วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

รวม...บทกลอนทั่วไป

กาพย์ยานีของนายผี

" ขุดเหล็กที่กลางเขา มาเคี่ยวเข้าจนเป็นยาง

ซัดยาอยู่คว้างคว้าง ก็เอาขึ้นประโคมตี

เป็นดาบอันคมเขียว แลเนื้อเหนียวกระเด็นดี

ชุบอาบจนปลาบปรี ดิเพราะได้ดุจดังใจ

เอาไม้ตะเคียนมา ให้เป็นด้ามก็ดูไกร

ผมพรายประจุไป ก็ประสาทแก่ศิษย์หา

นายจันทรจึงเอาใย แมลงมุมนั้นโยนมา

หงายคมจะให้คา ก็กลับขาดไปกลางคม

คืนแรมสิบสี่ค่ำ แลมืดทั่วบุรีรมย์

ควงวงเป็นกงกลม ก็สว่างดั่งกลางวัน

ชักออกมาทีไร เป็นได้เลือดอยู่ครามครัน

สมใจพนายจันทร ก็ลาจากอาจารย์มา

แสนพลพะม่าพัง กะทั่งกาญจนบุรีรา

ชาแสร้งให้อาสา ก็สำเร็จประสงค์สม

ตีพลพะม่าแตก เตลิดแล่นไปเพียงลม

คืนเข้ามาบังคม ก็บำเหน็จให้หนักหนา

ให้เป็นพระยาพล แลคุมพลโยธา

ให้รั้งอยู่รักษา สำหรับกาญจนบุรีเรือง"

กาพย์ชิ้นนี้อยู่ในหนังสือชื่อ "ความเปลี่ยนแปลง" ของนายผี
เขียนขึ้นเพื่อบอกเล่าถึงความเป็นมาของตระกูล "พลจันทร์"

++++++++++++++

แด่กรรมกร


แต่เช้าจรดเย็นค่ำต้องตรากตรำด้วยน้ำตา

ผิดหรือกูเกิดมาแล้วถูกตราเป็นกรรมกร

กูทนถูกกดขี่นายทุนนี้เฝ้าเห่าหอน

เอาเปรียบกูทุกตอนแม้กินนอนคอยจี่ไช



ความรู้กูก็ต่ำนายทุนซ้ำคอยผลักไส

กูอยู่ด้วยจำใจหมดทางไปเพราะไร้เงิน

กูทุกข์กูเหนื่อยยากกูลำบากมันเที่ยวกลืน

กินนอนบนกองเงินด้วยส่วนเกินแรงงานกู



ลูกเมียกูยากไร้จะอดตายใครบ้างรู้

หวังรัฐคอยแลดูกลับค้ำชูพวกนายทุน

อนิจารัฐของชาติกลับเป็นทาสน้ำเงินขุน

ทรยศเพื่อนายทุนเพียงเกื้อหนุนพวกพ้องตัว



พวกกูอดตายแน่หมดทางแก้ด้วยมืดมัว

ตราบใดที่คนชั่วยังฝังตัวบนหลังกู

ทนทุกข์มาช้านานทนทรมานแสนอดสู

ต้องลุกขึ้นต่อสู้เพื่อเชิดชูโลกของคน...............


จิตร ภูมิศักดิ์ ............

+++++++++++++++++

สุภาษิตสอนหมา

สุภาษิตคำกลอน คิดสอนหมา
เห็นประพฤติ แผกผิด อนิจจา คนเขาด่า เจ้าก็ไม่ ตั้งใจฟัง
ทุกวันนี้ หมาพาล สันดานไพร่ มันทำให้ หมาไทย แพ้หมาหรั่ง
มีทางหนึ่ง พึงแก้ แน่ระวัง จงยับยั้ง ฟังกลอน สอนให้ดี

เวลาเห่า จงเห่า ใบตองสด จะยิ่งยศ น่ารัก สมศักดิ์ศรี
เห่าแล้วกัด น่องคน ผลทวี หมาเห่าชี หมากัด ทุกนัดไป
ถ้าคนกัด อย่ากัด อย่าฟัดตอบ เวลาเหนื่อย อย่าหอบ น้ำลายไหล
จงสู้กัน ตัวต่อตัว ชื่นหัวใจ อย่ารุมใคร ยกหมู่ ดูไม่งาม

เด็กตามหลัง ผู้ใหญ่ จงไล่กัด ถึงผู้ใหญ่ ก็จงฟัด อย่าขัดขาม
ยิ่งผู้ใหญ่ เป็นผู้ใหญ่ แต่ในนาม อย่าไปคร้าม กัดเถิด จะเลิศลอย
ถ้ากัดไก่ ให้กัด บัดเดี๋ยวนั้น อย่าเหหัน หยอกแกล้ง ให้แรงถอย
เห็นก้างปลา อย่าหวง ห่วงตะบอย ก้างใหญ่น้อย แจกจ่าย เพื่อนได้กิน

เขาหุงข้าว แล้วคด ประชดเจ้า อย่าได้เข้าไปลอง ปองถวิล
เห็นข้าวเปลือก อย่าเสือก ไปยลยิน ไปต่างถิ่น ยกหาง วางศักดา
อย่าเป็นหมา สองราง อย่างคนค่อน จำคำสอน ต้องหลายราง สมอย่างหมา
หยุดกินขี้ ที่สิ้น คนนินทา อย่าไล่คว้า หางเองกัด ฟัดไม่ดี

เวลาขี้ นี่แนะเจ้า อย่ายกหาง อย่าเดินกลาง ถนน คนเสียดสี
เห็นมูลฝอย อย่าหมาย ถ่ายทันที จงถ่ายที่ พื้นสะอาด ลาดซีเมนต์
อย่าเป็นหมา มีปลอกคอ ขอให้คิด เป็นหมาวัด ชีวิต ได้ดีเด่น
เลียเข้าเถิด เลียนาย น้ำลายกระเด็น ให้นอนเล่น ในรางหญ้า ท่าเข้าการ

อนึ่งนั้น รักษาหัว อย่าให้เน่า เนื้อตัวเล่า อย่าให้เปื้อน ขี้เรื้อนผ่าน
แม้แต่หาง อย่าให้ด้วน ล้วนประจาน จงคิดอ่าน ตั้งหน้า รักษากาย
อย่าให้เขา ตีหัว จะมัวหมอง ให้ถูกแต่ เจ็กร้อง ฟ้องเสียหาย
ถ้าวิ่งหนี ดูทิศทาง แล้วย่างกราย อย่าคิดหมายเข้าจนตรอก จะชอกช้ำ

เวลาวิ่ง ก็รักษา มารยาท อย่าพรวดพราด ใส่ตีนหมา ให้น่าขำ
ยิ่งเดือนสิบ เดือนสิบสอง ให้ต้องจำ ถ้าจะทำ ก็ให้เลื่อน เดือนถัดไป
เมื่อเวลา ถูกน้ำร้อน อย่าร้องเอ๋ง อย่าเยี่ยวเบ่ง ทับศักดา รอยหมาไหน
จงทำตาม ภาษิต ประดิษฐ์ไว้ ต้องให้ใคร ด่ากราด “ชาติคน” เอย ฯ

..........................

โดย ......ตานี 2528
ที่มา: หนังสือสยามภาษิต โดย ชากร

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ร่วมกลอน ของ ไวกิ้ง ....

++++++++++++++++++

ถึงน้อง อร ..... สุด ที่รัก
....................................

เพียงเหลียวเนตร สบพักตร์ ประจักษต้อง

ตะลึงจ้อง เหลียวแล ชะแง้หา

ฤ นิวาส ถิ่นนี้ ต้องมนตรา

นิรมิต น้องยา มาได้ยล


ถึงน้ำฟ้า ฟาดฟัน ลงจากสรวง

มิหวาดกลัว ผินผาย บ่ายหน้าหา

ถึงพิรุณ กระทบร่าง ดังสาตรา

ฤทัยหา ได้ย่อ ท้อไมตรี


ถึงแสนศร ปักตรึง ทั่วเรือนร่าง

ศรแสนหาญ มิอาจต้าน ฤทัยหา

เพียงศรน้อง ขนงโก่ง น้าวแผลงมา

เพียงศรเดียว หทัยหา สิ้นอาดูร



จะยืนหยัด เคียงข้าง มาลศรี

จะเฉิดฉาย งามจรัล ในใจฉัน

จะชูช่อ ดอกรัก ได้เบ่งบาน

จะเนินนาน รักนี้ ไม่โรยรา


+++++++++++++++++++++++++

ถึง พวก จอม สนตะพาย (พรานกระตุ้นต่อม อยาก )
............................................................

แว่วสำเนียง แผ่วพลิ้ว อยู่ริมโสต

โอม...โอษฐ์กล่อม วาจา น่าเลือมใส

ใครสนิท คิดผสาน "พาล" กันไป

สุดแต่ใจ ภูตร้าย จะชักนำ

+++++++++++++++++++

สงสาร ... ยังสาว ผมขาวโผลน
.................................................

กาลเวลา ล่าไป อย่างอำมหิต

ติดกับดัก แห่งเวลา น่าใจหาย

เที่ยวดีดดิ้น ร่ำร้อง ทุรนทุราย

ดังภูตร้าย จักพราก ลากชีวัน

++++++++++++++++++++

ถึง พวก เรียกร้องความสนใจ อะไรสักอย่าง
++++++++++++++++++++

เสียงกู่ร้อง ก้องตะโกน ดังภูติร่ำ

อเน็จอนาจ วิญญาณ ชะตาเอ๋ย

ไร้บังเหียน กู่ก้อง ร้องตะโกน

แสนวิโยก ฟังแล้ว น่าอนาจใจ

+++++++++++++++

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ที่มาของวรรคทอง และทั้งหมด "เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน"

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล Posted : 2007-07-10 20:23:43

นี่ครับ ที่มาของวรรคทอง "เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน"

ต้องขอบคุณคุณ kkk.p และคุณ "ศิษย์เก่าอธิปัตย์" ที่ช่วยโพสต์คำถามและเสริมคำตอบในกระทู้ก่อนหน้านี้ http://www.sameskybo...ybooks&No=18066 เกี่ยวกับวรรคทอง "เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ..." ทำให้ผมเกิดความขยันพอที่จะทำในสิ่งที่คิดจะทำมานานแล้ว คือไปเช็คหากลอนเต็มที่เป็นที่มาของวรรคทองนี้

ผมทราบมาตลอดว่า กลอนนี้เป็นฝีมือของวิสา คัญทัพ และตีพิมพ์ครั้งแรกใน เราจะฝ่าข้ามไป ของเขา แต่ที่ผมจำผิดและเขียนผิดไปในกระทู้ก่อน (ซึ่งต้องขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้) คือเวลาที่เขียน-พิมพ์ ซึ่งเดิมผมคิดว่า เป็นช่วงปลายปี ๒๕๑๖ ต่อต้นปี ๒๕๑๗

ความจริง กลอนบทนี้ เขียนขึ้นในวาระครบรอบ ๑ ปีเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ชื่อกลอนก็ชื่อ "ครบรอบปี - สิบสี่ตุลา"

กลอนนี้มีทั้งหมด ๑๒ บท หรือ ๔๘ วรรค ผมได้ใส่เลขวรรคเพิ่มเติมให้ในที่นี้ (ไม่มีในต้นฉบับพิมพ์) เพื่อสะดวกแก่การพิจารณาและอ้างอิงถึง

ก่อนอื่น ขอย้ำว่า ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเขียนกลอน แต่อยากตั้งข้อสังเกตส่วนตัวว่า กลอนนี้ วิสาเขียนในลักษณะให้เป็นกลอนแปดแบบ "ไม่เคร่งครัดฉันทลักษณ์" ซึ่งเป็นสิ่งที่นิยมพอสมควรในหมู่คนรุ่นใหม่สมัยนั้น (ในความเห็นของผม คนที่เขียนกลอนแปดสไตล์นี้ได้ดีที่สุด อาจจะได้แก่ ไพบูลย์ วงษ์เทศ) นั่นคือ แทนที่จะให้มี ๘ หรือ ๙ พยางค์ในแต่ละวรรค ก็ให้มีพยางค์ ไม่ถึงบ้าง เกินบ้าง ที่สำคัญ ให้การเว้นจังหวะการอ่านและการสัมผัสไม่ตรงกับฉันทลักษณ์แบบจารีต คือแทนที่จะเว้นจังหวะการอ่านในวรรคและสัมผัสระหว่างวรรคที่พยางค์ที่ ๓, ๕(๖) และ ๘(๙) ก็ให้เป็นที่พยางค์อื่น เช่น ตัวอย่างชื่อกลอนเอง "ครบรอบปี - สิบสีตุลา" ซึ่งเว้นจังหวะการอ่านที่พยางค์ที่ ๓, ๕ และ ๗ หรือดูตัวอย่าง วรรคที่ ๖ "โอ้พระปกฯ - ประชาธิปไตยอยู่ไหนหนา" เว้นจังหวะที่พยางค์ ๓, ๘ และ ๑๑)

ผมคิดว่าการเขียน "กลอนแปด" สไตล์นี้ ให้ความรู้สึกในการอ่านแบบ "กระแทกเสียง-ดุดัน" แม้แต่การใช้เครื่องหมาย "-" ตลอดทั้งกลอนก็เพื่อให้ได้ effect แบบนี้ โดยรวมคือให้เกิดความรู้สึกคล้ายกับกำลังอ่านกาพย์ยานี ๑๑ (ในแบบที่จิตรเรียกว่า "ยานีลำนำ") ซึ่งเป็นรูปแบบบทกวีที่นิยมที่สุดในหมู่นักศึกษาสมัยนั้น (ดูตัวอย่างงานของเสกสรรค์ เป็นต้น ไม่ต้องพูดถึง รวี โดมพระจันทร์ ผมเปรียบเทียบกลอนสไตล์นี้กับ ยานี ๑๑ ไม่ใช่กลอนหก เพราะเห็นว่ากลอนหก มีการอ่านเว้นจังหวะคำที่สม่ำเสมอกันมากกว่า)

ที่เป็นเหมือน irony เล็กๆในเรื่องนี้ คือ ๘ วรรคสุดท้ายที่รู้จักกันดีที่สุด ที่เริ่มต้นว่า "ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า..." นั้น เป็น ๘ วรรค ที่วิสาเขียนแบบกลอนแปดแบบจารีตมากที่สุด คือ มี ๘ พยางค์ในทุกวรรค ยกเว้นวรรคสุดท้ายเพียงวรรคเดียว "ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน" ที่มี ๙ พยางค์ (ซึ่งก็ยังจัดว่าอยู่ในจารีต) ผมคิดว่า ข้อนี้เป็นส่วนเสริมสำคัญ (นอกเหนือจากความเด่นของเนื้อความของส่วนนี้เอง) ที่ทำให้ ๘ วรรคนี้เป็นที่จดจำกันได้ง่าย ขณะที่แทบไม่มีใครรู้จักหรือจำวรรคอื่นๆได้เลย

ดังที่ผมเขียนไว้ในกระทู้ก่อนหน้านี้ ผมคิด่วา วิสาเอาไอเดียที่เป็น ๘ วรรคสุดท้ายนี้ โดยเฉพาะ ๒ วรรคแรก มาจาก "ภาษิต" ที่ว่า "กษัตริย์มา กษัตริย์ไป, นายพล(ขุนศึก)มา นายพล(ขุนศึก)ไป ประชาชนเท่านั้น ที่คงอยู่" เสียดายที่ผมไม่สามารถยืนยันเรื่องนี้ได้ หากท่านใดมีความรู้ ช่วยขยาย จะเป็นพระคุณมาก ผมจำได้ว่า มีการอ้างภาษิตนี้ในการอภิปรายและการชุมนุมสมัยนั้นหลายครั้ง

วิสาเอง เขียนคำอุทิศ ในหน้าแรกของ เราจะฝ่าข้ามไป ว่า

อุทิศแด่ วีรชน ๑๔ ตุลาคม
และประชาชนผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน


ดังที่คุณ "ศิษย์เก่าอธิปัตย์" ชี้ไว้ กลอน ๘ วรรคสุดท้ายนี้ ได้ปรากฏอยู่ในหนังสือรวมภาพรูปปั้นแสดงชีวิตและการลุกขึ้นสู้ของชาวนา ที่พิมพ์โดยกลุ่มวรรณกรรมเพื่อชีวิตด้วย แต่ผมค่อนข้างมั่นใจว่า นั่นเป็นการปรากฏหลังจากกลอนนี้ตีพิมพ์ใน เราจะฝ่าข้ามไป แล้ว น่าเสียดาย ผมยังไม่สามารถหาหนังสือรวมภาพรูปปั้นดังกล่าวได้ ท่านผู้ใดมีหนังสือนั้นอยู่ในมือ จะช่วยกรุณาตรวจสอบ ก็จะเป็นพระคุณ

อนึ่ง ขอให้สังเกตว่า กลอนนี้ (วรรค ๑ ถึง ๘ และวรรค ๙ ด้วย) ยังสะท้อนอิทธิพลของ "พระราชหัตถเลขาสละราชย์ ร.๗" หรือร่องรอยของอิทธิพลนิยมเจ้าในขบวนการนักศึกษาขณะนั้นอยู่บ้าง (แต่อีกเพียงไม่นานแล้ว) เมื่อมองจากจุดนี้ ก็ต้องนับเป็น irony อย่างสูงที่ ๒ วรรคสุดท้ายของกลอนนี้ จะกลายมาเป็น "คำขวัญ" ของขบวนการนักศึกษาที่ฝ่ายขวาถือว่า แสดงให้เห็นลักษณะเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันกษัตริย์ของขบวนการสมัยนั้น

วลี "พ่อข้าเพิ่งจะยิ้ม" ในวรรคที่ ๒๓ วิสานำมาจากชื่อนิยายของสุวัฒน์ วรดิลก (ที่พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร เอเชีย )

ข้อความในวรรคที่ ๓๒ หมายถึง พระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพ "วีรชน" ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ที่สนามหลวง ในวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๗ ในความเป็นจริง นี่เป็นเหตุการณ์เชิงสัญลักษณ์ของความเป็นพันธมิตรระหว่างขบวนการนักศึกษา
กับสถาบันกษัตริย์ในยุคนั้นเป็นครั้งสุดท้าย และเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดของความพันธมิตรนี้แล้ว แสดงออกที่ประเด็นการจะแสดงละครเรื่อง "ห้าแผ่นดิน" ที่ธรรมศาสตร์ (ซึ่งในที่สุดถูกกดดันให้ยกเลิก)

โปรดสังเกตด้วยว่า ในวรรค ๔๔ ต้นฉบับเดิมต้องมีเครื่องหมาย "-" ด้วย

หากมีเวลา โอกาสหน้า ผมจะเขียนถึง ที่มาของวรรคทอง "ตื่นเถิดเสรีชน อย่ายอมทนก้มหน้าฝืน" ของ รวี โดมพระจันทร์

(หมายเหตุ ต้นฉบับพิมพ์ครั้งแรก พิมพ์เรียงบรรทัดละ ๒ วรรค ไม่ใช่บรรทัดละวรรคแบบข้างล่างนี้)

ครบรอบปี - สิบสี่ตุลา

(๑) สิบสี่ตุลา - วันมหาปิติ
(๒) พระปกเกล้าทรงดำริพระราชดำรัส
(๓) ทรงลงพระปรมาภิไธยอนุมัติ
(๔) ไทยยังจำ - คำสัตย์ เสมอมา
(๕) สองสี่เจ็ดห้าถึงสองพันห้าร้อยสิบหก
(๖) โอ้พระปกฯ - ประชาธิปไตยอยู่ไหนหนา
(๗) สิ้นแผ่นดินเผด็จการก็ลานตา
(๘) ทุรชนเรียงหน้าเข้าราวี

(๙) สิบสี่ตุลา - วันมหาวิปโยค
(๑๐) ลูกหลานไทยเลือดโชกทั่วพื้นที่
(๑๑) คาวเลือดคลุ้งนองสาดเพื่อชาติพลี
(๑๒) มาเถิดกู - สู้ไม่หนี - วีรชน
(๑๓) เขาเพรียกเสียงเพียงขานประสานก้อง
(๑๔) เขาเรียกร้องรัฐธรรมนูญเพิ่มพูนผล
(๑๕) เขายืนหยัดต่อสู้ศัตรูคน
(๑๖) เขาสู้ทนเพื่อมหาประชาไทย

(๑๗) สิบสี่ตุลา - วันมหาปิติ
(๑๘) มาฟังสิ - ฟังเสียงสำเนียงใส
(๑๙) เสียงชโยโห่ร้องดังก้องไกล
(๒๐) ประชาชนขับไล่เผด็จการ
(๒๑) คราบน้ำตายังไม่แห้งลงเหือดหาย
(๒๒) เพื่อนพี่น้องล้มตายทุรนร่าน
(๒๓) พ่อข้าเพิ่งจะยิ้ม - อย่างสำราญ
(๒๔) เห็นลูกมันกล้าหาญก็ภูมิใจ

(๒๕) ครบรอบปี - สิบสี่ตุลา
(๒๖) ประชาชนถ้วนหน้า - ก็ร่ำไห้
(๒๗) ดวงวิญญาณวีรชนอยู่หนใด
(๒๘) วันนี้ร้อยมาลัย - มาบูชา
(๒๙) มโหรีจะโหมโรงเป็นระลอก
(๓๐) มหกรรมในนอก - จะแน่นหนา
(๓๑) และผู้คนทุกชนชาติจะยาตรา
(๓๒) โปรดมาลา - จุดธูปคลุ้ง - ทุ่งพระเมรุ

(๓๓) ครบรอบปี - สิบสี่ตุลา
(๓๔) ราชดำเนินเลือดทาแผ่นดินเด่น
(๓๕) วีรกรรมอาชีวะที่กะเกณฑ์
(๓๖) ก็หนุนเนื่องเนืองเห็นเป็นประจำ
(๓๗) รอยเลือดแลกเลือดเดือดพล่าน
(๓๘) อาจหาญโหมรุก - บุกกระหน่ำ
(๓๙) สามัคคีมิตรสหาย - ออกร่ายรำ
(๔๐) มุ่งนำประชาธิปไตยหมายทุน

(๔๑) ไม่มีอำนาจใดในโลกหล้า
(๔๒) ผู้ปกครองต่างมาแล้วสาปสูญ
(๔๓) ไม่มีใครล้ำเลิศน่าเทิดทูน
(๔๔) ประชาชนสมบูรณ์ - นิรันดร์ไป
(๔๕) เมื่อยืนหยัดต่อสู้ผู้กดขี่
(๔๖) ประชาชนย่อมมีชีวิตใหม่
(๔๗) เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ
(๔๘) ประชาชนย่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน


เขียนเพื่ออ่านออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม
สดุดีวีรกรรมของวีรชน 14 ต.ค. 16
ก่อนการแสดงละครเรื่อง "พ่อข้าเพิ่งจะยิ้ม"
บทละครของสุวัฒน์ วรดิลก ปี 2517

(วิสา คัญทัพ. เราจะฝ่าข้ามไป. พิมพ์ครั้งที่ 2 . สำนักพิมพ์พิราบ, 2517, หน้า 19-20)

ขออภัย ผมพยายาม เคาะ spacebar ให้เกิดย่อหน้าทุกๆ ๘ วรรค แต่มันไม่ออกมาให้เห็น

++++++++++++++++++++++++

สมศักดิ์ Posted : 2007-07-10 20:48:10 IP : (203.131.213.88)

ผมลืมบอกไปว่า เราจะฝ่าข้ามไป พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ ปุถุชน ซึ่งปกติพิมพ์นิตยสารรายเดือนขนาดกระทัดรัดเท่าป๊อกเก็ตบุ้คชื่อ ปุถุชน ในนิตยสารนี้ หลังเกิดเหตุการณ์กระทิงแดงบุกเข้าเผาธรรมศาสตร์เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๑๘ แล้ว วิสา ได้เขียนกลอนชิ้นหนึ่ง ที่มีข้อความบางตอนว่า

ยี่สิบสิงหาเข้าธรรมศาสตร์
ตึกรามพังพินาศปี้ป่น
มือตีนต่างด้าวระดมพล
กระทิงแดงบุกชนสถาบัน
........
สองพันห้าร้อยยุคมืดอับ
รัฐบาลสั่งจับกันยกใหญ่
ธรรมศาสตร์เป็นเสียงอันเกรียงไกร
ยังจำความจับใจเสมอมา
"สำนักไหนหมายชูประเทศชาติ"
สำนักนั้นธรรมศาสตร์ใช่ไหมหว่า?
สำนักธรรม ชูธงชัย ไสว - บา
โอ! มหาวิทยาลัยประชาชน
.......


สมัยนั้น ผมจำทุกวรรคทุกคำของกลอนชิ้นนี้ได้ขึ้นใจ (สมัยนี้จำไม่ได้เสียแล้ว) ทั้งที่ ๆ ยังไม่ได้เข้าเรียนในธรรมศาสตร์ด้วยซ้ำ

+++++++++++++++++++++++++++++++

อีกบทหนึ่ง.....
กดหัวประชาชน

หยาดน้ำตาประชาไทยในวันนี้
ไหลเกือบท่วมปฐพีแล้วพี่เอ๋ย
ถ้าความจริงสามารถอ้างเหมือนอย่างเคย
ก็จะเอ่ยและจะอ้างอย่างไม่กลัว
นี่มีปากก็ถูกปิดจนมิดเม้ม
มันแทะเล็มถุยรดและกดหัว
ปัญหาต่างต่างนั้นก็พันพัว
ไม่อยากโทษใครชั่วเพราะกลัวตาย
ถ้าขอได้จะขอกันในวันนี้
ขอให้สิทธิ์เสรีอย่าสูญหาย
ถ้าเลือดไทยจะหลั่งโลมจนโซมกาย
ก็ขอตายด้วยศักดิ์ศรีเสรีชน

พิมพ์ครั้งแรกใน ประชาชาติรายวัน ฉบับวันที่ 6 ตุลาคม 2516
ผู้เขียนถูกจับเป็น 1 ใน 13 กบฏเรียกร้องรัฐธรรมนูญวันเดียวกันนี้ แต่เดิมไม่มีชื่อบท

(วิสา คัญทัพ. เราจะฝ่าข้ามไป. พิมพ์ครั้งที่ 2 . สำนักพิมพ์พิราบ, 2532. หน้า 67.)

+++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

การกลับมาของ สนธิญาณ หนูแก้ว มันมาอีกแล้ว....

สนธิญาณ หนูแก้ว ดูจะมี"ภารกิจลับ"ในการใช้สื่อวิทยุของเขาที่ได้ทุนจากสำนักงานทรัพย์สินฯ ใน การเปิดข่าวสกัดไม่ให้ ณรงค์ วงศ์วรรณ ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี และ "บิ๊กสุ" ได้เสียสัตย์เพื่อชาติเป็นายกฯ นำไปสู่การประท้วงขับไล่ สุจินดา ออก จากนั้นเขาก็เป็นคนวิ่งเต้นเส้นสายให้ อานันท์ ปันยารชุน ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีพระราชทานรอบ 2 และเขาเข้าไปประมูลสถานีโทรทัศน์ ITV จากรัฐบาลอานันท์ได้ แต่หุ้นส่วนแตกคอกันเสียก่อน

การกลับมาของสนธิญาณหนนี้ในการใช้สื่อ ช่อง 11 โจมตีว่าเสื้อแดงจะล้มสถาบัน และประกาศโจมตีทางเวบไซต์ TNEWS ของเขาจึงน่าจับตามองว่า ต้อย สนธิญาณ ได้รับ ภารกิจลับระดับสูงอะไรมาอีกหรือไม่ ?

