ในอดีตหากมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นบนโลกของเรา
สิ่งแรกที่นักลงทุนมักจะทำคือ “ขายทิ้งทุกอย่างถือเงินสด”
(Cash is safe heaven)
แต่สถานการณ์ทุกวันนี้กลับไม่เป็นอย่างนั้น เหตุการณ์ความรุนแรงและภัยพิบัติเกิดขึ้นบนโลกเรามากมาย
แต่ ดอลล่าร์อินเด็กซ์ (USDX) กลับยังอยู่ในเทรนขาลง
ที่ผ่านมามาตรการพิมพ์เงินสารพัดชื่อ : Stimulus package + Bailout + QE1+QE2
รวมถึงแว่วว่า QE3 QE4 จะมา ทำให้นักลงทุนถึงจุดที่ต้องบอกกับตัวเองว่า “พอกันที” (enough is enough)
สหรัฐคือตัวการที่ตั้งกฎการเงินใหม่ให้นักลงทุน กฎนั้นก็คือ
“เงินสดไม่ใช่สินทรัพย์ที่ปลอดภัยเสมอไป”
เงินสดนั้นดีต่อ “การใช้”
(มันถึงถูกเรียกว่า Currency ซึ่งมาจากคำว่า Current ที่แปลว่าปัจจุบันและต้องหมุนเวียนอยู่ตลอด)
แต่มันไม่ดีต่อ “การเก็บ” เพราะจะเสื่อมค่าลงในระยะยาว
ระบบการเงินนี้ลงโทษคนที่ฝากเงิน โดยปล่อยให้ ดอกเบี้ยเงินฝาก ต่ำกว่า อัตราเงินเฟ้อ (จนลง)
ระบบนี้ลงโทษคนที่ มีรายได้เท่าเดิมในขณะที่ค่าครองชีพสูงปรับตัวสูงขึ้นตลอด
ระบบนี้ให้รางวัลกับนักการเมืองและฝ่ายที่สนับสนุนตัวเองแต่ลงโทษซ้ำกับฝ่ายตรงข้าม
ระบบนี้ทำให้คนรวยยิ่งรวยขึ้นคนจนยิ่งจนลง
ระบบนี้ คือ ระบบที่คนส่วนใหญ่ใช้กันอยู่และคนส่วนใหญ่นั้นก็คือ “ผู้ถูกเอาเปรียบ”
ถึงวันนึงเมื่อคนส่วนใหญ่ตื่นขึ้นและเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ก็ถึงเวลาที่
“ประวัติศาสตร์การเงินจะซ้ำรอยเดิม”
เร็วๆนี้ รัฐ Utah สหรัฐอเมริกา พยายามจะผ่านกฎหมายประกาศให้ ทองคำและเงิน (Gold and Silver)
สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (Legal Tender) หรือพูดง่ายๆว่าสามารถใช้แทน “ธนบัตร” ได้ในเขตการปกครองของรัฐ
นี่เป็นสิ่งที่ตอกย้ำในเรื่องที่เราได้พูดคุยกันมาโดยตลอด ถึงความหมายของคำว่า เงินที่แท้จริง (Real Money)
การเปลี่ยนแปลงมาตรฐานการเงินในรัฐนี้เป็นเพียงการเริ่มต้น เพราะอีก 13 รัฐกำลังพิจารณาผ่านกฎหมายในลักษณะเดียวกัน
( รัฐ : Colorado, Georgia, Montana, Missouri, Indiana, Iowa, New Hampshire, Oklahoma
, South Carolina, Tennessee, Vermont and Washington )
หญ้าได้ถูกแหวกและงูก็เริ่มจะตื่น..
หากดอลล่าร์ไม่มีปัญหา คงไม่มีความจำเป็นต้องมีตัวเลือกอื่นมาทดแทนให้เหนื่อย
แต่เพราะความจริงแล้วสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตนั้นน่าเป็นห่วงอย่างมาก (สำหรับประชาชนที่ยังถือครองเงินดอลล่าร์อยู่)
อภิมหาเงินเฟ้อ (Hyperinflation) ถ้าจะเกิดขึ้นคงไม่ต่างจาก อภิมหาซึนามิ (Tsunami)
ที่ซัดมาเร็วและทำลายทุกอย่างในเวลาชั่วพริบตา อำนาจการซื้อ (Purchasing Power) ของเงินฝากหรือทุนสำรองที่เก็บอยู่ในรูปแบบของ “ดอลล่าร์”
จะถูกซัดหายไปในเวลาอันรวดเร็วไม่ต่างจากคลื่นที่ซัดบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างในญี่ปุ่น.
