วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553

เอาเรื่อง โกง ๆๆ มาให้ดูกัน ครับ...

โกงพอเพียงอีก โผล่ชัยนาท ขออะไรก็ได้กรองน้ำ

โฆษก พท. แปลกใจโครงการชุมชนพอเพียง หลังลงพื้นที่ชัยนาท พบทุจริตกว่า 40 ชุมชน ขออะไรก็ได้เครื่องกรองน้ำ 2.5แสน หมด จี้ดีเอสไอ ลงดาบ ชี้หลังเปลี่ยนอธิบดีเกียร์ว่าง อ้างเพราะรองนายกฯ-รมต.-นายกฯคนปชป.

เมื่อ วันที่ 11 ต.ค. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยยังติดตามการทุจริตโครงการชุมชนพอเพียงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดชาวจ.ชัยนาท ร้องเรียนว่าไม่ได้รับอนุมัติโครงการตามที่ขอ คณะทำงานของพรรคเพื่อไทยจึงได้ลงพื้นที่พบว่าโครงการชุมชนพอเพียงที่จ .ชัยนาทมีการ ทุจริตถึง 40 ชุมชน รวมวงเงิน 8.9 ล้านบาท เช่น ชุมชนบ้านเทพรัตน์ ต.ดงคอน อ.สรรคบุรี ได้งบ 3 แสนบาท ขอโรงสีข้าวเปลือก แต่ได้เครื่องกรองน้ำดื่มราคา 2.5 แสนบาท ชุมชนบ้านดงเทพรัตน์ ได้งบ 3.5 แสนบาท ขอเลี้ยงปลาราคา 2.8 แสนบาท และโรงงานผลิตน้ำพริกราคา 7 หมื่นบาท แต่กลับอนุมัติเครื่องกรองน้ำดื่มราคา 2.5 แสนบาท สร้างความเสียหายให้กับประชาชนและประเทศชาติ เหมือนเชื้อโรคทุจริตร้ายที่ไม่มีวันตราย โครงการชุมชนพอเพียงมีการทุจริตกระจายทั่วประเทศ และได้ยื่นให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กระทรวงยุติธรรม ตรวจสอบ แต่หลังจากเปลี่ยนอธิบดีกรมดีเอสไอ จากพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็น นายธาริต เพ็งดิษฐ์ คดีไม่คืบหน้า

นายพร้อมพงศ์ กล่าวต่อว่า ขอตั้งข้อสังเกตว่าทุจริตโครงการชุมชนพอเพียง ไม่คืบหน้า เพราะนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ รับผิดชอบโครงการนี้ เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมก็เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จึงขอให้นายกรัฐมนตรี และดีเอสไอเร่งดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้

------------------------------------------

โกงข้าวโพดฉาว

แฉ โครงการรับจำนำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของรัฐบาลส่อทุจริต อีกแล้ว หลังประธานคณะกรรมการกลางกลุ่มเกษตรแห่งประเทศไทย รับมอบอำนาจจากองค์การคลังสินค้า เข้าตรวจสอบโกดัง 5 แห่งในจังหวัดตาก พบข้าวโพดที่รับจำนำไว้สูญหายไปอื้อ บางโกดังมีทั้งสต๊อกลม ยัดไส้กระสอบด้วยซังข้าวโพด ดิน และทราย เพื่อเพิ่มน้ำหนัก แถมบางแห่งยังสมรู้ร่วมคิดกับธนาคาร ทำเครดิตเอาเงินออกมาใช้อย่างฟุ่มเฟือย ทำเป็นขบวนการใหญ่ฉ้อโกงกันมโหฬาร เตรียมแจ้งความดำเนินคดีเจ้าของโกดังขี้โกงแล้ว

พบโครงการรับจำนำ ข้าวโพดของรัฐบาลฉาวโฉ่ ส่อมีการทุจริตกันอย่างมโหฬารครั้งนี้ เปิดเผยเมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 4 ต.ค. นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ประธานคณะกรรมการกลาง กลุ่มเกษตรแห่งประเทศไทย ทำหน้าที่ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบวิธีปฏิบัติงานตามโครงการ แทรกแซงราคาสินค้าเกษตรในการรับจำนำสินค้าเกษตร ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) กระทรวงพาณิชย์ และคณะได้เดินทางมายังพื้นที่ อ.แม่สอด อ.พบพระ และ อ.แม่ระมาด จ.ตาก เพื่อตรวจสอบโกดังเก็บข้าวโพดตามโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2551/2552 จำนวน 17 แห่ง ที่ทำสัญญารับฝากข้าวโพด เพื่อตรวจดูว่ามีข้าวโพดในโกดังเก็บสินค้าตามสัญญาหรือไม่

