จริงครับ...
จาิกเรื่อง บุหรี่ ม้วนเดี่ยว...
เรื่องก็ลุกลามบานปลายอย่างที่กล่าวไว้แล้วในบทความก่อน
ผลจากเรื่องนั้น ทำให้ญี่ปุ่นต้องปรับปรุงความสัมพันธ์กันอย่างยกกระปิครับ
เริ่ม ตั้งแต่ต้นปี 2486 ก็ยกกระปิกันเลยครับ
จากบทความของ ความทรงจำของ นายพล นากามูระ
ผู้บังคับบัญชากองกำลัง ญี่ปุ่นในไทย แทน นายพล ทานากะ จนสิ้นสุดสงคราม
ท่านนายพล กล่าวว่า ในงานฉลองปีใหม่ 1 มค. 2486 นั้น
ท่าน นายก โตโจ ได้เดินมาหาท่านแล้วเรียกไปคุยเป็นการส่วนตัว
กล่าวว่า คุณ จะได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ไปประจำที่ประเทศไทย
แล้วกล่าวต่อไปว่า ภาระกิจนี้ สมเด็จพระจักพรรดิ์ให้ความสนใจเป็นพิเศษ
คุณ ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ เป็นคำกล่าวสั้น ๆ ง่าย ๆ
ท่านกล่าวว่าท่านรู้สึกสร่างเมาแล้วกล่าวตอบไปว่า
" กระผมจะไปอย่างพระโพธิสัตว์ "
เป็นคำตอบที่ไม่ค่อยปกตินัก ท่านโตโจยิ้มแล้วก็บอกว่า "เออ..ดีแล้ว ๆ"
การมาของ นายพล นากามูระ นั้น สิ่งแรก ๆ ที่ทำคือ
คำสั่งห้ามตบหน้าก็ได้มีการบังคับใช้ในทันที และ ก็คืน ม.จุฬา ให้กับไทย
ปัญหาหนี้สิ้น ที่ญึ่ปุ่นติดค้าง ไทยในการทำศึกกับมาลายู ก็เริ่มดำเนินการ
มันเป็นหนี้ก้อนใหญ่ จน สิ้นสุดสงครามแล้วก็ยังต้องชำระกันอยู่
ให้ความรู้แก่ทหารที่ประจำการโดยจัดทำคู่มือ แจกแก่ทหารทุกคน
ที่ประจำการในประเทศไทย ในหนังสือกล่าวไว้ เช่น
- สถานะของพระภิษุ สงฆ์
- การตบหน้าหรือศรีษะ เป็นสิ่งต้องห้าม
- การเปลือยกาย ในที่สาธารณะ เช่น ในตู้รถไฟ สถานีรถไฟ ไม่เหมาะสม
- การปัสวะ ข้างทางโดยไม่ลับตาคน ไม่เหมาะสม
ฯลฯ
* หลังแพ้สงคราม มีทหารญี่ปุ่น ที่เรือนจำ ซูกาโมะ ในคดีที่เกี่ยวกับ
เชลยสงคราม มากกว่าครึ่ง เป็นคดี ตบหน้าเชลย
แต่ถึงกระนั้นความระแวงแครงใจระหว่าง ไทยกับญี่ปุ่น ก็ยังมีอยู่ เช่น
เหตุการที่ระนอง...
