วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2552

คำสารภาพของ นาย ปวโร ซิงค์

คำสารภาพของนายปวโร ซิงค์ อ่านแล้วซึ้งมาก ช่วยส่งต่อกันให้มากๆนะครับ
ชาวอินเดียธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่อพยพครอบครัวไปอาศัยและทำงานในประเทศญี่ปุ่น แต่กลับถูกหน่วยสืบราชการลับของญี่ปุ่น ยัดเยียดข้อหาอย่างไม่เป็นธรรม กล่าวหาว่าเป็นสายลับเกาหลี โดยแค่แนวคิดของปัญญาชนคนธรรมดาๆ ที่ไม่มีแม้แต่เงิน และไม่มีแม้แต่อำนาจ ทำมาเลี้ยงชีพด้วยความสุจริตมีแค่สองมือที่หาเลี้ยงครอบครัว แต่กลับถูกการกระทำที่เรียกได้ว่ายิ่งกว่าการทารุณชีวิตมนุษย์ โดยมือใครไม่ทราบ

เขาอาศัยอยู่กลับครอบครัวในประเทศญี่ปุ่น เป็นเวลานาน 20 - 30 ปี โดยไม่รู้ตัวเลยว่า ชีวิตเค้ากำลังถูกคุกคาม ถูกการกระทำที่เรียกว่า การล่วงละเมิดสิทธิ์ในการเป็นคน เขาอาศัยกับครอบครัวเล็กๆๆมีพ่อแม่ที่แก่เฒ่าและน้อง เปิดร้านอาหารอินเดียเล็กๆที่ฮิโรชิมา ชีวิตเค้าเริ่มต้นจากการที่เขาไม่ติดธงแสดงความเคารพต่อสมเด็จพระจักรพรรดิ ซึ่งไม่น่าแปลกสำหรับชาวอินเดีย หรือชาวต่างชาติทั่วๆไปที่ไม่อาจจะเข้าใจขนบธรรมเนียมหรือการแสดงความเคารพ แบบญี่ปุ่น ซึ่งโดยทั่วๆไปคนที่เพิ่งอาศัยก็ไม่อาจทราบได้ว่าช่วงนี้ของประเทศต่างๆๆ จังหวัดไหนมีพิธีกรรมอะไรบ้าง จากนั้นชีวิตเค้าจึงเริ่มต้นด้วยการถูกคุกคามโดยการสะกดรอยตาม ดักฟังโทรศัพท์ ตั้งก้องแอบถ่าย ดักฟังเสียงพูดในบ้าน และเริ่มหาทางก่อกวนกลั่นแกล้งคุกคามชีวิตเขาต่างๆๆนาๆๆ โดยฝีมือพวกที่เรียกตนเองว่า "ตำรวจ" จากการที่เริ่มต้นเปิดร้านอาหาร อยู่ๆร้านอาหารก็เจ๊ง จากนั้นจึงพยายามเริ่มไปทำฟาร์มปลา ก็มีคนไปทำตัดหน้าแย่งราคา สุดท้ายก็ต้องพัง พอไปลงทุนธุรกิจน้ำมัน ก็มีแหล่งเงินทุนมากมายมหาศาลมาจากไหนไม่รู้โจมตี สุดท้ายก็เหมือนเคย ปรากฏว่าไม่ว่าจะทำอะไรเหมือนถูกกลั่นแกล้งตลอดเวลา แม้แต่ครอบครัว พ่อแม่และ ลูกไปเรียนหนังสือก็ถูกเพื่อนที่โรงเรียนรุมแกล้งโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจารย์มหาลัยก็พูดจาแปลกๆๆ เพื่อนบ้านก็คอยแต่จะหาเรื่องคุกคาม ไม่ว่าจะย้ายหนีไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนคอยหาเรื่องกับครอบครัวนี้ตลอด เป็นอย่างนี้ถึง 7 ปีเต็ม โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นการกระทำของกลุ่มคนที่เรียกตนเองว่า "ตำรวจ" จนกระทั่งเขาชักเอะใจ ในปีที่ 8 เขาจึงเริ่มรู้ความจริงทุกอย่าง แต่ทุกอย่างก็สายไป เพราะชีวิตเขาได้พังลงอย่างสิ้นเชิง และหมดสิ้นทุกอย่าง สิ้นเนื้อประดาตัว