุมครั้ง ใหม่ของอีกฝ่าย หรือแม้แต่ทักษิณถูกประหัตประหารไป แต่เชื่อไหม ความ ขัดแย้งในสังคมก็จะยังดำเนินต่อไป นายกรัฐมนตรีสุดหล่อเคยออกมาบอกว่าอย่าเอาความขัดแย้งระหว่างชนชั้นมาเปน เงื่อนไขในการชุมนุม แต่ในความเปนจริง ความแตกต่างระหว่างชนชั้นนั่นแหละคือปัญหาหลักของประเทศนี้


ชนชั้นสูงรู้ดีว่าตัวเองมีอะไรอยู่ใน มือและชีวิตของพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรหากเกิดความเปลี่ยนแปลง ชนชั้นล่างรู้ดีว่าพวกเขาต้องการอะไรและชีวิตของพวกเขามันต่ำต้อยแค่ไหนใน ระบบเผด็จการทหารห่อประชาธิปไตย (เหมือนผัดไทห่อไข่) ทุกประเทศเปลี่ยนไปหมดแล้วไม่เว้นเวียตนามและกัมพูชา เมื่อคนที่ยากแค้นลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่เท่าเทียมและพวกเขาก็ชนะ พี่เชื่อว่ามันอาจจะไม่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่วันหนึ่งมันก็เกิดขึ้นแน่นอน เพราะภราดรภาพในใจของคนถูกปลุกขึ้นมาแล้ว อุดมคติแห่งความเท่าเทียมเริ่มคุกครุ่นในใจของผู้คนที่ถูกกดขี่ข่มเหง และถูกปลุกเร้าด้วยความชิงชังของชนชั้นกลางที่ถูกดึงไปเปนเครื่องมือของชน ชั้นสูงอย่างเต็มตัว


ประเทศเราไม่มีทางเปนเหมือนเดิมอีกต่อไป ในเมื่อคนถูกเสี้ยมให้เกลียดกันแล้วรอยร้าวนี้ก็ยากจะสมาน ต้องให้เครดิตรัฐบาลชุดนี้ไว้ด้วยตรงที่ขยันออกข่าวสร้างภาพความเลวร้ายของ คนเสื้อแดง ใส่สีตีไข่ จนทำให้คนเกลียดกันได้มากถึงเพียงนี้ รัฐอาจจะต้องการรักษาอำนาจของตัวเองไว้อย่างเหนียวแน่น สิ่งนั้นอาจจะสำคัญมากกว่าความเข้าอกเข้าใจกันของคนในชาติ


มันอาจจะฟังดูอุดมคติ แต่จริงแล้วเมื่อคนเข้าใจกันว่าเราต่างมีหน้าที่ของตัวเองในสังคม ไม่ได้มีใครสำคัญกว่าใครเราเปนฟันเฟืองตัวหนึ่งที่มีหน้าที่ที่เท่าเทียมกัน คือหมุนประเทศนี้ต่อไปข้างหน้า เราเข้าใจว่า เราเองก็ไม่อยากจน ไม่อยากลำบาก และคนอื่นก็เช่นกัน ใครก็อยากรวย อยากสุขสบาย เราจะไปบอกคนอื่นว่าเกิดมาจนก็ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงไปสิมันไม่ได้หรอก เพราะลองถามตัวเองจะให้ไปอยู่อย่างนั้นเอาไหม เราก็ไม่เอาเหมือนกัน ฉะนั้น กรุงเทพไม่ใช่ประเทศไทย คนกรุงเทพไม่ใช่เจ้าของประเทศ คนต่างจังหวัดไม่ใช่คนโง่ เขาตื่นแล้ว ความยากจนข้นแค้น มันเรียกร้องให้เขาหาคำตอบว่าทำไมชีวิตเขาถึงไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้สักที วันหนึ่งเมื่อเขาเจอคำตอบเขาก็ไม่เชื่อสื่อของรัฐอีกต่อไป พวกเขาไม่ได้เกียจคร้านและแบมือขอ พวกเขาทำงานหนักกว่าเราที่ทำงานในเมือง แต่ค่าตอบแทนมันต่างกันลิบลับ เราร้อนเราเปิดแอร์ แต่เขาร้อนนั่นคือพืชผลถูกทำลายและหมายถึงเจ๊งๆ ๆ ไม่มีจะแดก นี่คือเรื่องจริง อย่างที่สุดไม่ใช่นิยายที่แต่งขึ้นมาประโลมโลกย์ และไม่ตื้นเขินเหมือนคำตอบที่ว่าคนเสื้อแดงทั้งหมดมาเพื่อทักษิณ


เขียนมาถึงขั้นนี้ คงมีหลายคนที่เกลียดชังพี่ที่มีความเห็นทางการเมืองแตกต่างออกไป ซึ่งพี่ไม่ได้โกรธคนเหล่านั้น เพราะคนเรามีความเชื่อต่างกันได้ และจะเกลียดกันก็ไม่ว่ากระไรแต่ให้ลองถามว่า คุณเกลียดชังคนมีอุดมการณ์ทางการเมืองต่างจากคุณด้วยเหตุผลอะไร หากคุณรักชาติหวงแหนผลประโยชน์ของชาติ ลองนึกถึงคำตอบหน่อยว่า ผลประโยชน์ของชาติ คืออะไร ถ้าตริตรองดูด้วยเหตุผลด้วยข้อมูลต่าง ๆ มาประสมกัน คิดโดย "ไม่ควรเชื่อ เพียงเพราะ..." แล้วยังยึดมั่นอุดมการณ์เดิมด้วยเหตุผลที่หนักแน่น เราก็ยินดีให้ด่า


พี่หวังว่าจดหมายนี้จะเปนคำตอบที่ดีให้กับตี้และน้องปาริณอยู่ไม่ น้อย หวังว่าสิ่งที่กลัดใจอยู่คงจะคลายความเครียดของมันลงไปได้ในเร็ววัน อาจ จะสงสัยว่าทำไมพี่ถึงเรียกชนชั้นกลางว่าพวกเขา แล้วพี่เปนชนชั้นอะไร จริง ๆ แล้วพี่ก็เปนชนชั้นกลางเหมือนกับทุก ๆ คนที่เล่นเน็ตอยู่ ณ ที่นี้แหละจ้ะ เพียงแต่บางครั้งเราก็ไม่อยากถูกเหมารวมไปอยู่ในหมวดชน ชั้นกลางที่เหยียดวรรณะ เพราะถ้าเปนเช่นนั้นแล้ว พี่ยอมเปน "ไพร่" มากกว่าจะเปนคนในแดนศริวิไลซ์ที่มองเห็นคนไม่เห็นเปนคน


วิงวอนให้ทุกคนได้มี "โยนิโสมนสิการ" ในเร็ววัน


แมวโพง สีสวยดี



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น