วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

"ปฐม พยัคฆ์ร้ายเเห่งคลองบางหลวง" ตอบ "เอิน กัลยกร"

น.ส.กัลยกร นาคสมภพ หรือ "เอิน กัลยกร" อดีตนักร้องและนักแสดงชื่อดัง ได้เขียนบทความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ที่ใช้ชื่อว่า Kalyakorn Earn Naksompop โดยแสดงการวิพากษ์วิจารณ์บทบาท และการทำงานของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในช่วงสถานการณ์น้ำท่วมที่กำลังรุมเร้ากรุงเทพมหานครในขณะนี้ จนก่อให้เกิดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง บทความดังกล่าวมีชื่อว่า "จากผู้หญิง (ธรรมดา) ถึงผู้หญิง (ที่เป็นนายก)" ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันพุธที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยเนื้อหาทั้งหมดมีดังนี้

จากผู้หญิง (ธรรมดา) ถึงผู้หญิง (ที่เป็นนายก)

ตอนแรกก็ว่าจะเก็บไว้เขียนหลังน้ำท่วม ..แต่ก็นะ เราก็ไม่รู้ว่าวันนั้นมันจะถึงเมื่อไหร่ ที่สำคัญคือ หลังจากที่ได้ดู นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ออกแถลงการณ์ทางทีวีเมื่อคืนนี้ ...บอกตรงๆ ละเหี่ยใจ และอดใจไม่ให้เขียนบทความนี้ไม่ได้แล้ว

คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2554 เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 และเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย

จริงๆ ตอนที่คุณยิ่งลักษณ์ได้ตำแหน่ง ผู้หญิงทั้งในและต่างประเทศ ก็รู้สึกยินดีที่ประเทศไทยได้มีนายกหญิงคนแรก เราเองได้เขียนลงเฟซบุ๊คว่า ส่วนตัวไม่ถือว่าคุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกหญิงคนแรก เหตุเพราะคุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้รับการเลือกตั้งเพราะความสามารถของเธอเอง แต่เป็นเพราะคนต้องการผู้ชายที่อยู่เบื้องหลังเธอต่างหาก ประชาชนที่เลือกเธอ ไม่ใช่เพราะชื่อ "ยิ่งลักษณ์" แต่เป็นเพราะนามสกุล "ชินวัตร" ที่เป็นสิ่งการันตีว่าเธอคนนี้คือ "สายตรง" ดังนั้นเราจะนับว่าคุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกไม่ได้

เราจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกจริงๆก็ต่อเมื่อ เธอคนนั้นต่อสู้ฟันฝ่ามาด้วยตัวเอง และพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่า "ผู้หญิงคนนี้มีความสามารถที่จะเป็นผู้นำประเทศได้" เท่านั้น

แต่ก็ช่างมันเถอะค่ะ สรุปว่า ประเทศไทยได้มีนายกรัฐมนตรีหญิงประดับประวัติศาสตร์กับเขาเสียที และจากวันที่เธอรับตำแหน่ง เราก็ควรจะดูแต่ผลงานของรัฐบาลภายใต้การนำของเธอคนนี้ ซึ่งแรกๆ นั้นเป็นไปได้ด้วยดีค่ะ คุณยิ่งลักษณ์ แม้จะดูไม่แข็งแรงห้าวหาญ แต่เธอมีความละมุนในบุคลิกที่ทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลซึ่งเต็มไปด้วยบุคคลที่เป็นที่กังขาของสังคมดูดีขึ้นแม้นโยบายของเธอจะเป็นที่ถกเถียงในวงกว้างแต่ก็มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย อยู่ที่ว่าใครมองมุมไหน แต่เวลาเธอไปเยี่ยมประเทศเพื่อนบ้านแล้วถ่ายรูปลงหนังสือพิมพ์นี่สิคะ แม้... ดูดี

สรุปว่าภาพลักษณ์ดูดีขึ้น เพราะเรามีนายกหญิงที่ดูดี ดูสง่า เป็นหน้าเป็นตาให้ประเทศไทย

จำได้ว่าตอนหาเสียง ผู้สนับสนุนเธอชอบบอกว่าเธอนี่แหล่ะ ที่จะเป็น "สตรีขี่ม้าขาว" ที่จะเข้ามากอบกู้ประเทศไทย ตามคำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

แม้ไม่ได้สนับสนุนพรรคเธอ ก็แอบหวังลึกๆ ว่า "เป็นจริงก็ดี" ถึงตอนนี้ ถ้ามีคนที่สามารถพาประเทศไทยฝ่าวิกฤติทางการเมืองไปได้ จะเป็นใครมาจากฝั่งไหนก็สนับสนุนทั้งนั้น ยิ่งเธอปะยี่ห้อว่าเป็นผู้หญิงคนแรก ที่ได้รับหน้าที่สำคัญที่สุดในประเทศ คือการรับผิดชอบดูแลคนกว่า 70 ล้านคน งานใหญ่นะคะ ในฐานะที่เป็นผู้หญิงทำงานด้วยกัน ก็แอบเชียร์อยู่ อยากให้เธอเป็นนารีขี่ม้าขาวจริงๆ ประเทศเราจะได้ก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงเสียที

แต่แล้วอุทกภัยก็มาถึง มวลน้ำมหาศาลที่เข้ามาท้าทายความสามารถในการเป็นผู้นำของคุณยิ่งลักษณ์ ผลเป็นอย่างไร ...ไม่ต้องอธิบายให้มากความ

ไม่ใช่แค่คุณยิ่งลักษณ์สอบตกทุกด้าน ในฐานะที่เป็นผู้นำของประเทศ เธอยังทำให้ภาพลักษณ์ของผู้หญิงนั้นเสียหาย

ผู้ชายอาจจะไม่เข้าใจ แต่การเป็นผู้หญิงทำงาน เพื่อจะพิสูจน์ว่าตัวเองมีความสามารถ เหมาะสมกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย หลายคนต้องทำงานหนักกว่าผู้ชาย หลายคนต้องใช้เวลามากกว่าผู้ชาย เพื่อจะลบอคติที่ว่า "ผู้หญิงอ่อนแอ" หรือ "ผู้หญิงมีดีได้แค่สวย" เป็นผู้หญิง ต้องทนคนที่เข้ามาหวังหาเศษหาเลย ต้องปกป้องตัวเองโดยต้องไม่ให้กระทบกับงาน ในขณะเดียวกันก็ต้องแสดงให้เห็นว่าเราเก่งพอ เพราะเราไม่สามารถไปนั่งกินเหล้า "เที่ยวผู้หญิง" กับเจ้านายเหมือนผู้ชายคนอื่นได้ เพราะเราไม่สามารถเล่นมุกฮาแบบลามกเต็มที่เหมือนผู้ชายคนอื่นได้ เราไม่สามารถมีช่วงเวลาส่วนตัวขนาดนั้นกับเจ้านายหรือผู้มีอำนาจซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชายได้ เราจึงต้องใช้ความสามารถเท่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์