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

*** อัคคัญญสูตร ว่าด้วย...เรื่องกำเนิดของโลก กำเนิดของมนุษย์

อัคคัญญสูตร

[๕๖] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ มีสมัยบางครั้งบางคราว โดยล่วง ระยะกาลยืดยาวช้านานที่โลกนี้จะพินาศ เมื่อโลกกำลังพินาศอยู่ โดยมากเหล่า สัตว์ย่อมเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม สัตว์เหล่านั้นได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเองสัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิต อยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน ดูกรวาเสฏฐะ และภารทวาชะ มีสมัยบางครั้ง บางคราว โดยระยะกาลยืดยาวช้านาน ที่โลกนี้จะกลับเจริญเมื่อโลกกำลังเจริญ อยู่โดยมาก เหล่าสัตว์พากันจฺติจากชั้นอาภัสสรพรหมลงมาเป็นอย่างนี้ และสัตว์นั้น ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศอยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน ก็แหละ สมัยนั้นจักรวาลทั้งสิ้นนี้แลเป็นน้ำทั้งนั้น มืดมนแลไม่เห็นอะไร ดวงจันทร์และ ดวงอาทิตย์ก็ยังไม่ปรากฎ ดวงดาวนักษัตรทั้งหลายก็ยังไม่ปรากฎ กลางวันกลาง คืนก็ยังไม่ปรากฎ เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ยังไม่ปรากฎฤดูและปีก็ยังไม่ปรากฎ เพศชายและเพศหญิงก็ยังไม่ปรากฎ สัตว์ทั้งหลาย ถึงซึ่งอันนับเพียงว่าสัตว์เท่า นั้น ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นต่อมา โดยล่วงระยะกาลยืดยาวช้านาน เกิดง้วนดินลอยอยู่บนน้ำทั่วไป ได้ปรากฎแก่สัตว์เหล่านั้นเหมือนนมสดที่บุคคลเคี่ยว ให้งวด แล้วตั้งไว้ให้เย็นจับเป็นฝาอยู่ข้างบน ฉะนั้นง้วนดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น รส มีสีคล้ายเนยใสหรือเนยข้นอย่างดี ฉะนั้น มีรสอร่อยดุจรวงผึ้ง เล็กอันหาโทษมิได้ ฉะนั้น ฯ
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ต่อมามีสัตว์ผู้หนึ่งเป็นคนโลนพูดว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลายนี่จักเป็นอะไร แล้วเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดู เมื่อเขาเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดูอยู่ง้วนดินได้ซาบซ่านไปแล้ว เขาจึงเกิดความอยาก ขึ้น ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้สัตว์พวกอื่นก็พากันกระทำตามอย่างสัตว์นั้น เอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดู เมื่อสัตว์เหล่านั้นพากันเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดูอยู่ ง้วนดินได้ซาบซ่านไปแล้ว สัตว์เหล่านั้นจึงเกิดความอยากขึ้นต่อมาสัตว์ เหล่านั้นพยายามเพื่อจะปั้นง้วนดินให้เป็นคำๆ ด้วยมือแล้วบริโภค ดูกรเสฏฐะและภารทวาชะ ในคราวที่พวกสัตว์พยายามเพื่อจะปั้นง้วนดินให้เป็นคำๆ ด้วยมือแล้วบริโภคอยู่นั้น เมื่อรัศมีกายของสัตว์เหล่านั้นก็หายไปแล้ว ดวงจันทร์และดวง อาทิตย์ก็ปรากฏ เมื่อดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ปรากฏแล้ว ดวงดาวนักษัตรทั้งหลาย ก็ปรากฏ เมื่อดวงดาวนักษัตรปรากฏแล้ว กลางคืนและกลางวันก็ปรากฏ เมื่อ กลางคืนและกลางวันปรากฏแล้วเดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ปรากฏ เมื่อเดือนหนึ่ง และกึ่งเดือนปรากฏอยู่ ฤดูและปีก็ปรากฏดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ด้วย เหตุเพียงเท่านี้แล โลกนี้จึงกลับเจริญขึ้นมาอีก ฯ

[๕๗] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นต่อมาสัตว์เหล่านั้นพากันบริโภคง้วนดินรับประทานง้วนดิน มีง้วนดินเป็นอาหาร ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลช้านาน ด้วยเหตุที่สัตว์เหล่านั้นมัวเพลินบริโภคง้วนดินอยู่ รับประทานง้วนดิน มีง้วนดิน เป็นอาหาร ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลช้านาน สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายแข็งกล้าขึ้นทุกที ทั้ง ผิวพรรณก็ปรากฏว่าแตกต่างกันไป สัตว์บางพวกมีผิวพรรณงาม สัตว์บางพวกมี ผิวพรรณไม่งาม ในสัตว์ทั้งสองพวกนั้น สัตว์พวกที่มีผิวพรรณงามนั้นพากันดูหมิ่น สัตว์พวกที่มีผิวพรรณไม่งามว่า พวกเรามีผิวพรรณดีกว่าพวกท่าน พวกท่านมีผิวพรรณเลวกว่าพวกเรา ดังนี้ เมื่อสัตว์ทั้งสองพวกนั้นเกิดมีการไว้ตัวดูหมิ่นกันขึ้น เพราะทะนงตัวปรารภผิวพรรณเป็นปัจจัย ง้วนดินก็หายไป เมื่อง้วนดินหายไปแล้ว สัตว์เหล่านั้นจึงพากันจับกลุ่ม ครั้นแล้ว ต่างก็บ่นถึงกันว่า รสดีจริง รสดีจริง ดังนี้ ถึงทุกวันนี้ก็เหมือนกัน คนเป็นอันมากได้ของที่มีรสดีอย่างใดอย่างหนึ่ง มักพูดกันอย่างนี้ว่า รสอร่อยแท้ๆรสอร่อยแท้ๆ ดังนี้ พวกพราหมณ์ ระลึกได้ถึงอักขระ ที่รู้กันว่าเป็นของดี เป็นของโบราณนั้นเท่านั้นแต่ไม่รู้ชัดถึง เนื้อความแห่งอักขระนั้นเลย ฯ
ว่าด้วยกระบิดินเป็นต้นเกิดขึ้น

[๕๘] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นต่อมา เมื่อง้วนดินของสัตว์ เหล่านั้นหายไปแล้วก็เกิดมีกระบิดินขึ้น กระบิดินนั้นปรากฏลักษณะคล้ายเห็ด กระบิดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี กลิ่นรส มีสีเหมือนเนยใส หรือเนยข้นอย่างดีฉะนั้น ได้มีรสอร่อยดุจรวงผึ้งเล็กอันหาโทษมิได้ฉะนั้นดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้นพยายามจะบริโภคกระบิดิน สัตว์เหล่านั้นบริโภคกระบิดินอยู่ รับประทานกระบิดิน มีกระบิดินเป็นอาหาร ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลนาน ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ โดยประการที่สัตว์เหล่านั้นบริโภคกระบิดินอยู่ รับประทานกระบิดินมีกระบิดินเป็นอาหาร ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลช้านาน สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายแข็งกล้า ขึ้นทุกทีทั้งผิวพรรณก็ปรากฏว่าแตกต่างกันไป สัตว์บางพวกมีผิวพรรณงาม สัตว์บางพวกมีผิวพรรณไม่งาม
ในสัตว์ทั้งสองจำพวกนั้น สัตว์พวกที่มีผิวพรรณงาม พากันดูหมิ่นสัตว์พวกที่มีผิวพรรณไม่งามว่าพวกเรามีผิวพรรณดีกว่าพวกท่าน พวกท่านมีผิวพรรณเลวกว่าพวกเรา ดังนี้ เมื่อสัตว์ทั้งสองพวกนั้น เกิดมีการไว้ตัวดูหมิ่นกันขึ้น เพราะทะนงตัวปรารภผิวพรรณเป็นปัจจัย กระบิดินก็หายไป เมื่อกระบิ ดินหายไปแล้ว ก็เกิดมีเครือดินขึ้น เครือดินนั้นปรากฏคล้ายผลมะพร้าวทีเดียว เครือดินนั้น ถึงพร้อมด้วยสี รส กลิ่น มีสีคล้ายเนยใส หรือเนยข้นอย่างดี ฉะนั้นได้มีรสอร่อยดุจรวงผึ้งเล็กอันหาโทษมิได้ฉะนั้น ฯ
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้นพยายามจะบริโภค เครือดินสัตว์เหล่านั้นบริโภคเครือดินอยู่ รับประทานเครือดิน มีเครือดินเป็นอาหาร ดำรงมาได้สิ้นกาลช้านาน โดยประการที่สัตว์เหล่านั้นบริโภคเครือดินอยู่ รับประทานเครือดิน มีเครือดินนั้นเป็นอาหารดำรงมาได้สิ้นกาลช้านาน สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายแข็งกล้าขึ้นทุกที ทั้งผิวพรรณก็ปรากฏว่าแตกต่างกันไป สัตว์บางพวกมีผิวพรรณงาม สัตว์บางพวกมีผิวพรรณไม่งาม ในสัตว์ทั้งสองพวกนั้นสัตว์พวกที่มีผิวพรรณงาม พากันดูหมิ่นพวกที่มีผิวพรรณไม่งามว่า พวกเรามี ผิวพรรณดีกว่าพวกท่านพวกท่านมีผิวพรรณเลวกว่าพวกเราดังนี้ เมื่อสัตว์ทั้งสองพวกนั้นเกิดมีการไว้ตัวดูหมิ่นกันเพราะทะนงตัวปรารภผิว พรรณเป็นปัจจัย เครือดินก็หายไป เมื่อเครือดินหายไปแล้ว สัตว์เหล่านั้นก็พากันจับกลุ่ม ครั้นแล้วต่างก็บ่นถึงกันว่า เครือดินได้เคยมีแก่พวกเราหนอ เดี๋ยวนี้เครือดินของพวกเราได้สูญหายเสียแล้วหนอ ดังนี้ ถึงทุกวันนี้ก็เหมือนกัน คนเป็นอันมากพอถูกความระทมทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งมากระทบ ก็มักบ่นกันอย่างนี้ว่า สิ่งของของเราทั้งหลายได้เคยมีแล้วหนอ แต่เดี๋ยวนี้สิ่งของของเราทั้งหลายได้มาสูญหายเสียแล้วหนอดังนี้ พวกพราหมณ์ระลึกได้ถึงอักขระที่รู้กันว่าเป็นของดีเป็นของโบราณนั้นเท่านั้น แต่ไม่รู้ชัดถึงเนื้อความแห่งอักขระนั้นเลย ฯ

[๕๙] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นต่อมา เมื่อเครือดินของสัตว์เหล่านั้นหายไปแล้ว ก็เกิดมีข้าวสาลีขึ้นเองในที่ที่ไม่ต้องไถ เป็นข้าวไม่มีรำ ไม่มี แกลบ ขาวสะอาด กลิ่นหอมมีเมล็ดเป็นข้าวสาร ตอนเย็นสัตว์เหล่านั้นนำเอา ข้าวสาลีชนิดใดมาเพื่อบริโภคในเวลาเย็นตอนเช้าข้าวสาลีชนิดนั้นที่มีเมล็ด สุกก็งอกขึ้นแทนที่ ตอนเช้าเขาพากันไปนำเอาข้าวสาลีใดมาเพื่อบริโภคในเวลาเช้า ตอนเย็นข้าวสาลีชนิดนั้นที่มีเมล็ดสุกแล้วก็งอกขึ้นแทนที่ ไม่ปรากฏว่าบกพร่อง ไปเลย ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นพวกสัตว์บริโภคข้าวสาลีที่เกิด ขึ้นเองในที่ที่ไม่ต้องไถ พากันรับประทานข้าวสาลีนั้น มีข้าวสาลีนั้นเป็นอาหาร ดำรงมาได้สิ้นกาล
ช้านาน ก็โดยประการที่สัตว์เหล่านั้นบริโภคข้าวสาลีอันเกิดขึ้นเองอยู่ รับประทานข้าวสาลีนั้นมีข้าวสาลีนั้นเป็นอาหาร ดำรงมาได้สิ้นการช้านาน สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายแข็งกล้าขึ้นทุกทีทั้งผิวพรรณก็ปรากฏว่าแตกต่าง กันออกไป สตรีก็มีเพศหญิงปรากฏ และบุรุษก็มีเพศชายปรากฏนัยว่า สตรีก็เพ่งดูบุรุษอยู่เสมอ และบุรุษก็เพ่งดูสตรีอยู่เสมอ เมื่อคนทั้งสองเพศต่างก็เพ่งดูกันอยู่เสมอ ก็เกิดความกำหนัดขึ้น เกิดความเร่าร้อนขึ้นในกาย เพราะความเร่าร้อนเป็นปัจจัยเขาทั้งสองจึงเสพเมถุนธรรมกัน ฯ
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็โดยสมัยนั้นแล สัตว์พวกใดเห็นพวกอื่นเสพเมถุนธรรมกันอยู่ ย่อมโปรยฝุ่นใส่บ้าง โปรยเถ้าใส่บ้าง โยนมูลโคใส่บ้าง พร้อมกับพูดว่าคนชาติชั่ว จงฉิบหาย คนชาติชั่ว จงฉิบหาย ดังนี้ แล้วพูดต่อไปว่า ก็ทำไมขึ้นชื่อว่าสัตว์จึงทำแก่สัตว์เช่นนี้เล่า ข้อที่ว่ามานั้น จึงได้ เป็นธรรมเนียมมาจนถึงทุกวันนี้ ในชนบทบางแห่งคนทั้งหลาย โปรยฝุ่นใส่ บ้าง โปรยเถ้าใส่บ้าง โยนมูลโคใส่บ้าง ในเมื่อเขาจะนำสัตว์ที่ประพฤติชั่วร้าย ไปสู่ตะแลงแกง พวกพราหมณ์มาระลึกถึงอักขระที่รู้กันว่าเป็นของดี อันเป็นของ โบราณนั้นเท่านั้น แต่พวกเขาไม่รู้ชัดถึงเนื้อความแห่งอักขระนั้นเลย ฯ

[๖๐] ดูกรวาเสฏฐะและภารวาชะ ก็สมัยนั้นการโปรยฝุ่นใส่กันเป็นต้นนั้นแล สมมติกันว่าไม่เป็นธรรม มาในบัดนี้ สมมติกันว่าเป็นธรรมขึ้น ก็สมัยนั้น สัตว์พวกใด เสพเมถุนกัน สัตว์พวกนั้นเข้าบ้านหรือนิคมไม่ได้ สิ้นสองเดือนบ้าง สามเดือนบ้าง ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ เมื่อใดแล สัตว์ทั้งหลายพา กันเสพอสัทธรรมนั่นอยู่เสมอ เมื่อนั้น จึงพยายามสร้างเรือนกันขึ้น เพื่อเป็นที่ กำบังอสัทธรรมนั้น ครั้งนั้น สัตว์ผู้หนึ่ง เกิดความเกียจคร้านขึ้น จึงได้มีความ เห็นอย่างนี้ว่า ดูกรท่านผู้เจริญ เราช่างลำบากเสียนี่กระไร ที่ต้องไปเก็บข้าวสาลี มา ทั้งในเวลาเย็นสำหรับอาหารเย็น ทั้งในเวลาเช้าสำหรับอาหารเช้า อย่ากระ นั้นเลย เราควรไปเก็บเอาข้าวสาลีมาไว้เพื่อบริโภคทั้งเย็นทั้งเช้าเสียคราวเดียวเถิด ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ต่อแต่นั้นมาสัตว์ผู้นั้นก็ไปเก็บเอาข้าวสาลีมาไว้ เพื่อบริโภคทั้งเย็นทั้งเช้าเสียคราวเดียวกัน ฉะนี้แล ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้น สัตว์ผู้หนึ่งเข้าไปหาสัตว์ผู้นั้นแล้วชวนว่า ดูกรสัตว์ผู้เจริญมาเถิด เรา จักไปเก็บข้าวสาลีกัน สัตว์ผู้นั้นตอบว่า ดูกรสัตว์ผู้เจริญ ฉันไปเก็บเอาข้าวสาลีมาไว้เพื่อบริโภคพอทั้งเย็นทั้งเช้าเสียคราวเดียวแล้ว ต่อมา สัตว์ผู้นั้นถือตามแบบ อย่างของสัตว์ผู้นั้น จึงไปเก็บเอาข้าวสาลีมาไว้คราวเดียวเพื่อสองวัน แล้วพูดว่า ได้ยินว่า แม้อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันท่านผู้เจริญ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ต่อ มาสัตว์อีกผู้หนึ่ง เข้าไปหาสัตว์ผู้นั้น แล้วชวนว่า ดูกรสัตว์ผู้เจริญ มาเถิด เรา จักไปเก็บข้าวสาลีกัน สัตว์ผู้นั้นตอบว่า ดูกรสัตว์ผู้เจริญฉันไปเก็บเอาข้าวสาลี มาไว้เพื่อบริโภคพอทั้งเย็นทั้งเช้าเสียคราวเดียวแล้ว ฯ
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์ผู้นั้นถือตามแบบอย่างของ สัตว์นั้นจึงไปเก็บเอาข้าวสาลีมาไว้คราวเดียว เพื่อสี่วัน แล้วพูดว่า แม้อย่างนี้ ก็ดีเหมือนกัน ท่านผู้เจริญดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ต่อมาสัตว์อีกผู้หนึ่งเข้าไปหาสัตว์ผู้นั้น แล้วชวนว่า ดูกรสัตว์ผู้เจริญ มาเถิด เราจักไปเก็บข้าวสาลี กัน สัตว์ผู้นั้นตอบว่า ดูกรสัตว์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าได้ไปเก็บข้าวสาลีมาไว้คราวเดียว เพื่อสี่วันแล้ว ครั้งนั้นแล สัตว์ผู้นั้น ถือตามแบบอย่างของสัตว์นั้นจึงไปเก็บ ข้าวสาลีมาไว้คราวเดียว เพื่อแปดวัน แล้วพูดว่า แม้อย่างนี้ก็ดีเหมือนกันท่านผู้เจริญเมื่อใด สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นพยายามเก็บข้าวสาลีสะสมไว้เพื่อบริโภคกัน ขึ้น เมื่อนั้นแลข้าวสาลีนั้นจึงกลายเป็นข้าวมีรำห่อเมล็ดบ้าง มีแกลบหุ้มเมล็ด บ้าง ต้นที่ถูกเกี่ยวแล้วก็ไม่กลับงอกแทน ปรากฏว่าขาดเป็นตอนๆ (ตั้งแต่นั้นมา) จึงได้มีข้าวสาลีเป็นกลุ่มๆ ฯ

[๖๑] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ในครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้นพากันมาจับกลุ่ม ครั้นแล้วต่างก็มาปรับทุกข์กันว่า ดูกรท่านผู้เจริญ เดี๋ยวนี้ เกิดมีธรรม ทั้งหลายอันเลวทรามปรากฏขึ้นในสัตว์ทั้งหลายแล้ว ด้วยว่า เมื่อก่อนพวกเราได้ เป็นผู้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในวิมานนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน บาง ครั้งบางคราวโดยระยะยืดยาวช้านาน เกิดง้วนดินลอยขึ้นบนน้ำ ทั่วไปแก่เราทุกคน ง้วนดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น รส พวกเราทุกคนพยายามปั้นง้วนดินกระทำให้เป็นคำๆ ด้วยมือทั้งสองเพื่อจะบริโภค เมื่อพวกเราทุกคน พยายามปั้นง้วนดินกระ ทำให้เป็นคำๆ
ด้วยมือทั้งสองเพื่อจะบริโภคอยู่ รัศมีกายก็หายไป เมื่อรัศมีกาย หายไปแล้ว ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ก็ปรากฏขึ้น เมื่อดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้น แล้ว ดาวนักษัตรทั้งหลายก็ปรากฏขึ้น เมื่อดวงดาวนักษัตรทั้งหลายปรากฏขึ้นแล้ว กลางคืนและกลางวันก็ปรากฏขึ้น เมื่อกลางคืนและกลางวันปรากฎขึ้นแล้ว เดือน หนึ่งและกึ่งเดือนก็ปรากฏขึ้น เมื่อเดือนหนึ่งและกึ่งเดือนปรากฏขึ้นแล้วฤดูและ ปีก็ปรากฏ
พวกเราทุกคนบริโภคง้วนดินอยู่ รับประทานง้วนดิน มีง้วนดินเป็น อาหารดำรงชีพอยู่ได้สิ้นกาลช้านาน เพราะมีธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศลชั่วช้าปรากฏ ขึ้นแก่พวกเรา ง้วนดินจึงหายไปเมื่อง้วนดินหายไปแล้ว จึงมีกระบิดินปรากฏขึ้น กระบิดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น รสพวกเราทุกคนบริโภคกระบิดิน เมื่อพวกเราทุกคนบริโภคกระบิดินนั้นอยู่ รับประทานกระบิดินมีกระบิดินเป็นอาหาร ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลช้านาน เพราะมีธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศลชั่วช้าปรากฏขึ้นแก่พวกเรา กระบิดินจึงหายไป เมื่อกระบิดินหายไปแล้ว จึงมีเครือดินปรากฏขึ้น เครือดินนั้น ถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น รส พวกเราทุกคนพยายามบริโภคเครือดิน เมื่อพวกเรา ทุกคนบริโภคเครือดินนั้นอยู่ รับประทานเครือดิน มีเครือดินเป็นอาหาร ดำรงอยู่ ได้สิ้นกาลช้านาน เพราะมีธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศลชั่วช้าปรากฏขึ้นแก่พวกเรา เครือดินจึงหายไป
เมื่อเครือดินหายไปแล้ว จึงมีข้าวสาลีปรากฏขึ้นเองในที่ไม่ต้องไถ เป็นข้าวที่ไม่มีรำ ไม่มีแกลบ ขาวสะอาด กลิ่นหอม มีเมล็ดเป็นข้าว สาร ตอนเย็นพวกเราทุกคนไปนำเอาข้าวสาลีชนิดใดมาเพื่อบริโภคในเวลาเย็น ตอนเช้าข้าวสาลีชนิดนั้นที่มีเมล็ดสุกก็งอกขึ้นแทนที่ ตอนเช้าพวกเราทุกคนไปนำเอาข้าวสาลีชนิดใดมาเพื่อบริโภคในเวลาเช้า ตอนเย็น ข้าวสาลีชนิดนั้นที่มีเมล็ด สุกก็งอกขึ้นแทนที่ ไม่ปรากฏว่าบกพร่องไปเลย เมื่อพวกเราทุกคนบริโภคข้าวสาลี ซึ่งเกิดขึ้นเองในที่ไม่ต้องไถอยู่ รับประทานข้าวสาลีนั้น มีข้าวสาลีนั้นเป็นอาหาร ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลช้านาน เพราะมีธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศลชั่วช้าปรากฏขึ้นแก่ พวกเรา ข้าวสาลีนั้นจึงกลายเป็นข้าวมีรำหุ้มเมล็ดบ้างมีแกลบห่อเมล็ดไว้บ้าง แม้ต้นที่เกี่ยวแล้วก็ไม่งอกขึ้นแทนที่ ปรากฏว่าขาดเป็นตอนๆ จึงได้มีข้าวสาลี เป็นกลุ่มๆ อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรมาแบ่งข้าวสาลีและปักปันเขตแดนกัน เสียเถิดดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นแล้ว สัตว์ทั้งหลายจึงแบ่งข้าวสาลี ปักปันเขตแดนกัน ฯ

[๖๒] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้นแล สัตว์ผู้หนึ่งเป็นคน โลภ สงวนส่วนของตนไว้ ไปเก็บเอาส่วนอื่นที่เขาไม่ได้ให้มาบริโภค สัตว์ ทั้งหลายจึงช่วยกันจับสัตว์ผู้นั้นครั้นแล้ว ได้ตักเตือนอย่างนี้ว่า แน่ะสัตว์ ผู้เจริญ ก็ท่านกระทำกรรมชั่วช้านัก ที่สงวนส่วนของตนไว้ ไปเก็บเอาส่วนอื่นที่ เขาไม่ได้ให้มาบริโภค ท่านอย่าได้กระทำกรรมชั่วช้าเห็นปานนี้อีกเลย ดูกร วาเสฏฐะและภารทวาชะ สัตว์ผู้นั้นแล รับคำของสัตว์เหล่านั้นแล้ว แม้ครั้ง ที่ ๒
... แม้ครั้งที่ ๓ สัตว์นั้นสงวนส่วนของตนไว้ ไปเก็บเอาส่วนอื่นที่เขาไม่ได้ ให้มาบริโภค สัตว์เหล่านั้นจึงช่วยกันจับสัตว์ผู้นั้น ครั้นแล้ว ได้ตักเตือนว่า แน่ะ สัตว์ผู้เจริญ ท่านทำกรรมอันชั่วช้านัก ที่สงวนส่วนของตนไว้ ไปเอาส่วน ที่เขาไม่ได้ให้มาบริโภค ท่านอย่าได้กระทำกรรมอันชั่วช้าเห็นปานนี้อีกเลย สัตว์ พวกหนึ่งประหารด้วยฝ่ามือ พวกหนึ่งประหารด้วยก้อนดินบ้าง พวกหนึ่งประหาร ด้วยท่อนไม้ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็นัยเพราะมีเหตุเช่นนั้นเป็นต้นมา การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้จึงปรากฏ การติเตียนจึงปรากฏ การกล่าวเท็จ จึงปรากฏ การถือท่อนไม้จึงปรากฏ ครั้งนั้นแล พวกสัตว์ที่เป็นผู้ใหญ่จึงประชุม กัน ครั้นแล้ว ต่างก็ปรับทุกข์กันว่าพ่อเอ๋ย ก็การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ ให้จักปรากฏ การติเตียนจักปรากฏ การพูดเท็จจักปรากฏการถือท่อนไม้จัก ปรากฏ ในเพราะบาปธรรมเหล่าใด บาปธรรมเหล่านั้นเกิดปรากฏแล้วในสัตว์ทั้งหลาย อย่ากระนั้นเลย พวกเราจักสมมติสัตว์ผู้หนึ่งให้เป็นผู้ว่ากล่าวผู้ที่ควร ว่ากล่าวได้โดยชอบให้เป็นผู้ติเตียนผู้ที่ควรติเตียนได้โดยชอบ ให้เป็นผู้ขับไล่ ผู้ที่ควรขับไล่ได้โดยชอบ ส่วนพวกเราจักแบ่งส่วนข้าวสาลีให้แก่ผู้นั้น ดังนี้ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นแล้ว สัตว์เหล่านั้นพากันเข้าไปหาสัตว์ที่ สวยงามกว่า น่าดูน่าชมกว่า น่าเลื่อมใสกว่า และน่าเกรงขามมากกว่าสัตว์ทุกคน แล้ว จึงแจ้งเรื่องนี้ว่า ข้าแต่สัตว์ผู้เจริญ มาเถิดพ่อ ขอพ่อจงว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าวได้โดยชอบ จงติเตียนผู้ที่ควรติเตียนได้โดยชอบ จงขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ได้ โดยชอบเถิด ส่วนพวกข้าพเจ้าจักแบ่งส่วนข้าวสาลีให้แก่พ่อ ดูกรวาเสฏฐะและ ภารทวาชะ สัตว์ผู้นั้นแลรับคำของสัตว์เหล่านั้นแล้ว จึงว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าวได้ โดยชอบ ติเตียนผู้ที่ควรติเตียนได้โดยชอบขับไล่ผู้ที่ควรขับไล่ได้โดยชอบ ส่วนสัตว์เหล่านั้นก็แบ่งส่วนข้าวสาลีให้แก่สัตว์ที่เป็นหัวหน้านั้น ฯ
----------------------------------------------

วิธีคิดไม่ธรรมดาของ มาร์ติน วีลเลอร์ ชายผู้มั่งคั่ง หรือ แค่ฝรั่งขี้นก

มาร์ติน วิลเลอร์

ขออนุญาตนะครับน่าจะมีประโยชน์กับหลายๆท่านที่ยังไม่เคยอ่าน

"ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ"

วิธีคิดไม่ธรรมดาของมาร์ติน วีลเลอร์

" แม้เติบโตจากระบบทุนนิยม แต่แนวคิดกลับแปลกแยกอย่างสิ้นเชิงแม้เป็นชาวอังกฤษ แต่มุมมอง "ความเป็นไทย"กลับเฉียบคมยิ่ง ๑๒ ปีในเมืองไทย
หล่อหลอมฝรั่งคนนี้เป็นคนไทย เกือบสมบูรณ์ กว่าคนไทยอีกหลายคน....."