ลูกก็แทบไม่มีอนาคต พ่อแม่ก็เป็นโรคร้ายอันเกิดจากการกระทำที่โหดเหี้ยมของกลุ่มหน่วยงานราชการ ลับ เป็นระยะเวลานานถึง 8 ปี ก่อนที่เขาจะตัดสินใจจบชีวิตตนเอง เขาได้พยายามแจ้งทุกอย่างให้สังคมรับรู้ แต่ดูเหมือนว่าทั้งรัฐบาลญี่ปุ่น และพวกตำรวจ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนอินเดียหรือ อินเดียไม่ใช่คน ญี่ปุ่นเป็นคน เขาพยายามหนีออกนอกประเทศนี้ แต่ก็สิ้นเนื้อประดาตัวไม่สามารถทำอะไรได้อีก แม้แต่เงินซื้อตั๋วเครื่องบินก็ยังไม่มี สังคมก็ไม่มี เพื่อนก็ไม่มี เพราะถูกกีดกั้นออกจากโลกภายนอกทุกอย่าง และแม้แต่จากข่าวสารทุกอย่าง ถึงขนาดตั้งเครื่องส่งคลื่นทีวีขนาดเล็กไว้คุมข่าวสารและข้อมูลที่ครอบครัว นี้จะได้รับรู้ เพื่อบิดเบียนข่าวสารจากโลกภายนอกแก่ครอบครัวเขา ทั้งชีวิตเขามีแต่คนของตำรวจรอบข้างที่คิดแต่จะบิดเบียน ตัดขาดออกจากสังคมทั่วไป หาเรื่องก่อกวนตลอดเวลา และยังมีความพยายามทางการฑูตหลายอย่างที่จะกักตัวเขาไว้ไม่ให้ออกนอกญี่ปุ่น และในที่สุดวันที่ 8 เดือน 8 ปี 2008 เขาจึงได้ตัดสินใจจบชีวิตเขา และครอบครัว เพราะทนอยู่ต่อไปเป็นคนไม่ไหวแล้วจริงๆ ก่อนตายเขาได้ทิ้งคำสารภาพอันน่าเศร้าไว้ดังข้างล่างนี้ เพื่อเป็นการเผยแพร่การกระทำอันป่าเถื่อนเกินมนุษย์ให้แก่สาธารณชนและบุคคล ที่มีปัญญาคิดได้รับรู้ ส่วนตัวผมที่ได้รับข้อความมาเป็นภาษาอังกฤษ ขออนุญาตินำมาแปลเป็นภาษาไทย ผมคิดว่าคนเราเกิดมาเป็นมนุษย์ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งในทางศาสนาพุทธด้วยแล้ว แค่การฆ่าคนก็บาปมาก แต่การที่ทำให้คนที่มีชีวิตอยู่ กลับทนมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆๆ จนต้องไปจบชีวิตตนเองนี่ซิ ผมคิดว่าคงเป็นการกระทำที่เลวร้ายมากจนยอมรับไม่ได้ ในแง่ความเป็นมนุษย์นี่ถือว่าเลวทรามต่ำช้ามากเลยทีเดียว และในแง่ของบาปถือได้ว่าเป็นบาปมากกว่าการกระทำบาปทั้งหลายทั้งปวง มากกว่าการเอาปืนไปยิงเขาให้ตายเสียอีก เคยได้ยินมาว่า "ชีวิตใคร ใครก็รัก แต่นี่เค้าทำกันยังไง ถึงขนาดให้คนที่เป็นคนแท้ๆๆ กลับทนมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ คงน่าดูหละครับ ตอนที่อ่านครั้งแรกก็ถึงกับน้ำตาซึมเลย

คำสารภาพของนายปวโร ซิงค์ เขากล่าวไว้ก่อนที่จะสิ้นชีวิต พร้อมกับคำสาปแช่งที่สุดแสนทรมานเมื่อได้อ่านแล้วจนต้องร้องไห้ ให้กับกลุ่มคนพวกนี้ที่ร่วมมือกันทำร้ายเขา เป็นใจความสั้นๆๆ แต่อ่านแล้วซึ้งมาก นับว่าเป็นบุคคลตัวอย่างที่ต่อสู้เพื่อความชอบธรรมในการมีชีวิตอยู่ ของคน คนหนึ่งเลยทีเดียว ปวโร ซิงค์ กล่าวว่า ...