ประชาชนชาวซิมบับเว (ต้นทศวรรษที่ 20) หรือชาวเยอรมันนี (ในปี 1923)
ตื่นขึ้นมาพบว่าเงินฝากที่เก็บหอมรอมริบมาทั้งหมด ไม่พอแม้แต่จะจ่ายแค่อาหารเช้าเพียง 1 มื้อ.
สิ่งเหล่านี้ช้าเร็วก็ต้องเกิดขึ้นกับ สหรัฐ
ผู้เตรียมพร้อมจะสามารถประคองตัวผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปได้
ผู้ที่ไม่เชื่อหรือคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นจริง เมื่อถึงเวลานั้นทุกอย่างก็คงจะสายเกินไป
ทุกวันนี้ ธนาคารกลางของอเมริกาคือผู้ซื้อ 70% ของพันธบัตรสหรัฐ (เพิ่มจาก 10%)
หลายๆประเทศเริ่มส่ายหน้าที่จะให้กู้เพิ่ม
ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่น (ถือครองพันธบัตรอันดับ2) เงินจำนวนมากจำเป็นต้องใช้เพื่อฟื้นฟูประเทศในอนาคต
พันธบัตรสหรัฐ มองยังไงๆ ก็เป็นแหล่งทุนชั้นดีที่ควรขาย ต่อให้เก็บไว้เรื่องจะซื้อเพิ่มเหมือนเมื่อก่อนคงหวังยาก
พญามังกรจีนผู้ที่ถือครองพันธบัตรเป็นอันดับ 1 ลดประมาณการซื้อลงอย่างฮวบฮาบชนิดไม่ไว้หน้า
หนำซ้ำยัง “เลิกเก็ก” เปลี่ยนจากที่ไม่ยอมระบายดอลล่าร์มาเป็นเททิ้งอย่างโจ่งครึ่ม (ขายทิ้งมา 3 เดือนติดต่อแล้ว)
อีกรายคือผู้ซื้อพันธบัตรสหรัฐรายใหญ่ที่สุดจากภาคเอกชนอย่าง กองทุน Pimco ก็ตัดสินใจ
เทขายทิ้ง US. Treasury ล้างพอร์ทไปแล้ว(จาก 150 Billion dollar เหลือ 0) เงินดอลล่าร์กำลังไหลกลับเข้าสู่ประเทศ
เงินเฟ้อที่เคยส่งออกไปทั่วโลกกำลังย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง
จีนมีเจตนาที่จะผลักดัน เงินหยวนให้เป็นเงินสกุลหลักของโลก
พร้อมทั้งประกาศทำการซื้อขายระหว่างกันเป็นเงินหยวนกับประเทศพันธมิตรที่มีความพร้อม
จีนเร่งสะสมทองคำและแร่เงินอย่างหนัก 2 เดือนแรกของปี 2011 นำเข้าทองคำไปแล้วถึง 200 ตัน !!