ประวัติ

ชื่อ Martin Wheeler อายุ ๔๒ ปี เป็นชาวอังกฤษ เมือง Bllackpool
ปริญญาตรีเกียรตินิยม ภาษาละติน จาก London University

ภรรยา นางรจนา วีลเลอร์ ชาวขอนแก่น บุตร ๓ คน
๑. ด.ช.อิริค วีลเลอร์ (Eric Wheeler) อายุ ๘ ขวบ
๒. ด.ญ.แอนนี่ วีลเลอร์ (Anne Wheeler) อายุ ๖ ขวบ
๓. ด.ช.ดิเรก วีลเลอร์ (Derek Wheeler) อายุ ๖ เดือน


ผมเป็นชาวอังกฤษ เกิดในครอบครัวที่ฐานะดีพอสมควร

พ่อ จบปริญญาเอก
เป็นผู้จัดการบริษัทเกี่ยวกับสารเคมี ยาฆ่าแมลง มีลูกน้อง ๒๐,๐๐๐กว่าคน

แม่ จบปริญญาตรี เป็นครูสอนเปียโนกับไวโอลิน

ผม จบปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับหนึ่งภาษาละติน ครั้งแรกเรียนที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
ปีที่ ๓ ผมย้ายไปเรียน มหาวิทยาลัยลอนดอน และจบที่นั่น
ผมไม่ชอบเคมบริดจ์ เพราะเป็น แบบโบราณ
อังกฤษเป็นประเทศเก่าแก่มาก สมัยโบราณเป็นระบบศักดินา มีขุนนาง
และ ชาวบ้านเป็นขี้ข้า ทุกวันนี้แม้ยกเลิกระบบนั้นแล้ว
แต่ที่เคมบริดจ์ยังเจอวัฒนธรรม แบบขุนนาง เป็นสังคมเล็ก ๆ
ผ่านมา ๒๐๐-๓๐๐ ปีแล้ว แต่ไม่รับรู้อะไร ไม่เข้าใจชาวบ้าน
เขาคิดแต่เรื่อง สังคมเล็ก ๆ ของเขาในกลุ่มคนชั้นสูง
เป็นพวกหอคอยงาช้าง

ที่ผมเรียนได้คะแนนดี เพราะพ่อแม่ของผม บังคับให้เรียนหนังสือ
ส่งเสริมให้เรียนตั้งแต่อายุ ๒ ขวบครึ่ง สอบไปเรื่อย ๆ เพิ่มไอ.คิว. ให้สูงที่สุด เท่าที่จะทำได้

ผมเรียนสูงจนได้เกียรตินิยม เพราะพ่อแม่มีเงินช่วย ไม่เกี่ยวกับความฉลาดเฉพาะตัว

ปฏิวัติค่านิยมเก่า

ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องเงิน ไม่อยากมีรถยนต์ ไม่อยากมีบ้านใหญ่
อยากมีบ้านเล็ก ๆ อยากมี ครอบครัวเล็ก ๆ ที่มีความสุข
ไม่สนใจเรื่องวัตถุ ผมอยากอยู่แบบง่าย ๆ

เมื่อก่อน ไม่รู้เขาเรียกว่าอะไร แต่ตอนนี้รู้ว่า เขาเรียกมักน้อย สันโดษ
ที่อังกฤษเขาว่าผมบ้า เป็นเด็กนิสัยเสีย เพราะพ่อแม่ส่งให้เรียนหนังสือ
แต่ไม่เอาความรู้ไปหาเงิน เขาหาว่า เด็กที่ไม่คิดทำงานนั้น นิสัยเสีย

หลังจากเรียนจบแล้ว ผมก็เอาปริญญาให้พ่อแม่ตามที่ท่านอยากได้
แล้วผมก็ไปทำงานก่อสร้าง แบกอิฐแบกปูนอยู่ ๑๐ ปี
ช่วงนั้นชาวบ้านบอกว่า ผมบ้าแน่ครับ
แต่เป็นเรื่องที่ผมอยากเรียนรู้ชีวิต อยากรู้จักตัวเอง
ว่ามีความสามารถมากน้อยเพียงใด มีความอดทนมั้ย
ทำในสิ่งที่เราไม่น่าจะทำได้มั้ย
ท้าทายตัวเองบ้าง อยากผ่านชีวิตที่ลำบากบ้าง

ผมอยู่ในสังคมของคนมีเงิน เขาจะพูดถึงแต่เรื่องเงิน

คุณมีรถยี่ห้ออะไรบ้าง? มี่กี่คัน? คุณมีบ้านใหญ่ขนาดไหน? ลูกของคุณเรียนที่ไหน?

เอาลูกมาแข่งขันกัน จบจากที่ไหนบ้าง? จบจากเคมบริดจ์ดีกว่าจบจากมหาวิทยาลัยลอนดอน

แต่ผมกลับคิดว่า ชีวิตน่าจะมีอะไร มากกว่านั้น ช่วงนั้นผมไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร
แต่ที่รู้แน่ ๆ คือไม่ใช่เงิน ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่ปริญญา ต้องมีสิ่งอื่น
ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ผมก็เลยมาลองแบกอิฐ แบกของหนักไว้ก่อน
เดินแบกอิฐไปมา วันละสาม-สี่พันเที่ยว มันอิสระ เรามีเวลาคิด
ได้รู้จักคนอื่น และได้สร้างความเข้มแข็ง ให้ร่างกาย
แล้วจิตใจเราก็เข้มแข็งขึ้นด้วย

ชาวบ้านธรรมดาที่อังกฤษนั้น จริง ๆ เขาลำบากกว่าคนไทยมาก
เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ผมได้เห็น ชีวิตของชาวบ้านที่อังกฤษแย่มาก

คนที่นั่น ๖๐% ไม่มีบ้าน
ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดา จะไม่ได้เป็น เจ้าของบ้าน
ต้องไปเช่าบ้านจากเจ้านายตลอดชีวิต

๙๘%ไม่มีใครมีที่ทำกิน แล้วก็อยู่ในเมือง
เป็นขี้ข้าเขาหมด แม้แต่เป็นผู้จัดการก็เป็นขี้ข้าด้วย
เพราะไม่มีใครพึ่งตนเอง ไม่มีใครมีที่ทำกิน
จะไปทำอะไร ช่วยตัวเองก็ไม่ได้ จะไปสุขอะไรก็ไม่ได้
ต้องไปหาเงิน ชีวิตอยู่กับเงินอย่างเดียว เงินเยอะ ก็มีคุณภาพชีวิตที่ดี
ได้เงินน้อยคุณภาพชีวิตก็ไม่ค่อยสูงเท่าไหร่

พ่อแม่และผม
ถามว่าชีวิตของพ่อมีความสุขมั้ย? ผมคิดว่าไม่
ผมคิดว่าพ่ออยากได้บางสิ่งบางอย่าง
เขาได้เงินเดือน เยอะมาก ได้รับบำเหน็จบำนาญ
เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านในชุมชน มีตำแหน่ง
มีเกียรติยศอะไรอีกเยอะแยะ

แต่ผมคิดว่าพ่อไม่มีความสุข เพราะว่าวันจันทร์ ถึงวันศุกร์ไปทำงานที่โรงงาน
ตกเย็นไปประชุมอีก กลับบ้านสามทุ่มสี่ทุ่ม ไม่ได้เจอเมียเจอลูก
วันเสาร์อาทิตย์พ่อก็ปวดหัว อยากพักผ่อน พ่ออยากอยู่คนเดียวไม่ให้ใครรบกวน

พ่อมีเมีย และลูกสามคน แต่พ่อไม่ค่อยได้เห็นลูกเห็นเมีย
สมัยที่ผมอายุสิบสามขวบ ผมไม่ได้คุยกับพ่อ แม้แต่คำเดียวเกือบปีครึ่ง
เห็นเมื่อไหร่ก็เจอพ่อปวดหัวตลอด

คิดหนัก อาชีพของพ่อ ต้องใช้สมองมาก ผมว่ามันเป็นกรรมพันธุ์ด้วย
ผมก็ปวดหัวบ่อยเหมือนกัน (หัวเราะ) ชอบคิดมาก ตอนนี้หายแล้ว
แม่เข้าใจผม แต่ไม่เห็นด้วยที่ผมมาเมืองไทย

แม่เสียชีวิต ผมได้มรดกนิด ๆ หน่อย ๆ มีเวลาที่จะไปเที่ยว
ผมเคยวางแผนไว้ในใจว่าจะเที่ยว ๑ ปี จะไปในประเทศ ที่ผมไม่เคยไปมาก่อน
เช่น ไทย ลาว เขมร พม่า มาเลย์ เวียดนาม อินโด ออสเตรเลีย
คิดว่าจะไปออสเตรเลียเพราะเป็นประเทศเปิด ไม่ค่อยมีกฎระเบียบ เหมือนอังกฤษ
แต่ก็ยังไม่ได้ไปตามแผนที่วางไว้ ประเทศแรกที่ผมมา คือ ประเทศไทย

ผมไม่ใช่ครูฝรั่ง
สมัยก่อนผมนิสัยเสีย ชอบกินเหล้า ชอบเที่ยว ชอบสนุก เงินที่ผมเก็บไว้

๑ ปี ภายใน ๒ เดือนใช้หมดเลย ไม่มีเงินกลับบ้าน ผมอยู่ประเทศไทย ตั้งแต่ปี ๒๕๓๕
ผมอยู่กรุงเทพฯ ไม่มีเงิน แม้แต่บาทเดียว ไปหางานทำ
อาชีพอย่างเดียวที่เราทำได้ คือเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ จริง ๆ แล้ว
ผมไม่ได้เป็นครูหรอก ผมสอนไม่เป็น แต่คนไทยเห็นฝรั่ง จะบอกว่าฝรั่งทุกคน
เป็นครูสอนภาษา ซึ่งมันไม่จริง
ฝรั่งส่วนมากไม่ได้เป็นครู ที่กรุงเทพฯ เขาจ้างผมให้เป็นครู
เอาเสื้อผ้าดี ๆ เนคไทดี ๆ ให้ใส่ เขาบอกว่า คุณเป็นครูนะ
แล้วเขาก็ส่งผมเข้าห้องเรียนเลย

ความจริงฝรั่งที่เขาเรียกครูนั้น ไม่มีใครเคยสอนหนังสือ แม้แต่คนเดียว
และบางครั้ง ก็ไม่ใช่คนอังกฤษด้วย มีคนหนึ่งเป็นชาวฝรั่งเศส
พูดภาษาอังกฤษผมฟังไม่รู้เรื่อง แม้แต่คำเดียว คนไทยก็แปลกดีเหมือนกัน

เขาให้เงินเดือนผมเดือนละ ๓ หมื่นบาท ไปนั่งเฉย ๆ ผมก็ละอายใจ
ไม่อยากรับ ผมคิดมาก ปวดหัวทั้งวันทั้งคืน เพราะถ้าเราทำงานอะไรในชีวิต
เราต้องได้ผล สมมุติมีคนมาจ้างเรา ๑๐๐ บาท แบกอิฐ ผมจะรับแน่เพราะว่า
ผมแบกอิฐแผ่นนั้น จากโน่นไปที่นู่น ผมทำได้แน่ครับ แล้วผมก็จะเอาเงินของคุณไป
แต่เวลาผมเป็นครูสอนภาษา มันไม่ได้ผลหรอก ผมสอนไม่เป็นเอาเงินให้ผมเฉย ๆ
ผมก็รู้สึกว่า ไม่น่าจะเอา ผมไม่ได้ทำ ประโยชน์อะไร คุ้มค่าเงินนะ

เงินไม่ทำให้ผมมีความสุข
ผมมีอุดมการณ์เล็ก ๆ ตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ

๑. ถ้าเราทำงานอะไร ต้องทำในสิ่งที่เรามีความสุข
๒. จะไม่ทำงานที่ต้องผูกเนคไท
๓. จะไม่มีกระเป๋าเอกสารเพราะว่าเหมือนสังคมของพ่อแม่ผม เขาจะทำงานแบบนั้น

ทุกคนมีเสื้อนอก มีรถยนต์ มีเอกสาร แต่เขาไม่ค่อยมีความสุขหรอก
ผมเอาสิ่งนี้ มาเป็นสัญลักษณ์ แห่งการทำงานที่ไม่มีความสุข
มีช่วงเดียวเท่านั้นที่ผมทรยศต่อชีวิตตัวเอง คือ
ช่วงที่ผมเป็นครูอยู่ที่กรุงเทพฯ ผมต้องผูกเนคไท
ผมทำในสิ่งที่ผมเกลียดที่สุดเลย เพื่อเงินอย่างเดียว
ทำอยู่ประมาณ ๑๑ เดือน

ชีวิตไม่มีความสุข เหมือนอยู่ที่อังกฤษ คือทำงานอะไรก็ได้ ขอให้มีเงิน
แต่ไม่มีความสุข แล้วก็เอาเงินไปใช้ในสิ่งที่ไม่ถูกต้องไปเที่ยว ไปกินเหล้า
ไปสูบบุหรี่ ยาเสพติดทุกชนิดผมเอาหมด ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม
แม้แต่อยู่กรุงเทพฯ ก็ยังทำอยู่ ถึงได้เงินเยอะ แต่ไม่รู้ว่า จะเอาไปทำอะไร
เพราะเงินไม่ช่วยให้เรามีความสุข

หันเหชีวิตสู่แนวทางที่วาดหวังไว้
ผมเจอภรรยา เธอมาจากจังหวัดขอนแก่นอยู่กรุงเทพฯ ไม่นานก็มีลูก

ผมเริ่มคิดหนัก แต่ก่อน อยู่คนเดียวไม่มีปัญหา
มีความสุขหรือไม่มีก็คนเดียว ไม่ยากหรอก
เมื่อมีเมียมีลูก มันต้อง รับผิดชอบผู้อื่นด้วยจะไปนั่งกินเหล้าเฉย ๆ
ไม่ได้หรอก คิดว่าทำอย่างไร ให้เมียกับลูกอยู่ได้ ผมรู้แน่ ๆ
ถ้าผมอยู่ในสังคมเมือง และทำงานแบบนี้ ผมจะเป็นคนแย่มาก
จะกินเหล้า สูบบุหรี่ ติดยา เที่ยวอย่างเดียว

จึงตัดสินใจตัดตัวเองออกจากสังคมเมืองไปอยู่บ้านนอก
แฟนผม มาจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ในจังหวัดขอนแก่น
ช่วงปีใหม่ผมไปเที่ยวบ้านของแม่ยายเห็นว่า เป็นธรรมชาติดี

ต้องเข้าใจว่าคนอังกฤษอยู่บ้านนอกไม่ได้เพราะชนบทมีพื้นที่นิดเดียว
พวกขุนนางยึดหมด คนยากจน จึงอยู่ชนบทไม่ได้ ต้องไปอยู่ในเมืองที่สกปรก
แออัด คนอังกฤษที่ยังรวยไม่ถึงขั้น เช่นพ่อของผม มีเงินเยอะ
แต่ก็ยังรวยไม่ถึงขั้น เพราะยังอยู่ในเมือง วัดจากคนที่อยู่
กลางเมืองใหญ่ ๆ จะเป็นคนจนที่สุด

ที่อยู่ชานเมือง จะเป็นพวกครู ข้าราชการ อะไรแบบนั้น เป็นผู้จัดการ
ก็ยังอยู่ในเมือง ส่วนคนที่จะได้อยู่บ้านนอก จะต้องเป็นคนรวยถึงขั้นจริง ๆ
เป็นพวกขุนนางใหญ่โต มันเป็นเรื่องแปลก ผมมาอยู่ที่ขอนแก่น เห็นแต่ละคน
มีที่ดินเยอะมาก ชาวบ้านธรรมดา คนเดียวมีถึง ๕๐ ไร่ ๒๐๐ กว่าไร่ก็มี
พ่อแม่ผมมีแค่ ครึ่งไร่เท่านั้นเอง แต่อยู่บ้านนอกที่นี่ โอ้โฮ..มีเยอะมาก

สะอาดด้วย อากาศก็ดี ตอนแรกได้กลิ่น ผมก็ว่ากลิ่นอะไร อ๋อ
มันกลิ่นธรรมชาติ ผมไม่เคยดมมาก่อน โอ้สุดยอดเลยบ้านนอก
คนอื่นว่าฝรั่งมันบ้า เพราะเขาไม่คิดว่า ทำไมฝรั่งอยากไปอยู่บ้านนอก
เขาคิดว่าฝรั่งมีแต่คนรวย ฝรั่งไม่มีคนยากจน เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าฝรั่งส่วนมากลำบาก
บ้านก็ไม่มี ที่ดินก็ไม่มี เป็นขี้ข้าเขาหมด ลูกก็ไม่มีอนาคต

ปัญหาของระบบทุนนิยม คือเรื่องเงิน เงินถูกจำกัดเป็นก้อนเล็ก ๆ
คนรวยกวาดเงินไปเยอะ จนเหลือนิดเดียว มันแบ่งกันไม่ลงตัว
ทำให้มีคนจนเยอะ

ถ้ามีคนรวย ๑ คน จะมีคนจน เป็นร้อยเลย ระบบทุนนิยมจึงอยู่ได้
ปัญหาของคนยากจน คือ ทำยังไง จะมีชีวิตที่ดี เราจะหลุดพ้น
จากความยากจนได้ ต้องหาสิ่งที่ไม่ใช่เงิน อันนี้เป็นจุดเด่นของประเทศไทย
ชาวบ้านธรรมดา อาจจะไม่มีเงินเยอะ แต่เขาสามารถจะหาหลายสิ่งหลายอย่าง
ที่มีคุณค่า มากกว่าเงินตั้งเยอะ

แค่อยากหาคำตอบให้ชีวิต
ผมตกลงกับแฟนว่าเราจะไปอยู่บ้านนอก ผมจะไม่รับจ้างสอนภาษาอังกฤษ
เขาก็ตกลง แต่ปัญหาคือ ผมทำเกษตรไม่เป็น ช่วงแรกก็ลำบากต้องกลับมาแบกอิฐเหมือนเดิม
วันละร้อยยี่สิบบาท โอ้โฮ...เหนื่อย เพราะที่อังกฤษ ถึงจะแดดร้อน
แต่อากาศเย็น เดินไม่ได้ ต้องวิ่ง ก็อุ่นได้
แต่ขอนแก่นช่วงนั้น เป็นเดือน ๔ อากาศร้อนมาก
๔๐ กว่าองศา บางครั้ง ผมเป็นลม เขาเอาน้ำมาสาด โอ๊ย.! ฝรั่งมันบ้า
ทำไม ไม่กลับบ้าน คิดผิดหรือเปล่า ทำไมต้อง มาลำบากขนาดนี้

เขาคิดว่า ผมเป็นฆาตกร
ไปฆ่าคนที่อังกฤษ แล้วกลับบ้านไม่ได้ หนีคดีมา ความจริงไม่ใช่
ผมก็แค่อยากหาคำตอบในชีวิต บางเรื่องเท่านั้น อยากหาความสุข
ที่เป็นแบบ ยั่งยืนสักหน่อย

บางครั้งก็คิดหนีไปที่อื่นเหมือนกัน แต่ผมไม่รู้ว่า
ถ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้จะไปอยู่ที่ไหน คิดว่า เราต้องหาคำตอบให้ได้
ปัญหาอาจจะอยู่ที่ตัวของผมเอง แต่ในภาพรวมที่นี่ดี สิ่งแวดล้อมดี สะอาด
ถ้าเรามีลูก เราอยากให้ลูกของเราอยู่ในที่สะอาด อาหารธรรมชาติฟรี ๆ
ก็มีเยอะมาก ในภาคอีสาน เห็ดแดง หน่อไม้ ไข่มดแดง ดอกกระเจียว ผักอีหรอก
แมงคับแมงคาม ขี้กะปอมเยอะ แต่บางคนก็ไม่กินนะ บางคนก็กิน ซึ่งมันดีมากเพราะว่า

๑. สะอาด อาหารธรรมชาติ ไม่มีใครไปใส่ปุ๋ยเคมี
๒. ไม่ได้ซื้อ ไม่ได้ใช้เงิน ขอให้ขยันเดินไปเก็บ

สมัยก่อน ที่อังกฤษ ผมจะเดินแบกอิฐทั้งวัน
เมื่อได้เงินแล้ว ก็เอาเงินเกือบทั้งหมดไปซื้ออาหารในร้าน
ฝรั่งส่วนมาก ทำงานหนักทุกวัน แต่เงินที่เขาได้
มันเพียงพอที่จะซื้ออาหารกินเท่านั้น ไม่มีเงินเหลือ ฝากธนาคาร

นิยามความรวยกับความจน
มันเป็นเรื่องแปลกนะที่ประเทศไทย คนยากจนมีหนี้สินเยอะ

ที่อังกฤษมีแต่คนรวย ที่มีหนี้สิน

คนจนไม่มีหนี้ เพราะเขาไม่ให้คนจนยืมเงิน

เนื่องจากกลัวจะไม่มีปัญญาใช้คืน จึงไม่มีสิทธิ์ มีหนี้สิน
แต่คนรวยยืมเงินได้คำว่ารวยกับคำว่าจน มันคืออะไรกันแน่ ?

ที่ขอนแก่นเขาว่าผมบ้าบ้าง ฝรั่งยากจนบ้าง ฝรั่งตกอับบ้าง ฝรั่งขี้นก
ฝรั่งไม่มีเงิน แต่ผมบอกว่า ไม่ใช่ ผมรวยนะ เขาถามว่ารวยได้ยังไง

ผมบอกว่า

๑. ผมมีบ้าน ผมทำบ้านเล็ก ๆ เป็นกระท่อมน้อย ๆ เอาหญ้ามามุงหลังคา
ชาวบ้านเรียกว่า เถียงนา ไม่ใช่บ้านหรอก ผมบอกว่าใช่ มันบ้านของผม
ไม่ใช่บ้านเจ้านาย ราคาหนึ่งหมื่นสองพันบาท อยู่ได้ครับ
มันกันแดดกันฝนได้ แค่นั้นผมก็รวยแล้ว

๒. มีที่ดิน แค่ ๖ ไร่เท่านั้นเอง ที่นั่นเขาบอกว่ากระจอก มีนิดเดียว
แต่สำหรับฝรั่ง มันเยอะมาก จริง ๆ ผมคิดว่า มันเป็นเรื่องสำคัญ
เป็นพื้นฐานของชีวิต เราต้องมีที่อยู่อาศัยเป็นของเรา ไม่ใช่ของเจ้านาย
เพราะว่าถ้ามันเป็นของเจ้านาย เราต้องไปหาเงินให้เขา ถ้าเราไม่มีเงิน
เขาก็ไล่เราออก เราไม่มีที่อยู่นะ เพราะฉะนั้นต้องมีบ้านเป็นของตัวเองไว้ก่อน
ซึ่งผมก็มีบ้าน คิดว่าลูกของผม จะต้องมีบ้านแน่ ๆ ด้วย

เรื่องเกษตรผมทำไม่เก่ง
แต่ที่ทำได้ง่าย คือ ปลูกต้นไม้ ไม้ประดู่ ไม้สะเดา ไม้ยาง
ปลูกไว้ให้ลูกสร้างบ้าน ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้โตเร็วมาก แค่ ๒๕-๓๐ ปี
ตัดได้แล้ว ไม่เหมือนอังกฤษ ๒๐๐ ปีได้ เท่านี้เอง เพราะอากาศเย็น
เป็นเรื่องแปลก ที่คนไทยจะบ่น โอ๊ย..มันร้อน ๆ ผมว่ากลับเป็นเรื่องดี
แสงแดดเยอะ จะทำการเกษตรได้ ตลอดเวลา ๑ ปี ทำได้ทุกวัน แต่คนไทยจะบ่นร้อน ๆ ไม่เอา ๆ
อยากเป็นคนผิวขาวดีกว่า แต่คนอังกฤษ เขาถือคนผิวขาวเป็นคนจน
เพราะว่าไม่มีปัญญา จะไปเมืองนอก ซึ่งกลับกันเลย แม้แต่พ่อของผม
เขาก็ยังมีเครื่องอาบแดดเพื่อให้ผิวเป็นสีแทน ให้ดูเป็นแบบคนมีสตางค์
แต่คนไทย กลับอยากมีผิวขาว


ผมมีลูก ๓ คน ชาย ๒ หญิง ๑ สิ่งสำคัญที่สุด ๒ เรื่องในชีวิตของเรา คือ

๑. ต้องมีบ้าน เป็นของตัวเองให้ได้ จึงจะถือว่า ชีวิตประสบความสำเร็จ
๒. ต้องมีงานทำทุกวัน ไม่ได้จำกัดว่า ต้องเป็นงานอะไร แต่ขอให้ มีงานทำทุกวัน

ชีวิตจึงจะไม่สูญเปล่า วิธีเดียวที่รับประกันได้ว่า ลูกมีงานทำ
คือการมีที่ทำกินให้เขา และเราต้องช่วยให้เขาทำเป็น ผมคิดว่าคนชนบทจริง ๆ
ใครมีที่ดินทำกินแล้วจะไม่ตกงาน เว้นแต่คนขี้เกียจ ซึ่งบางคนมีที่ดินเยอะ
แต่ไม่ยอมทำ ถ้าเราสั่งสอน ให้ลูกรู้จักทำมาหากิน เขาก็ไม่ตกงาน
ผมถือว่างานที่อิสระ และมีประโยชน์ มากที่สุด คืองานเกษตร
ซึ่งช่วยให้เรากินอิ่มทุกวัน คนอังกฤษกินไม่อิ่มเยอะมากนะ
ผมไม่อยากให้ลูกของผมอดอาหาร อยากให้ลูกกินอิ่มในลักษณะที่ส่งเสริมสุขภาพด้วย
กินอาหาร ที่ไม่มีสารพิษ กินอาหารแบบเรียบง่ายก็ได้ แต่อิ่มทุกวัน
เมื่อมีบ้าน มีงาน มีอาหาร ลูกของผม ก็จะรวยที่สุด ผมอยากให้ลูกอยู่บ้านนอก
เพราะว่าสะอาด