"ถ้าเราสามารถจัดหาสิ่งต่างๆ สนองความต้องการของมนุษย์ได้เพียงพอทุกอย่าง ปัญหาต่างๆ เพื่อการสนองความต้องการของมนุษย์ก็คงไม่มีด้วย ถ้ามนุษย์มีทุกสิ่งทุกอย่างมากเกินพอ สิ่งของทุกอย่างก็จะไม่มีคุณค่าในทางโลก ไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยน และไม่จำเป็นต้องแสวงหาความเป็นเจ้าของ เช่น อากาศในธรรมชาติไม่มีผู้ใดต้องการแสดงความเป็นเจ้าของ และไม่มีผู้ใดอยากนำมาแลกเปลี่ยน เพราะอากาศในธรรมชาติมีเกินพอเช่นทุกวันนี้ (หากอากาศมีไม่เกินพอ เวลานี้พวกเราทุกคนคงจะตายกันหมดเพราะไม่มีอากาศหายใจ) และถ้าทุกอย่างในโลกมีสภาพเช่นเดียวกันกับอากาศ โลกก็คงไม่มีความหมาย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ วันนี้พวกคุณทั้งหลายควรจะเข้าใจถึงมรรค คือ การทำความเข้าใจถึงความเป็นไปของโลก การทำความเข้าใจถึงความเป็นไปของชีวิต ทุกสรรพสิ่งล้วนต่างต้องดิ้นรน ไม่มีใครไม่ต้องดิ้นรน อย่าไปทำอะไรที่ฝืนชีวิตมนุษย์เขาอีกเลย มันบาปและมันก็ทุเรศมากด้วย!!!
และขอได้โปรดอย่าสนองความต้องการที่ไม่ถูกจังหวะ หรือสนองความต้องการที่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
ทำไมอเมริกาต้องส่งนักสำรวจไปเหยียบดวงจันทร์ ทำไมมวลมนุษยชาติถึงต้องพัฒนาอย่างไม่หยุดหยั้ง เริ่มจากแสงไฟ จนเป็นตะเกียงน้ำมัน จนกลายมาเป็นพลังงานไฟฟ้า จนมีดาวเทียม และเริ่มไปสำรวจหาโลกใหม่ โลกที่สาม สิ่งต่างๆๆเหล่านี้ที่เราทุกคนพยายามทำ เค้าทำไปเพื่ออะไร ในขณะที่พวกคุณกำลังทำอะไร อย่าทำอะไรเพี้ยนๆ ฝืนธรรมชาติของโลกอีกเลยครับ ถ้าพวกคุณว่างก็ไปจุดตะเกียงส่องไฟ นั่งสมาธิแบบเปิดโลกของพวกคุณทั้งหลายต่อไปเถอะ อย่ามายุ่งกับกระผมและครอบครัวอีกเลย

พวกคุณทำเป็นแค่สืบ จับ คุกคาม ดักฟัง ติดตาม สะกดรอย ก่อกวน รังควาน แต่พวกคุณไม่อาจเข้าใจถึงธรรมชาติของชีวิต และที่เลวร้ายที่สุดคือ ไม่เข้าใจถึงมรรค คือ ธรรมชาติ

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ถ้าพวกคุณไม่เลิกแล้วพวกคุณจะอยู่ต่อไปทำไมละครับ ไปๆๆซะทีเถอะ ไม่มีใครต้องการพวกคุณเลยในที่นี้ ฟ้าผ่าซิ!! จะอยู่ไปเพื่อสร้างความฉิบหาย พินาศ วุ่นวาย น่ารำคาญให้แก่เขาทำไม หรือปล่อยให้เค้าได้มีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิมมากก เพื่อสร้างคุณค่าในชีวิตของเขาให้ดีขึ้นไม่ดีกว่าหรือ?? แค่วันนี้คุณเลือกที่จะไปก็เพียงพอแล้ว คุณเลือกได้ด้วยตัวคุณเองว่าจะทำในสิ่งที่ถูก หรือจะทำในสิ่งที่เลวต่อไป....