รบ. จอมพล ป. ลาออกไป กรุงเทพฯ อยู่ในภาวะตึงเครียด
ข่าวนี้กระจายกันไปทั่วกองทัพญี่ปุ่น
กลางดึกคืนหนึ่ง กองกำลัง ซิราตากิ กองทัพที่ 29 ได้รับรายงาน
ไม่ได้อ่านดูให้ถี่ถ้วน เข้าใจว่า กทม. เกิดการปะทะกัน ระหว่าง ไทย-ญี่ปุ่น
จึงเข้าทำการปลดอาวุธกองกำลังตำรวจ
ทำให้ฝ่ายไทย เสียชีวิต 10 กว่า คน
แต่ทางฝ่ายไทยไม่ได้ติดใจเพราะเป็นความเข้าใจผิด เรื่องก็จบไป
***
ในการแพ้สงครามของญึ่ปุ่นนั้น
ทหารญี่ปุ่น มากกว่า 1 แสน นาย ยังต้องอยู่ในประเทศไทยระยะหนึ่งก่อน
ที่กระบวนการส่งกลับประเทศจะดำเนินการเสร็จสิ้น
เป็นการสิ้นสุด กองบัญชาการกองทัพที่ 18 " งิ "
ท่านนายพล นากามูระ กล่าวไว้ว่า
ไทยเป็นชาติเดียวในโลกที่แสดงมิตรไมตรีต่อ ญี่ปุ่นผู้แพ้
***
การแสดงออกนั้น ไม่ได้มีเฉพาะแต่ รบ. ไทย เท่านั้น
แต่ยังร่วมถึงประชาชนคนไทยด้วย
ดังตัวอย่างที่ท่านกล่าวไว้
- หญิงชราขายกล้วย ให้กล้วยกับเชลยทหารญี่ปุ่น ที่เหนือยล้าจากการเกณแรงงาน
- ตร. นำเชลยทหารญี่ปุ่นที่เหนือยล้า ออกจากแ้ถวให้พักดืมกาแฟและนมที่ร้านค้าแถวนั้น
- คนขับรถโดยสาร ให้เชลยทหารญี่ปุ่นโดยสารไปจะได้ไม่เหนือยมาก โดยไม่คิดค่าโดยสาร
ฯลฯ
เรื่องแบบนี้มีเกิดขึ้นทุกวัน ท่านนายพล นากามูระ กล่าวไว้
ไม่ทราบว่าของขึ้นหรืออย่างไร
หรือเที่ยวไปบอกกันว่า ไฮ้...ตบพระไทยนี่มันมือจริงๆ...ข้าล่อไป ๓ ฉาดยังติดใจอยู่
พวกเราไปตบมันอีกไหม ปรากฏว่าพอตกเวลาประมาณ ๒ ทุ่ม ทหารญี่ปุ่นคนหนึ่งก็ถือไม้หน้า
๓ ขึ้นไปบนศาลาวัดดอนตูม
เล่นเอากรรมกรไทยที่เพิ่งกลับมาจากการร้องเรียนตกใจกันยกใหญ่
แต่ก็ไม่มีใครหาเรื่องตอบโต้ทหารญี่ปุ่นของขึ้นคนนี้
แต่เรื่องกลับไม่จบลงแค่นั้น
เมื่อเห็นว่า คนไทยไม่ตอแยด้วย
ทหารญี่ปุ่นคนนั้นหายไปพักหนึ่งก็กลับมากับเพื่อนทหารญี่ปุ่นอีก ๒ คน
คราวนี้นอกจากไม้หน้า ๓ แล้วยังมีปืนยาวแถมมาด้วย
กรรมกรคนหนึ่งทนไม่ไหวเพราะหยามหน้ากันเกินไปจึงใช้อาวุธร้ายทันสมัยแบบอเนกประสงค์คือท่อนไม้ขนาดพองาม
(อาจเป็นสากกระเบือ-บันทึกไม่ได้ระบุชัด ผมเดาเอาเอง) ปาเข้าใส่ทหารญี่ปุ่น
แต่ไม่ถูกเนื่องจากไม่มีระบบนำวิถีที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
ฝ่ายทหารญี่ปุ่นเห็นดังนั้น
จึงร้องเป็นภาษาญี่ปุ่นแล้วล่าถอยกลับไปด้วยหวาดเกรงอาวุธร้ายทันสมัยของกรรมกรไทย
แต่อีกเพียง ๕ นาทีต่อมาก็กลับมากัน ๑๐ กว่าคน พอมาถึงศาลาวัดก็ยิงปืนเข้าใส่