จ้างเท่าไหร่ ก็ไม่อยาก ให้ไปอยู่ ในเมืองหรอกเพราะสกปรก แออัด
สำคัญที่สุดคือเรื่องของสังคม ผมไม่อยากให้ลูกไปอยู่ในเมือง เพราะว่า
คนเมืองเห็นแก่ตัว วิ่งไปหาเงินอย่างเดียว แข่งขันกันเยอะ
เดี๋ยวก็ฆ่ากัน ด่ากันทุกวัน ไม่สงบ อยากให้ลูกอยู่บ้านนอก
เขาจะได้สิ่งที่หายากที่สุดในโลก

คนอีสานบ้านนอกเป็นคนดีมากนะ มีน้ำใจ รู้จักช่วยเหลือคนอื่น
เอื้ออาทรกัน เกื้อกูลกัน แบ่งปันกัน ไม่แข่งขันกัน
ความเป็นชุมชนเป็นสิ่งที่หายากนะ

ถ้าเราไปอยู่ในเมือง จะอยู่แบบ ของใครของมัน บ้านคนละหลัง
ครอบครัวคนละหลัง ไม่รู้จักกัน ถ้าเราอยู่ในชุมชนเล็ก ๆ เราก็ช่วยเหลือกันได้
คุยกันได้ แบ่งปันกันได้ ในที่สุดเราก็จะเป็นคนมีน้ำใจได้

ลูกของผมเขาเป็นคนมีน้ำใจ เขาอาจจะไม่มีเงิน ไม่ได้เรียนหนังสือสูง ๆ
แต่เขาจะมี สิ่งที่ดีกว่า นั้นเยอะ คือเขาจะมีที่อยู่อาศัย มีชุมชนที่ดี
ไม่มียาเสพติดไม่มีการพนัน ไม่มีอาชญากรรม มันน่าอยู่
ขอให้เราอยู่ในชุมชนที่เป็นแบบนั้นมันก็ดีนะ

ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องเป็นห่วง ลูกก็จะเป็นคนดี ไม่ติดยา
ไม่ขี้ขโมย ไม่เล่นไพ่ มีน้ำใจและรู้จักช่วยเหลือคนอื่นลูกผมเรียน
หนังสือไม่เก่ง ปีนี้เขาได้คะแนนเป็นอันดับที่ ๑๙ ในห้องของเขา
มีนักเรียน ๓๙ คน มันเดินสายกลาง พอดีเลย (หัวเราะ)

แต่ผมไม่ได้สนใจเรื่องอันดับคะแนนหรอก
ครูเขาเขียนถึงอุปนิสัยของลูกว่าเป็นคนที่มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือคนอื่น

ซึ่งผมไม่ได้สอนแบบนั้นฝรั่งส่วนมากจะเห็นแก่ตัว ผมเคยอยู่ ในสังคม อย่างนั้นมาก่อน
มันเปลี่ยนยากครับ ผมจึงไม่ได้สอนให้ลูกเป็นคนมีน้ำใจ

แต่มันเป็นที่ชุมชน เป็นวิถีชีวิต ของคนอีสาน ที่เริ่มซึมเข้าไปในกระดูกของเขา
ทำให้ลูกอายุแค่ ๘ ขวบเป็น คนมีน้ำใจ ผมถือว่าสุดยอดแล้ว ผมภูมิใจในตัวของลูกมาก ๆ

เรื่องเรียนไม่สำคัญหรอก สำคัญที่สุดนั้น เป็นความมีน้ำใจถ้าเขาสามารถรักษาสิ่งนี้ไว้ตลอดชีวิต
ผมคิดว่า เขาคงมีความสุขแน่


วิเคราะห์เจาะลึก อีสานบ้านเฮา
ผมเคยบังคับลูกชายคนแรก ตอนอายุประมาณ ๓ ขวบ จับมานั่ง
สอนภาษาอังกฤษเขาก็ร้องไห้ ๆ ไม่เอา ๆ ๆ ผมก็คิดว่า เอ๊ะ..เราน่าจะเลิกทรมานเด็ก

ปล่อยให้เขามีความสุข ตั้งแต่วันนั้น ผมบอก จะไม่สอนเขาอีก
แต่ถ้าอยากเรียนมาบอกผม จะสอนให้ ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้
เขายังไม่บอกผมเลย

ผมก็มาคิดว่า จะให้ลูกเรียนภาษาอังกฤษ เพื่ออะไร ในหมู่บ้าน ของผมมี ๕๐ ครอบครัว
ทุกคนพูดอีสานอย่างเดียว แม้แต่ผมก็ยังพูด แล้วจะให้เขาเรียนภาษาอังกฤษเพื่ออะไร?

สมมุติว่าลูกของผมอยากอยู่ในหมู่บ้านนี้ตลอดชีวิต
ภาษาอังกฤษก็จะเป็นความรู้ที่ไม่เป็นประโยชน์อะไรทั้งสิ้น ผมเคยเรียกว่า มันเป็นวิชาขี้ข้า
เอาไว้รับจ้างเฉย ๆ เอาไปหาเงิน คนที่มีความรู้ ภาษาอังกฤษ
จะเอาอันนี้แลกกับเงินอย่างเดียว เขาไม่ได้เรียนเพื่อชีวิตของเขา
เขาอยากเอาเงิน ไปทำงานสูง ๆ หน่อย

ปัญหาของคนอีสานมีมากในเรื่องของการศึกษา
คนอีสานส่วนมากไม่อยากให้ลูกเป็นคนอีสาน ไม่อยากให้ลูกเป็นคนบ้านนอก
ไม่อยากให้ลูกพูดภาษาอีสาน อยากให้พูดไทย ชาวบ้านส่วนมาก
คิดอยากให้ลูกได้ดีในชีวิต คิดว่าสิ่งที่ดีในชีวิตของลูกคือ

๑. ไม่ได้พูดอีสาน พูดแต่ภาษาไทย
๒. พูดภาษาอังกฤษด้วย
๓. เล่นคอมพิวเตอร์ได้
๔. ไปอยู่ในเมือง
๕. ไปรับจ้างเขา
๖. ไปสร้าง หนี้สิน ไปซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ ราคา ๒ ล้าน ๓ ล้านบาท

เขาคิดว่า อย่างนี้ลูกของเขาได้ดี ซึ่งผมไม่เห็นด้วย
ผมก็อยากให้ลูกของผมได้ดีเหมือนกัน แต่ภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ปัจจัย
ที่จะช่วยให้เขาได้ชีวิตที่ดี อาจจะเอาไปแลกเงินในบางช่วงได้ แต่ผมหวังว่า
ลูกของผม จะมีความคิด สูงกว่านั้น ชีวิตน่าจะมีไว้เพื่อหาสิ่งที่ไม่ใช่เงิน
ถ้าเขาเรียนรู้ เพื่ออยาก จะหาเงิน อย่างเดียวก็น่าเสียใจนะ
เพราะความรู้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่การเรียนรู้เป็นสิ่งที่เราต้องทำ
ทุกวันตลอดชีวิต เราหยุดเรียนรู้ไม่ได้ แต่เราไม่น่าจะเรียน
เพื่อเอาความรู้ เอาปริญญา ไปแลกกับเงิน ทำให้ความรู้ไม่มีคุณค่า

จุดอ่อน จุดแข็ง ของคนไทย
ผมคิดว่าคนไทยส่วนมากยังไม่เข้าใจระบบทุนนิยม เห็นฝรั่งที่ไหน
ก็คิดว่ารวยหมด คิดว่าการพัฒนา ในระบบทุนนิยมจะทำให้ทุกคนมีเงิน
ไม่เข้าใจว่าประเทศที่พัฒนาระบบทุนนิยม นานแล้ว เช่น

อังกฤษ สหรัฐ มีปัญหาเยอะมาก

แต่คนไทยก็คิดว่า เมืองนอก ดีกว่า อันนี้จุดอ่อนครับ คือคนไทยสนใจ
เมืองนอก ไม่ได้สนใจ ประเทศไทย

ผมเป็นฝรั่ง คุณเลยนั่งฟังผม ถ้าผมเป็นชาวบ้าน คุณจะไม่สนใจผม
อันนี้เป็นจุดอ่อนนะ แต่จุดแข็ง คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
แผ่นดินประเทศไทย อุดมสมบูรณ์มาก ๆ ที่ดินเยอะมาก น้ำเยอะมาก
แสงแดดเยอะมาก ทำเกษตรอยู่รอดแน่ เป็นพลังแผ่นดิน
ใคร ๆ ก็อยากได้ประเทศไทย ผมก็ได้ถึง ๖ ไร่

คนไทยโชคดีมาก ๆ ที่ได้ในหลวง เป็นผู้นำ พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงาน หนักมาก
เพื่อช่วยให้คนคิดได้ ช่วยให้คนอยู่ได้ จะหากษัตริย์ ในประเทศอื่น
ไม่ค่อยมีแบบนี้ ปัญหาคือคนไทยส่วนมากนับถือในหลวง

แต่ไม่ยอมปฏิบัติ ตามคำสอนของในหลวง พระองค์ท่าน บอกมา ๒๗ ปีถึงเศรษฐกิจพอเพียง
แต่คนไทย ก็ไม่รู้จักพอเพียง เอาอย่างเดียว ถึงยกมือไหว้ในหลวง แต่เวลาดำรงชีวิต ไม่ได้ทำตามในหลวง
ก็ในหลวงบอกไว้แล้วว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเสือ ขอให้มีอยู่มีกินไว้ก่อน ถ้าทุกคนเริ่มคิดจริง ๆ ถึงสิ่งที่ในหลวงพูด
เราน่าจะช่วยให้ประเทศไทยอยู่ได้ เพราะความคิด ของในหลวง

เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง
ต้องอาศัย พลังแผ่นดิน ทำได้เฉพาะประเทศไทยนะ เศรษฐกิจพอเพียง
ที่อื่นทำไม่ได้หรอก เพราะเขาไม่มีที่ดิน ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะ
เหมือนประเทศไทย

พวกคุณโชคดีที่ได้แผ่นดินดี ๆ ได้ผู้นำที่ดีด้วย และเรื่องที่ ๓
เรื่องศาสนา ผมคิดว่าศาสนาพุทธ มีความสำคัญมาก ๆ สำหรับคนไทย
ไม่ใช่แค่นับถือไหว้พระ แค่นั้นไม่พอ แต่อยู่ที่การปฏิบัติ ด้วยนะ มักน้อย สันโดษ พอเพียง
ธรรมะ คือ ธรรมชาติ เป็นเรื่องง่าย ๆ พึ่งตนเองก็ได้ ปรัชญาของ ศาสนาพุทธ ทำได้นะ

แต่คนไทยจำนวนน้อยที่เข้าใจ จริง ๆ แล้วศาสนาพุทธ
เป็นศาสนาที่ออกแบบให้เหมาะสม สำหรับคนบ้านนอก ให้ใช้ชีวิตร่วมกับ ธรรมชาติ
โดยไม่ทำลาย ไม่เอาเปรียบ แต่ให้เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

อยากบอกอะไรคนไทย
คุณโชคดีมาก ๆ ที่เกิดในประเทศไทยที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องไปรบกับใคร
ไม่ต้องไปเอาน้ำมัน จากใคร ไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น ประเทศไทยอยู่ได้
กินอิ่ม มีเหลือแจกด้วย อย่าไปคิด เรื่องเงินอะไรมาก อย่าลดคุณค่าความเป็นไทยของตัวเองลง

คนไทยส่วนมาก นิสัยดีจริง ๆ
คนไทยมีน้ำใจ หายากนะ คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัวมีแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์
มีศาสนาพุทธ ที่ดีมาก

ทั้ง ๓ อย่างนี้ พยายามรักษาเอาไว้ให้ได้ ชีวิตที่ไม่ทะเยอทะยานเกินไป
คือชีวิต ที่มีคุณภาพ ชาวบ้านทุกคนทำได้ ผมเองถึงยังทำไม่สำเร็จ
แต่มั่นใจว่าจะทำได้แน่ในอนาคต ถ้าผมทำได้ คนอื่นก็คงทำได้ง่ายกว่าผมเยอะ
ทุกอย่างอยู่ที่เรา ถ้าเราไม่อยากได้อะไร มากเกินไป ในชีวิตชีวิตมันก็ง่าย
พยายามทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้น อย่าให้มันสับสน อย่าให้มันลำบาก
พยายามรักษา สิ่งแบบนี้ให้ดี และอย่าเชื่อฝรั่งมากเกินไป

หุ้นกู้ True ระยะ 5 ปี 5 ด. ดบ. 6.70 % จ่ายทุก 3 ด.

จองซื้อ 24 - 27 สค. 52

ขั้น ต่ำ 100,000.- เพิ่ม ทวีคูณ สูงสุด ไม่จำกัด
ธ.กรุงเทพฯ
ธ.กรุงไทย
ธ.กรุงศรีฯ
ธ.กสิกรไทย
ธ.ไทยพาณิชย์

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ปชป.ดิ้น! เมซไซอะ ศิริโชคงาบตร.กอรปศักดิล้วงลูกพรรคร่วมบวกแพงเพียบพังเวทีมวยหมิ่นสถาบัน

วิบากกรรม! เคยเห็นอะไรอย่างนี้มั้ย....งานเข้า ปชป.ดิ้นเร่าๆก่อนตายซาก อยากตายจริง ยังไม่ได้ ทะลึ่งประกาศ"เสื้อแดง"จะสร้างเงื่อนไข"ปฏิวัติ"หลัง17สิงหา ...

"ประจวบ "โผล่ให้การดีเอสไอ"เมซไซอะ"เป็นตัวผ่านเงินให้แกนนำปชป. ... นายประจวบยังยอมรับด้วยว่า บริษัททีพีไอฯทำสัญญาว่าจ้างบริษัท เมซไซอะฯ อภิสิทธิ์มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะเป็นคนหนึ่งที่เซ็นชื่อเพื่อรับรองงบดุลประจำปีของพรรค ที่ต้องเสนอต่อ กกต. ทั้งนี้ นางสดศรี สัตยธรรม กกต.เคยระบุไว้ว่า ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนด หากมีการใช้จ่ายเงินตามมาตรา 93 ที่ขอรับเงินบริจาคจากแหล่งที่มาโดยมิชอบ และตามมาตรา 94 เกี่ยวกับการรับเงินมาใช้เพื่อบ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ เป็นมูลเหตุที่จะเสนอให้มีการยุบพรรคการเมืองนั้นได้

"ศิริโชค โสภา" กล่าวหาพัชรวาท ขณะที่มีเสียงกล่าวหาตัวศิริโชคและสส.ปชป.เองซื้อขายตำแหน่งนายตำรวจ พอนักข่าวถาม "อภิสิทธิ์" กลับได้คำตอบว่ายังไม่เคยสอบถามเรื่องนี้จาก "ศิริโชค" เลย และ "ผมไม่ได้คุยกันทุกเรื่อง"

"อภิสิทธิ์" ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ "ศิริโชค" ให้สัมภาษณ์พิเศษ "ข่าวสด" ฉบับวันที่ 6 สิงหาคมในเรื่องเดียวกันไปแล้ว ?ถาม "นายกฯขอดูข้อมูลเรื่องนี้หรือไม่" ตอบว่า "ทุกเรื่องที่ผมพูดแล้วเป็นประเด็นทางสังคม ต้องปรึกษาหารือกันก่อนอยู่แล้ว"

ที่แน่ๆ หัวหน้ารบ.โจรได้ลงลายมือชื่อในคำสั่งแต่งตั้งวิเชียร มานั่งแทนพัชรวาท ให้รื้อตำแหน่งนายตำรวจ นัดกตร.ประชุมวันนี้ที่13สค.52นี้แล้ว!!!!!

โครงการ ชุมชนพอเพียงเป็น "สนิมทุจริต" -"ระเบิดเวลา" ของพรรคประชาธิปัตย์ เหมือนกรณี "ส.ปก.4-01" ในอดีต "อภิสิทธิ์" ทนไม่ได้ ไม่เอาตัวบัง "กอร์ปศักดิ์" ต่อไป

"1 นิ้วชี้คนอื่น อีก 4 นิ้วชี้เข้าหาตัวเอง" งานนี้คนที่แอบหัวเราะดังๆ คงไม่พ้น "พรทิวา นาคาศัย" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ "โสภณ ซารัมย์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่เจอ 1 นิ้วคอยชี้เรื่อง "ข้าว-ข้าวโพด" และ "เช่ารถเมล์ 4,000 คัน" งานนี้ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง

ค้นข้อมูล เก่าของ "สุมิท แช่มประสิทธิ์" ผู้อำนวยการสำนักงานชุมชนพอเพียงแล้ว ไม่ธรรมดาจริงๆ ตั้งแต่เป็น "ขุนพล" ของ "ภูษณ ปรีย์มาโนช" เป็นที่ปรึกษาแบงก์กรุงไทยสมัย "วิโรจน์ นวลแข" เป็นประธานกรรมการบริหาร "ไออีซี" ในช่วงที่มีคดี "ปั่นหุ้น" จน ก.ล.ต.ต้องเข้ามาตรวจสอบ

ไป ฟัง "บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา" เจ้าสัวสหพัฒน์ "ดินเนอร์ทอล์ก" เมื่อวันก่อน เขาบอกว่าตลอดชีวิตที่ทำธุรกิจกว่า 50 ปี เศรษฐกิจไทยดี มีอยู่แค่ 3 รัฐบาล คือ รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์-พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

เจ้าสัว "บุณยสิทธิ์" ตั้งข้อสังเกตว่าทั้ง 3 รัฐบาล มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ "ค่าเงินบาทอ่อน" พอ "บาทอ่อน" การส่งออกก็ดี ตีกระทบชิ่งใส่รัฐบาล "อภิสิทธิ์" ที่ปล่อยให้ "บาทแข็ง" แบบไร้การดูแล

เมื่อเวลา 21.15 วันที่ 12 สิงหาคม อัฒจรรย์ ซึ่งทำขึ้นเป็นนั่งร้านโครงเหล็ก เพื่อชมเวทีมวยไทย นานาชาติ ในงานฉลองวันแม่ ตั้งอยู่ด้านฝั่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เกิดการทรุดตัวลงมาเนื่องจากรับน้ำหนักคนดูไม่ไหว ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 7 ราย หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

ใน เดือนกรกฎาคม กลุ่มสตรีเพื่อประชาธิปไตยกว่า 50 คน ยื่นหนังสือ ต่อ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ให้ปลด "สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์" ส.ส. แบบสัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ เหตุศาลออกหมายจับข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

รัฐ"ฉาน"ผู้ทรนง..ปลดแอกจากพม่า

สัมภาษณ์สดท่านยอดเมือง(มิสเตอร์ฟิลลิป) ฝ่ายต่างประเทศ ของรัฐฉานที่ต้องการปลดแอกจากพม่า

น่าฟังมาก..หรือว่า..สักวันเราต้องจับปืนสู้แบบรัฐฉานกันเสียแล้ว....(เมื่อเวลา 16.30-17.30 น. 11-08-2009 )

โหลดฟังได้ที่

http://baygon5.no-ip.org/upfiles/tammpa/Ktong_ยอดเมือง_รัฐฉาน2009-08-11.mp3

ข้อมูลเพิ่มเติม..รัฐฉาน หรือ ไตยใหญ่

http://www.shanland.org/

www.taifreedom.com

http://www.salweennews.org/

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ล๊อตเตอรี่ ธุรกิจหมื่นล้านเข้ากระเป๋าใครจ๊ะ...คิดออกจะได้ตาสว่างกันน๊า...

โก่งราคาลอตเตอรี่ บี้หวยออนไลน์ หมื่นล้านเข้ากระเป๋าใคร?

ใน สัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตีความโดยยืนยันว่าการพิมพ์สลาก 2 ตัว 3 ตัว ด้วยเครื่องอัตโนมัติหรือหวยออนไลน์ได้ สำนักงาน (สนง.) สลากกินแบ่งรัฐบาล สามารถทำได้ไม่ถือเป็นการผิดกฎหมาย ขณะนี้จึงเหลืออยู่ว่าผลการศึกษาผลกระทบทางสังคม ที่คณะกรรมการ (บอร์ด ) สนง.สลากฯ ได้มอบหมายให้ รศ.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้ว่าจ้างให้มหาวิทยาลัยราชภัฏ สวนดุสิต ไปศึกษาต่อจะสรุปอย่างไร ก่อนที่บอร์ด สนง.สลากฯจะตัดสินเดินหน้าหวยออนไลน์หรือไม่

หากจะว่าไปแล้ว ทั้งในเรื่องกฎหมาย และผลการศึกษา เป็นเรื่องเดิม ๆ ที่ทำการศึกษามาไม่รู้กี่รอบในรัฐบาลที่ผ่านมา และสนง.สลากฯ ก็มีคำตอบอยู่แล้ว จึงหาใช่ตัวชี้ขาดที่จะนำไปสู่การตัดสินใจ ของรัฐบาลชุดนี้ว่าจะเดินหน้าหวย ออนไลน์หรือไม่ แต่การเตะถ่วงนานวันโดยปล่อยให้มีการขายสลากกิน แบ่งรัฐบาลราคาแพงกว่าที่กำหนด ก็ยิ่งเพิ่มความเคลือบแคลงของกระแสสังคมที่มองว่า เพราะผลประโยชน์มหาศาล นี่กระมัง คือสาเหตุที่ขวางการเกิดของหวยออนไลน์ ?


*จัดสรรรายได้


รายได้จากการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลตามราคาหน้าสลากฉบับละ 40 บาท/คู่ละ 80 บาท ได้ถูกแบ่งเป็น

1)เงินรางวัล 60% หรือฉบับละ 24 บาท/คู่ละ 48 บาท

2)รายได้เข้าแผ่นดินไม่น้อยกว่า 28% หรือฉบับละ 11.20 บาท/คู่ละ 22.40 บาท

3)รายได้ที่เหลืออีก 12 % กำหนดเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายในการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล แบ่งเป็น

.....3.1 ส่วนลดที่ให้กับผู้ค้า 8% หรือฉบับละ 3.2 บาท/ตกคู่ละ 6.4 บาท ( กรณีนี้สนง.สลากฯจะมีรายได้ส่วนต่าง 4% (12-8%หรือ 1.6 บาทต่อฉบับและ 3.20 บาทต่อคู่ )

.....3.2 ส่วนลดให้กับองค์กรช่วยจำหน่าย 2% หรือฉบับละ 0.80 บาท/คู่ละ 1.6 บาท (สนง.สลากฯได้รายได้ส่วนต่าง 10%หรือ 4 บาทต่อฉบับ ,8 บาทต่อคู่ ) หน่วยงานดังกล่าวได้แก่ กระทรวงการคลัง /กระทรวงมหาดไทย /องค์กรการกุศล/สมาคม/นิติบุคคล/มูลนิธิ และ

.....3.3 เป็นค่าใช้จ่ายของสนง.สลาก ฯ 2%หรือฉบับ 0.80 บาท/คู่ละ 1.60 บาท


ดัง นั้นสลากที่จำหน่าย 46 ล้านฉบับ ฉบับละ 40 บาทต่อ จึงมีมูลค่ารวมต่องวดถึง 1,840 ล้านบาทและเป็นรายได้ต่อปีถึง 44,160 ล้านบาท จำนวนนี้ต้องนำส่งรัฐ 28% ปีละ 12,365 ล้านบาท ,เงินผู้ซื้อ (ถูกรางวัล) 26,496 ล้านบาท และตัวแทนจำหน่ายหรือผู้ค้าอีกปีละ 3,533 ล้านบาท


*กำไรส่วนเกิน22,080 ล้าน


แต่ หากผู้ค้า บวกเกินโดยจำหน่ายถึงคู่ละ 100 บาท ( +20 บาท ) กำไรส่วนเกินต่อเดือนจะมากถึง 920 ล้านบาท หรือต่อปีละ 11,040 ล้านบาท และในกรณีที่จำหน่ายเกินราคาถึงคู่ละ 120 บาท กำไรส่วนเกินจะเบิ้ล 2 เท่าตัว คือต่อเดือนละ 1,840 ล้านบาท และต่อปี 22,080 ล้านบาท เมื่อบวกกำไรปกติ ( 3,533 ล้านบาท ) จะสูงถึง 25,613 ล้านบาท



ปัญหา ของสลากเกินราคา เป็นวงจรที่เกิดขึ้นอีกครั้งหลังปลายปี 2549 ที่รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประกาศยกเลิกหวยบนดิน ( เลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว ) จากสลากที่จำหน่ายปกติคู่ละ 80 บาท ได้ปรับเป็น 110-120 บาท ไม่เว้นแม้แต่แผงสลากหน้ากองสนง.สลากฯที่ขายกันโจ้ง ๆ กระทั่งผู้อำนวยการ "นายวันชัย สุระกุล " ผู้อำนายการสนง.สลากฯ ยังยอมรับว่า อดีตขายกันคู่ละ 95 บาทก็ยังแพงแล้วแต่วันนี้แพงยิ่งกว่า


" สาเหตุของสลากเกินราคา เป็นปัญหาจากปริมาณความต้องการซื้อหรือดีมานด์ในตลาดมีมากจริง เพราะหลังปลายปี 2549 เป็นต้นมารัฐบาลไม่ได้จัดพิมพ์สลากเพิ่ม ประกอบกับคนไม่นิยมซื้อหวยเถื่อนหรือใต้ดิน เพราะถูกเอาเปรียบ จึงเป็นแรงสนับสนุนกำลังซื้อของสลากปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมาจากตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการจัดสรรสลาก แต่ไม่ได้จำหน่ายสลากเอง กลับไปขายต่อให้กับนายทุน ทำให้สามารถนำไปรวมชุด เรียกราคาได้สูงกว่าที่กำหนดไว้มาก"


แนวทางที่ สนง.สลาก ฯสามารถดำเนินการบ้างในขณะนี้ โดยการประกาศร่นวันจำหน่ายเพื่อดัดหลังให้ผู้ค้ามีเวลาน้อย เพื่อให้ยากต่อการนำมารวมเลขชุด เช่นเดิมกำหนดให้ต้องซื้อ "ก่อน-หลังวันออก"สำหรับงวดถัดไป 2 วัน เช่น งวดถัดไปออก 1 ส.ค. 2552 ผู้ค้าต้องมาซื้อสลากตั้งแต่วันที่ 14 , 15 ก.ค. 2552 และ 17 , 18 ก.ค. 2552 ของงวด 16 ก.ค.นี้ ก็ให้เปลี่ยนเป็น "ซื้อก่อนวันออก 1 วันและหลังวันออก 3 วัน" กล่าวคืองวดถัดไปคือ 1 ส.ค. 2552 ผู้ค้าให้มาซื้อสลากได้ ในวันที่ 15 และ วันที่ 17,18,และ 19 ของงวดวันที่ 16 ก.ค. 2552 นี้


แต่ไม่ได้ผล ! เพราะกลับเป็นเหตุให้สลากมีราคายิ่งแพงขึ้น เนื่องจากผู้ค้าต้องมีค่าใช้จ่ายการบริหารคนเพิ่ม จากการนำสลาก ซึ่งกระจายมารวมชุดในช่วงเวลาที่จำกัด


รวมถึงนโยบาย จัดพิมพ์สลากเพิ่มจาก 46 ล้านฉบับต่องวดในปัจจุบันเป็น 60 ล้านฉบับ พร้อมกระจายรางวัลที่ 1 เป็น 23 ครั้ง เพื่อป้องกันการนำสลากมาขายรวมชุดโก่งราคา แต่ทั้ง 2 วิธีการหลังยังไม่มีบทสรุป


นายวันชัยเคยกล่าวว่า ตนเองมั่นใจว่าหากสลากพิมพ์เพิ่มเป็น 60 ล้านฉบับหรือ 70 ล้านฉบับจะฉุดราคาลงมาเท่าราคาหน้าสลากที่ 80 บาทหรือต่ำกว่า เพราะดูจากสถานการณ์ปี 2548 ช่วงหวยบนดินเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว ได้รับความนิยมมาก มียอดจำหน่ายสูงสุดต่องวดถึง 3,000 ล้านบาท ราคาสลากก็ถูกดัมพ์จนเหลือ 3 ใบ 100 บาท แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาล ว่าจะมีนโยบายจัดพิมพ์สลากเพิ่มหรือไม่เพราะกระแสสังคมส่วนหนึ่ง ยังมองเป็นการมอมเมาประชาชน


ผลประโยชน์มหาศาลตกกับใคร ?