ภายหลัง การตรวจสอบ นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม เปิดเผยว่า ได้รับการร้องเรียนจากบุคคลหลายฝ่ายเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวโพดเลี้ยง สัตว์ ปี 2551/2552 ว่า มีการจำนำสต๊อกลมบ้าง ไม่มีสินค้าบ้าง มีการแอบนำข้าวโพดไปขายก่อนบ้าง จำนวนหลายแสนตัน โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.ตาก จึงนำคณะเดินทางเข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริง จากการตรวจสอบโกดังเก็บข้าวโพด 5 แห่ง ในจำนวน 17 แห่ง ปรากฏว่าพบมีการส่อทุจริตทั้ง 5 แห่ง คือที่โกดัง หจก.ชัยสมบูรณ์ธุรกิจ เลขที่ 498 หมู่ 1 ต.พบพระ อ.พบพระ ซึ่งโครงการรับจำนำได้ฝากข้าวโพดไว้จำนวน 10,034 ตัน ผลการตรวจสอบพบว่ามีการปลอมปนนำซังข้าวโพด ทราย และดิน ยัดใส่ไว้ในกระสอบข้าวโพดจำนวนมาก และจากการประเมินเบื้องต้นคาดว่า มีข้าวโพดหายจากสต๊อกราว 2,500 ตัน จึงเข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.พบพระ และสั่งอายัดข้าวโพดทั้งหมดไว้ตรวจสอบ เพื่อประเมินความเสียหายแล้วแจ้งความเพิ่มเติม

นายอุบลศักดิ์เปิด เผยต่อไปว่า ส่วนโกดังอีก 4 แห่ง พบว่าไม่มีข้าวโพดครบตามจำนวนที่รับจำนำไว้ ขาด 3 พันตันบ้าง 4 พันตันบ้าง บางแห่งขาดไปถึง 7 พันตัน แสดงให้เห็นว่ามีการฉ้อโกงกันเป็นขบวนการ เพราะในหลักการรับจำนำ โกดังที่รับฝากจะต้องดูแลข้าวโพดให้สมบูรณ์ จำนวนสินค้าต้องอยู่ครบถ้วน การตรวจสอบครั้งนี้ยังพบว่า นอกจากข้าวโพดที่ฝากไว้ในโกดังจะปลอมปน หรือหายไปส่วนหนึ่งแล้ว ยังพบว่าเจ้าของโกดังยังนำข้าวโพดที่รับฝากไปทำเครดิตกับธนาคารเพื่อนำเงิน ออกมาใช้กันอย่างฟุ่มเฟือย สิ่งเหล่านี้ทำกันเป็นขบวนการ ธนาคารจะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ แสดงว่าธนาคารมีส่วนร่วมทุจริตด้วย ทรัพย์สินที่อยู่ในโกดังเป็นสิทธิ์ขององค์การคลังสินค้าอยู่ก่อนแล้ว รายอื่นจะมาเป็นเจ้าของไม่ได้

"การตรวจสอบในพื้นที่ จ.ตาก ครั้งนี้ จะต้องตรวจสอบโกดังในโครงการทั้ง 17 แห่ง โดยจะใช้วิธีรื้อกองข้าวโพดเพื่อค้นหาสิ่งปลอมปน และชั่งน้ำหนักตรวจสอบ จึงจะประเมินความเสียหาย ก่อนจะแจ้งความเพิ่มเติมตามกรณีไป หากข้าวโพดไม่ครบก็แจ้งข้อหาฉ้อโกง ถ้าเสียหายก็ดำเนินการฟ้องแพ่ง ซึ่งในวันที่ 5 ต.ค.นี้ ตนจะแจ้งให้ ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ร่วมตรวจสอบโกดังที่รับฝากข้าวโพดทุกแห่งเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และจะดำเนินการตรวจสอบลักษณะนี้ทั่วประเทศ เพื่อขจัดขบวนการโกงชาติบ้านเมือง" ประธานคณะกรรมการกลางฯ กล่าว