หลายคนอาจจะบอกว่านี่มันยุคนี้แล้วไม่มีแล้วเรื่องความไม่เท่าเทียม...มีค่ะ ยังมีอยู่ เป็นผู้หญิงค่ะ ทำงานค่ะ และยังเจอทุกสิ่งอย่างที่พูดมากับตัวเองค่ะ และไม่ใช่ผู้เขียนคนเดียวที่เจอ จึงได้เข้าใจและพูดได้

คุณยิ่งลักษณ์ ในฐานะที่เป็นผู้หญิง นอกจากจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นนายกที่ดีได้ ยังต้องพิสูจน์ด้วยว่า "ความสามารถไม่เกี่ยวกับเพศ" คุณเป็นนายกหญิงคนแรกนะคะ คุณแบกรับภาพลักษณ์ตรงนี้เอาไว้อยู่ค่ะ คุณต้องลุย (ลุยจริงๆ ไม่ใช่แค่ลุยออกสื่อ) คุณต้องแข็งแรง และคุณต้องเก๋า ...ต้องเอาให้อยู่

...แต่คุณยิ่งลักษณ์ทำไม่ได้ค่ะ

การที่สื่อที่เป็นผู้ชายไม่กล้าว่าหนักๆเหมือนที่ว่านักการเมืองคนอื่นหรือนักวิชาการไม่กล้าวิจารณ์แรงๆเหมือนที่วิจารณ์นักการเมืองผู้ชายเพราะเกรงว่าจะเป็นการ "รังแกผู้หญิงตัวเล็กๆ" หรือเพราะ "สงสาร" ก็ตาม คือหลักฐานว่ามันมีเส้นหนาๆกั้นอยู่ระหว่างเพศชายและหญิง ส่วนตัวนายกเองก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะเธอออกมาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เคยแข็งแรง ด้วยคำพูดที่ไม่เคยเข้มแข็ง และด้วยข้อความที่ไม่เคยชัดเจน นอกจากนั้นเธอยังไม่เคยแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการคิดเองได้เลย

เธอทำให้เห็นเลยว่า ความละมุนของเธอนั้น จริงๆแล้วมาจากความอ่อนแอ

คุณยิ่งลักษณ์ตอกย้ำทุกวัน ว่าผู้หญิงอ่อนแอ ว่าผู้หญิงพูดจาเป็นงานเป็นการไม่รู้เรื่อง ว่าผู้หญิงคุมลูกน้องไม่ได้ ว่าผู้หญิงตัดสินใจไม่เป็น ว่าผู้หญิงเป็นผู้นำไม่ได้ สิ่งที่คุณยิ่งลักษณ์ทำ หรือทำไม่ได้ ตอกย้ำว่าผู้หญิงทำงานใหญ่ไม่ได้ ว่าผู้หญิงสุดท้ายก็เป็นได้แค่ผู้หญิงวันยังค่ำ ที่ได้แต่แต่งตัวสวยไปวันๆโดยที่ทำอะไรไม่เป็น ...เสียค่ะ เสียหายอย่างยิ่ง

ลองนึกดูนะคะ แม้ในอนาคตจะมีผู้หญิงที่มีความสามารถ แต่ใครจะอยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย มันขยาดนะคะ ประมาณว่าทดลองแล้ว ไม่สำเร็จ ก็จบแล้ว ยิ่งถ้าคนที่ไม่มีแบ๊คใหญ่ขนาดแบ๊คของคุณยิ่งลักษณ์ ยิ่งไม่ต้องหวัง

แล้วก็พาลสงสัย ว่าประวัติที่ผ่านมาของคุณยิ่งลักษณ์ ก็เป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่ระดับประเทศทั้งนั้น แล้วบริษัทเหล่านั้นรอดมาได้อย่างไร สงสัยแม้กระทั่งว่าคุณยิ่งลักษณ์เคยทำงานเองจริงๆหรือไม่ หรือได้แค่ใช้วุฒิการศึกษาที่ดูดี แต่งตัวดีๆ แต่งหน้าดีๆ ไปนั่งเฉยๆ ให้บริษัทนั้นดูภาพลักษณ์ทันสมัยขึ้น แค่นั้น? ...ถามจริงๆเถอะ ความสามารถในการสื่อสารและการทำงานระดับนี้ ถ้าไม่มี "พี่ชาย" คอยผลักคอยดันอยู่ข้างหลัง ป่านนี้คุณยิ่งลักษณ์จะทำอะไรอยู่ที่ไหน? ให้เดานะคะ ...แต่งตัวสวยๆ กลางวันไปช็อปปิ้ง ไปสปา กลับมานั่งสวยรอให้สามีชื่นชม

สรุปคือผิดหวังค่ะ เสียใจ และรู้สึกแย่ที่ผู้หญิงซึ่งได้รับตำแหน่งใหญ่ขนาดนี้คนแรก กลับทำให้ภาพลักษณ์ของผู้หญิงด้วยกันตกต่ำลงกว่าเดิม แต่งตัวสวยๆ หน้าผมเป๊ะนั้นไม่ผิดหรอกค่ะ ที่ผิดคือทำได้แค่นั้นจริงๆ

ยอมรับค่ะ ว่าการที่เขียนบทความนี้ขึ้นมาก็กลัวเหมือนกันว่าจะมีผลกระทบกับชีวิต ว่าอาจจะมีผู้สนับสนุนนายกออกมาล่าหัว โทษฐาน "วิจารณ์ผู้นำอันเป็นที่รักยิ่ง" แต่ต้องพูดค่ะ พูดอย่างเป็นกลางโดยไม่ฝักฝ่ายทางการเมือง พูดในฐานะประชาชนในระบอบประชาธิปไตยที่สามารถวิจารณ์ฝ่ายการเมืองได้ ...พูดในฐานะที่เป็นผู้หญิง