อย่าง ไรก็ดี ตัวแทนผู้จำหน่ายสลาก เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ " ว่าการพิมพ์สลากเพิ่ม ไม่ใช่แนวทางแก้ที่ต้นเหตุ เพราะในอดีตที่ผ่านมาทุกครั้งที่สลากจำหน่ายเกินราคา ก็ไม่พ้นที่รัฐบาลจะแก้โดยการพิมพ์สลากเพิ่ม จนเป็นวงจรที่แก้กันไม่รู้จบ ขณะที่ตอสำคัญของปัญหา อยู่ที่ระบบการจัดการจำหน่ายหรือโควตา แม้ว่าในรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดย นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งกำกับสนง.สลาก ฯจะสั่งรื้อระบบจัดสรร ที่ผูกขาดอยู่กับผู้ค้ารายใหญ่ ( 5 เสือ )มากถึง 5 ล้านฉบับ มาเป็นระบบการจัดสรรแบบแถบสี กระจายไปสู่มือประชาชนมากขึ้น ตั้งแต่กลางปี 2548 เป็นต้นมา โควตาทั้ง 4 สี 46 ล้านฉบับต่องวด หรือ 460,000 เล่ม ในราคาขาย ฉบับละ 40 แบ่งเป็น


1.สลากแถบสีเขียว ให้กับตัวแทนจำหน่ายทั่วไปในกรุงเทพ ฯ (ผู้ด้อยโอกาส,มีรายได้น้อย,พิการ ) เป็นผู้จำหน่ายขายปลีก จัดสรรรายละไม่เกิน 20 เล่ม

2.สลากแถบสีน้ำเงิน จำหน่ายในส่วนภูมิภาค ผ่านคลังจังหวัดและผู้ว่าราชการจังหวัด รายละไม่เกิน 20 เล่ม

3.สลากแถบสีน้ำตาล ให้จำหน่ายโดยสมาคมการกุศล มูลนิธิ คนพิการ ทั่วประเทศ องค์กรละไม่เกิน 500 เล่ม และ

4.สลากแถบสีชมพู จำหน่ายให้กับกลุ่มนิติบุคคล,ห้างหุ้นส่วน บริษัทละไม่เกิน 500 เล่ม


เฉพาะ 2 กลุ่มแรก ( สีเขียว-สีน้ำเงิน ) นายวันชัย สุระกุล ผู้อำนวยการสนง. สลากฯ ยอมรับว่าเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลต่อการกำหนดราคาสลากในตลาด เพราะนอกจากจะไม่ได้จำหน่ายด้วยตัวเอง ยังขายต่อให้มือที่ 2 และเป็นการขายขาด โดยรับเงินขึ้นมาแน่ ๆ เพียงระยะเวลา 15 วัน จนทำให้เกิดปัญหาว่าสลากไปสุมอยู่กับนายทุน นายทุนจึงกำหนดราคาได้เอง เช่นการนำสลาก ไปจัดสรรได้ตามความสามารถ รวมชุด โก่งราคา เป็นต้น


แหล่ง ข่าวจากตัวแทนผู้ค้ารายหนึ่ง กล่าวว่า แม้รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะสลายกลุ่ม 5 เสือที่ถือว่าผูกขาดระบบโควตามากสุด ตั้งแต่ปี 2548 แต่พวกเขากลับเชื่อว่าฐานอำนาจเก่าเหล่านี้ยังไม่หายไปจากระบบ


"คน ที่จะเข้ามาในธุรกิจนี้ได้ ต้องมีระบบการจำหน่าย เครือข่าย ความพร้อมด้านการจัดการเพราะระบบการจัดจำหน่ายสลากก็ไม่ต่างกับ การขายส่ง จึงเป็นการยากที่รายใหม่จะเข้ามา เชื่อว่าฐานอำนาจของกลุ่มนายทุน นักการเมือง ที่เรียกว่า 5 เสือยังอยู่ เพียงแต่โควตาหลังปี 2548 อาจถูกเปลี่ยนไป "แหล่งข่าวกล่าว


*เปิดโควตา


ทั้ง นี้การจัดสรรสลากขึ้นใหม่ ในปี 2548 ตามที่สนง.สลากฯ อ้างว่าเป็นการยุติบทบาทของ 5 เสือตามข้อมูลการรายงานของ "คณะทำงานพิจารณาศึกษาการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาที่ควบคุม คณะที่ปรึกษา คณะกรรมาธิการการคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งทำไว้เมื่อปี 2550 "


โควตาใหม่ตามการจัดสรรระหว่างปี 2548-2549 ประกอบด้วย


1. ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศได้ 162,644 เล่ม กินส่วนแบ่งตลาด 35.36% ของสลากทั้งหมด

2. ผู้ค้ารายย่อย 120,374 เล่ม สัดส่วน 26.17%

3. สมาคมและองค์กรการกุศลต่าง ๆ 88,950 เล่ม สัดส่วน 19.34% ,

4. มูลนิธิ สำนักงานสลากฯ 30,032 เล่ม สัดส่วน 6.53% (ปัจจุบันมูลนิธิ ดังกล่าวได้ปิดตัว แต่ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าโควตาส่วนนี้กระจายในมือใคร )


5. กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง 30,000 เล่ม สัดส่วน 6.52% และ

6. นิติบุคคล 25 ราย 28,000 เล่ม สัดส่วน 6.09%


โควตา นี้แม้จะใช้มาตั้งแต่ปี 2548-2549 แต่คงไม่ต่างจากปัจจุบันมากนัก และเป็นที่น่าสังเกตว่า มีบุคคลหรือองค์กร ที่ได้รับกำไรผูกขาดจากธุรกิจการ จำหน่ายสลากไม่ว่าจะเป็น ผู้ว่าราชการจังหวัด , กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง และนิติบุคคลบางส่วน รวมไปถึงโควตาในกลุ่มแถบสีเขียว (คนพิการ ผู้ด้อยโอกาส ) กลุ่มนี้แม้จะได้มาแต่บางกลุ่มก็ไม่มีความพร้อมด้านทุน ก็ต้องนำโควตาตัวเองไปจำนำกับนายทุนต่อ ส่งผลให้โควตาในความเป็นจริงยังผูกขาดโดยกลุ่มหน้าเดิม

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ไขปริศนาคนไทยสปีกอิงลิชไม่ได้

เวลาฝรั่งเข้ามาถามทาง หรือขอข้อมูล เราทำอย่างไร...?

คำตอบคือ....หันไปมองหน้าเพื่อนแล้วทำตาปริบ ๆ, ทำเป็นไม่ได้ยิน, เดินหนี, ภาวนาให้ฝรั่งเดินไปถามคนอื่น

คนไทยส่วนใหญ่เรียนภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็ก แถมเรียนต่อในมหาวิทยาลัย บ้างก็ไปเรียนเพิ่มกับสถาบันสอนภาษา แต่พอถึงเวลาต้องพูดกับฝรั่งทีไรก็เกิดอาการ “ใบ้กิน” นะจังงัง ไปเสียทุกที จนน่าสงสัยว่าเรียนภาษาอังกฤษมาก็เยอะ ทำไมถึงพูดไม่ได้

นักภาษาศาสตร์ มาช่วยกันไขปริศนาแห่งการฝึกพูดภาษาที่สอง อาทิ ภาษาอังกฤษว่า “ทำอย่างไรถึงจะพูดได้ใกล้เคียงเจ้าของภาษา?” ในงานเปิดตัวแคมเปญ “Guaranteed Results” ของสถาบันสอนภาษาอังกฤษวอลล์สตรีท

มร.เบนจามิน ลี ทอมสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาจากสถาบันสอนภาษาอังกฤษวอลล์สตรีท กล่าวว่า การเรียนภาษาที่สอง อย่างภาษาอังกฤษไม่ได้อาศัยแค่การท่องจำคำศัพท์ หรือไวยากรณ์ แต่เรียนเพื่อให้สามารถใช้ภาษาได้จริง ๆ เหมือนการสอนเด็กแรกเกิดให้หัดพูด ขั้นแรก เด็กจะต้องฟังก่อน จากนั้นเริ่มพูดซ้ำคำต่าง ๆ ที่ได้ยิน และค่อย ๆ พูดประโยคที่ยาวขึ้น โดยเรียนรู้กฎต่าง ๆ เป็นเรื่องสุดท้าย เด็กจะเรียนรู้ ผ่านการสังเกตและฝึกหัด ไม่ใช่การจำคำศัพท์และกฎ จึงอยากให้ทุกคนเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อภาษาอังกฤษเสียใหม่ หากอยากเก่งภาษาก็จะต้องฝึกฝน อย่างสม่ำเสมอ เหมือนกับฝึกหัดเล่นกีฬา ต้องสร้างทักษะ ไม่ใช่มองภาษาอังกฤษว่าเป็นวิชาเหมือนประวัติศาสตร์ หรือภูมิศาสตร์

ด้าน มร. เควิน แอล บอยด์ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาอีกท่านหนึ่ง บอกว่า การวิจัยด้านภาษา ศาสตร์ทั่วโลก ชี้ว่า ระบบการเรียนรู้ที่ได้ผล ควรเลียนแบบการฝึกพูดภาษาพื้นเพ ของมนุษย์ ไม่ใช่แค่การจดจำคำศัพท์ ประโยค หรือกฎต่าง ๆ แต่ควรฝึกให้สมองสามารถใช้ภาษาอย่างเป็นธรรมชาติ ทุกวันนี้ ได้มีการคิดค้นรูปแบบการเรียนรู้ตามธรรมชาติของคน เรียกว่า “natural acquisition process” หรือ “ขั้นตอนการเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ” กิจกรรมต่าง ๆ เช่น การฟัง การทำซ้ำ ช่วยให้พูดคุยประโยคที่ยาวขึ้น ทำให้มีความมั่นใจที่จะพูดมากขึ้น และฝึกสมองให้ใช้ภาษาอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าเป็นทักษะประเภทหนึ่ง

ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์บอกว่า ถึงเวลาที่คนไทยจะเอาชนะความกลัว และหันมาฝึกฝนภาษาอังกฤษในแนวทางที่ส่งเสริม ให้เกิดความมั่นใจและกล้าพูด แทนการท่องจำกันเสียที

+++++++++++++++++++
ตอบโดย... runchoo_man

ผมขอแสดงความคิดเห็นน้อย ๆ ของผมบ้างครับ
ตามความคิดของผม ว่าทำไม คนไทยพูดอังกฤษไม่ได้ ก้อคือ

เป็นเพราะว่า ภาษาอังกฤษ มี ไวยากรณ์ มาคุมไว้แทบจะทุกเรื่องครับ น่ารำคาญมาก

(ทำให้สมองผม มันไม่ค่อยยอมรับ เรียนทีไร มาติดเรื่องไวยากรณ์ ทุกที)
(ใจมันแอนตี้ เพราะทำเรื่องง่ายให้มันยากซะงั้น)

ถ้าภาษาใด ๆ ก้อตาม แค่รู้คำแปล แล้วเอามาเรียงต่อ ๆ กัน แล้วได้ใจความ

จะเข้าใจง่ายมาก และเรียนรู้ได้ง่ายมาก (เพราะแค่รู้คำแปล ก้อใช้ได้แล้ว)

(ฉัน + อยาก+ จะไป+ กินข้าว + ที่ห้างเซ็นทรัล)

แค่เรียงจากซ้ายไปขวา และ ไม่ต้องมีการผันกริยา
ไม่ต้องตัดนู่น เติมนี่ ให้วุ่นวายเหมือนภาษาอังกฤษ

ภาษาไทย จึงเรียนรู้ได้ง่ายกว่าภาษาอังกฤษ เพราะไม่ต้องผันกริยา
ไม่ต้องตัดอะไร ไม่ต้องเติมอะไร ไม่เกี่ยวกาลเวลา

(ง่ายในที่นี้ หมายถึง ง่ายในการสื่อสารให้เข้าใจ และพอที่จะพูดกันรู้เรื่องได้เลย)


(ไม่ใช่หมายถึง การเรียนให้รู้เข้าใจครบถ้วน 100%)


(ถ้าจะให้รู้เหมือนคนไทย ที่ไปทำข้อสอบภาษาไทยได้ อันนี้จะยากมาก)


(เพราะคนไทยเอง ยังทำข้อสอบภาษาไทยไม่ค่อยได้เลยครับ )


เพราะภาษาไทย เรียงจากซ้ายไปขวา ไม่สลับตำแหน่งกัน
ไม่ต้องแปลจากหลังมาหน้า และภาษาไทย ไม่ผันกริยา

โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ผมขออนุญาติใช้คำนี้ครับ "บ้าเวลา" มากครับ
คือ เอาเวลาไปยุ่งกับแทบจะทุกเรื่อง ว่าเรื่องที่จะพูดมันเกิดขึ้นตอนไหน
พูดถึงตอนอดีต พูดถึงตอนปัจจุบัน พูดถึงตอนล่วงหน้าไว้ว่ายังมาไม่ถึง ฯลฯ

แล้วต้องผันกริยาไปตามเวลา ตัดนู่น เติมนี่
ดูหน่วยว่านับได้ หรือนับไม่ได้ วุ่นวายมาก
(ไม่รู้มันจะสนใจไปทำไม ว่าอันไหนนับได้ หรือนับไม่ได้ )

(คำกริยา มันมีหลายร้อยคำก็ยากแก่การจำอยู่แล้ว ยังต้องคูณสาม เพิ่มจำนวนเป็นสามเท่า ให้มันยากซะงั้น)

(และผันไปตามเวลาซะอีก บ้าเวลาจริง ๆ และกฏเกณฑ์ในการผันก้อไม่เหมือนกันอีก บางคำยกเว้นซะงั้น)

ควรจะแค่ เอาแค่คำว่า "เมื่อวาน" , "วันนี้" , "พรุ่งนี้" ไปวางในประโยคก้อพอ ก้อน่าจะเข้าใจได้แล้ว

แต่นี่ผันอะไรกันมากมาย และตัดนู่นตัดนี่เติมนั่น
ทำให้มันยุ่งซะงั้น แต่ทำงัยได้ นั่นมันภาษาเค้า อยากรู้ต้องทำตามมัน

ภาษาไทยเอง ถ้าเราจะจำกันได้ ข้อสอบภาษาไทย ถือว่ายากมาก
ไม่รู้จะต้องให้แยกแยะอะไรมากมายนักหนา เรียนเกินที่จะเอาไปใช้

แต่ ถ้าจะเรียนแค่พอเอาพูดสื่อสารเข้าใจกับคนอื่น ภาษาไทยจะง่าย
เพราะตรงไปตรงมา เรียงจากซ้ายไปขวา เอาคำแต่ละคำมาต่อกันเฉย ๆ และไม่เอาเวลาเข้ามายุ่ง

"แค่เอาสิ่งที่ต้องการจะพูดมาต่อกัน" ก้อใช้ได้เลย

(ความจริงทุกภาษาควรจะเป็นแบบนี้)

ฝรั่งที่มาเมืองไทย มันก้อแค่รู้คำแปลของแต่ละคำเท่านั้นก้อพอ
แล้วหยิบเอามาพูดต่อคำกัน เราก้อเข้าใจตามนั้นเลย แค่สำเนียงเปร่งๆเฉย ๆ

แต่ความเข้าใจถูกตรงเลย เช่น "ผม+อยาก+จะ+ไป+เชียงใหม่" เข้าใจง่ายเลยภาษาไทย

ไม่เหมือนภาษาอังกฤษ
ถ้าเราเรียงคำ ใช้คำ ไม่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ เราจะสื่อสารความหมายผิดไปเลย

นี่คือสาเหตุที่ทำให้คนไทย ไม่กล้าที่จะพูดสื่อสารกับฝรั่ง __________________

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Idol ของ พธม.แต่ละคน มีแต่เรื่องฉาวโฉ่ หลักฐานแน่นกว่า ที่ดินรัชดาฯ ซะอีก

คดี"บิ๊ก สตง."อมตั๋วเครื่องบินพิสูจน์ฝีมือป.ป.ช.

คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12

โดย ประสงค์ วิสุทธิ์ prasong_lert@yahoo.com



เรื่อง ราวอื้อฉาวที่เกิดขึ้นในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มีสภาพที่เรียกว่า "น้ำลดตอผุด" เพราะมีการร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มากมาย รวมถึงมีการส่งเอกสารหลักฐานไปยังผู้ใหญ่ในวงการกฎหมาย อาทิ อดีตประธานศาลฎีการายหนึ่ง

ล่าสุด มีข่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 แต่งตั้งนายภักดี โพธิศิริ เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนกรณีที่มีการกล่าวหา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ สตง.รายหนึ่งว่า ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เนื่องจากมีผู้ร้องเรียนและส่งเอกสารหลักฐานระบุว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงรายดังกล่าวนำเจ้าหน้าที่ สตง.จำนวน 40 เดินทางยุโรปช่วงพฤศจิกายน 2546 และได้ตั๋วโดยสารเครื่องบินฟรีไป-กลับจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน )จำนวน 10 ใบ แต่กลับเบิกค่าใช้จ่ายในส่วนของตั๋วเครื่องบินฟรีดังกล่าวด้วย

น่า แปลกที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มิได้มีการแถลงข่าวนี้ ทั้งๆ เมื่อมีการแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนกรณีอื่นๆ กลับแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ (ดูเอกสารแถลงข่าวของ ป.ป.ช.ที่ http://nccc.thaigov.net/nccc/1.php)

อย่าง ไรก็ตาม เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับเอกสารหลักฐานที่ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่า ทำไมคณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติแต่งตั้งอนุกรรมการขึ้นมาไต่สวนคดีข้างต้นทันที โดยไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม เพราะเอกสารหลักฐานที่ได้รับนั้นมีมูลเพียงพอที่จะทำให้เชื่อได้ว่า "บิ๊ก สตง." อมตั๋วเครื่องบินที่ได้รับมาจากการบินไทยฟรี เพียงแต่อาจจะต้องสอบยันเอกสารและปากคำพยานเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยเท่านั้น

สำหรับข้อเท็จจริงของเรื่องร้องเรียนดังกล่าว สรุปได้ดังนี้

1.สต ง.จัดโครงการฝึกอบรมผู้บริหารหลักสูตร "ผู้บริหาร/ผู้เชี่ยวชาญ สตง.ยุคใหม่" โดยส่วนหนึ่งเป็นการศึกษาดูงานในต่างประเทศตั้งแต่วันที่ 5-14 พฤศจิกายน 2546 ในประเทศฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี

2.วัน ที่ 8 ตุลาคม 2546 สตง.มีหนังสือขอความอนุเคราะห์ค่าโดยสารเครื่องบินในราคาพิเศษถึง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ การบินไทย (นายกนก อภิรดี) โดยอ้างว่า จะนำไปใช้ในการเดินไปฝึกอบรมดังกล่าว

3.วันที่ 14 ตุลาคม 2546 การบินไทย มีหนังสือตอบว่า ยินดีให้ส่วนลดค่าตั๋วเครื่องบินชั้นธุรกิจและชั้นประหยัด และยังมอบตั๋วเส้นทางกรุงเทพฯ-ปารีส ชั้นประหยัดให้ฟรีอีก 10 ใบ

4.วัน ที่ 9 ตุลาคม 2546 สตง. ทำสัญญาจ้างบริษัท คาริสม่า แทรเวล เซอร์วิสในการให้บริการนำคณะศึกษาดูงานของ สตง. จำนวน 40 คนไปยุโรป โดยมีค่าจ้างรวม 3.12 ล้านบาท แบ่งชำระเป็น 3 งวด ค่าจ้างดังกล่าวรวมตั๋วเครื่องบินไป-กลับโดยสายการบินไทยชั้นนักท่องเที่ยว อยู่ด้วย

5.สตง.จ่ายเงินเพื่อชำระค่าจ้างตามสัญญาให้แก่บริษัท คาริสม่า เต็มตามสัญญา 3.12 ล้านบาท เป็นเช็คธนาคารกรุงไทย สาขาย่อยกระทรวงการคลัง จำนวน 3 ฉบับ เป็นเงิน 1,544,421 บาท, 926,651.78 บาท และ 572,767.85 บาท ตามลำดับ

6.ตามสัญญาจ้าง ระบุจำนวนผู้เดินทาง 40 คน แต่ข้อเท็จจริงมีผู้เดินทางไปกับคณะรวม 42 คน ผู้ที่ร่วมเดินทางเพิ่มจากที่ระบุไว้ในสัญญา ได้แก่ น้องสาวและลูกสาวของ "บิ๊ก สตง.รายหนึ่ง" ที่มิได้เป็นเจ้าหน้าที่ของ สตง.

แต่ที่สำคัญ คือ น้องสาวและลูกสาวของ "บิ๊ก สตง." รายนี้ใช้ตั๋วเครื่องบินฟรีที่ได้รับจากบริษัทการบินไทย ทั้งๆ ที่การบินไทยได้มอบตั๋วดังกล่าวให้เพื่อใช้ประโยชน์ของราชการหรือ กิจการของ สตง. เจ้าหน้าที่ สตง.จึงได้ใช้ตั๋วฟรีที่เหลืออีก 8 ใบ

ข้อเท็จจริงข้างต้นนั้น มีสำเนาเอกสารหลักฐานพร้อม รวมทั้งเอกสารของการบินไทยที่ระบุชื่อผู้โดยสารที่ใช้ตั๋วฟรีเดินทางด้วย

ภารกิจ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพียงแต่สอบยันว่า เอกสารเหล่านี้เป็นเอกสารจริงหรือไม่และลูกสาวและน้องสาวของบิ๊ก สตง.เดินทางไปจริงหรือไม่ เพื่อให้หลักฐานแน่นหนาขึ้น

ถ้าจริงก็ฟันธงได้ทันทีว่า "บิ๊ก สตง." อมตั๋วเครื่องบินฟรีซึ่งเป็นทรัพย์สินของ สตง.ไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว

นอก จากนั้น อาจต้องสอบยืนยันว่า ในการทำสัญญาจ้างบริษัททัวร์มูลค่า 3.12 ล้านบาทนั้น มีการหักค่าตั๋วเครื่องบินฟรี 10 ใบออกจากค่าจ้างหรือยัง ถ้ายัง ก็อาจมีการทุจริตเกิดขึ้น เพราะหลังจากนั้น บริษัททัวร์ดังกล่าวอาจเอาค่าตั๋วฟรีจำนวน 10 ใบ ที่ยังมิได้หักออกจากค่าจ้างตามสัญญาส่งกลับให้ "บิ๊ก สตง." นำเข้ากระเป๋าสบายๆ

ในฐานะคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการการตรวจเงินแผ่นดิน ได้รับการยอมรับนับถือจากสังคมว่า "ตงฉิน" และเคยประกาศยืนอยู่แถวหน้าว่า จะปราบทุจริตอย่างเด็ดขาด น่าที่จะตรวจสอบกรณีดังกล่าวเองว่า มีการฉ้อฉลเกิดขึ้นใน สตง.จริงหรือไม่ แล้วแถลงให้สาธารณชนทราบ หรือเปิดกว้างให้ ป.ป.ช.เข้าตรวจสอบอย่างเต็มที่

เพราะถ้าผลออกมาว่า ไม่เป็นตามที่กล่าวหา จะทำให้สาธารณชนศรัทธา สตง.มากยิ่งขึ้น

หน้า 2
^
^
^
น้ำลด ตอผุด

คนดีศรีสังคม ทำมั้ยทำไม มันถึงได้มีแต่เรื่องฉาวโฉ่ว

คฤหาส ราคา 4 ล้านบาท

เอาลูกสาวลูกชาย ตามไปดูงานที่ต่างประเทศ

จนมาถึงตั๋วเครื่องบินอื้อฉาว

งานนี้ สงสัยพระผู้เป็นเจ้า คงต้องหลบฉากนะคุณหญิง

เพราะความงามหน้ามันโผล่ออกมาราวกับดอกเห็ดเหลือเกิน

รีบ ๆ ไปเปิดดูมาตรา 309 นะว่าคุ้มครองถึงกรณี นี้ด้วยหรือเปล่า

เวรกรรมไม่ต้องรอชาติหน้า

จำคำนี้ได้ไหม คุณหญิง

เวรกรรมไม่ต้องรอชาติหน้า

55555555555555555555555

+++++++++++++++++++++

ถึงบางอ้อ เรื่องคำสั่งห้ามเข้าวังของ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี

เรื่องที่คนในวังสวนจิตรเขาคุยกันอย่างอึงมี่
ก็เช้าวันที่ ๒๐ กย ๔๙ สมุหราชองครักษ์ ไม่เห็น พล.ต.อ.วิเชียร มารายงานตัวเตรียมความเพียงคนเดียวเลยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาโทรฯ ไปหา วิเชียร แจ้งให้มารายงานตัวด่วน คำตอบที่สมุหราชองครักษ์ได้รับรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาว่า พล.ต.อ.วิเชียรแจ้งว่า ได้ไปรายงานตัวที่ สตช คือสำนักงานตำรวจแห่งชาติเรียบร้อยแล้วตามคำสั่ง คปค ไม่มีเหตุจำเป็นต้องเข้าไปที่วังสวนจิตรลดาอีก เพราะไม่มีหน้าทีปฏิบัติ ทำแต่เรื่องนโยบายเท่านั้นและไม่ค่อยมีเวลาว่าง สมุหราชองครักษ์เจอคำตอบแบบนี้ ถึงกับอึ้ง เมื่อรอครบเจ็ดวัน พล.ต.อ.วิเชียร ก็ยังไม่ยอมมารายงานตัว เลยต้องกราบบังคมทูลให้ทราบเรื่อง แค่นั้นแหละ พระบรมราชโองการก็ออกมาวันนั้นเลย