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ จ.ตาก มีโกดังที่ร่วมรับฝากข้าวโพด คือ อ.แม่สอด หจก.พืชผลสุวรรณ, หจก.อเนกธัญกิจ, หจก.ชัยอนันต์การเกษตร, หจก.สิงห์รุ่งเรืองพืชผลการเกษตร, หจก.แพสีห์แดง, หจก.เลิศรุ่งเรืองการเกษตร, สหกรณ์นิคมแม่สอด จำกัด, ร้านพะวอพืชผลและไซโล ที่ อ.แม่ระมาด สหกรณ์นิคมแม่ระมาด จำกัด, หจก.ปฎิพงษ์การเกษตร, บริษัทเพชรจินดาการเกษตร (พืชผล) จำกัด ที่ อ.วังเจ้า หจก.พรเทพอะโกร, หจก.จินดาการเกษตรและไซโล ที่ อ.พบพระ ร้าน พี.พี.ธุรกิจการเกษตร, หจก.ชัยสมบูรณ์ธุรกิจ และ หจก.ชัยอนันต์การเกษตร รวมทุกโกดังมีข้าวโพดของโครงการรับฝากอยู่จำนวนนับแสนตัน

-------------------------------------------

ปูดอีกพิรุธซื้อรถจักร-อะไหล่รถไฟ1.2พันล้าน

พท.ตี กินรายวัน ปูดอีกประมูลซื้อรถจักร-อะไหล่รถไฟ 1.2 พันล้าน พิรุธอื้อ ส่อทำผิดระเบียบจัดซื้อจัดจ้าง สงสัยสมรู้ร่วมคิด โยงใยเครือญาติบุคคลในรัฐบาล ปชป.อุ้ม"วิทยา"ชี้จี้ออกไม่เป็นธรรม ควรให้พิสูจน์ความจริงก่อน อ้าง 5 ชื่อที่แพทย์ชนบทแจ้งนายกฯไม่มี รมว.สธ. ขณะที่ รมช.ศธ.สั่ง สอศ.แจงปมยัดครุภัณฑ์วิทยาลัยอาชีวะ

@ พท.ปูดพิรุธประมูลร.ฟ.ท."1.2พันล."

น.อ.อนุ ดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. คณะทำงานสำนักงานปราบโกง (สปก.401) พรรคเพื่อไทย (พท.) แถลงเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ณ ที่ทำการ พท.ว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ออกประกาศ ร.ฟ.ท. งานการจัดซื้อรถจักรดีเซลไฟฟ้าจำนวน 7 คัน พร้อมเครื่องอะไหล่มูลค่า 1,200 ล้านบาท ซึ่ง พท.เห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวมีข้อพิรุธความน่าสงสัยในกระบวนการและขั้น ตอนการออกร่างประกาศเชิญชวนเสนอราคา (ทีโออาร์) หลายประการดังนี้ 1.ทีโออาร์ที่ออกในประกาศเว็บไซต์ของ ร.ฟ.ท.ระหว่างวันที่ 2-12 ตุลาคม ความยาว 98 หน้า เพื่อให้ประชาชนได้แสดงความคิดเห็นนั้น ในข้อ 4.9 ได้ระบุให้บริษัทที่สนใจเข้าร่วมประกวดราคา ยื่นเอกสารการประกวดราคาในวันที่ 13 ตุลาคม เวลา 10.00-11.00 น. ซึ่งในทางปฏิบัติเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีบริษัทใดมายื่นเอกสารประกวดราคาได้ ทัน เพราะหลังจากสิ้นสุดการแสดง ความคิดเห็นในวันที่ 12 ตุลาคมแล้ว ร.ฟ.ท.จะต้องนำข้อมูลทั้งหมด ในคณะกรรมการร่างประกวดราคาพิจารณาทบทวนแล้วสรุปผลเพื่อประกาศเป็นทีโออาร์ อย่างเป็นทางการ โดยมีลายเซ็นของผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. หรือประธานคณะกรรมการประกวดราคาลงนามกำกับ จึงจะถือได้ว่าทีโออาร์ฉบับนั้นสมบูรณ์ หมายความว่าถ้าวันที่ 13 ตุลาคม เวลา 10.00-11.00 น. เป็นเวลาที่กำหนดให้มีการยื่นซองประกวดราคา คณะทำงานพิจารณาร่างทีโออาร์ จะมีเวลาพิจารณาร่างดังกล่าวเพียงแค่ไม่ถึงครึ่งวัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ

@ ส่อทำขัดระเบียบจัดซื้อจัดจ้าง

2.ร่าง เอกสารประกวดราคาได้อ้างอิงประกาศฝ่ายการพัสดุ ร.ฟ.ท. ซึ่งในช่วงที่จะลงวันที่กลับเว้นไว้ ไม่ลงวันที่กำกับ แสดงให้เห็นว่าเอกสารฉบับนี้ยังไม่สมบูรณ์ รวมถึงหลักประกันตามข้อ 7 ในทีโออาร์ ก็ยังไม่ได้กำหนดระยะเวลาของการค้ำประกันซอง เพียงแต่ให้คำจำกัดความว่า ต้องค้ำประกันในระยะเวลา 180 วันเท่านั้น แต่ร่างทีโออาร์ฉบับนี้กลับไม่ได้กำหนดวันยื่นซองทางเทคนิคว่าเป็นวันที่ เท่าไหร่ ดังนั้น บริษัทที่จะเข้ามาร่วม จะไม่มีทางที่จะวางแผนในการยื่นทีโออาร์ได้เลย ซึ่งเป็นเรื่องตลกมาก 3.ระเบียบว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างของ ร.ฟ.ท. กำหนดให้การประกาศทีโออาร์ จะต้องประกาศอย่างเป็นทางการไม่น้อยกว่า 7 วันทำการ ดังนั้น การกำหนดให้ยื่นซองประกวดราคาในวันที่ 13 ตุลาคม จึงน่าจะเป็นการขัดต่อระเบียบว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างของ ร.ฟ.ท. และ 4.การยื่นซองประกวดราคา การเตรียมเอกสารในการยื่นซอง ตลอดจนการหาหลักประกันเพื่อให้ธนาคารออกหนังสือรับรองการค้ำประกัน จำนวน 50.2 ล้านบาท ไม่น่าเชื่อว่าจะมีบริษัทใดที่จะเตรียมเอกสารได้ทัน นอกจากมีหูทิพย์ ตาทิพย์ มีญาณวิเศษ ที่จะทราบล่วงหน้าว่าคณะกรรมการประกวดราคาและผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. จะพิจารณาหรือกำหนดให้ทีโออาร์ออกมาในลักษณะใด หรือมีการเปลี่ยนแปลงจากที่ร่างไว้เดิมหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องคุณสมบัติผู้ร่วมประกวดราคา

@ สงสัยโยงใยญาติคนในรัฐบาล

"พรรค เพื่อไทยจึงตั้งข้อสังเกตว่า การดำเนินการในครั้งนี้ อาจมีการส่อไปในทางสมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มบริษัทใดบริษัทหนึ่งหรือไม่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าบริษัทดังกล่าวจะมีความสัมพันธ์กับบุคคลในรัฐบาลในทาง เครือญาติ เพราะเห็นได้ชัดว่ามีการเร่งรัด ลุกลี้ลุกลนส่อไปในทางฮั้วประมูลหรือไม่ จึงขอเรียกร้องให้นายกฯตรวจสอบการดำเนินการของกระทรวงคมนาคม เพราะเป็นกระทรวงที่ต้องบริหารงบฯจากไทยเข้มแข็งซึ่งมาจากภาษีประชาชนจำนวน มาก หากใช้งบฯไม่เป็นไปตามวัตถุ ประสงค์ งบฯนี้อาจทำให้ภูมิใจไม่ไหว เพราะไทยไม่เข้มแข็งอย่างแน่นอน" น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว

---------------------------------------------

ครุภัณฑ์ฉาว ศธ.