ย้ำนะคะ ไม่ว่าคุณยิ่งลักษณ์จะมาจากพรรคไหนก็ตาม หากได้เป็นนายกแล้วทำงานอย่างนี้ ก็จะออกมาพูดแบบนี้เหมือนกัน

เพราะคุณยิ่งลักษณ์ได้พิสูจน์แล้วว่าเธอไม่ได้ขี่ม้าขาว และเธอไม่ใช่สตรีในตำนาน (ก็อย่างที่คนข้างตัวเคยพูดไว้) สุดท้าย คุณยิ่งลักษณ์ ก็เป็นได้แค่ "สตรีขี่ม้าน้ำ" เท่านั้น

กัลยกร นาคสมภพ
26 ต.ค. 2554

___________________

อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้มีผู้ใช้นามว่าว่า "ปฐม พยัคฆ์ร้ายเเห่งคลองบางหลวง" เขียน "จดหมาย" เพื่อโต้ตอบ "เอิน กัลยกร" ผ่านทางเฟซบุ๊กเช่นกัน โดยใช้ชื่อบทความว่า "จดหมายจากคลองกระจง ถึง คุณเอิน กัลยากร นาคสมภพ" ซึ่งมีข้อความดังนี้

จดหมายจากคลองกระจง ถึง คุณเอิน กัลยากร นาคสมภพ

ถ้าใครยังไม่รู้เรื่องราวของ คุณเอิน กัลยากร นาคสมภพ และสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ลองไปอ่านก่อนนะครับ

มีคนเอาลิงค์มาแปะในคอมเมนต์ ไปแวะอ่านกันก่อนแล้วค่อยอ่านของผมทีหลังหรือจะอ่านของผมก่อนแล้วไปอ่านของเอิน ก็แล้วแต่ท่านเหอะ

ในโลกนี้มีผู้หญิงที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำมากมายนะครับเอิน... อินทิรา คานธี , มาร์กาเร็ต แธตเชอร์ ชื่อเหล่านี้คงคุ้นหูเอินบ้างไม่มากก็น้อย แต่วันนี้ผู้หญิงที่ดูมีบทบาทมากที่สุดในโลกก็คงจะปฏิเสธ ฮิลลารี่ คลินตั้น กับ อองซานซูจี ไม่ได้เลย หลายคนคงพอเดาได้นะครับว่าข้าพเจ้ากำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร ประเด็นไหน... ประเด็นแรกที่ข้าพเจ้าอยากบอกเอินคือ ผู้หญิงที่เป็นระดับผู้นำในโลกนี้หลายคนที่เอ่ยชื่อมาล้วนไม่ต่างกับ ยิ่งลักษณ์ เท่าไหร่ เพราะเขาก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้วยอาศัยบารมีเก่าของคนในครอบครัว เพราะคุณเอินได้เขียนในบันทึกของคุณว่า ยิ่งลักษณ์ได้เป็นนายกเพียงเพราะเป็นคนนามสกุล "ชินวัตร" ไม่ได้ต่อสู้มาด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงไม่นับว่า ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก ข้าพเจ้าเลยจะบอกคุณเอินว่ารายนามข้างต้นนั้นก็ไม่ควรจะยกให้เป็นระดับผู้นำ อินทิรา คานธี ก็อาศัยบารมีของคุณพ่อคือ ศรีเนห์รู

อินทิรา คานธี ตอนขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำใหม่ ๆ เธอก็เป็นดั่งหุ่นเชิดจนมีคนตั้งฉายาว่าเธออย่างเจ็บแสบว่า ตุ๊กตาหน้าโง่ (ข้าพเจ้าขออภัยที่จำฉายานั้นเป็นภาษาฮินดีไม่ได้) แต่จากนั้นห้าปีเธอได้สะสมประสบการณ์และก้าวขึ้นการเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่ใครไม่อาจจะปฏิเสธได้เลย เธอสะสมประสบการณ์ทางการเมืองและในทางเดียวกันเธอก็เข้าถึงใจคนจนที่นักปกครองทุกรุ่นหลงลืม จนสุดท้ายชื่อของเธอโดดเด่นเป็นตัวของตัวเอง เธอลบคำสบประมาทว่าก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำได้เพราะพ่ออย่างหมดสิ้นและสิ้นเชิง คุณเอินว่า การเริ่มต้นของอินทิรากับยิ่งลักษณ์พอ ๆ กันไหมครับ เพราะเธอเข้าสู่ตำแหน่งวันแรก ๆ ผู้ชายก็รุมด่าเธอตั้งฉายาให้เธอว่า "ตุ๊กตาบาร์บี้" ไม่ต่างจาก อินทิรา เท่าไหร่ว่าไหม...

มาร์กาเร็ต แธตเชอร์ ล่ะ... คนนี้หญิงเหล็กของโลกเลยนะครับคุณเอิน แต่คุณเอินรู้ไหมว่ากว่าเธอจะก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำเธอต้องได้รับการสนับสนุนจากใครบ้าง ไม่เพียงแต่ต้องการเสียงในสภาเสียงประชาชนเท่านั้น เพราะ มาร์กาเร็ต แธตเชอร์ ที่เธอมาถึงวันนี้ได้ก็เพราะว่าเธออาศัยรากฐานของครอบครัวเธอเป็นสำคัญ

อองซานซูจี ล่ะ... มิใช่ว่าเพราะพ่อของเธอหรอกเหรอ เธอถึงก้าวเป็นสัญลักษณ์ของพม่าในเวลาอันรวดเร็ว เธอเป็นแกนนำมวลชนเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่าได้นั้นส่วนหนึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เพราะเธอเป็นลูกของ นายพลอองซาน อองซานซูจีโดดเด่นในเวทีพม่าเพราะอาศัยรากฐานจากพ่อและเป็นที่สนใจของชาวโลกเพราะการสนับสนุนของอเมริกา

ฮิลลารี่ คลินตั้น ก็เช่นกัน จริง ๆ คนนี้เป็นผู้หญิงที่เก่งมากครับ เธอเก่งมาแต่เดิม แต่เธอทำทุกอย่างเพื่อสนับสนุนสามีเป็นหลังบ้านที่ดีเพื่อให้ บิลล์ เป็นหมายเลขหนึ่งของโลก แต่เราจะปฏิเสธได้หรือไม่ว่าวันนี้ที่เธอโดดเด่นและมีบทบาท เพราะอาศัยรากฐานจากสามีเช่นกัน