และที่ผ่านมาผมคิดว่าที่คุณทำเพราะความทุเรศของตัวคุณเองมากกว่า และการที่คุณยอมทำอะไรเล็กๆๆน้อยๆ ให้กับเขาและครอบครัวบ้างก็เพื่อปกปิดพฤติกรรมเน่าๆ ของตัวคุณเองที่ไม่อยากให้สังคมโลกรับรู้ และที่มันวุ่นวายจนทุกวันนี้ ก็เพราะพวกคุณไม่ยอมไปเสียที....."

*ปล. ผมแปลมาแต่อาจไม่ถนัดทางภาษา บางส่วนขอเติมคำพูดและอารมณ์ลงไปบ้าง ฟังดูอาจจะขัดๆๆเกลาๆบ้าง แต่เพื่อให้ได้อรรถรสในการอ่านในภาคภาษาไทยนี้

**คือผมทราบมาว่าในประเทศไทยก็มีกลุ่มคนพวกนี้และทำเรื่องพวกนี้เหมือนกัน ฟังแล้วดูแย่มาก ไม่คิดว่าจะมีในไทยด้วย ไม่อยากให้ใครไปร่วมมือกับคนพวกนี้เลยจิงๆ ถ้าเจอแบบนี้ที่ไหนอย่าไปให้ความร่วมมือ ให้ช่วยต่อต้าน หรือเจอคนแปลกหน้าให้ไปทำอะไรแปลกๆๆ หรือไปแกล้งใคร หรือถ้ามีคนบอกว่าให้เดินผ่านทางนั้น เจอคนนี้แล้วให้พูดกับเขาแบบนี้อะไรยังไง เราอย่าไปให้ความร่วมมือนะครับ เพราะอาจกลายเป็นการรุมกลั่นแกล้งผู้อื่นโดยที่เรารู้ไม่เท่าทัน เป็นเครื่องมือของหน่วยงานแบบนี้ไปโดยปริยาย และอาจกลายเป็นว่าเราร่วมกันทำร้ายชีวิตของเขาโดยทางอ้อมก็เป็นได้

*** ก่อนตายเท่าที่ทราบท่านปวโร ซิงค์ ได้พูดแค่คำว่า แค้น แค้น แค้น จนลมหายใจสุดท้าย

****ในส่วนของคำสาปแช่ง ผมไม่ได้รับมาจึงไม่สามารถนำมาเผยแพร่ได้ แต่ใครที่ได้ฟังหรือได้ยินเรื่องนี้แล้วล้วนแต่หดหู่ใจและสังเวชในการกระทำ ของกลุ่มคนที่เรียกตนเองว่า ผู้มีอำนาจของประเทศ บุคคลที่คนทั่วไปยกย่อง แต่มีพฤติกรรมทรามอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว

***** ผมทราบว่าหลังจากท่านปวโร ซิงค์ โดนจนธุรกิจล้มละลายจนหมดตัว แต่ก็ไม่เคยท้อแท้ ได้มีความพยายามหลายครั้งที่จะไปสมัครงาน ตามบริษัท ห้างร้านต่างๆๆ เพื่อที่จะพยายามหาเลี้ยงชีพและครอบครัวให้ได้ แต่ดูเหมือนกลับถูกปฏิเสธตามที่ต่างๆ ด้วยอำนาจของหน่วยงานลับที่มีอิทธิพลมากในประเทศญี่ปุ่นขณะนั้น เบื้องหลังหน่วยงานนี้เราไม่ทราบจริงๆๆ ว่าพวกเค้าทำไปเพื่ออะไร แต่ที่รู้แน่ๆๆ ในประเทศไทยเราเองก็มีการกระทำแบบนี้เหมือนกัน ซึ่งผมอ่านๆๆดูแล้วเป็นการกระทำที่ทุเรศมาก เกินกว่าที่เมืองพุทธแบบเราจะรับได้ หากเพื่อนๆๆหรือใครเจอพฤติกรรมแปลกๆ แบบนี้ หรือกลุ่มคนพวกนี้มาสั่งให้ทำโน่น ทำนี่ แกล้งคนนั้น คนนี้ ขอความร่วมมือให้ช่วยกันนำมาประจานด้วยนะครับ อย่าให้การกระทำที่เลวร้ายเกินมนุษย์แบบนี้อยู่ในสังคมไทยต่อไปอีกเลยครับ

แหล่งที่มา....
http://board.palungjit.com/showthread.php?t=178730

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น