@ รมช.ศธ.สั่งสอศ.แจงปมครุภัณฑ์

นาง สาวนริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มอบหมายให้ผู้บริหาร สอศ.ชี้แจงข้อมูล กรณีผู้บริหารวิทยาลัยอาชีวศึกษาหลายแห่ง ออกมาเปิดโปงผู้บริหาร สอศ.ทำหนังสือแจ้งไปยังวิทยาลัย ว่าได้จัดครุภัณฑ์ตามแผนพัฒนาปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2553 ที่มีวงเงิน จัดสรรให้วิทยาลัย 401 แห่งทั่วประเทศ 4,625 ล้านบาท ให้กับวิทยาลัยอาชีวะต่างๆ ใช้ในการเรียนการสอน ทั้งที่วิทยาลัยไม่ทราบเรื่องมาก่อน และไม่ได้ทำคำเสนอขอแต่อย่างใด นอกจากนี้ครุภัณฑ์หลายรายการยังแพงกว่าราคาตลาดถึง 2-3 เท่าตัวด้วย

นาง สาวนริศรากล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดเรื่องนี้ แต่ได้มอบให้ผู้บริหาร สอศ.ชี้แจงข้อมูลให้ได้รับทราบแล้ว พร้อมทั้งจะให้ชี้แจงในที่ประชุมผู้บริหารองค์กรหลักที่มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการ ศธ.เป็นประธานประชุมในวันที่ 12 ตุลาคม ด้วยว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร

@ ผอ.แฉออกสเปคไม่ตรงที่ต้องการ

ผู้ อำนวยการวิทยาลัยแห่งหนึ่งใน จ.สุพรรณ บุรี กล่าวว่า คุณลักษณะเฉพาะครุภัณฑ์หรือสเปคที่ สอศ.กำหนดมาให้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างนั้น ไม่ตรงตามความต้องการทั้งหมด อย่างในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา วิทยาลัยได้รับงบประมาณเกือบ 10 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อครุภัณฑ์ประเภทหนึ่ง แต่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรเลย ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ทำให้กลุ่มวิทยาลัยหลายแห่ง เช่น วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี (วษท.) รวมตัวกันกำหนดคุณ ลักษณะเฉพาะครุภัณฑ์ออกมาอีกชุดหนึ่ง เพื่อเสนอให้ สอศ.พิจารณาเห็นชอบให้เป็นทางเลือกหนึ่ง ทั้งนี้ ปัญหาดังกล่าวเคยเสนอในช่วงที่ นายประเสริฐ แก้วเพ็ชร เป็นรองเลขาธิการ กอศ.แล้วและนายประเสริฐได้ให้กลุ่มวิทยาลัยร่วมทำคุณลักษณะเฉพาะครุภัณฑ์ เสนอมา แต่ไม่แน่ใจว่าจะได้รับการสานต่อเรื่องนี้หรือไม่ เนื่องจากนายประเสริฐเพิ่งเกษียณอายุราชการไป

"สอศ.ได้จัดส่ง คุณลักษณะเฉพาะครุภัณฑ์มาให้พร้อมได้กำหนดให้ดำเนินการจัดซื้อให้เสร็จภายใน วันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งผมยังไม่ได้ดำเนินการอะไร เพราะอยากจะรอคุณลักษณะเฉพาะครุภัณฑ์อีกชุดและอยากให้แต่ละวิทยาลัยอย่า เพิ่งรีบจัดซื้อควรจะรอก่อน ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นปัญหาเดิมซื้อมาแล้วไม่ตรงตามความต้องการของอาจารย์ผู้ สอน" ผอ.วิทยาลัยคนเดิมกล่าว