ทั้งหมดทั้งมวลที่ข้าพเจ้าไล่มานั้นเพียงเพื่อจะชี้ให้เห็นว่า ผู้นำที่โดดเด่นเหล่านี้จริงๆ แล้วถ้ามองในมุมคุณเอินจะเห็นว่าไม่มีใครต่อสู้ขึ้นมาด้วยตัวเองเลยแม้แต่คนเดียวเพราะเกือบทั้งหมดถ้าไม่อาศัยพ่อก็ต้องอาศัยผัวไม่อาศัยผัวก็ต้องพึ่งพานามสกุล ซึ่งนั่นเป็นความจริงครับคุณเอิน เพราะมันเป็นรากเป็นฐาน อย่างคุณเอินและพี่สาว (หรือน้องสาว) ของคุณเนี่ย ถ้าไม่ได้นามสกุล "นาคสมภพ" จะได้เข้าสู่วงการบันเทิงหรือไม่... จะมีฐานะเป็นที่รู้จักของคนเป็นเบื้องต้นหรือไม่... คุณเอินลองถามและตอบตัวเอง

แต่ผู้หญิงเหล่านั้นต่างจากคุณเอินครับ เพราะเมื่อเขามีรากฐานมาเขาได้โอกาสและพวกหล่อนคว้ามันไว้และทำโอกาสให้เป็นสิ่งดีงาม พวกเธอก็อยู่ในใจของผู้คน ซึ่งแตกต่างจากคุณเอินที่มีรากฐานได้โอกาส แต่เชื่อไหมครับว่าวันนี้ใครหลาย ๆ คนยังต้องระลึกชาติเลยว่า "คุณเป็นใคร" นั่นคือความต่างของ รากฐาน ที่คุณว่าไว้ ถ้าจะถามว่ายิ่งลักษณ์ได้ต่อสู้มาไหมในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ข้าพเจ้าต้องเรียนคุณเอินว่า คุณยิ่งลักษณ์ได้ต่อสู้มาตลอดด้วยตัวของเธอเองแม้จะมีคนสนับสนุนแต่เธอก็ฝ่าฟันมาได้เอง ถ้าคุณเอินย้อนไปคิดดูตอนช่วงรณรงค์เลือกตั้ง คุณจำได้ไหมครับว่า คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ และ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อีกทั้งลูกหาบทั้งหลาย มั่นใจในคะแนนนิยมของพรรคประชาธิปัตย์แค่ไหน อย่างไร... มั่นใจมากหรือไม่ให้ไปดูวาทกรรมว่า "จะขุดรูอยู่" ของ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็แล้วกัน

จากวาทกรรมฆ่าตัวเองของประชาธิปัตย์ มันชี้ให้เห็นว่าตอนแรกคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยคงไม่เท่าไหร่ แต่ยิ่งลักษณ์ก็หมั่นลงพื้นที่หมั่นเข้าหาประชาชน ความอึดของเธอไม่ได้แพ้ผู้ชายอกสามศอกอย่างอภิสิทธิ์เลย ในขณะที่อภิสิทธิ์เอาสายสิญจน์ล้อมหัวหนุนชะตา ยิ่งลักษณ์ก็ยังลงพื้นที่โดยไม่มีเชือกใดมาพันกบาล ความแตกต่างตรงนี้คุณเอินพอมองเห็นอะไรบ้างไหมครับ

ยิ่งลักษณ์จริงอยู่ที่มีนามสกุล "ชินวัตร" เป็นพื้นฐาน แต่ถ้าเธอไม่เอาไหนรักษาโอกาสไม่ได้อย่างคุณ เธอก็คงถูกลืมเลือนและคงไม่ชนะเลือกตั้ง แต่คุณยิ่งลักษณ์รู้จักบริหารโอกาสรู้จักเข้าไปในใจประชาชน เธอจึงได้เป็นผู้นำ

การทำงานของยิ่งลักษณ์ในวันนี้... ข้าพเจ้าก็เห็นข้อผิดพลาดของเธอมากมายและหลายครั้งก็นึกเหมือนกันว่าถ้าข้าพเจ้าเป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้จะแก้ปัญหาอย่างไร ข้าพเจ้านึกได้เพียงสามนาทีแล้วก็ต้องเลิกคิดเพราะมันเป็นความสยดสยองที่ผุดขึ้นมาแทนที่ความฝันอันเรืองรอง ข้าพเจ้าไม่ทราบจริงๆ ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร นักวิชาการเรื่องน้ำของประเทศเราวันนี้มีเยอะครับแต่มันเยอะจนเกินไปจนไม่รู้จะเลือกเชื่อใครสักคน ใครที่ว่าเก่งว่าเจ๋งก็คาดการณ์ผิดหน้าตาแหกกันเป็นแถวๆ ถ้าข้าพเจ้าเป็นนายกรัฐมนตรีก็คงตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกเชื่อใครดี แต่เธอก็กล้าหาญพอที่จะตัดสินใจและแก้ไขปัญหาอย่างเต็มความสามารถ ในสายตาของข้าพเจ้าแล้วคิดว่าเธอทำงานได้ดีแม้ไม่สง่างาม ภาวะวิกฤตน้ำแบบนี้ข้าพเจ้าเชื่อว่าไม่ว่าใครมาทำงานตรงนี้คงไม่เหลือความสง่างามให้เห็น แม้แต่ผู้ชายอย่าง ประยุทธ์ จันทร์โอชา , สุขุมพันธ์ บริพัตร สองคนนี้สภาพเหมือน...ตกน้ำซึ่งดูไปแล้วแย่ยิ่งกว่าสภาพปรัตยุบันของนายกรัฐมนตรีอย่างยิ่งลักษณ์เสียอีก