คำชี้แจง เรื่องหนังสือ พล.ต.อ.วิเชียร ถึงนายกฯ

ประเด็นที่ วิเชียรมาอ้างว่า พล.ต.ท.ฉัตรชัยได้รับการสอบสวนหาข้อเท็จจริงโดยองคมนตรีสองท่าน ปรากฏว่า ไม่มีมูล เพราะถ้าหากมีมูล จะต้องไม่มีหนังสือสมุหราชองครักษ์ คัดค้านการย้าย พล.ต.ท.ฉัตรชัย ไป สตช และ พล.ต.ท.ฉัตรชัยก็ไม่เคยถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนจาก สตช การอ้างดังกล่าวจึงเป็นเท็จ แต่เหตุที่สมุหราชองครักษ์ไม่สามารถคัดค้านคำสั่ง สตช ได้ เพราะ คนละหน่วยงานซึ่ง นายกฯสุรยุทธเป็นเพื่อนรุ่นพี่วิเชียรจึงให้ ผบ ตร สั่งย้าย พล.ต.ท.ฉัตรชัยตามอำนาจหน้าที่ เรื่องนี้ บุคคลที่ทราบเรื่องดีที่สุดคือสมุหราชองครักษ์ ถ้านายกฯมีตวามประสงค์จะทราบความจริง ไปสอบถามจากสมุหราชองครักษ์ได้ เพราะข้อมูลที่ สตช ทำหนังสือสอบถาม ราชเลขาธิการเป็นหนังสือที่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพียงพอ จึงมี หนังสือตอบอย่างเป็นกลางๆ เพราะถ้าได้เห็นบันทึกการสอบสวนว่าไม่มีความโปร่งใส การสอบสวนที่ไม่ได้ไปหาหลักฐานความเป็นจริงจากสมุหราชองครักษ์ คำตอบก็น่าจะออกมาอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่เหมือนกับหนังสือที่ตอบ สตช ไป


ประเด็นที่ วิเชียรมาอ้างว่า พล.ต.ท.ฉัตรชัยได้รับการสอบสวนหาข้อเท็จจริงโดยองคมนตรีสองท่าน ปรากฏว่า ไม่มีมูล เพราะถ้าหากมีมูล จะต้องไม่มีหนังสือสมุหราชองครักษ์ คัดค้านการย้าย พล.ต.ท.ฉัตรชัย ไป สตช และ พล.ต.ท.ฉัตรชัยก็ไม่เคยถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนจาก สตช การอ้างดังกล่าวจึงเป็นเท็จ แต่เหตุที่สมุหราชองครักษ์ไม่สามารถคัดค้านคำสั่ง สตช ได้ เพราะ คนละหน่วยงานซึ่ง นายกฯสุรยุทธเป็นเพื่อนรุ่นพี่วิเชียรจึงให้ ผบ ตร สั่งย้าย พล.ต.ท.ฉัตรชัยตามอำนาจหน้าที่ เรื่องนี้ บุคคลที่ทราบเรื่องดีที่สุดคือสมุหราชองครักษ์ ถ้านายกฯมีตวามประสงค์จะทราบความจริง ไปสอบถามจากสมุหราชองครักษ์ได้ เพราะข้อมูลที่ สตช ทำหนังสือสอบถามราชเลขาธิการเป็นหนังสือที่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพียงพอจึงมี หนังสือตอบอย่างเป็นกลางๆ เพราะถ้าได้เห็นบันทึกการสอบสวนว่าไม่มีความโปร่งใส การสอบสวนที่ไม่ได้ไปหาหลักฐานความเป็นจริงจากสมุหราชองครักษ์ คำตอบก็น่าจะออกมาอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่เหมือนกับหนังสือที่ตอบ สตช ไป

พล.ต.อ. วิเชียร หยุดแถได้แล้ว ต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้
๑ไปโรงพยาบาลตำรวจ ทำไม ในเมื่อแพทย์หลวงในวังสวนจิตรลดาก็มี จะได้ถวายงานไปด้วย
๒ โรคความดันโลหิตสูงเพียงแค่เดือนเดียว ไม่มีผลอันตรายมากกับร่างกาย จนถึงกับไม่ทำงาน มีคนเป็นโรคความดันโลหิตสูงหลายสิบปีก็ยังใช้ชีวิตอยู่ อย่างปกติได้
๓ แพทย์ให้พักผ่อนแค่สามวันทำไม ครบสามวันไม่ไปรายงานตัวหลังจากนั้น
๔ ในเมื่อว่าป่วยไปรายงานตัวไม่ได้ แล้ววันที่ ๒๐ กย ไปรายงานตัวที่ สตช ตามคำสั่ง คปค ทำไม ในเมื่อป่วย กลัวคำสั่ง คปค มากกว่า หน้าที่ถวายความปลอดภัยในหลวงหรือ
๕ การเปลี่ยนแปลงบทบาทหน้าที่ในองค์กร แล้วไม่พอใจใช่หรือไม่เลยประท้วงด้วยการไม่ไปถวายรายงานตัว แล้วทำไม พล.ต.อ ปรุง บุญผดุง หน นรป คนปัจจุบันถึงยังทำงานในตำแหน่ง หน นรป ตามปกติไม่เห็นมีปัญหาอะไร
๖ อ้างว่าคุมแต่นโยบายไม่ได้คุมการปฏิบัติ เข้าวังสวนจิตรลดาแล้วอาจจะเกิดการสับสน ก็เข้าไปแล้วไม่ต้องสั่งงานก็ได้ แต่นี่ไม่ไป แล้วที่อ้างว่าคุมแต่นดยบายไม่ต้องปฏิบัติแล้วหนังสือสั่งการให้จัดที่นั่ง รถขบวนเสด็จให้ ๑ ที่นั่ง ที่ตนเองลงนามในคำสั่งฉบับวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๔๙ นี่ไม่ใช่คำสั่งให้ตนเองปฏิบัติหน้าที่ถวายความปลอดภัยหรือ
๗ ทำไม พบแพทย์วันที่ ๑๘ กย ครังแรก และครั้งที่ ๒ วันที่ ๒๑ กย ทำไม แพทย์จึงมีใบรับรองแพทย์ให้พักผ่อนวันที่ ๒๐ ถึง ๒๒ ก.ย. ปกติ พบแพทย์ วันที่ ๑๘ กย ใบรับรองแพทย์ต้องให้หยุดพักผ่อนตั้งแต่ ๑๘ กย ถึง ๒๐ กย แต่ในใบรับรองแพทย์กลับโดข้ามวันที่ ๑๙ กย ปได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่ทำหลักฐานเท็จขึ้นมาภายหลัง
๘ ในบันทึกอ้างว่าได้ไปพบแพทย์โรคหัวใจอีกครั้งหนึ่งในวันที่ ๒๑ กย ปรากฏว่าแพทย์ที่ไปพบที่อ้างว่าเป็นแพทย์โรคหัวใจนั้น ความเป็นจริงพล.ต.ต. นายแพทย์ เอกพันธ์ ศรีศักดิ์สกุลไม่ได้เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจตามที่กล่าวอ้างในบันทึก ให้ปากคำไว้กับ ผบก กองวินัย
๙ มีคำสั่งของ พล.ต.อ โกวิท วัฒนะ ให้ หน นรปรับผิดชอบเรืองการถวายความปลอดภัยทั้งหมด โดย พล.ต.ท. ฉัตรชัย โปรตระนันทน์มีหน้าที่เป็นฝ่ายอำนวยการประจำ หน นรป ปฏิบัติตามคำสั่งของ หน นรป อย่างเคร่งครัด หนังสือลงวันที่ ๒๘ ธค ๒๕๔๘ หนังสือคำสั่งที่ ๙๗๘/๒๕๔๘
แค่นี้ก็พอแล้วกระมังที่จะบอกว่าให้เลิกแถได้แล้ว ยังมีอีก แต่ขี้เกียจพิมพ์แล้วมีอีกมากมายเลย ข้อพิรุธในบันทึการสอบสวนที่ ช่วยเหลือให้ วิเชียรพ้นผิด

เมื่อใดประเทศไทยระบบยุติธรรมที่เป็นธรรมจริง ๆ กลับคืนมา เมื่อนั้น สตช หรือนายกฯจะต้องดำเนินการให้มีการสอบสวนคดี พล.ต.อ.วิเชียร ละเว้นการถวายอารักขาในหลวงรื้อฟื้นขึ้นมาพิจารณาใหม่อย่างเป็นธรรม ผิดก็ไล่ออกและดำเนินคดีอาญาแผ่นดินด้วย

ทำไมคนทำผิดขนาดนี้ สตช ยังช่วยให้พ้นผิด ทีดา ตอปิโด ผิดแค่วาจาก้าวล่วงต้องนอนอยู่ในคุก แต่ผิดมหันต์แบบ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ถึงได้ตำแหน่ง รักษาการ ผบ ตร


ต่อ ด้วยนี้ อีก
http://www.prachataiwebboard.com/webboard/wbtopic2.php?id=825936

วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หุ้นกู้ พร็อพเพอร์ตี้เพอร์เฟค


1 ปี6เดือน 4.85% จ่ายดอกทุก 3 เดือน
3 ปี 6% จ่ายดอกทุก 3เดือน


เพิ่มเติม อันดับความน่าเชื่อถือ BBB โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด

เมซไซอะฯ-"ประจวบ สังขาว" รหัสลับสู่การยุบ "ปชป." กรณี 258 ล้าน

กรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกตรวจสอบกรณีการรับเงินจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ของ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ จำนวนกว่า 258 ล้านบาท เงียบหายไปนาน

แต่ล่าสุด (28 กรกฎาคม 2552) "ประจวบ สังขาว" อดีตเจ้าของบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ได้โผล่ไปให้การกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

คำพูดหรือคำให้การของ dead man walking คนนี้ จึงมีโอกาสนำไปสู่การตัดสินอนาคตพรรคประชาธิปัตย์ หากพิสูจน์ได้ว่าอะไรคือความจริง

ย้อน ไปเมื่อครั้งที่นายสมัคร สุนทรเวช ยังเป็นนายกรัฐมนตรี มีการสร้างข่าวขึ้นมาว่า พรรคประชาธิปัตย์ในช่วงที่นายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรค มีการรับเงินจากทีพีไอฯเพื่อนำไปสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯขับไล่ รัฐบาล

เอกสารฉบับหนึ่งระบุว่า ก่อนการรัฐประหาร 19 กันยา บริษัททีพีไอฯได้โอนเงินให้กลุ่มพันธมิตรฯ จำนวนกว่า 250 ล้านบาท มีการเหวี่ยงแหไปโดน "น้องแหม่ม" น.ส.สุพัชรี ธรรมเพชร ส.ส.เขต 1 จ.พัทลุง ประชาธิปัตย์ ลูกสาวของนาย สุพัฒน์ อดีต ส.ส. จนต้องลุกขึ้นมากล่าว กลางสภาด้วยเสียงสะอื้นว่า "ท่านไม่สงสารดิฉันบ้างเหรอคะ"

ต่อมามี การขยายผลจากความไม่น่าเชื่อถือของ ส.ส.พรรคพลังประชาชน จนมาพบหลักฐานการโอนเงินจากบริษัททีพีไอฯ มายังบริษัทเมซไซอะฯ จำนวนเงินกว่า 258 ล้านบาท

จิ๊กซอว์สำคัญคือ นายประจวบ เจ้าของ บริษัทเมซไซอะฯ ได้เอาเงินดังกล่าวโอนไปยังบัญชีน้องชายของกรรมการบริหารพรรค, น้องของภริยากรรมการบริหารพรรค และภริยาที่ไม่ได้จดทะเบียนของกรรมการบริหารพรรค

ซึ่งนอกจากนี้ยัง มีคนเล็กคนน้อย อาทิ ผู้สมัคร ส.ส.อีกเยอะ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ หรือใกล้ชิดหลายครั้ง ครั้งละไม่เกิน 1.9 ล้านบาท โดยไม่เก็บไว้แม้แต่บาทเดียว

มีการ ตั้งข้อสงสัยว่า การโอนเงินครั้งละไม่เกิน 1.9 ล้านบาทนี้ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอก เงิน (ปปง.) ใช่หรือไม่ แล้วเหตุใดนายประจวบจึงนำเงินที่ทีพีไอฯยืนยันว่าเป็นเงินจ้างทำการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ โอนไปให้ คนใกล้ชิดพรรคประชาธิปัตย์จนหมด โดยไม่เก็บไว้ใช้เลย

นี่คือที่มาของปมเงินล่องหน 258 ล้าน

แต่ ในระหว่างที่พรรคประชาธิปัตย์ยังตอบข้อสงสัยอะไรไม่ได้ ระเบิดอีกลูกก็ตามมา เมื่อมีการพบว่าพรรคประชาธิปัตย์ นำเงินจำนวน 23 ล้านบาท จากกองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมือง ซึ่งพรรค ประชาธิปัตย์ได้รับการจัดสรรจาก กกต. ในปี 2548 ไปว่าจ้างบริษัทเมซไซอะฯของนายประจวบให้เข้ามาทำบิลบอร์ดป้าย หาเสียง

แต่ ต่อมาปรากฏว่าเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองได้ว่าจ้างบริษัทเมซไซอะฯ ทำป้ายประชาสัมพันธ์เมื่อปี 2548 แต่นายประจวบให้การว่าไม่มีการว่าจ้าง เป็นการทำนิติกรรมอำพรางและไม่มีการทำสัญญาใดๆ เพียงแต่พรรคประชาธิปัตย์มาขอร้องให้ออกใบเสร็จ

ล่าสุด สารวัตรเฉลิมยังนำนายประจวบไปให้ถ้อยคำต่ออนุกรรมการไต่สวนสำนวนเงินบริจาค 258 ล้านบาท และเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี 2548 โดยกล่าวหาว่ามีการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์

นี่คือจุดเริ่มต้นของการตั้งข้อหารายงานเท็จต่อ กกต. จากกรณีป้ายหาเสียงลม

นายไทกร พลสุวรรณา ผู้เคยเข้าออกพรรคประชาธิปัตย์มาหลายปี ก่อนที่จะลาออกมา เคยให้ความเห็นว่า

"เป็น ความโชคดีของฝ่ายค้านที่เขาต้องการเล่นงานบริษัทตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากพรรคฝ่ายค้านมองว่า นายประชัยเป็นศัตรูกับทักษิณ เพราะเป็นผู้สนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ แต่แทนที่จะตกได้ปลาดุก กลับได้ปลาวาฬ"

ในส่วนของนายประจวบที่นายไทกร บอกว่าก็เป็นแค่เด็กในพรรคประชาธิปัตย์คนหนึ่ง เป็นคนอีสานมากินกาแฟสูบบุหรี่ที่พรรค แล้วก็มาของานพรรคทำ เมื่อตกเป็นข่าวคราวก็ได้หลบซ่อนตัวลึกลับมาตั้งแต่ต้นปี โทรศัพท์ไปก็ไม่รับสาย

ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิมยังกล่าวด้วยว่า ได้รับทราบจากผู้ใหญ่ที่ดูแลนายประจวบว่าได้เปลี่ยนชื่อเป็น "นายคณาปติ"

"ก่อน หน้านี้นายประจวบได้เข้าไปให้การเพิ่มต่อดีเอสไอเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา และโทรศัพท์มายืนยัน กับผมว่าได้ยืนยันต่อเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ เช่นที่เคยให้การไว้ เพียงแต่ว่ามี รายละเอียดของเนื้อหาสาระเพิ่มเติม เล็กน้อย ดังนั้นเมื่อนายประจวบซึ่งเป็นพยานปากสำคัญมาให้การต่อ กกต.แล้ว ก็คิดว่าน่าจะสรุปได้เร็วๆ นี้"

"ขณะนี้นายประจวบก็ยังอยู่ในความ ดูแลของนายทหารนอกราชการคนหนึ่ง ซึ่งการมาให้การต่อ กกต. เขาก็เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของตัวเองเหมือนกัน แต่คงคิดได้ว่าความกลัวทำให้คนเสื่อม และผมก็คิดว่าคำให้การของนายประจวบคงจะเป็นอื่นไปไม่ได้ เพราะหากเขาไม่มีเจตนาที่จะทำให้ความจริงปรากฏ ก็คงไม่มาให้การกับ กกต. และเมื่อพยานสำคัญคือผม และนายประจวบมาให้การแล้ว ละครก็ใกล้จะจบแล้ว ขอให้ติดตามดู"

แต่กระนั้นเสียงกระซิบจาก ส.ส. ในพรรคประชาธิปัตย์ ก็แว่วมาว่า...ถึงยุบพรรคก็เปลี่ยนชื่อใหม่ได้


จาก : นสพ.ประชาชาติธุรกิจ

การตลาดแบบประยุกตร์ กับอาชีพ TAXI ของนาย JIMBO

ตามติดกระทู้คราที่แล้วครับ

http://www.prachataiwebboard.com/webboard/wbtopic2.php?id=824881

หลังจากหาทางออกให้กับตนเองได้แล้ว สิ่งที่ปิ้งปั้งมาในความคิดเพื่อไม่ให้ตนเองฟุ้งสร่าน นั้นคือ อาชีพ ขับรถแท็กซี่ ไม่ใช่ไม่มีทางเลือก แต่ไม่มีอาชีพอะไรที่จะเยียวยาจิตใจ ได้ดีเท่ากับอาชีพนี้ ผมไม่ได้มุ่งหวังในแง่รายได้ แค่ต้องการระบายสิ่งในใจออกมาให้ผุ้อื่นฟังบ่อยๆๆจะได้ไม่บ้า แ*****่างเพลงของเบริดเลยครับ ถ่านไฟเก่า ที่มีประโยคนึงว่า คนผู้แพ้ก็ต้องดูแลตนเอง ทุกวันนี้ยังชอบฟังเสมอ มันช่วยซ่อมตนเองนะครับ

เดวนอกเรื่องไปไกล วันรุ่งขึ้นหลังจากที่ผมกลับมาปากเกร็ด อย่างแรกต้องจัดการกับห้องที่คอนโด อ้อลืมบอกไป ผมซื้อคอนโด ที่ปากเกร็ด หลังห้าง เจซี ปากเกร็ดนะครับ วิวแม่น้ำสวยสะด้วย ผมทำความสะอาดห้อง เรียบร้อยจัดข้าวของ รูปแฟน เสื้อผ้าเค้า หรือ ครับ พับลงกระเป๋า แซมโซไนท์ ล้อคแน่น โยนกุญแจทิ้งไปเลย กะว่าวันไหนลูกผมโต ตัวผมทำใจได้แล้ว ผมจะระเบิดกุญแจออกมา

หลังจากจัดคอนโดเรียบร้อย ผมบึ่งรถไปที่อู่แท็กซี่ทันใด อู่ไหนละ ? อ้อ ทุกท่านถ้าขับรถถนนติวานนท์ พอถึงปากซอยสามัคคี ด้านซ้ายมือ ขาออก เลขซอย เลขคี่ มีปั้มแกส ปั้มนึงครับ ปั้มนั้นแหละ เอาละมาให้ความรู้กัน เพื่อน ๆ ทราบไหมว่า ซอยเลขคู่ เลข คี่ หมายถึงอะไร ? มีใครทราบไหมเอ๋ย เลขคู่หมายถึงขาเข้าเมือง เลขคี่ ขาออกเมือง ถนนทั้งประเทศไทยหรือประเทศไหนเหมือนกันหมดครับ เวลาเราไปต่างถิ่นสังเกตุเอานะครับเราจะได้ไม่หลงทาง หรือ สาว ๆ ถูกลักพาตัว เวลาสังเกตุจะได้จำง่าย ๆๆ ครับ

ก้อกๆๆๆ ผมเอามือเคาะประตูกระจกออฟฟิศ ปั้ม หวัดดีครับเถ้าแก่ ...ว่าไงหรอ ผมมาขอสมัครเป็นคนขับแท็กซี่ ผมจะต้องทำไงบ้างครับ ผมอ่อนน้อมถ่อมตนมาก ๆ อาการเสียงดังเพราะมีกะตังค์หดไปหมด อ้อ ไม่มีไรมากคุณเอาใบขับขี่ สำเนาทะเบียนบ้าน บัตร ปชช ใบขับขีรถสาธารณะ หรือ ประเภท 2 ก็ ได้ พร้อมเงินประกัน 3000 บาท

เงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับนายจิม......แต่ใบขับขี่ดิ ไม่มีอะ เถ้าแก่ครับใบขับขี่ผมไม่มี ผมขับได้ไหม เถ้าแก่ตอบได้ แต่เวลาคุณถูกตำรวจซิว รับผิดชอบไปเองนะ ตำรวจยิ่งชอบรถแท็กซี่อยู่ด้วย เอ.......เถ้าแก่ทำท่าคิด คุณนี่มือใหม่เคยขับแท็กซี่หรือป่าวละ ผมตอบไม่เคยครับ อย่างงี้จะไหวหรือคุณ ผมตอบว่า เถ้าแก่ครับผมรับปากเถ้าแก่ได้ว่า ผมไม่มีวันติดค่าเช่าเถ้าแก่แน่นอน เห็นพุดอย่างนี้ทุกคนละ แกมองผมหัวจรดตีน ถ้าทางดูถูก ว่ามึงจะไปรอดไหมเนี่ย

ผมไม่สนแววตานั้น มันไม่ใช่เป้าหมายของผม เถ้าแก่ครับผมวางเงินมัดจำไว้เลย 3000 บาท พรุ่งนี้ผมทำใบขับขีเสร็จ ผมจะมาขับรถ สายตาเถ้าแก่หลุบลงเล็กน้อย ผมนึกในใจพอได้เงิน สายตามึงอ่อนเลยนะ ไอ้แปะ เถ้าแก่ถามแล้วจะขับกลางวันหรือกลางคืนละ ผมตอบว่าผมขอกลางวันเพราะผมมือใหม่นะ ไม่มั่นใจนะเถ้าแก่ ( นึกในใจอีกเชอะ ไอ้นี่ไม่รู้จักนายจิม สะแว้ว ผมบอกพี่น้องก่อนว่าเส้นทางทั่ว กทม ผมแม่นมาก จนทุกวันนี้ได้ฉายาว่า จิม จีพีอาร์เอส) เสร็จสรรพ ผมยกมือไหว้ลาเถ้าแก่ เดวเมื่อรืนผมมาตอนเช้ามืดนะครับเถ้าแก่ พรุ่งนี้ผมไปทำใบขับขี่ก่อน

วันรุ่งขึ้นไปทำใบขับขี่ที่ขนส่งตลิ่งชัน พอเคาเตอร์เรียกหมายเลขผม ให้ส่งเอกสาร ผมยกมือไหว้ข้าราชการท่านนั้นสาวสวยสะด้วยแหะ แต่อารมย์นั้นใครก็ไม่สวยทั้งนั้น ผมบอกเค้าว่า คุณครับผมจำเป็นต้องใช้ใบขับขี่วันนี้ ผมตกไม่ได้ครับ ช่วยผมหน่อยได้ไหมครับ อ๋อ ....สอบเฉพาะข้อเขียนครับ ทั้งที่ผมรู้ว่าผมสอบอย่างไรก็ผ่าน แต่นิสัยผมทุกอย่างต้อง Recheck Make sure ได้ซิค่ะ แล้วผมต้องมีค่าใช้จ่ายอย่างไรบ้างละ ขรก ท่านนั้นลุกขึ้น ยื่นหน้ามาใกล้ช่องกระจก กลิ่นน้ำหอม อ่อน ๆ โชยมา ผมนึกในใจ มีรสนิยม สะด้วยแหะ แต่ไม่สนตอนนี้ต่อให้แก้ผ้าตรงหน้ามะมีรมย์ คุณ ๆ ๆ สอบตกเป็นได้ ช่วย ๆ กันนะ 500 บาท ค่ะ ผมบอกไม่มีปัญหา แล้วผมก็พับแบ้งค์ 500 เหน็บเข้าใต้เอกสาร

เอาเป็นว่าวันนั้นผมได้ใบขับขี่ พร้อมบัตรใบเบ้อเหิ่ม บัตรประจำตัวผู้ขับขี่นะ ไว้แขวนหน้ารถ มีรูปเศร้า ๆ ของผมด้วย วันหน้ามีโอกาศ ผมยังเก็บไว้เลยจนทุกวันนี้ ไว้ให้เพื่อน ๆ ดู ผมรีบกลับมาที่อู่แท็กซี่ เอาเอกสารมายื่นให้เถ้าแก่ เถ้าแก่บอกว่า พรุ่งนี้ ตี สี มารับรถจะจัดรถไว้ให้ ค่าเช่ารถ 420 บาท ต่อกะ แล้วเถ้าแก่ก็พาผมเดินดูรถในอู่ สีสวยสะด้วย สีชมพู โตโยต้าเอกซิเอ่อร์ เถ้าแก่บอกว่าทุกครั้งที่ส่งรถต้องเติมน้ำมันหรือแกส ให้เต็มทุกครั้ง ครับผมเถ้าแก่ผมจะรักษาระเบียบอย่างดี

กริ้งๆๆๆๆๆ เสียงนาฬิกาปลุกตอนตี 3 ผมรีบตื่นอาบน้ำอาบท่าแต่งตัวสะเรียบร้อยสแลคสีดำขายาว เสื้อเชิ้ตแขนยาวขาว ผมเป็นคนชอบสีขาวดำนะครับเสื้อผ้าผมเลยโคตรโหล สมกับเป็นพนักงานบริการ อิอิ อาชีพเราผู้ให้บริการนี่หว่าเรา

ตี 4 ผมรับรถตามที่นัดหมาย คู่กะผมเป็นใครไม่รู้ ไม่ได้สนใจตอนนั้นอารามดีใจว่านี่ คือ อาชีพที่เกลียดที่ สุดในชีวิต เราต้องมาทำ 555 ขำกะชีวิตตนเองจริง ๆ อาชีพขับรถ ขาข้างนึงในตารางอีกข้างเสมอตัวครับพี่น้อง ผมสอบถามเถ้าแก่วิธีรีเซท มิเตอร์ ยี่ห้อ Peace สะด้วย อะใช้เป็นละกด ปุ่มเดวใช้ได้เลย option ไปหัดทีหลัง

ก่อนออกรถเอาฤกษ์ เอาชัยหน่อยภาษามุสลิมยกมือขอพรสะหน่อยเอามือลูบหน้า สตาร์ทเครือง วิ่งออกจากปั้ม เราจะเริ่มที่ไหนก่อนดีกว่า ไม่เคยขับ เอาอย่างงี้นายจิม เลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าตลาดปากเกร็ดก่อน อะวันแรกโชคดีสะด้วย ผู้โดยสารเจ้าแรกดบกเลยครับหน้ากรมชล ไปไหนละ อ๋อ ไปหลักสี่ ได้ค่าโดยสาร 67 บาท จำได้แม่นเที่ยวแรกแหะ จากนั้นกลับลำที่สถานีรถไฟหลักสี่มุ่งหน้าปากเกร็ด อะ โบกอีก แถวหน้า กสท กลับปากเกร็ด ค่าโดยสาร 61 บาท แหะ วิ่งแปปเดว 100 กว่าบาทแล้ว ใจมาเป็นกองเลยครับ