------------------------------------------------

ปลอมปนข้าวแจกให้เกษตรกร

@ พท.จี้รมว.เกษตรฯหามือปลอมข้าว

ส่วน เรื่องการแจกพันธุ์ข้าวหอมมะลิให้กับเกษตรกร จ.ยโสธร ที่อาจมีการปลอมปนนั้น นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พท.แถลงว่า ที่นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงว่าการดำเนินการเป็นการใช้งบประมาณ ประจำปี 2552 จากงบฯแปรญัตติ ซึ่งจังหวัดยโสธร โดยผู้ว่าราชการจังหวัดได้ลงนามบันทึกข้อตกลงการซื้อขายเมล็ดพันธุ์ข้าวหอม มะลิ 105 กับอธิบดีกรมการข้าว และกรมการข้าวได้จัดส่งเมล็ดพันธุ์ดังกล่าวให้กับจังหวัดในวันที่ 30 เมษายน ด้วยงบประมาณ 26 ล้านบาท และที่อธิบดีกรมการข้าวออกมายืนยันคุณภาพและมาตรฐานเมล็ดพันธุ์ และเชื่อว่าหากเป็นเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิของกรมการข้าว จะไม่มีการปลอมปนอย่างเด็ดขาดนั้น ขอยืนยันว่าพรรคไม่ได้มีความสงสัยในคุณภาพของเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ออกมา จากกรมการข้าวแต่อย่างใด แต่จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในนาข้าวเกษตรจังหวัดยโสธร ที่ได้รับเมล็ดพันธุ์ในโครงการดังกล่าวแล้วนำไปปลูก พบว่า มีต้นข้าวออกรวงก่อนกำหนดถึงร้อยละ 50 ของแปลง ในขณะที่ต้นข้าวที่เหลือยังไม่ตั้งท้องด้วยซ้ำ ถือเป็นความเสียหายของเกษตรกร เพราะไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ หรือหากเก็บเกี่ยวก็ต้องทำลายต้นข้าวที่เหลือไปด้วย นอกจากนี้ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายโดยไม่สามารถขายข้าวได้คุ้มกับต้นทุน 3,000 บาท/ไร่ ดังนั้น แทนที่กระทรวงเกษตรฯและผู้เกี่ยวข้อง จะรีบแย่งกันออกมาตอบโต้ ขอเรียกร้องให้รีบเข้าไปแก้ไขปัญหาเกษตรกรที่เดือดร้อนจะดีกว่า และควรรีบสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดที่นำเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ปลอมปนไปแจกเกษตรกร เพื่อนำมาลงโทษ โดยเร็ว "ขอตั้งข้อสังเกตว่า เมล็ดพันธุ์ข้าว ไม่ได้มาจากการผลิตของกรมการข้าวทั้งหมด เชื่อได้ว่ามีการนำเมล็ดข้าวอื่นมาปลอมปนในภายหลังในการจัดซื้อจัดจ้างหลัง จากนั้นหรือไม่" นายการุณกล่าว

@ ข้องใจปลอมปนของกรมการข้าว

น.อ.อนุ ดิษฐ์ นาครทรรพ กล่าวว่า ยืนยันว่าต้นทางที่มาจากกรมการข้าว ใส่ถุงมามีมาตรฐานที่สูงมาก มีความสมบูรณ์ถึงร้อยละ 99.08 ดังนั้น ปัญหาน่าจะเกิดขึ้นเมื่อมีการ ส่งพันธุ์ข้าวมายังจังหวัด เพราะเป็นที่น่าสังเกตว่าขนาดบรรจุถุงจากกรมการข้าว มีน้ำหนัก 25-50-100 กิโลกรัมต่อ 1 ถุง แต่เมื่อมาถึงจังหวัด มีนโยบายแจกให้เกษตรกรรายละ 30 กิโลกรัม ดังนั้น จึงต้องแกะแล้วตักแบ่ง เชื่อว่าไม่ได้เป็นการปนพันธุ์อื่นเข้ามา แต่เป็นการนำพันธุ์หอมมะลิที่ไม่ได้มาจากกรมการข้าวเข้ามามากกว่า ส่วนที่พรรคชาติไทยพัฒนาเรียกร้องหากตรวจสอบแล้วไม่มีการปลอมปน จะขอโทษหรือไม่ ยืนยันว่าถ้าตรวจสอบแล้วไม่มีปัญหา พท.พร้อมขอโทษพรรคชาติไทยพัฒนา แต่ขอให้มีการลงพื้นที่ตรวจสอบด้วย ต้องบอกได้ว่ามีเมล็ด พันธุ์ข้าวมาปลอมปนในบรรจุภัณฑ์ของกรมการข้าวได้อย่างไร แต่เมื่อปรากฏรายละเอียดขนาดนี้ก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องขอโทษ เพราะชัดเจน ขอให้รีบไปแก้ไข ดีกว่า

นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พท. กล่าวว่า พื้นที่อำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งของตนมีปัญหามาก มีการไปแจกเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิ นายก อบต. เชิญโรงสีไปดูเมล็ดพันธุ์ที่แจก โรงสีบอกเลยว่าเป็นการปลอมปน เคยบอกไปยังผู้ว่าฯก็ได้แต่ตั้งกรรม การสอบ แต่ไม่มีความคืบหน้าอะไร

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า ในการแถลงข่าวสมาชิก พท. นำเพาเวอร์พอยท์มาฉายประกอบด้วย เป็นภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวนาข้าวที่อ้างว่าอยู่ในจังหวัดยโสธร โดยมีการเปรียบเทียบระหว่างนาข้าวที่ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ไม่มีการปลอมปน ซึ่งข้าวออกรวงพร้อมกันเต็มผืนนา ขณะที่นาที่มีการปลอมปนเมล็ดพันธุ์จะออกรวงไม่สม่ำเสมอ เป็นด่างๆ อีกทั้งยังออกรวงไม่ครบ 12 รวงใน 1 กออีกด้วย

------------------------------------------

ทุจริตโครงการไทยเข้มแข็ง สธ.