การจะมองความสามารถการทำงานนั้นต้องเทียบกับความหนักหนาของงานเป็นสำคัญ น้ำท่วมประเทศไทยหนนี้น่าจะจารึกในประวัติศาสตร์ชาติไทยได้เลยว่าเป็นปัญหาน้ำท่วมที่มีมวลน้ำหนักหนามากที่สุดและเป็นปัญหาที่รับช่วงต่อจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในตอนที่ อภิสิทธิ์ รับมือกับน้ำท่วมที่ไม่หนักหนาเท่านี้ข้าพเจ้าพูดอย่างตรงไปตรงมาได้เลยว่า ทำงานได้ไม่สมชาย และแก้ปัญหาเพ้อเจ้อไม่สมกับเป็นเด็กอังกฤษ ถ้าเทียบกับยิ่งลักษณ์ตอนนี้ ข้าพเจ้าพูดด้วยความสัตย์ว่า ยิ่งลักษณ์ดูดีกว่ามากมายมหาศาล เธอไม่ท้อแม้จะมากแค่ไหน เธอตั้งใจ ไม่โทษใคร เธอต้องเดินฝ่าสงครามน้ำลายที่เพศชายโจมตีเธอ เธอก้มหน้าทำงานไม่ฟ้องประชาชนว่า "ผู้ชายไม่ได้ช่วยงานแถมเล่นสกปรกกับผู้หญิง" เธอมีสิทธิที่จะพูดแต่เธอไม่ได้พูดเรื่องใด แม้มีคนใส่ร้ายเธอมากมาย เธอก็ไม่เคยโจมตีกลับอะไรซึ่งผิดกับผู้ชายอกสามศอกที่หลุดอาการออกบ่อย ๆ ด้วยซ้ำไป ถ้านึกไม่ออกคุณเอินลองไปหาภาพอภิสิทธิ์ปรี่เข้าหานักข่าวหญิงได้นะครับ...

การที่คุณจะมองว่า ยิ่งลักษณ์ สอบตกทุกเรื่องนั้นก็เป็นสิทธิของคุณล่ะครับ แต่ถ้าเรามองความจริงและเอายิ่งลักษณ์มาเทียบกับอภิสิทธิ์และผู้นำคนก่อน ๆ ของไทย (เว้นไว้แต่ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์) ยิ่งลักษณ์ทำงานได้ไม่แพ้กับผู้นำประเทศของเราที่ผ่านมา เธอรับมือได้ดีและทำงานให้ผู้ชายเห็นว่า ผู้หญิงทำงานได้ดีกว่าผู้ชาย แม้เธอจะพูดไม่เก่งเหมือนอภิสิทธิ์แต่เธอก็ทดแทนด้วยการทำ... และทำ... และยอมรับความจริงจนดูเหมือนยอมพ่ายแพ้ แต่เธอก็ไม่ได้ทำผิดกับประชาชน ไม่ได้ฆ่าประชาชนแล้วบอกว่าไม่ฆ่า ไม่ได้ทำไม่ได้แล้วบอกว่าทำได้...

สำหรับคุณ ยิ่งลักษณ์อาจสอบตก สำหรับข้าพเจ้าเธอ "พอผ่าน" เพราะข้าพเจ้ามีมาตรฐานผู้นำที่สูง แต่สำหรับคนไทยทั่วไปที่ชินกับผู้นำแบบไทย ๆ โดยเฉพาะเทียบกับอภิสิทธิ์... เธอผ่านฉลุย

วันนี้สิ่งที่คุณเอินทำอยู่นั้นทำให้ข้าพเจ้านึกเรื่องหลาย ๆ เรื่องออก... สิ่งที่คุณเอินทำนั้นทำให้ข้าพเจ้านึกถึง โยนออฟอาร์ค เธอก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อชาติและรับใช้พระเจ้าของเธอ แต่เธอก็ถูกผู้ชายรุมทำร้าย รุมใส่ความ แม้ติดคุกก็เจอผู้ชายข่มขืนในยามโดนเผาก็มีคนส่วนหนึ่งสาปแช่ง ในหมู่คนสาปแช่งโยนออฟอาร์คคงมีสักคนที่เป็นผู้หญิงและหมั่นไส้เธอแต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำเป็นอย่างไร คนที่สาปแช่งเธอนั้นไม่ได้มีความพอที่จะตัดสินมีแต่อารมณ์ขุ่นเคือง จึงสาปแช่งเพศเดียวกันที่กำลังทำทุกอย่างเพื่อความถูกต้องของเธอ อีกเรื่อง เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง คุณเอินเคยได้ยินเรื่องการประหารด้วยการปาหินไหมครับ ถ้ามีผู้หญิงคนหนึ่งถูกผู้ชายตัดสินว่ามีความผิดไม่ว่าเธอจะทำจริงหรือไม่จริง เธอต้องถูกประหารชีวิตด้วยการขว้างหิน ซึ่งผู้หญิงในตะวันออกกลางที่ตายไปนั้นมีกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซนต์ที่เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ด้วยความเลวของชายจึงจับเธอมาประชาทัณฑ์ คุณเอินก็เป็นคนหนึ่งที่ขว้างหินใส่ผู้หญิงคนนั้น คุณเอินฆ่าคนและสาปแช่งคนโดยผู้ชายบอกว่า... สิ่งที่คุณด่าคุณยิ่งลักษณ์ ข้าพเจ้าอ่านสองรอบ ข้าพเจ้าไม่พบข้อมูลใดที่เกี่ยวพันทางการเมืองการปกครอง จะมีก็แต่อารมณ์ความรู้สึกและเรื่องราวที่เขาบอกมาเท่านั้น แสดงว่าคุณเอินไม่มีข้อมูลในมือในการด่าคุณยิ่งลักษณ์นอกจากอารมณ์และสิ่งที่เขาบอกให้ด่า แล้วคุณเอินจะต่างกับผู้หญิงที่สาปแช่งโยนออฟอาร์คหรือผู้หญิงที่ปาหินเพื่อประหารผู้หญิงด้วยกันโดยไม่รู้ความถูกผิดตรงไหนกันครับ...