คนไทยเห็นดังนั้นจึงต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอดพร้อมเสียงบ่นว่าอย่างนี้ไม่แฟร์
ทหารญี่ปุ่นเห็นเป็นต่อและไม่มีการโต้ตอบด้วยอาวุธใด ๆ ก็ยิ่งได้ใจจึงยิงปืนใส่และวิ่งกวดคนไทยไปรอบ ๆ บริเวณวัดนานนับชั่วโมง
แต่ในที่สุดเมื่อตั้งสติได้และกำลังจะหมดแรงจึงนึกถึงวีรกรรมชาวบางระจันขึ้นมาได้
ฝ่ายไทยจึงหันกลับตั้งหลักแล้วพากันคว้าจอบเสียมที่พอหาได้เตรียมตัวเข้าประจัญบาน
แบบเลือดทาแผ่นดิน
แต่เรื่องร้ายก็จบลงเมื่อร้อยตรี โยชิดะ
นายทหารญี่ปุ่นพร้อมด้วยผู้บังคับกองตำรวจไทยและนายอำเภอบ้านโป่งเดินทางมาถึงและระงับเหตุลงได้
ท่ามกลางความฮึดฮัดของทหารญี่ปุ่นและคนไทยที่ถูกรังแก เกียรติตำรวจของไทย เรื่องไม่จบลงแค่นั้น
เพราะพอเวลาประมาณใกล้สองยาม ฝ่ายญี่ปุ่นก็ส่งทหารมาเพิ่มเติมจากกาญจนบุรีประมาณ
๔-๕ คันรถ ตรงไปยังวัดดอนตูม ๒ คัน และเลยไปที่ริมน้ำ ๑ คัน ส่วน ๒
คันสุดท้ายซึ่งเป็นรถบรรทุกคันหนึ่งกับรถนั่งอีกคันหนึ่งก็วิ่งตามกันมาแล้วหยุดลงที่หน้าสถานีตำรวจบ้านโป่ง
ทหารญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งถือปืนตรงไปยังสถานีตำรวจ
อีกพวกหนึ่งขยายแถวยึดคันถนนตรงข้ามสถานีตำรวจ
แล้วเริ่มยิงปืนเข้าใส่ทันที
เลือดตำรวจไทยใครจะยอมให้มาหยามกันถึงบ้าน
ตำรวจบ้านโป่งก็ยิงสู้แบบถวายชีวิต การยิงต่อสู้กินเวลาช่วงสั้น ๆ แค่ประมาณ ๒-๓ นาที
ฝ่ายญี่ปุ่นก็หยุดยิงแล้วร้องบันไซข่มขู่แต่กลับพากันล่าถอยไป
เพราะปรากฏว่า
นายทหารญี่ปุ่นตายไป ๑ และพลทหารตายไป ๔
...สมน้ำหน้ามัน
เมื่อสู้ตำรวจไทยไม่ได้
ทหารญี่ปุ่นจึงใช้วิธีกวาดต้อนจับกุมกรรมกรไทยทั้งชายและหญิงรวมทั้งเด็กซึ่งไม่มีทางสู้ไป
๓๑ คน (สู้มันยาก เพราะสากกระเบือถูกขว้างหมดคลังแสงไปแต่แรกแล้ว) นอกจากนั้น
รอบ ๆ วัดยังมีซากศพคนไทยนอนตายเกลื่อนอยู่ ๗-๘ ศพ เท่านั้นยังไม่พอ
ทหารญี่ปุ่นยังจับกุมพระไปทั้งวัดเพื่อสอบสวนจนถึงตี ๓
ของเช้าวันใหม่และได้ปล่อยตัวออกมาเมื่อตอน ๖ โมงเช้า
เว้นสามเณรเพิ่มรูปเดียวที่ยังถูกกักขังอยู่
ส่วนกรรมกรไทยทั้งหมดนั้นถูกกักขังไว้จนถึงวันที่ ๒๔
ธันวาคมจนเสร็จสิ้นการสอบสวนแล้วจึงได้ปล่อยตัวไป ๒๐ คน แต่ก็ยังกั๊กกักตัวไว้อีก
๑๑
คน
ส่วนตัวสามเณรเพิ่มผู้เคราะห์ร้ายเพราะบุหรี่มวนเดียวเป็นเหตุนั้นได้ถูกส่งตัวให้ฝ่ายไทยควบคุมเองตามคำขอ...