รวมทั้งที่ขุดเองก็ไม่มีการว่าจะส่งออก
สิ่งเหล่านี้ “เป็นแผน”
สถานการณ์ในตะวันออกกลาง (Middle East) ที่ตรึงเครียดมาเป็นเวลานานยิ่งกดดันให้
ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอีก ไม่เฉพาะแต่ประเทศที่มีสงคราม หรือ ประสบภัยพิบัติเท่านั้น
ภาวะข้าวยากหมากแพง กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ข้าว น้ำมันปาล์ม ยางพารา แป้งสาลี นุ่น ข้าวโพด น้ำตาล น้ำมัน ราคาปรับตัวขึ้นทำสถิติ
ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจะส่งไม้ต่อดันให้ราคา สินค้าอุปโภคบริโภคทยอยปรับตัวขึ้นในอนาคต (Cost-push inflation)
หากคนส่วนมากรู้ว่า ต่อไปสินค้า จะแพงขึ้น เค้าก็จะยิ่งซื้อตุน
ยิ่งซื้อตุน สินค้าก็ยิ่งขาดตลาด ยิ่งขาดตลาด ก็ยิ่งทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นไปอีก
ที่ผ่านมา กระบวนการควบคุมราคาสินค้า และการจัดการของรัฐบาลมีประสิทธิภาพแค่ไหนคงไม่ต้องบอก
ยิ่งเข้าแทรกแซงราคายิ่งทำให้กลไกตลาดเสีย
ความวุ่นวายเกิดขึ้นทั่วตะวันออกกลาง ส่วนหนึ่งก็มาจากสาเหตุนี้
ประชาชนต้อง “จ่ายแพงเกินไป” ในขณะที่ “รายได้น้อยเกินไป”
50% ของรายได้ต้องใช้เพื่อจ่ายเป็นค่าอาหารสำหรับประชาชนในอียิปต์ ในขณะที่ สูงถึง 70-80% ในลิเบีย
ประชาชนเริ่มถามหาความชอบธรรมของผู้นำในการบริหารประเทศ
ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวย ห่างขึ้นๆ จนกลายเป็น “คนละข้าง”
การเข้าแทรกแซงของชาติตะวันตก กลับยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปกว่าเดิม
จรวดที่ปูพรมทิ้งลงไปเป็นร้อยลูก หมายถึง งบประมาณมหาศาลที่ถูกผลาญลงไปเพื่อการนี้
ตั้งแต่โอบาม่าเข้ารับตำแหน่ง งบประมาณทางการทหารถูกใช้เฉลี่ยสูงถึง 1 Trillion ต่อปี
(สำหรับ 700 ฐานประจำการของทหารสหรัฐใน 135 ประเทศ)
นอกเหนือจากการพิมพ์เงินแล้ว สงครามคือ อีกหนึ่งปัจจัยกระตุ้นในเกิดเงินเฟ้อรุนแรง
ระเบิดทุกลูกที่ลงไป หมายถึง งบประมาณหลายล้านที่หายวับไปกับตาโดยไม่ได้สร้างผลดีต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ
หนี้สิน+ดอกเบี้ยติดตัวก็ ท่วมหัวอยู่แล้ว ยังกล้าใช้+กล้าพิมพ์
คิดแล้วเครียด
ปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นจิ๊กซอว์ ที่มีจำนวนชิ้นมากพอ
หากค่อยๆลงมือต่อก็จะเห็น “เป็นภาพ”
ภัยธรรมชาติ สงครามกลางเมือง ภาวะหนี้สาธารณะในชาติตะวันตก นโยบายพิมพ์เงินอย่างมหาศาล
เงินเฟ้อ ข้าวยากหมากแพง สารพัด โลกเราวุ่นขนาดนี้ คงถึงเวลาที่จะต้องเตรียมตัวรับมือกันในระยะประชิดซะที
เกราะป้องกันภัยที่จะช่วยเราได้ คือ เกราะทองคำ
คำถามที่ผมมักจะได้ยินบ่อยๆ คือ ราคาทองซื้อได้หรือยัง ? ซื้อเลย ? หรือว่า รอย่อลงก่อนแล้วค่อยซื้อ?
ผมคงต้องขออนุญาตถามก่อนว่า คุณวางเป้าหมาย ไว้อย่างไร ?
หากลงทุนโดยไม่มีเป้าหมาย คงคล้ายกับคนหลงทาง เดินสะเปะสะปะ
การเข้าซื้อทองคำ จึง ต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน
หากวัตถุประสงค์เพื่อ เก็งกำไรระยะสั้น วันสองวันซื้อ เพื่ออาทิตย์หน้าขาย ลงช้อนใหม่ทำกำไรระยะสั้น
ขออภัยที่ผมไม่มีความสามารถจะบอกได้จริงๆ ควรศึกษาจาก ปัจจัยทางเทคนิค (Teachnical analysis) จะเหมาะสมและช่วยได้เยอะกว่า
แต่หากเป้าหมายคือ ลงทุนระยะกลางถึงระยะยาว (6 เดือนขึ้นไป) การหาราคาเข้าไปซื้อไม่ใช่เรื่องยาก
ทยอยสะสมได้ทุกราคา ยิ่งเก็บเป็นทองคำแท่ง ไม่มีต้นทุนการเก็บรักษาและระยะเวลามากำหนด
ความเสี่ยงต่ำแต่ความอดทนรอต้องสูง ผลตอบแทนจึงจะคุ้มค่า
ขอยกตัวอย่างจาก Casey Reserch ตามกราฟนี้
สถาบัน Casey Reserch ให้ราคาของโอกาสทองจริงๆไว้ที่ 6,200$ สาเหตุก็เพราะ
โอกาสทองจริงๆ (ครั้งที่ 1) ทองขึ้น 24.28เท่า จากจุดต่ำสุด (35---850$)
หากโอกาสทอง(จริงๆ) จะเกิดขึ้นอีกครั้ง
จากจุดต่ำสุดของรอบนี้คือ 255.95$ (ในปี 2001)
ทองก็ควรขึ้นไปถึง 6,200$ โดยประมาณ
จากกราฟจะเห็นว่า ไม่ว่าคุณจะซื้อราคาไหน ณ จุดที่เราอยู่ มันไม่แพงทั้งนั้น
เมื่อเทียบกับเป้าหมายในอนาคต
6,200 คิดเป็นกว่า 4 เท่าของราคา ณ ตอนนี้
ฟังเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่ 10 ปีที่ผ่านมามันก็ขึ้นกว่า 4 เท่ามาให้เราเห็นแล้วไม่ใช่หรือ ?