@ กก.สอบสธ.ยันมีอิสระคุ้ยจัดซื้อ

ขณะ ที่ปัญหางบประมาณตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ภายหลังชมรมแพทย์ชนบทแสดงความเห็นว่าคณะกรรมการตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้าง ครุภัณฑ์ทางการแพทย์ อาจไม่กล้าสาวถึงตัวผู้บงการที่แท้จริง เนื่องจากจะมีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการประจำในสังกัด สธ. หลายตำแหน่งในเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ยังระบุว่ามีการให้ผู้ตรวจราชการลงไปเกลี้ยกล่อมให้โรงพยาบาลใน พื้นที่ยืนยันความต้องการครุภัณฑ์ทางการแพทย์ตามบัญชีเดิมนั้น

นพ.เสรี หงษ์หยก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กล่าวว่า คณะกรรมการทุกคน เมื่อได้รับความไว้วางใจก็ตั้งใจทำงานอย่างตรงไปตรงมา ทุกคนมีอิสระในการสอบข้อเท็จจริงบนพื้นฐานของข้อกฎหมาย ระเบียบ ธรรมา ภิบาล และให้ความเป็นธรรมต่อผู้ถูกพาดพิงทุกคน ส่วนที่ นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท ให้สัมภาษณ์ว่ามีข้อมูลและรายชื่อที่ได้เปิดเผยต่อนายกรัฐมนตรีไปแล้วเมื่อ ต้นสัปดาห์ ก็ขอให้ส่งหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรไปที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงชุด นี้ด้วย เพื่อคณะกรรมการจะได้ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

@ เร่งผู้ตรวจ18เขตสรุปรายมีปัญหา

นพ.ชู วิทย์ ลิขิตยิ่งวรา หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า หลังจากที่ สธ.ดำเนินการภายใต้หลักประกันสุขภาพ มุ่งให้ประชาชนได้รับบริการถ้วนหน้า สถานบริการสาธารณสุขไม่ได้รับงบประมาณในการจัดซื้อครุภัณฑ์และสิ่งก่อสร้าง มานานหลายปี ขณะนี้นับเป็นโอกาสดีที่ได้รับงบประมาณจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งของ รัฐบาล เพื่อให้สถานบริการสาธารณสุข ได้มีอาคารสถานที่และเครื่องมือเครื่องใช้ในการดูแลสุขภาพประชาชนอย่างทั่ว ถึง สธ.มีความตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง ไม่ต้องการให้เกิดปัญหาการทุจริตในกระทรวง ซึ่งในที่ประชุมสำนักตรวจราชการเมื่อวันที่ 6 ตุลาคมที่ผ่านมา มีมติให้ผู้ตรวจราชการ สธ.ทั้ง 18 เขต เข้าไปประชุมนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (นพ.สสจ.) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลทั่วไป/โรงพยาบาลชุมชน สาธารณสุขอำเภอ เร่งสำรวจข้อมูล โดยเฉพาะครุภัณฑ์บางรายการที่มีปัญหา โดยจะรวบรวมข้อมูลจาก 18 เขต ส่งให้ปลัด สธ.ในบ่ายวันที่ 12 ตุลาคมนี้ และยืนยันว่าจะให้สถานบริการสาธารณสุขเป็นผู้เลือกครุภัณฑ์เอง ไม่มีการบังคับแต่อย่างใด
@ "ใต้"ไม่หยุดจริงเปิดซองประมูลแล้ว