วันนั้นผมก็ปุเลงปุเลง ขับตามตูดพวกไปเรื่อยๆ พอผุ้โดยสารโบกปุ้บ ผมตบไฟซ้ายเพื่อรับผู้โดยสาร ปรากฎว่า มีเพื่อนขับแซงมาทางขวา ปาดฉุบ เข้าไปหาแห้วเลย ไม่เป็นไร วุ้ยส์ เอาใหม่ วิ่งปุเรงปุเรง ผู้โดยสารโบกเอาอีกแระ โดนปาดฉุบงี้ ทั้งวัน วิ่งยันเที่ยงได้ตังค์มา 500 กว่าบาทเอง ผมนึกในใจอ้อ พวกนี้มันขับกันแบบนี้เอง นึกหรือว่านายจิมทำไม่ได้ อิอิ ไอ้พวกนี้ไม่รู้จักเราสะแว้ว

ผมนะอดีตแรลลี่คอร์ส รุ่นโอเพ่น ลำดับที่ 5 ของเมืองไทยเชว แข่งทาบรัศมี ปรีชา คงศรี เชวละเพื่อนๆ เอามั่งวุ้ยส์ สันดานทุเรศเริ่มแล้วครับ ปาดฉุบมั่ง พวกงี้เหวอเลย แปปเดว ได้มาอีก 400 บาท 3โมงแระกลับอู่ดีกว่า ผมวิ่งไป 256 กิโล เติมแกสไป 250บาท + ค่าเช่า 420 + ค่าล้างรถ 20 ทุนผมเท่ากับ 690 บาท ขับได้ 900 บาท +ทิป อีก 50 บาท ทิปได้มาจากไหนครับ อ๋อ ปัดเศษไงครับผู้โดยสารปัดเศษให้ ส่วนเป้าหมายผมงานบ่น กะผุ้โดยสารผมก็บ่นของผมไปเรื่อย ๆ เหลือ 210 บาทเองเรา

เอาใหม่นะวันพรุ่งนี้ ผมเริ่มขับสไตล์แรลลี่แระ อะหะวันนี้รายได้ดีวุ้ยส์ ปาดฉุบ ทั้งวันสันดานตีนพยายม อะวันนี้ได้ 1,200 บาทแนะ เติมแกส 300 บาท เหลือเกือบ 500 แน่

ผมปุเรงอย่างงี้ 1 สัปดาห์ อะชักเก๋าเกมส์แระ ครานี้ผมเริ่มเล่นกับลูกเล่นที่มิเตอร์ด้วย มิเตอร์มันมีเซท กิโลทิ้งเปล่าด้วยแหะ มันคำนวนให้เราเสร็จว่ากิโลที่เราไม่ได้ผู้โดยสารนะกี่กิโล อะได้การสันดานพ่อค้าเริ่มแระ เอาใหม่พรุ่งนี้นะ

ผมลองมาคำนวนดูเล่น ๆ ว่าต้นทุนแท็กซี่ขณะนั้น รวมค่าเช่า ตกกิโลเมตรละเท่าไหร่ และ เบรค อีเว้นท์ ของรถแท็กซี่อยู่ตรงไหน สรุปแล้ว ได้ความว่า ต้นทุนอยู่ทีกิโลเมตรละ 3.50 บาท /กะ กิโลทิ้งเปล่าต้องไม่เกิน 20 กิโลเมตร/เที่ยว range time ละ คำนวนและวิจัยมาแล้วได้ความว่า ชม เร่งด่วน ตี 4 ถึง 8 โมงเช้า ต้องหาตังค์ให้ได้ 500 บาท วิ่งไม่เกิน 100 กิโลถึงจะมีกำไร ถึงเที่ยงอย่างน้อยต้องให้ได้ 800 บาท กิโลต้องคุมให้อยู่ไม่เกิน 200 โล และจนถึงบ่ายสาม อย่างน้อยต้องให้ได้ 1,100-1,200 บาท ไม่เกิน 300 กิโลเมตร นั้นแหละถึงได้กำไรได้ค่าตัวเรา

สัปดาห์ที 2 ผมเริ่มวิธีวิ่งแบบ ลิมิตตนเองตามมิเตอร์ รับผู้โดยสาร ปุ้บ ส่งปั้บ แองงิ้ว ก้าบ วิ่งกระรอกหาผู้โดยสาร คอยกดเช็คกิโลทิ้งเปล่าว่ากี่ โลแระ พอ 20 โลปุ้บ จอดเลยครับ นิ่งๆๆ หาที่แหมะตามป้ายใหญ่ ๆ หน้าหมู่บ้านชุมชน ไม่ได้ผู้โดยสารเราไม่ไป ได้ผลแหะครานี้มีเงินเหลือมากขึ้น เพราะค่าเชื้อเพลิงประหยัดมากขึ้น วิ่งน้อยลง เงินมากขึ้น

ระหว่างวิ่งแท็กซี่ หรอ ครับผมมีผู้โดยสารหลายท่านเรียกไปส่งสถานีรถไฟ ดอนเมืองมั่ง บางเขน บางซื่อ สามเสน ถ้ามีรถไฟสายยาวมา ส่วนใหญ่ผมจะได้ผู้โดยสารติดมือ ทุกครั้ง อะๆๆๆ อย่างงี้ได้การละนายจิม เดินลงจากรถแท็กซี่ ขึ้นบนสถานีรถไฟเลยครับ จด จด แล้วก็ จด จดอะไรละ ตารางรถไฟไงครับ ผมจดตารางรถไฟสายยาวทุกสาย ที่จอดแวะสถานี เชื่อหรือไม่ว่าเวลารถไฟสายยาวทั้งหมดอยู่ในหัวของผม ทุกสถานี ตั้งแต่ดอนเมืองยันหัวลำโพง จดทำไมครับ? คือคำถาม อ้าว.....ก็เวลาเราผ่านแถวนั้นใกล้เคียงเวลารถไฟมา จะไปวิ่งให้เมื่อยตุ้มทำไมละพี่น้อง ชิมิ

ปุเลงปุเลง .......พี่ ๆ แท็กซี่ในอู่เห็นเราน้องใหม่ก็เข้ามาทักทาย.....แย่งซีนกันเชว ช่วยแนะนำผมวิธีขับรถแท็กซี่ น่ารักจังจุฟฟฟ บางท่านก็ชวนก๋งหลังส่งกะ แต่ผมปฏิเสธ นะ พี่ครับแองงิ้วครับพร้อมยกมือไหว้ ผมอิสลามครับ พี่แท็กซี่หลายคน งง ทำไมต้องยกมือไหว้.......ด้วย แหมพี่ผมชอบยกมือไหว้คนนะ พี่สันดานเป็นอย่างนี้แระ

จากที่เห็นเพื่อน ๆ แท็กซี่ก๋งกันในอู่หลังส่งกะก็เลยได้คำตอบว่า อ๋อ......มันอย่างนี้นี่เองทีทำไม พี่น้องแท็กซี่ถึงบ่นกันจัง วันๆ เหลือแค่ 100-200 ทำไมเราเหลือเยอะกว่าละเราเหลือ 500-700 บาทต่อวัน รายจ่ายเพิ่ม รายรับคงที่ หรือน้อยลงนั้นเอง

ถ้าเหลือ 100-200 จริงสู้ไปขับรถตามบริษัทฯ ขับรถส่งของกินเงินเดือนไม่ดีกว่าหรือไม่เหนือย ไม่เมื่อยมากไม่เครียดกับการมาวิ่งหาผู้โดยสารด้วย เงินเดือน ขี้หมูขี้หมา 7-8 พัน ได้หยุดในอาทิตย์ อีกต่างหาก

พี่คนนึงบอกว่า ที่นั่นที่นี่ผู้โดยสารเยอะ บอกว่าสีลม คนเยอะ สุขุมวิท คนเยอะ ฯลฯ หลาย ๆ ที่ และก็บอกที่ไหนไม่ค่อยมีผู้โดยสาร ผมฟังแล้วเฉย ๆ ๆ ในใจคิดว่าลองเชื่อดูเราน้องใหม่ แองงิ้วครับพี่

ลองตามที่พี่เค้าบอกวิ่งไปที่พี่เค้าบอก จริงด้วยแหะผู้โดยสารเพียบ ...แต่โอยไม่ไหว รถเปิดไฟว่างบานเบอะเลย รถติดก็ติด เสียเวลาทำมาหากินจัง ค่าเช่ามันขึ้นทุกวินาทีนี่หว่า ไม่เวริค วุ้ยส์ นายจิม

ผมสังเกตุเพื่อน ๆ แท็กซี่ 90% ส่งผู้โดยสารเสร็จ ปักหัวกลับย่านอู่ทั้งนั้น รวมทั้งตัวผมเองด้วย เออน้านดิ นายจิม.. จะปักหัวกลับอู่ทำไม ฟะ....ผมเริ่มคิดละ ผมถามตนเอง ได้คำตอบว่า AREA อู่เราชินนะ แต่ทว่าไม่ใช่คำตอบที่ถูกที่สุด ผมถามตนเองอีกว่า อู่เราอยู่ปากเกร็ด แล้วอู่ที่พระประแดง อู่แถวอ่อนนุช อู่แถวบางแค มันชินได้ไงละ ผู้โดยสารไม่มีหรือ แล้วเค้าอยู่ได้อย่างไรไม่มีผู้โดยสารหรือไร แล้วเวลาปักหัวกลับอู่ พอรถติดไฟแดงก็หางยาวเชียว ไฟแดงบอกผู้โดยสารว่าง เต็มถนน มันได้ประโยชน์อะไรเนี่ยะ เวลาไฟเขียวออกรถ ก็ตาม ๆ กันไป มีคนโบกก็เสร็จรถคันหน้าเอาไปกิน เหล่านี้คือคำถามทีวนเวียนในกระโหลกผม

ปฏิบัติการรีเช็ค ขึ้นทันใด อยากได้คำตอบใช่ไหมนายจิม.....อยากได้ต้องพิสูจน์นะ คิดแล้วต้องทำ...คิดไม่ทำคิดทำไม เสียสมอง ผมเริ่มในบัดดล คิดไปคิดมา ผู้โดยสารโบก นู้นเลยครับ ข้ามฟากไป ปากน้ำ อะได้ทีละพี่น้อง ได้เหยื่อละ ส่งผู้โดยสารเสร็จไม่รีบกลับ ทำตัวเป็นรถท้องที่สะเอง หนุงหนิงแถวนั้นแรก ๆ ก็เซ่อ ๆ ซ่า ๆ แต่เอ ผู้โดยสารก็เรียกนี่หว่า เออ...อย่างนี้แล้วเราจะกลับอู่กันทำไม เสียค่าเชื้อเพลิงป่าวประโยชน์

ปฏิบัติการรีเช้ค 2 ทำไมต้องปักหัวกลับอู่รถติดไฟแดงว่าง วาบๆๆ อะนายจิม...ไม่เอาละไม่อยากเชื่อคนอื่น เชื่อตนเองดีกว่า ไฟแดงหรือติดทำไมให้โง่ เลี้ยวซ้ายขวับทันใด อิอิ ซ้ายผ่านตลอด พี่น้อง เลี้ยวปู้บ แล้วได้ผลอย่างไร ผู้โดยสาร โบกแหะ อะไรเป็นเช่นนั้น ตรรก คืออะไร

ไม่เอาแล้ว ไม่เชื่อ แล้ว กับทฤษฎี ของพี่แท็กซี่ ที่ว่า

- ไปที่ที่มีผู้โดยสาร
- ไปส่งแล้วกลับย่าน อู่ตนเอง
- ขับไปแบบไร้แผนการณ์ มีผู้โดยสารก็รับ ไม่มีก็ไปเรื่อย พอเจอปุ้บ ปาดหน้ากัน เพื่อแย่งกันรับผู้โดยสาร ดูแล้ว น่าอนาจยิ่งนัก
- งานเลี้ยงสังสรรหลังส่งกะอีก โอยมะหวาย นะพี่น้อง


นายจิมเลยคิดสร้างทฤษฎีการขับแท็กซี่ของตนเองขึ้นมา เพื่อที่จะมีรายรับมาก ทุนต่ำ ทำไงดีละพี่น้อง เดวมาโพสต่อ ที่เขียนได้ยาวอย่างนี้เพราะเขียนเมื่อคืนนอนไม่หลับ คิดถึงเมีย ที่โพสเมื่อกลางวันครับ

อ้าว...แล้วพี่น้องทีอ่านบทความนี้สงสัย เฮ้ย......นายจิม แล้วไม่เครียดเรื่องเมียแล้ว หรือ คำตอบคือ 55555 ผมลืมไปเลยครับ มัวแต่เอาสมองมาคิดทำอย่างไรจะขับแท็กซี่ให้ได้ดี ผมสนุกกับมันแล้วครับท้าทายดี

แก้ใขครับ ปรีชา ทรัพย์คง ครับ ปรีชา คงศรี นะผู้ช่วยผู้ประสาทการณ์ เซนต์จอห์น สมัยผมเรียนที่นั่น

ทฤษฎีของนายจิม นะหรือ คืออะไร ก่อนอื่นเราต้องทวนทฤษฎี ของพี่ ๆ แท็กซี่ทั้งหลายก่อน

- ไปทีที่มีผู้โดยสารเยอะ แหะๆ นายจิม ไม่ไปไม่เชื่อ
-ไปส่งแล้วกลับอู่ตนเอง นายจิม จะกลับทำไม ผู้โดยสารมีทุกที่แระ
-ขับไปแบบไร้แผนการณืมีผู้โดยสารก็รับ ไม่มีก็ไปเรื่อยๆ นายจิม

..นะหรือ เป็นสันดานแล้วละ ทำอะไร ต้องวางแผน แบบนี้ไม่ใช่ผมแน่ๆ

-งานเลี้ยงสังสรรหลังส่งกะอีก โอยมะหวาย นะพี่น้อง
น้านแหลคือคำตอบ ไปเพิ่มรายจ่ายให้ตนเองทำไม ชิมิ


เริ่มเลยทฤษฏีของนายจิม...ตามข้อแรก เวลามีผู้โดยสารเรียกเข้าเมืองแถวสุขุมวิท อิอิ ผมไปครับ ผมไม่เคยปฏิเสธผู้โดยสาร จะเอาผู้โดยสารกลับไงดีละ สุขุมวิท ลูกค้าเยอะ รถก็เยอะ ไฟว่างวาบๆเต็มถนน

ส่วนใหญ่ พี่แท็กซี่ชอบวิ่งซอย คี่สุขุมวิท กัน ซอยคู่ไม่ชอบวิ่งทำไมหรือ ครับ ซอยคี่ซอยผ่าน ซอยคู่ ซอยตัน พี่แท้กซี่บอกว่าวิ่งทำไม ซอยคี่ทะลุไปไหนต่อไหน ได้ อพารืทเม้นท ต่างชาติ เยอะดีด้วย

นายจิม...ไม่เชื่อครับเลิกๆๆทฤษฎีแบบนี้ นายจิม...เลี้ยว ซ้ายปุ้บเค้าซอยที่มันตันนั้นแหละ อิอิ ซอยนึงลึกอย่างมาก 500 เมตร ไป-กลับ ออกมา 1 กิโล ค่าแกส บาท เดว จิบๆๆ

ระหว่างที่วิ่งในซอยเลขคู่ ซอยตัน ผมใช้วิธี รถก๋วยเตี๋ยวขายเกี้ยว เอามือแกล้ง บีบ แตร แปร้นๆๆ แปร้นๆๆ ทุก2 เสาไฟฟ้า อิอิ บีบ ทำไม ทราบไหม พี่น้อง

เดวค่อยตอบครับ....ว่าบีบ ทำไม ผมทำอย่างงี้จนสุดซอย กลับ รถ จุดบุหรี่สูบมวนนึง

แล้วออกรถ......อิอิ ได้ผล ผู้โดยสาร โบกทันใด น้านแหละคือคำตอบ ตรรก ง่ายๆ คนที่กำลังคิดว่าจะไปดีไม่ไปดี พอได้ยินเสียงแตร อะไรหว่า อ้อ แท็กซี่มาส่งคน เดวก็คงออกมา รีบไปดีกว่าเนอะ จะได้ไม่ต้องเดินออกไปหน้าปากซอย แล้วที่ผมจอดท้ายซอยสูบบุหรี่ ไม่ใช่อยากสูบ แต่ใช่บุหรี่เป็นตัวจับเวลานะครับ ประวิงเวลาให้ผู้โดยสารเตรียมตัว อิอิ แค่ก็ เสร็จโจร

เวลาไปส่งผู้โดยสารไกลๆๆ นู้นเลย วงแหวน หนองหมาว้อ เลยวุ้ยส์ จะเอาผู้โดยสกลับอย่างไร พี่แท็กซี่ ส่งปุ้บ ปักหัวกลับ นายจิม ไม่เอาอย่างแน่นอน แล้วจะอยู่ทำหอกไรละนายจิม ผมบ่นกะตนเอง

ไม่อยู่ทำหอกอะไรหรอก เวลาเราไปส่งผู้โดยสารเราคงไม่ส่งกลางท้องนาเป็นแน่แท้ ต้องส่งที่บ้าน หรือชุมชน หรือหมู่บ้านใช่ไหม ส่วนมากชานเมืองหมู่บ้านจัดสรรทั้งนั้น

ส่งเสร็จไม่ต้องรีบกลับ จอดร้านค้ากลางหมู่บ้านนั้นแหละ ซื้อลุกอม ยาหม่องบ้างดค้กบ้างดวดสะอึกนึง ตอนขาเข้าไปส่งก็วิธีเดียวกันกับ พารากร้าฟข้างบนที่วิ่งย่านสุขุมวิทนั้นแหละ แปร้นๆๆๆ เวลาออกมาก็ แปร้น ๆ เหมือนกัน

ผู้โดยสารชานเมือง ส่วนมากวิ่งเข้าเมือง ทำเวลาได้ดี ค่าโดยสารมีราคาสูงแปปเดว มิเตอร์วิ่งขึ้นเป็นร้อยละ

เวลาผู้โดยสาร โบกไป ตจว ทำไงดีละครานี้ ส่วนใหญ่ใช้เหมาเอาตามราคา ของกรมการขนส่งทางบก แต่ราคา อูยสื อย่าให้เซดเชวหัวแบะ กิโลเมตรละ 14 บาท ไหวหรอ
นายจิมใช้วิธีนี้ มิเตอร์ผมขึ้นเท่าไหร่เอาตามมิเตอร์นะครับ ขากลับผมขอกิดลละบาท เดวพอ ค่าแกส กลับ แล้วนายจิมจะได้กำไรหรือ? ค่าเสียเวลาละ
มีวิธีการครับ มีอยู่เที่ยวนึงผมไปส่งคนโคราช ค่าโดยสาร 1000 กว่าบาท ตามมิเตอร์ เค้าให้ค่าแกสขากลับ โลละบาท ได้เพิ่มมาอีก 250 บาทเอง ไม่เป็นไรแหะ นายจิม เลี้ยว ขวับเข้า บขส โคราช ทันใด

เข้าไปทำไรหรือ ? ผมเดินไปที่ช่องขายตั๋ว เอาคนยาวเหยียดเลย ผมมองไปรอบๆๆหาคนที่มาเป็นกลุ่ม อา เจอแล้ว คนงานก่อสร้างแบกข้าวสาร อีรุงตุงนังประมาณ 4 คน นั้นแหละเป้าหมายเลย

พี่ครับ พี่ครับ เค้าทำหน้างง ........พี่ผมแท็กซี่มาส่งผู้โดยสารแถวนี้ พี่กลับกับผมไหม ผมคิดพี่คนล 100 เดียว ส่งถึงที่ พี่ไปตรงไหน ในกทม ละ อา ได้การแหะ เค้าบอกว่ามาแถว อ้อมน้อย อิอิ ตกลง เค้ากลับกับผมแหะ เที่ยวนั้นสบายโก๋ ค่าแท็กซี่มา 1,500 +ค่าแกส กลับ 250+ค่าเก็บตกผู้โดยสาร 400 อิอิ 2,150 บาท เนียน ใช้เวลาไปกลับ 7 ชม ยังไม่หมดเวลา ส่งกะกลับอู่ดีก่า อิ่มแล้ว ค่ากะ 420+ค่าล้าง 20+ค่าแกส600 เท่ากับทุน 1020 กว่าบาท รับ งาน ตจว 2150+ก่อนหน้าได้ตจว ฟาดมาแระ 300 รวมเป็น 2,450 กำไร 1,400 บาท อิอิ วันนี้นอนตีพุงสบาย ซื้อหนมไปฝากลุกดีกว่าแหะ

ผมใช้ทฤษฎีของผมนี่แหละ ได้เงินเพิ่มมากขึ้นวันนึงขับได้ ไม่น้อยกว่า 1500 บาททุกวัน ส่วนใหญ่เฉลี่ยวันละ 1500-1900 บาท ต่อกะ
วันนึงวันที่ 14 เมษาฮาวาย ที่หมอชิตใหม่ เวลาประมาณ 8 โมงเช้า ผมกระดืบ ตามเพื่อนๆไป ผมไม่เข้าวินนะ ผมไม่ชอบการรอคอยล้อไม่หมุนเงินไมมา
ผมมองไปข้างหน้าเลยหน้าเพื่อนแท็กซี่ที่กระดืบๆๆ สัก4-5 คัน เด็กสาวคนนึงอายุประมาณ 18-19 หน้าตาดี ยืนถือกระเป๋าทะเลิกทะลัก จะโบกก็ไม่โบกแหะ มันอะไรหว่า

พอรถผมขยับไปตรงหน้า น้องคนนั้นดบกเลยครับยื่นมาสะยาวหน้ากระจก แล้วบอกว่า น้าๆๆๆ ไปขอนแก่น ไหม

ผมตอบว่า ไปดิ ทั่วไทยก็ ไป เด้กสาวคนนั้น บอกว่า แต่หนูไม่มีตังค์ น้าไปส่งหนูได้ไหม พูดไปตาแดงไป เอาละสิ นายจิม ทำอย่างไร

สมองผมเป็นอัตโนมัติ ทันใด หนูๆๆขึ้นรถมาก่อน คุยกันก่อนนะ รถคันหลังมันบีบแตรไล่นะ เด้กสาวคนนั้น เปิดประตุรถขึ้นมาทันใด ผมรีบขับออกไปจากตรงนั้นสักหน่อย พอมีที่ว่าง จอดเลยครับ เอาว่ามา ไม่มีตังค์จะให้ไปส่งตั้งไกล เรื่องมันเป็นอย่างไรเล่ามาดิ

เด้กสาวคนนั้นพูดไปตาแดงไป ผมพยายามไม่มองหน้ากลัวใจอ่อน คนสมัยนี้ไว้ใจได้ที่ไหน

น้า หนูมาสมัครเรียนต่อ นั่งรถมาพอมาถึงหนูโทร หาเพื่อนพ่อที่อยู่ในกทม ปรากฎว่าโทรเท่าไหร่ไม่มีคนรับสายหนูมาตั้งแต่ตี 5 แล้วละ

ผมยังไม่เชื่อ.....ไหนละมาสมัครเรียนมีหลักฐานไรมาบ้าง ผมถาม รีเช้คอีกแล้วละพี่น้อง

เด้กสาว คนนั้นเปิดซองสีน้ำตาล ที่มีเชือกพันกระดุมอยู่ เปิดให้ดู มีหลักฐานพร้อม จบปวช มา สำเนาทะเบียนบ้าน บัตร ปชช บัตร ประจำตัว นักศึกษา พร้อมสรรพ ผมนึกในใจท่าอีหนุ คนนี้จะมาตามที่บอกจริงๆๆ

แล้วให้น้าทำอย่างไรละ......น้าต้องทำมาหากิน ครานี้เด้กคนนี้ปล่อยโฮ ออกมา กรรม ซิกู เงียบๆๆนิ่งๆๆไว้ น้อง เอานี่กระดาษทิชชู่ เด๊ยวเค้าหว่า น้าทำมิดีมิร้ายกะเธอ นะ

น้าไปส่งหนุนะ....ถึงบ้านแล้ว หนูเอาตังค์ที่พ่อที่แม่ให้ เออใจชื้นมานิด แต่ผมก็ติดระแวงไว้ก่อน นึกในใจ ถ้ามันลวงกู ไปเชือดทำไงดีหว่า

ในสมองผมเริ่มคิดหนัก เด้กคนนี้ถ้าเป็นจริงอย่างที่เค้าเล่ามา ผมทิ้งไว้ที่นหมอชิต เสือสิงห์กระทิงแรด บานตะเกียง เด็กคนนี้โดนขายซ่องแน่ๆๆ ผมนึกถึงลูกสาวผมทันใด เราก็มีลูกสาวนี่หว่า

ถ้าไม่จริงละ.....ติ้กต้อก ระยะทางไปกลับ 1000 โล คช่าแกสเรา 1000 บาท ค่ากะ420 บาทไม่เกิน 1500 วุ้ยส์

ตายเป็นตาย......ดีกว่าปล่อยเด้กสาวหน้าตาดีไว้ ถ้าเด้กโดนทำมิดีมิร้าย เรามิเป็นตราบาปไปทั้งชีวิตหรือ

เลิกร้อง ได้ แล้ว ผมดุน้องคนนั้น เด้กคนนั้นทำท่าจะร้องอีก....ผมบอกว่าแหกปากร้องเข้าไปเดี๋ยวก็ไม่ไปส่งสะหร้อก จะไปหรือไม่ไป

ผมออกรถทันใดเพื่อไปส่ง น้องเค้า ระหว่างทางผมแวะซื้อขนม แวะกินข้าว ออกตังค์ ให้อีกนะนายจิม ....อย่าเข้าใจผิดนะเพื่อนๆ นายจิม ไม่จังไร หรอก

พอถึงขอนแก่นผมเลี้ยวซ้าย ผมคลับคล้ายคลับครา ว่าอำเภอบรบือ น่าจะใช่นะ

ถึงบ้านเค้าพอจอดรถกึก คนในบ้านชะโงกหน้ามาดู เดินมาหา น้องเค้าเปิดประตุรถออก

เสียงแม่ของเค้าตะโกนว่า ไป กทม คืนเดว พาผัวแท็กซี่กลับมาเลยหรือ งานเข้าซิกูนายจิม

พอเค้าเดินขึงขังมาหา ทำไงละนายจิม บ้านเค้าสะด้วย ไม่โดนกระทืบตาย ก็ เสียผี กูไม่อยากมีเมียเด้ก ตอนนี้วุ้ยส์ ผมนึกในใจ

มาดูหน้านายจิม สะก่อน คนอย่างนี้หรือเป็นโจร
http://www.tagged.com/jimbovy

ด็กสาวดดนตบหน้าเพี้ยะ จากพ่อ อะไรวะเนี่ย.....เด๊ยวๆๆครับใจเย็นๆๆ มึงไม่ต้องมาพูดอะไรเลย พ่อเค้าตะคอกใส่ผม

ฟังก่อนได้ไหม รู้งี้ให้หมาหมอชิตคาบไปแดกสะดีไหม ผมเริ่มมีน้ำโห

พ่อเค้าหยุดมองด้วยความฉงน แววตาลดลงนิดนึง นายจิม ไม่รอช้าละ ผมไม่มีไรบ้บออย่างนั้นฟังกันก่อนได้ไหม ผัว เผอ ที่ไหน ไม่เอาหรอกเด็ก ทำไรไม่เป็น

ผมรับเค้ามาเห็นทะเร่อ ทะร่า อยู่หมอชิต มาส่งนี่ก็ ไม่รุ้จะได้ค่าดดยสารกลับไปหรือ ป่าว เอะอะก้ตบก้ ตี ห่วย.... อยากตบตบไปผมกลับละ