หากคุณซื้อราคานี้แล้วเกิดโชคร้าย ราคาทองลดลง 100$ คิดเป็น 7%
แต่เป้าหมายลู่วิ่งขึ้นของคุณคือ 400% ถ้าวันนั้นมันมาถึงจริงๆ
คุณจะดีใจที่กำไร 400% หรือ เสียใจที่วันนั้นไม่ได้ซื้อถูกไปกว่านี้อีก 7%??
Upside กับ Downdside เทียบกันไม่ได้เลยครับ
บางคนกังวลใจว่า ถ้าฟองสบู่ทองคำแตกล่ะ ? ขายไม่ทัน ? จะทำยังไง ?
หากคุณเชื่อว่า ราคาตลาดคือสิ่งที่บอกทุกอย่างในตลาด
ปัจจัยทุกอย่างกลั่นกรองมาแล้วว่า ราคา คือ ผลลัพธ์ หากเราไม่มองปัจจัยใดๆทั้งสิ้น (เพราะต้องอธิบายกันยาว)
แต่ดูที่ราคาอย่างเดียว ถือว่า ราคาที่เป็นอยู่มีเหตุและผลรองรับอยู่แล้ว เรามาไล่ดูกัน
โอกาสทอง (จริงๆ) ครั้งที่ 1
ทองขึ้นจาก 35$ ไปจบที่ 850$ หลังจากนั้นก็ ฟองสบู่ทองคำแตก ตกลงมาอยู่ที่ 250$
ทำไมต้อง 35 ทำไมต้อง 850 ทำไมต้อง 250 ? เอาสั้นๆว่าปัจจัยพื้นฐานทุกอย่างกำหนดให้ตัวเลขเป็นแบบนั้น
หากเราถือว่าในช่วงอายุของพวกเรา 350$ คือราคาเริ่มต้น
ฟองสบู่จะส่งทองไป 8,500$ ก่อน หลังจากนั้นจะแตก แล้วตกกลับมาที่ 2,500$
ทำไมต้อง 350 ทำไมต้อง 8,500 ทำไมต้อง 2,500 ?
ผมลอกตัวเลขชุดเก่ามาครับ
นั่นหมายความว่าต่อให้ฟองสบู่ทองแตกแล้วเราขายไม่ทัน ทองก็ยังจะแพงกว่าวันนี้ “อีกเท่าตัว”
สมเหตุสมผลหรือไม่ ? อยู่ที่ท่านเป็นคนตัดสิน ผมไม่ได้รับประกันว่ามันจะเกิดขึ้น
เพราะผมไม่เก่งพอจะมองอนาคตได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แต่สิ่งเดียวที่ผมเชื่อว่าไม่โกหกเราคือ “อดีต”
- ในอดีต “เหตุ” แบบนี้ส่งให้ “ผล” เป็นอย่างไร
หาก “เหตุและปัจจัยแบบเดียวกัน” เกิดขึ้นอีก ก็พอจะคาดเดา “ผล” ที่จะเกิดขึ้นได้
- ความเสื่อมศรัทธาในดอลล่าร์ ปี 1980 ส่งให้เกิด “ผล” แบบนั้น
ความเสื่อมศรัทธาในดอลล่าร์ ที่กำลังจะเกิดในยุคของพวกเรา “ผล”จะเป็นอย่างไร
สุดแท้อยู่ที่แต่ละท่านจะพิจารณากันครับ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น