แต่นั่นคือสิทธิของคุณเอินครับ แต่ข้าพเจ้าอยากฝากบอกไว้หน่อยว่า ถ้าคุณไม่ยอมรับว่า คุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกและเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ยี่สิบแปดของคนไทยเพราะเขาคือหนึ่งในตระกูลชินวัตร ก็อยากเพิ่มตรรกะอีกอย่างให้คุณเอินได้ลองพิจารณา ว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นับว่าเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ยี่สิบเจ็ดหรือไม่... เพราะเขาคือคนที่ขึ้นสู่ตำแหน่งด้วยความช่วยเหลือจากกองทัพมิใช่มาโดยครรลองของระบอบประชาธิปไตย ลองพิจารณา

ก่อนจะจบจดหมายนี้อยากพูดกับคุณเอินเรื่องวิทยาศาสตร์นิดหนึ่งครับ... ข้าพเจ้าก็จำไม่ได้ว่าอ่านเจอจากไหนแต่พอเจอกรณีจั๊ดจัดและกรณีคุณเอินแล้ว ทำให้นึกถึงบทความนี้ที่เคยอ่านเจอ นักวิทยาศาสตร์ชาวตะวันตกผู้เชี่ยวชาญเรื่องสิ่งเร้นลับ เขาได้เขียนบทความว่า "คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมในภาพยนตร์ผี ๆ มักจะมีฉากไฟติด ๆ ดับ ๆ โทรศัพท์ปิด ๆ เปิด ๆ เครื่องใช้ไฟฟ้ารวนเมื่อผีจะออกมา" เขาได้ให้เหตุผลต่อว่า "จากการศึกษาของผมเมื่อวิญญาณจะปรากฏตัวจะเกิดปรากฏการณ์อย่างนั้นจริง เพราะวิญญาณนั้นถ้าจะปรากฏตัวจะดูดพลังงานจากสิ่งต่างๆ ถ้าใช้ไฟฉายเขาก็จะดูดพลังงานจากแบตตอรี่ ดูดพลังงานทั้งหมด เพราะเขาจะปรากฏตัวให้เห็นไม่ได้ถ้าเขาไม่มีพลังงาน และเขาก็ไม่สามารถสร้างพลังงานได้ ต้องดูดเอาจากสิ่งรอบตัว"

คุณเอินกับจั๊ดจัดก็คล้าย ๆ กันกับวิญญาณแหละครับ เพราะปกติแทบไม่มีใครเห็นไม่มีใครรู้จักอยู่แล้ว... คุณต้องดูดพลังงานจากคนอื่นด้วยการด่าคนอื่น เพราะยิ่งคุณด่าคนอื่นมากเท่าไหร่ตัวตนของคุณจะปรากฏออกมาต่อสาธารณชน...

แต่จริง ๆ แล้ว ถ้าคนเราอยากมีตัวตนในสายตาคนอื่น เรามีวิธีอื่นนี่ครับ... จริงไหม... ไม่จำเป็นต้องทำร้ายใครเพื่อสร้างตัวตนของเราขึ้นมาเลย เคยได้ยินคำว่า "ความรู้ทำให้คนสง่างามไหมครับ" คุณจะมีตัวตนได้นะครับ ถ้าใช้วิชาความรู้ให้ถูกที่ถูกทาง หรือว่าคุณเอินกับจั๊ดจัดไม่ชินกับการสร้างตัวตนโดยวิธีปกติ ชอบทางลัดด้วยการทำร้ายคนและเป็นช่างปั้นเรื่อง เหรอครับ...

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ข้อมูลเด็ดจากIF เรื่องการวางแผนเก้บน้ำของเขื่อน

โดย longtime flynow เมื่อวันเสาร์ ที่ 01 ตุลาคม 2011

ดูแล้วชวนสงสัยว่าน้ำท่วมครั้งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่ถูกวางแผนไว้โดนเริ่มปฎิบัตืการมาตั้งแต่เดือนเมษายนปีนี้

โดยเริ่มจากเขื่อนสิริกิตติ์มีข้อมูลว่า
- เมษา 54 ปริมาณน้ำในเขื่อน 50.21% แต่กลับปล่อยน้ำออกเพียง 7.0 ล้านลบม. ในขณะที่ปี 53 ปริมาณน้ำ 37.95% ระบายน้ำถึง 12 ล้านลบม.

- พค 54 ปริมาณน้ำในเขื่อน 52.63% แต่กลับปล่อยน้ำออกเพียง 7.5 ล้านลบม. ในขณะที่ปี 53 ปริมาณน้ำ 36.90% ระบายน้ำถึง 8.3 ล้านลบม.

- มิย 54 ปริมาณน้ำในเขื่อน 60.27% แต่กลับปล่อยน้ำออกเพียง 0.0 ล้านลบม. ในขณะที่ปี 53 ปริมาณน้ำ 34.10% ระบายน้ำถึง 11.0 ล้านลบม.

ตอนนี้ หายสงสัยแล้วว่าปริมาณน้ำส่วนเกินมันมาจากไหน พอเริ่มปล่อยน้ำออกมาก็พอดีกันกับที่ฝนตกชุก พอน้ำจากเขื่อนสิริกิตติ์ปล่อยลงสู่แม่น้ำน่านก็ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมสมัย ปลายรัฐบาลอภิสิทธิ์และส่งกระทบเป็นโดมิโนไปยังทุก ๆ เขื่อน

ไม่อยาก สรุปเลยว่าอภิสิทธิ์ยุบสภาหนีน้ำท่วม แต่ที่พวกมันคาดการณ์ผิดก็คือปีนี้ฝนมาเร็วกว่าปกติหนึ่งเดือนทำให้เกิดน้ำ ท่วมตั้งแต่สมัยอภิสิทธิ์

เอาไว้วันหลังจะเอาตารางสรุปการเก็บและปล่อยน้ำของทุกเขื่อนมาให้ดูคะขอเวลารวมรวมข้อมูลหลักฐานก่อน
นำข่าวเก่าของเมื่อปีที่แล้วมาเสริมครับ

วันที่ 2 ตุลาคม 2553 "
นายสุทธิโรจน์ กองแก้ว ผอ.โครงการส่งน้ำ และบำรุงรักษาลำตะคอง สน.ชลประทานที่ 8 นครราชสีมา
ให้สัมภาษณ์ว่า สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำลำตะคอง อ.สีคิ้ว ยังต้องการน้ำอีกจำนวนมาก

แม้นจะมีพายุอีก 2-3 ลูก พัดผ่านก็ยังรองรับน้ำได้อย่างสบาย ล่าสุดเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา มีปริมาณน้ำ
164 ล้านลูกบาศ์กเมตร หรือ 52 % ของความจุเต็มที่ 314 ล้านลูกบาศ์กเมตร"

รูปภาพ

ให้ดูระดับน้ำในอ่างลำตะคอง (ช่องที่ 3) และปริมาณน้ำที่ระบายออกจากอ่างในช่องสุดท้ายขวามือนะครับ
เราจะพบว่าระดับในอ่างลำตะคองเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นมา ตั้งแต่ระดับเพียง
173 ล้าน ลบ.ม.หรือประมาณ 55.10% ของความสามารถกักเก็บน้ำทั้งหมด จนถึงวันที่ 15 ตุลาคม
ปรากฏว่าระดับน้ำได้เพิ่มขึ้นมาถึง 246 ล้าน ลบ.ม. หรือเท่ากับ 78.34% ของความสามารถ
กักเก็บน้ำทั้งหมด แต่น้ำจากในอ่างไม่ได้ค่อย ๆ ถูกระบายออกมาเลยแม้แต่ ลบ.ม. เดียว