ได้ผลแหะ ครานี้หยุดตบได้ อีหนุเล่าให้พ่อเธอฟังดิ นังหนุเริ่มเล่าให้ฟังพูดไปร้องไป

ครานี้ พ่อเค้าพยักหน้าหงึกๆๆๆ พอเล่าจบ พ่อเค้ามานั่งคุกเข้ายกมือไหว้ผมปะหลก ปะหลก อะไรหว่าเนี่ยะ หลากหลายอารมย์จัง ผมนึกในใจ

ขอโทษด้วย ทิดที่เข้าใจผิด ขอบใจหลายๆเด้อ ถ้าไม่ได้ ทิด ป่านนี้ลุกสาวข้อย ป่นปี้หมดแล้ว

เอาไม่เป็นไรทีหลังนัดแนะกันให้ดีละ อย่าทำอย่างนี้อีก ผมกลับละนะ

เดี๋ยวก่อนทิด ทิดลืมค่าโดยสารนะ เท่าไหร่ละ ผมพาไปดุที่มิเตอร์ มันขึ้น 3600 บาท

ผมบอกเค้าว่ามีตังค์ไหม เค้าบอกว่ามี อะงั้นดีละมีตังค์ ก็ช่วยจ่ายเร็วหน่อยครับผมจะรีบไปส่งรถเดี๋ยวไม่ทันต้องโดนเบิลกะ เสียค่าเช่าเพิ่มตั้ง 400ก่าบาท อ้อ นิดนึง พี่ชาย ผมบอกเค้าว่าถ้าจะกรุณา ช่วยค่าแกสผมขากลับด้วย

เค้าพยักหน้าเดินไปหยิบตังค์ให้ แต่ไม่ยอมให้แหะ อะไรวะเนี่ยะ


เค้าถามผมว่าเท่าไหร่ละ ผมบอกไปว่า 500 พ่อเค้าบอกว่า

ยังไม่ให้ตอนนี้ สั่งเนื้อไว้แล้วให้เมียเค้าลาบอยู่ อะไรหว่า ขอโทษครับผมอยู่ไม่ได้จริงๆๆ น่าอยู่ก่อนนะ ผมให้ เลย 5 พันอยู่กินกันก่อน อะอะไม่ขัดศรัทธาผมยกหูบอกเถ้าแก่อู่ว่าผมควงรถ ผมอยู่กินยัน 5 โมงเย้นก็ลากลับ ขากลับใช้สุตรเดิมอิอิ เลี้ยว เข้าโคราช สอยมาอีก 4 หน่วย คนละ 100 ได้มาอีก 400

เอามาส่งแค่รังสิตเอง หนอยมีคนโบกต่อเข้าปากเกร้ด กลับอู่เอารถไปล้าง เช้คเงิน

ก่อน จะรับอีหนุ ผมหาได้ 500 แระ เท่ากับผมหาวันนั้นได้ 5900 บาท ค่ากะ 2 กะรวมค่าล้าง 860+ค่าแกส1100 บาท

5900-1100 บาทเหลือ 4800 บาทแหะ อิอิ เก็บตังค์ไว้ซื้อหนมให้ลุกดีก่า

แก้ใขเขียนผิดนะ
รับมา 5900 ค่าแกส 1100 ค่ากะ 860 1960
5900-1960 เท่ากับ3940 บาท

เดือนนั้นผมมาเช้คเงินทั้งหมดทีกำไรมาทั้งเดือน อ้าหยา 2 หมื่นก่าบาทเชว หักค่ากินออกแล้วนะ รายได้ดีวุ้ยส์ ผมทำบัญชีตลอด พี่น้องอย่าลืมนะครับทำอะไรงานบัญชีห้ามลืมเด้ดขาด

กลับมาที่อู่รถแท็กซี่ แหะมีรถติดวิทยุสื่อสารด้วย น่าสนใจ ผมไปถามพี่ ๆๆ เค้าเล่นอย่างไรละ พี่เค้าบอกว่าอย่างแรกต้องรุ้ภาษา ว. ก่อน แต่ผมไม่ได้ใข้นะ รับผู้โดยสารไม่ทัน สักที ผมถามต่อแล้วพี่เดือนนึงรับกี่ครั้งผมแกล้งใขสือ อ้าวก็ผมบอกแล้วไงไม่ได้รับเลย บางคนก็ เดือนละครั้งบางคนสามวันครั้ง

แล้วมีค่าบริการไรพิเศษ หรือไม่ ผมถามต่อ เค้าบอกว่า ค่าเช่าเพิ่มอีก 50 บาท ต่อกะ ผู้โดยสารจ่ายเพิ่มอีก 20บาท ต่อเที่ยว ต่อ ว.

ผมนึกในใจก็ ดีนีไม่ต้องวิ่งให้เหนื่อย ทำไม รับ ว.ผู้โดยสารไม่ได้ละ ติ้กต้อก นายจิม อยาก ได้คำตอบนะ
ไม่รอช้ารีบถามเถ้าแก่ เถ้าแก่มีรถ ติด ว ไหม อยากขับ เภ้าแก่บอกว่าคุณขับอย่างนี้นะดีแล้ว มี ว. ก็ ไม่ได้รับ ผมนึกในใจ เรื่องของกู

ค่าช่าก้ต้องเพิ่มขึ้น อีก 50 บาท แต่เผอิญเป็นรถใหม่ ต้องกะละ 500 รวมค่า ว .นะ เถ้าแก่บอก

แต่ตอนนี้ไม่มีรถ ให้คุณ เถ้าแก่ครับผมอยากขับจริงๆนะ ช่วยเหลือหน่อยนะ เถ้าแก่บอกว่าต้องรอเป็นอะไหล่ นะ เวลารถ ว.เค้าหยุด คุณขับ โอเคมั้ย มีอย่างหรือนายจิม จะ ปฏิเสธ

ผมปุเลง อีแก่ ผม ได้ 2-3 วัน เถ้าแก่มาบอกว่า มีกะกลางคืนเค้าคืนรถ คุณจะขับไหมละ โอเคครับเถ้าแก่ ผมมิรอช้า วันนั้นผมเลยควงกะนะ กลางวันขับอีแก่ กลางคืนขัยรถ ว. เถ้าแก่ครับ มีหนังสือ บอกภาษา ว. ป่าวครับ มีๆๆนีไง

แหะๆๆ ผมได้ขัยรถว. และ ผมเปิด ว .มันทั้งคืนเหมือนคนบ้า วิทยุเพลงหรือ ไม่เปิด ผมฟังไปเรื่อยๆ อะ ผู้โดยสารเรียกผ่าน ว .เยอะนะเนี่ย ทำไมเพื่อนเรามันรับไม่ได้ละ

ได้การละ ผมหาสมุดเล็กๆ ไว้จด ผมขับรถ ว. เปิด ว .ทิ้งไว้ อย่างนั้น 7 วัน ฟังอย่างเดียวจด ๆๆ เดว ว. 4 ว 30 ว 25 ว.10 อะได้การแระ รุ้แร้ว โยว โยว ว่าจุดอ่อนอยู่ที่ไหน ทำไมเพื่อนถึงไม่รับ ว. หรื อว่ารับงสนผ่าน ว .ไม่ได้ เสร็จนายจิม ละ

อธิบายให้ ฟังครับ......คนเรียกผ่าน ว. คือคนที่ส่วนใหญ่ใช้ประจำ ซ้ำๆๆเวลาเดิม ได้การละ สิ่งที่นายจิม จดนะ คือ คนนี้ เรียก ประจำ เวลาใด ที่ไหน
พอ ผมไปส่งผู้ดดยสาร ย่านนั้นเวลาใกล้เคียง ช้าเร็วไม่เกิน 20 นาที เสร็จนายจิม ละ เลี้ยวขวับไปเลย ไป ว.10 นิ่งๆๆ แถวนั้น ว. 10 คือ จอดนิ่งๆๆ ผมแอบจอดนะ ห่างกันสัก 100 เมตร ไม่ให้เจ้าของบ้านเห็น เดี๋ยวถ้าเห็นจะเรียกเราอดได้ค่า ว. 20บาท

พอศูนย์ ว เรียกมา เสียงตาเปียก นครชัย ผมขับรหัส 626 มีท่านผู้ใด จะ ว.4 ว30 ที่......บ้าง ว.4 หมายถึงปฎิบัติงาน ว 30 หมายถึง ลูกค้า ผมรีบกดตอบกลับ 626 ว 10 นิ่งแล้วหน้า ว 30

หมายถึงว่า ผมได้จอดรอนิ่ง ๆ แล้วหน้าบ้านลูกค้า เสร็จโจร ไป 1 ราย เพื่อนคนอื่นแห้วรับประทาน

คืนนั้น ปรากฎว่า ผมรับมา 3 ว. ลูกค้า ว. ส่วนมาก เป็นคนชั้นมีกะตังค์หน่อย ขึ้นมาไม่รอช้า ปิด ว.หนวกหู เปิด 105.5 นะ เพื่อบ่งบอกว่า รสนิยม คนขับไม่ทำมะดา
อะคุณ...ผู้โดยสารท่านนั้นส่งเสียง ผมตอบมีอะไรให้รับใช้ครับ ผมไม่กล้ามองกระจกหลังเสียมารยาท

คุณฟัง คลื่นนี้ด้วยหรือ ครับผม ผมชอบเพลงสากลครับ ท่าทางคุณไม่เหมือนคนขับแท็กซี่ทั่วไปนะ

ป่าวครับผมก็คนขับทั่วไปเหมือนคนอื่นเค้านั้นแหละ ไม่หรอกฉัน ดูออกนะ ผมหัวเราะแห้งๆๆ ผู้โดยสารถามต่อ ก่อนหน้านี้คุณทำอะไรละ
ผมก็บอกเค้าว่าผมมีกิจการตนเอง แต่ไปไม่รอด อ้าว......ทำไมละ
ผมบอกว่าผมมีปัญหาครอบครัว แฟนฟนีไปทิ้งลูกไว้ให้ผมเลี้ยง

เสียใจด้วยนะ น่าสุ้ สุ้ นะคุณ ขอบคุณ ครับ ผมตอบ จากนั้นต่างคนต่างเงียบ

พอส่งเสร็จ ผู้โดยสารยื่นค่าโดยสารให้ เป็นแบ้งค์ 100 สองใบ ไม่ต้องทอนนะ ผมตอบขอบคุณครับแต่ค่าโดยสารประมาณ 100 กว่าบาท + ค่า ว20 เอง เยอะไปหรือเปล่าครับ เอาไปเถอะฉันให้ลูกคุณ ไปกินหนม

พี่น้องแท็กซี่ ครับ การขายบริการ เราต้องขายทุกอย่างในตัวเราครับ รสนิยม คำพูดคำจา กระจกหลังห้ามมองนะครับ ให้เกียตริ ผู้โดยสาร แล้ว ทิป จะไหล แบบนายจิม ครับ

เมือยนิ้ว แระ เดวท่อนหน้ามา ถึงว่าเมื่อนายจิม เจอ โจร จะทำอย่างไร

คืนนึง ประมาณ 4 ทุ่มเห็นจะได้ ที่หน้าโรงแรมบอส ถนนรัตนาธิเบศ ผมรับผู้โดยสารแต่งตัวเรียบร้อย 1 ท่าน ถือแฮนด์แบ้คมาด้วย ใบนึง พี่ครับ พี่ไปบางเลนไหมครับ ไปซิครับ ผมให้พี่ 1 พันนะ อะ ได้ราคาดีสะด้วยผมนึกในใจ
ทำไมให้เยอะจังผมถาม เค้าตอบว่าไม่มีใครอยากไปนะครับ ด้วยความงกของผม อยากได้ตังค์นะ ไปครับเชิญเลย ครับ
ผู้โดยสารท่านั้นนั่งเบาะหลัง ด้านหลังผม ผมไม่ได้คิดไรมาก เพราะเรามือใหม่พึ่งขับได้เดือนกว่าๆเอง
ขับไปคุยกันไปเรื่อยเปื่อย จนเลยไทรน้อยไป ไม่มีไรทางเริ่มเงียบสงัดขึ้น ไปเรื่อย รถบางตาลง เงียบจริงๆครับพี่น้อง ผมดูป้ายบอกหลักกิโล ว่า อีก 15 กิโลถึงบางเลน ผู้โดยสารท่านั้นบอกว่า พี่ครับเลี้ยวลงถนนข้างหน้าซ้ายมือนั้นแหละ

ลูกค้าเริ่มถามละ...พี่ พี่มาอย่างงี้ไม่กลัวโจรมั่งหรือ เอาละซิ ไอ้นี่ถามแปลกวุ้ยส์......ผมชักเสียวสันหลังแระ เก่งไรได้เก่งกะโจร ถ้ามันเป็นโจรทำไงหว่า ไอ้จิม นะไอ้ จิม เพราะความงกมึงเป็นเหตุ แท้ๆๆ

สมองอันไวเหมือนลิงของผมเริ่มแระ ปากไรไม่ร้ายเท่าปากคน ผมเจรจาเลย พี่ครับผมกลัวอดตายนะ ผมตอบด้วยท่าทางไม่สะทกสะท้าน

แล้วถ้าผมเป็นโจรละพี่จะว่าอย่างไร เอาละซิ ไอ้นี่มึงรุกกูเข้าแล้ว อ๋อ ถ้าพี่เป็นโจร ผมขอบอกได้เลยพี่เป็นโจรที่โง่มาก

ว่าแล้วผู้โดยสารของผมมันไม่ตอบ แต่มันชักปืนออกมาพร้อมขยับตัวมานั่งตรงกลางแล้วเอาปืนเคาะเบาะ

ผมถามต่อทำใจดีสู้เสือ ตกลงพี่เป็นโจรจริงๆใช่ไหม ใช่ผมปล้นคุณ แน่นอน เอากับมันดิ เอากูแน่วุ้ยส์ ไอ้นี่

สมองผมเริ่มสั่ง คติพจน์อันนึง เสือย่อมไม่กินเนื้อเสือ วิ่งปรู้ดมาในสมองทันใด

ดีเลยพี่ ปล้นๆผมไปเลย ชีวิตผมมันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ลืมบอกไปว่าระหว่างทางผมเล่าชีวิตรันทดให้มันฟังงะ

ผมมาขับแท็กซี่เถ้าแก่แม่มก็งี่เง่า ให้ซ่อมรถไม่ยอมซ่อม ทีค่าเช่าจะเอาผมเริ่มด่าเถ้าแก่ให้มันฟัง พี่อยากปล้น ปลบ้นไปเลย เอารถไปด้วยนะ แล้วพี่ช่วยผูกผมไว้ที่ต้นไม่ เอาปืนตีกบาลผมสักทีก็ ได้

พี่เอาไปขายนะ เอาเงินมาแบ่งกัน เดว ผมไปหลอกพวกแท็กซี่น่าโง่มาให้พีปล้น มันทำหน้าฉงน วุ้ยส์ แล้วมันก็ถามผมว่า ตกลง ว่ามึงเป็นโจร หรือ กูเป็นโจร ไอ้นี่ป้าดขึ้นกูมึงกะ กูสะแว้ว ถ้ามันจะส่องกบาลกูแน่ๆๆ

ครานี้ผมขึ้นกูมึงกะมันบ้าง กูบอกมึงตามตรง อย่างมึงนะกูไม่ทำที่กูมาขับแท็กซี่ นี่กูมาหาร่องรอยเหยื่อ ตอนนี้กูหิววะ ปล้นกระจอกแบบนี้ ปล้นห่าไรไม่ปล้น ปล้นแท็กซี่ ถ้ากูจะทำกูปล้นร้านทองดีกว่า หรือกูดูบ้านไหนเหมาะกูปล้นบ้านนั้นมีตังค์ ชัวร์

แววตามันเริ่มอ่อนลงเล็กน้อย มันถามต่อมาว่าแล้วถ้าเป็นมึงวางแผนอย่างไร อ้าวฉิกหาย ไอ้นี่กูเคยแต่วางแผนการตลาดแม่มจะให้กูวางแผนปล้นสะแว้ว

ผมตอบทันใด กูนะเลือกเป้าหมายหลักร้านทอง มึงเห็นไหมแม่ม่แขวนเอาไว้ อย่างน้อยก็ หลายล้าน มึงดูไอ้สันดานนั้นที่ปล้นธนาคารเอเซียแถวบางแคไหม ปล้นคนเดียว เรื่องไม่ปูด ตอนนี้ตำรวจยังตามจับไม่ได้ เพราะฉะนั้น กูปล้นเดี่ยว

เอาละซิ มันเริ่มฟัง ผมนึกในใจมึงคงลืมแล้วมั้งที่จะปล้นกู เริ่มเข้าทางเสือ จิม แหะ

คนอย่างกูไม่ปล้นหรอก ในสิ่งที่มองไม่เห็น กูต้องเห็นของก่อนว่าคุ้มป่าว พลาดท่าเสียทีลุกเมียกูสบาย คู้มหน่อยวะ

ผมเริ่มสะกดจิต มันแระ แบบแยบคาย

หูมันฟังผม แต่ปืนยังอยู่ที่หมอนรองหัวผม ปล้นแท็กซี่หรอ ไม่มีอยู่ในหัวสมองกู คนขับแท็กซี่แม่มวิ่งทั้งวันได้ตังคื อย่างมากพันเดว

ครานี้ มันบอกให้ผมหันหัวรถ ไปอีกทางในทางลูกรังอันนั้น เฮ้ย มึงเลี้ยวตรงขวามือนั่น แล้วจอด อ้าว ไอ้เวงนี่ มึงจะเชือดกู ตรงนี้ไงหว่า ผมคิดในใจ ติ้กต้อก เหงื่อมือ ผมเริ่มออกแระ ผมแอบเอามือขวา ละจากพวงมาลัยมากำ ไขควง อันยาวประมาณ 10 นิ้ว ที่ผมเสียบไว้ข้างแผงประตู

แม่ทิพย์ นักธุรกิจที่ดี เค้าไม่ลงทุนเองดอกครับ คนไทยชอบเข้าใจผิด กับคำว่านักธุรกิจ พ่อค้า นักลงทุน ไม่เหมือนกันครับ

จอด กุบอกให้มึงจอด ได้ยินมั้ย ผมเบรครถ กึก ทันใด กูไม่อยากฟัง บอกให้พอ

ผมควักเงินจากกระเป๋าทันใด เอาไปเลย ผมฟาดเงินบนเบาะรถ มีประมาณ 300 บาทยับยู่ยี่เชวแบ้งค์ผม กูมีเท่านี้มึงเอาไปเลย พึ่งออกรถมาแม่มเอ้ย รถเอี้ยไรเสียได้เสียดีกูว่าจะไปหาเหยื่อสักหน่อย แม่ม่ มาเจอมึงซวยเจงๆๆ

เอานี่กุญแจรถ มึงมัดกูด้วยต้นไม่ต้นนั้นแระ รีบชิงตัดบทสะก่อนที่มันจะยิงกบาลผม
มึงเอามาให้กูทำไม เสียอารมย์ พูดห่าไรก็ไม่รู้ มันตอบผม อ้าวเป็นงั้นไป นี่กูรำคาญมึงเต็มที่แระ นี่เอาไปค่าโดยสารกู ว่าแล้วมันโยนตังค์มาให้ผม 1200
มึงลำบากมากใช่ไหม กูนะเป็นโจร จะปล้น โจร อย่างมึงทำไม โจรเอี้ยไร กระจอกฉิบหามาขับแท็กซี่หาเหยื่อ ช้าไม่ทันแดก แล้วอย่างงี้กว่ามึงจะปล้นได้ ลูกมึงมิอดตายหรอ ไอ้ 200 นะ มึงเอาไปให้ลูกมึงไปโรงเรียน ไปรำคาญ ปากมึงอย่าโป้งละมึง กูตามไปเช้คบิลมึงแน่ กูจำรถมึงได้ เอี้ย เอ่ญ เสียอารมย์ หมด ว่าแล้วมันก็เดินงุดๆๆ เข้าไปในดงไม้และเงามืดที่นั่น ผมยังจำทางได้นะครับจนถึงบัดนี้ ว่ามีโค้งยาว ๆก่อนถึงบางเลนตรงนั้นแหละ

กินข้าวก่อนครับ เดี๋ยวมาดูว่า ไอ้คนขับแท็กซี่ อย่างผมจะกลายเป็นผู้นำเข้าอุปกรณ์ แกส รถยนต์ ได้อย่างไร
ผมปุเลง ปุเลง รถ ว. คันนั้น ได้สองเดือน ขับกลางคืนพอ 4 ทุ่มเริ่มหาผู้โดยสารยากส์แล้ว
ถ้าผมใกล้ปากเกร็ด ผมก้จะมาแหมะตรงกันข้ามกับเมเจอร์ปากเกร็ด คนมาลงรถฝั่งตรงกันข้าม เพียบเลย ข้ามถนนมาต่อแท็กซี่ สีทุ่มไปแล้วตำรวจใจดีให้จอดได้ ถึงไม่ให้จอดนายจิม คนมีเส้นมะกัว อิอิ
ผมเห็นคนมาขึ้นแท็กซี่ขึ้นไม่เป็นระเบียบ รถคันไหนวิ่งมาโฉบได้โฉบดี มั่วตั้วกันไปหมด จากประสพการณ์ถูกปล้น ผมเริ่มมาคิดว่าทำอย่างไรให้ผู้โดยสาร และคนขับรถ ปลอดภัยทั้งคู่ เพราะคนที่ต่อรถส่วนมากออกไปทางปทุมธานี มันค่อนข้างเปลี่ยว อันตรายด้วยกันทั้งสองฝ่าย

นายจิมเริ่มคิดละ ด้วยนิสัยส่วนตัวผมรักงานบริการอยู่แล้ว เริ่มติ้กต้อก ผมจอดตรงนั้นมาเกือบเดือนเริ่มคุ้นกับเพื่อนๆที่แหมะตรงนั้นแล้ว พอดีมีพี่ที่คนแถวนั้นับถือ เค้าเปิดร้านขายแผ่นวีดีโอ ก็เลยจับกลุ่มกันดูหนังแผ่น รอเวลา ผู้โดยสารเรียก ผมได้ทีเลยเสนอความเห้นว่า เราน่าจะทำเป็นวินนะ แล้วบอกวัตถุประสงค์ ไปว่า

เราจะเป็นวินรุ่นใหม่ รถต่างถิ่นมาให้จอดได้ที่เขาที่เรา เวลาเราไปที่อื่นย่านนั้นของเค้าเราจะได้จอดที่วินเค้าได้

เริ่มสร้างโครงข่ายแล้วนายจิม .... ผมบอกว่ารถที่จะรับผู้โดยสารตรงนี้ ต้องจดทะเบียน ชื่อคนขับ เบอร์โทร ทุกคน มาก่อนไปก่อน มาหลังไปหลัง รถที่ไหนหลงมาอยากได้ติดปลายนวมสักเที่ยวมะมีปังหา

ผู้โดยสารจะขึ้นรถเราแนะนำตัวเองแต่งตัวดีหน่อย อาศัยร้านพี่ที่เค้าขายวีดีโอนั้นแหละเป็นจุดปล่อยรถ

แหะๆๆเข้าท่ายัง ...ผู้โดยสารส่วนใหญ่ ขาประจำ เราขอเบอร์โทร ชื่อ เค้าไว้ และสถานที่จะไปส่ง จดลงสมุด ผมฝากสมุดไว้ร้านวีดีโอนั้นประจำ

ผู้โดยสารท่านไหนไม่สะดวก ให้เราไม่ว่าแต่เราบอกเค้าว่าเผื่อพี่ลืมของลืมอะไรเราจะได้ตามได้ไงครับ

ผมทำอย่างนี้ทำให้ผมมีเพื่อนแท็กซี่ ต่างถิ่นเยอะ และเยอะมาก พี่แกปุเลงมาจากไหนไม่รู้เฃ้ามาแหมะ ผมเข้าไปถาม จดชื่อทะเบียนรถ แล้วบอกว่าระเบียบการจอดที่นี่ไม่มีค่าวิน มีแต่น้ำใจให้กันเพื่อนร่วมอาชีพ เพียงแต่ขอว่าเวลาพวกผมหลงไปแถวถิ่นพี่เจอกันทักทายกันบ้าง ไม่มีผู้โดยสารกลับช่วยสงเคราะห์หาที่จอดให้ด้วย

ด้วยความตั้งใจจริงอันนี้แหละ วันนึงผมไปส่งผู้โดยสารทีแหลมฟ้าฝ่า พระประแดง ตอน 4 ทุ่ม ขากลับทำไงหว่า หมาเห่าเกรียวยันปากเกร็ดแน่เลยเรา

อะได้การมีแยกที่นึงทำเลเหมาะ ก่อนเข้าแหลมจะมีสามแยกอยู่ผมจำไม่ได้แระแยกอะไร

มีวินแท็กซี่ด้วย ผมจอดก่อนถึงวินสัก 20 เมตร คว้ากระทิงแดง ไม่ใช่ผมเปลี่ยนแบรนด์ละ เอม 150 ไปขวดนึง ลงรถ ไปเดินต้อกๆๆ ไปถามเพื่อนแท็กซี่ด้วยกันว่า พี่ครับพี่ พี่คนไหนหัวหน้าวิน

นู้นคนนู้นตัวใหญ่หน่อย พี่เค้าขาใหญ่ที่นี่ ผมเดิืนไปหายกมือไหว้ ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ

พี่ครับขอผมจอดสักเที่ยวนะครับ ผมมาไกลมาจากปากเกร็ด รถพึ่งซ่อมเสร้จออกจากอู่ก็ ได้เที่ยวแรกมายันนี้ ตอนนี้ผู้โดยสารวายแล้ว

สงสัยวันนี้ผมติดค่าเช่าแน่ นะพี่นะ ผมยกมือไหว้อีกครั้ง อะได้การแหะ เค้าทำท่าคิด พอดี มีเสียงตะโกน จากข้างหลัง เฮ้ย พี่ โบ้ มางี้ได้ไงละ ผมหันไปดู ผมจำไม่ได้นะ ขอโทษครับ ผมจำไม่ได้ ป้าด พี่นี่ อาทิตย์ที่แล้วผมหลุดไปแถวปากเกร็ด พี่ยังจับผู้โดยสารให้ผมเลย

ว่าแล้วเจ้าคนนี้ ผมจำชื่อไม่ได้นะครับขนาดหน้าเค้าผมยังจำไม่ได้
พี่ๆๆ เค้าตะโกนบอกพี่คุมวิน ว่า ให้พี่เค้าจอดเถอะหาให้เค้าก่อนเลยพี่ เอาเข้าเมืองเค้าจะได้กลับบ้าน รู้จักกันหรือ หัวหน้าวินถาม พี่คนขับแท็กซี่คนนั้นตอบว่า พี่เค้าใจดี หาผู้โดยสารให้นะ ตอนที่ผมไปปากเกร็ด

ได้ๆๆเดวจัดให้ ดีเหมือนกัน หัวหน้าวินบอก หาเที่ยวยาว เค้าจะได้ไม่ต้องมาอีก ดู ดู มันพุดดิ ปากหรือตูดวะเนี่ย ผมนึกในใจ

และแล้วคืนนั้นผมได้ขายาวมานี่เลย แถว จรัญสนิทวงศ์ รอดตัวไปแหะ