จากการให้ข่าวของ นายจักรกฤษ แจ้งกรณ์ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำตะคอง
เมื่อ 17 ตค. 53 ซึ่งวันนั้นปริมาณน้ำในอ่างเกิน 85% แล้ว

"จักรกฤษณ์ ผอ. เขื่อนลำตะคอง เผยฝนตกหนัก ยังไม่เปิดประตูระบายน้ำ ยันยังรับน้ำได้ ไม่มีเขื่อนแตกแน่
เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง

นายจักรกฤษ แจ้งกรณ์ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำตะคอง กล่าวว่าขณะนี้ปริมาณน้ำ
ภายในอ่าง เก็บน้ำลำตะคอง ที่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา อยู่เต็มระดับกักเก็บที่ 314 ล้านลูกบาศก์เมตร
และระดับน้ำเหลืออีกเพียง 30 เซนติเมตร ก็จะล้นบานประตูระบายน้ำ ( สปริลเวย์ ) ไหลลงสมทบ
ในลำน้ำลำตะคองที่อยู่เบื้องล่าง เนื่องจากยังคงมีฝนตกหนัก ในพื้นที่เหนืออ่างเก็บน้ำ โดยเฉพาะที่
อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และกำลังไหลบ่ามาอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม ทางโครงการส่งน้ำ
และบำรุงรักษาลำตะคองยังยืนยันว่า จะไม่มีการเปิดการระบายน้ำ ทางช่องทางอื่น นอกเหนือจาก
ปล่อยให้ล้นออกทางสปริลเวย์เท่านั้น เพื่อไม่ให้ปริมาณน้ำภายในอ่างไหลลงสู่ลำคลองธรรมชาติ
ซ้ำเติมสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ใต้เขื่อน ที่กำลังประสบกับปัญหาอย่างหนัก และขอประกาศเตือนประชาชน
ที่อยู่ติดกับลำน้ำลำตะคองตั้งแต่ อ.สีคิ้ว , สูงเนิน , เมือง รวมถึง อ.พิมาย ให้ขนย้ายข้าวของไปไว้บนที่สูง
และเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน อย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง"

.. แต่สุดท้ายน้ำก็ล้นเขื่อน บริหารงานด้วยความประมาทหรือเหตุสุดวิสัย ?? ..

เครดิต : สำนักข่าว INN

Daily News Online
หวั่นเขื่อนแตก ลำตะคองปล่อยน้ำ
วันอาทิตย์ ที่ 17 ตุลาคม 2553 เวลา 19:06 น
ลำตะคองสุดอั้น!!! รับน้ำไม่ไหวหวั่นเขื่อนแตก เตรียมปล่อยน้ำคืนนี้ ประกาศเตือนชาวบ้านใต้เขื่อน ระวัง

เมื่อ เวลา 17.45 น.วันที่ 17 ต.ค. ได้มีประกาศจากศูนย์วิทยุตำรวจ สภ.สีคิ้ว ศูนย์วิทยุ สภ.สูงเนิน ศูนย์วิทยุหน่วยกู้ภัยสว่างแสงธรรมสูงเนิน ศูนย์วิทยุหน่วยกู้มูลนิธิพรหม ธรรมสีคิ้ว และวิทยุชุมชนบางสถานีในพื้นที่ ว่าได้รับแจ้งจากกรมชลประทานว่าอ่างเก็บน้ำเขื่อนลำตะคอง ต.คลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ มีความจุในการกักเก็บน้ำได้ ถึง 310 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะนี้ฝนได้ตกอย่างรุนแรงในท้องที่ อ.ปากช่อง ซึ่งอยู่เหนือเขื่อน เป็นเหตุให้น้ำไหลเข้าตัวเขื่อน เป็นจำนวนมากจนเหลือเพียง 30%เท่านั้น น้ำก็จะล้นเขื่อน ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ สำนักงานชลประทานลำตะคอง จึงจำเป็นต้องระบายระดับน้ำในลำตะคองก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากระดับน้ำที่ 55.10% ในวันที่ 1 มาจนถึงระดับเกือบ 100%
ในอีกเพียงแค่ 2 สัปดาห์คือในวันที่ 16 ตค. 53 และในวันเดียวกันนั้นเอง น้ำได้หลากจากอำเภอสีคิ้ว,
ปักธงชัย, เขตอุทยานทับลาน และเขาใหญ่ มาบรรจบกันเข้าท่วมเขตอำเภอต่าง ๆ ของนครราชสีมารวมทั้ง
อำเภอเมือง ซึ่งแน่นอนว่าน้ำปริมาณมหาศาลจากทั้ง 4 แหล่งที่หลากมานั้น ได้ไหลลงอ่างเก็บน้ำลำตะคองด้วย
จนปริมาณน้ำในอ่าง ฯ ล้นระดับสันเขื่อนจนต้องแอบปล่อยน้ำออกจากเขื่อนลำตะคองในกลางดึกของคืนวันที่ 17 ตค.
ซึ่งเป็นเหตุให้น้ำจำนวนมหาศาลได้ไหลเข้าท่วมซ้ำเติมในหลายพื้นที่ของนครราชสีมาจนถึงระดับวิกฤติอย่างรวดเร็ว
และเกิดความสูญเสียรวมทั้งเสียหายหนักกว่าที่ควรจะเป็น

ที่ผมมองอย่างนี้เพราะได้พบพิรุธอีกข้อนึงในรายงานสภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำและเขื่อนทั่วประเทศซึ่งจัดทำโดย
สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและเกษตรในวันที่ 17 ตค. 53 ซึ่งเป็นวันที่ต้องสงสัยว่ามีการปล่อยน้ำออกจาก
เขื่อนลำตะคองมากจนเข้าท่วมซ้ำเติมเมืองโคราชนั้น หายไปจากระบบฐานข้อมูล อย่างน่าแปลกใจโดยตลอด
ทั้งเดือนนั้นอยู่ครบ ต้องมาเจาะจงหายแม่มวันนั้นวันเดียว !!น้ำออกจากเขื่อนภายในเวลา 24.00 น.คืนนี้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการแตกร้าว ของตัวเขื่อนซึ่งอาจจะเกิด อันตรายกับประชาชนที่อาศัยอยู่ใต้เขื่อน
สรุปคือ ไม่มีการปล่อยน้ำออกจากเขื่อน แทนที่จะทยอยปล่อยไปเรื่อย ๆ กับเก็บกักน้ำไว้ อ้างว่าจะไปท่วมซ้ำเติมข้างล่าง แต่ก็รู้อยู่ว่า ฝนจะตกลงมา เติมน้ำในเขื่อน จนเต็มต้องปล่อยน้ำออกมาแน่ พอเต็มต้องปล่อย ก็พอดีกับเขื่อนอื่นต้องปล่อยด้วย น้ำเลยท่วมมากยี่งขึ้น
น่าสนใจนะ

น้ำจะท่วมไปเรื่อย ๆ จนกว่าคนเสื้อแดงจะยอมแพ้หรือไม่ก็อมาตย์สูญพันธุ์
เจ้าของ อำแดงเหมือน
viewtopic.php?f=2&t=10000

วันนี้ได้ยินอธิบดีกรมอุตุฯแถลงว่าน้ำท่วมปีนี้เกิดจากน้ำมือมนุษย์ไม่ใช่ปริมาณน้ำฝน
เจ้าของ อำแดงเหมือน
viewtopic.php?f=2&t=10125

==========================

ขอเชิญทุกท่านเข้าไปดูได้ที่เว็บกรมชลประทาน
เพื่อเข้าไปพิจารณาถึงความไม่ชอบมาพากลของปัญหาน้ำท่วมที่เลวร้ายอย่างสุดขีด เพราะ เพียงแค่ดูข่าวทีวี เห็นภาพน้ำท่วมบ้านเรือน อาจจะทำให้ไม่รู้ถึงสภาพของปัญหา แต่คงไม่ทำให้ท่านได้เห็นปัญหาที่แท้จริงว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

อย่างที่ผมเคยตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับน้ำท่วมปีที่แล้วไว้ในกระทู้ก่อนหน้านี้
ในปีนี้ก็เช่นเดียวกัน น้ำที่ไหลมาเป็นน้ำที่ค่อนข้างใส เพราะมวลน้ำดังกล่าวเคยถูกกักเก็บไว้ในเขื่อน
และเมื่อดูระดับกักเก็บน้ำในเขื่อนย้อนไปตั้งแต่ต้นปี ก็จะพบความสอดคล้องกันของสิ่งที่ผมสงสัย

ข้อมูลต่าง ๆ ดูได้จากเว็บไซต์นี้ กรมชลประทาน
โดยทางด้านซ้ายจะมีรายชื่อเขื่อน เมื่อคลิ๊กที่ชื่อ จะเห็นภาพกราฟขึ้นมา เช่น เขื่อนแม่กวง

สำหรับคนที่ยังไม่เคยดูกราฟในลักษณะนี้มาก่อน อาจทำให้ดูแล้วไม่เข้าใจ ผมจึงของอธิบายไว้ ณ ที่นี้

======== คำอธิบายในการดูกราฟ ==========

- กราฟนี้ เริ่มต้นในวันที่ 1 เมษายน ของทุกปี เรียกว่า ปีน้ำ (Water Year)

- "เส้นกราฟเกณฑ์กักเก็บน้ำ สูงสุด-ต่ำสุด" คือ เกณฑ์ระดับกักเก็บน้ำที่แนะนำไว้

ถ้าช่วงเวลาใดเส้นกราฟลาดลง แสดงว่าช่วงนั้นควรระบายน้ำให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์
(ระบายน้ำออกจากเขื่อน ในปริมาณที่มากกว่า น้ำไหลเข้ามาเติมในเขื่อน) ซึ่งจะเป็นช่วงฤดูแล้ง ไม่มีฝนตก การระบายน้ำสู่ระบบชลประทาน

ส่วนช่วงเวลาที่เส้นกราฟขึ้นสูง แสดงว่าช่วงนั้นควรกักเก็บน้ำสะสมไว้ (ปริมาณน้ำไหลเข้าสู่เขื่อน มากกว่าที่ระบายน้ำออกไป) จะเป็นช่วงฤดูฝน มีฝนตกทั่วไป ซึ่งเป็นโอกาสที่จะสะสมน้ำไว้ในเขื่อนสำหรับช่วงฤดูแล้ง

โดยแต่ละเขื่อนจะมีระดับเกณฑ์แนะนำที่แตกต่างกันไปตามฤดูกาลในแต่ละภูมิภาค

- "เส้นกราฟสี ระดับกักเก็บน้ำจริง" คือ เส้นระดับกักเก็บน้ำในเขื่อนจริงของแต่ละปี

ถ้าเส้นกราฟระดับกักเก็บน้ำลดลงก็แสดงว่ามีการระบายน้ำ แต่ถ้าเส้นกราฟสูงขึ้นแสดงว่ามีการกักเก็บน้ำ

======================================

จะเห็นได้ว่า เขื่อนแม่กวง ที่ผมยกตัวอย่างมานี้
ในปี 2554 นี้เริ่มมีการกักเก็บน้ำตั้งแต่เดือน 20-30 เมษายน 54

ซึ่งมันผิดปกติเป็นอย่างมาก เพราะสวนทาง (หรือเส้นกราฟตัดกัน) กับเส้นกราฟแนะนำไว้ และเป็นเช่นนี้เหมือนกันในอีกหลาย ๆ แห่ง

เป็นไปได้มั๊ยว่าน้ำท่วมครั้งนี้เกิดจากปัญหาวิกฤติการเมืองของคนบางกลุ่ม
เพื่อกลบขี้ที่ตัวเองได้ทำไว้
เพื่อเบียงเบนความสนใจของประชาชน
เพื่อเพิ่มภาระให้กับรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ไม่ให้มีโอกาสดำเนินตามนโยบายที่วางไว้

ถ้าอย่างที่ผมสงสัยเป็นจริง
นี่อาจจะเป็นขั้นตอนหนึ่งที่นำไปสู่การขีดเส้นตาย 6 เดือน
ที่มีคนกำหนดให้กับรัฐบาลคุณปูยิ่งลักษณ์

จากคุณ : Jump Master