แหล่ง ข่าวจากโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.ยะลา แจ้งว่า แม้ล่าสุด สธ.จะสั่งระงับการจัดซื้อจัดจ้างไว้ชั่วคราวเพื่อรอผลตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่ข้อเท็จจริงขณะนี้ในพื้นที่ จ.ยะลา มีการเปิดซองประมูลด้วยวิธีการพิเศษเพื่อว่าจ้างบริษัทรับเหมาก่อสร้างแฟลต ที่พักพยาบาลเรียบร้อยแล้ว จำนวน 5 แห่ง เหลือเพียงรองบประมาณจากส่วนกลางส่งมอบให้เท่านั้น เรื่องนี้น่าสังเกตว่า การดำเนินการเป็นไปด้วยความเร่งรีบ เหมือนเป็นการตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก และไม่เพียงแต่ในพื้นที่ จ.ยะลา เพราะจากการพูดคุยกับแพทย์ในจังหวัดใกล้เคียงพบว่า ที่ จ.นราธิวาส ก็มีการเปิดซองว่าจ้างบริษัทรับเหมาก่อสร้างแฟลตที่พักแล้วเช่นกัน

--------------------------------------------

แฉอีก ขอไก่ได้เห็ด คุ้ยทุจริตพอเพียง

พรรค เพื่อไทยตามติดลากไส้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง พบไม่ชอบมาพากลแล้ว 31 ชุมชน วงเงินกว่า 6 ล้าน พร้อมคุ้ยทุจริตกระทรวงศึกษาธิการ แฉเปลี่ยนสเปคโครงการที่ทางโรงเรียนได้นำเสนอไป ซึ่งไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ทางโรงเรียนเสนอ...

นายพร้อมพงศ์ นพ ฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มีประชาชน จ.สระบุรี ร้องเรียนพรรคเพื่อไทยว่า มีการทุจริตในโครงการชุมชนพอเพียง คณะทำงานของพรรคเพื่อไทยจึงได้ลงพื้นที่และพบปัญหาในโครงการชุมชนพอเพียงที่ ส่อไปในทางไม่สุจริตที่ อ.แก่งคอย อ.หนองแซง และอ.หนองแค จ.สระบุรี จำนวน 31 ชุมชน วงเงิน 6,360,000 บาท เช่น ชุมชนบ้านบึงไม้ ได้งบประมาณ 250,000 บาทขอเครื่องทำปุ๋ยชีวภาพแต่ได้ประปาชุมชนราคา 150,000 บาท ทำให้งบหายไปทันที 100,000 บาท ที่ชุมชนบ้านหนองจอก ได้งบประมาณ 200,000 บาทขอโรงสีข้าวเครื่องมือเกษตรแต่ได้เครื่องกรองน้ำประปาวงเงิน 150,000 บาท เงินหายไป 50,000 บาท ที่ชุมชนบ้านสองคอนใต้ ได้รับงบประมาณ 200,000 บาท ขอตู้ทำน้ำดื่มแต่ได้เครื่องปั่นไฟราคา 150,000 บาทเงินหายไป 50,000 บาท และที่ชุมชนป่าไผ่ใต้ ได้รับงบประมาณ 200,000 บาท ขอโรงเรือนไก่ไข่แต่กลับได้โรงเรือนเพาะเห็ดราคา 150,000 บาท เงินหายไป 50,000 บาท ทั้งนี้ โครงการชุมชนพอเพียงมีขบวนการจัดการทั้งข้าราชการ นักการเมือง และพ่อค้า โดยให้สินค้าไม่ตรงตามความต้องการของประชาชน โครงการชุมชนพอเพียงเหมือนแผลเน่าที่รัฐบาลไม่ยอมรักษา เป็นโรคร้ายที่รัฐบาลไม่ยอมเยียวยา ทำให้ประชาชนเสียประโยชน์และชุมชนอ่อนแอ

โฆษก พรรคเพื่อไทย กล่าวด้วยว่า มีข้าราชการครูสพฐ 7 จากจ.นครราชสีมายื่นหนังสือร้องเรียนต่อพรรคเพื่อไทยว่าโรงเรียนการศึกษา ขั้นพื้นฐานเขต 7 จ.นครราชสีมากว่า 20 โรงเรียนได้นำเสนอโครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงศึกษาธิการ แต่น่าจะเกิดการทุจริตขึ้น เนื่องจากมีการเปลี่ยนสเปคโครงการที่ทางโรงเรียนได้นำเสนอไป ซึ่งไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ทางโรงเรียนเสนอ โดยเสนอสร้างอาคารเรียนแต่กลับได้ห้องประชุมทั้งๆที่โรงเรียนและประชาคมไม่ ต้องการเพราะไม่มีความจำเป็น รวมทั้งการซื้อวัสดุครุภัณฑ์ที่โรงเรียนเสนอซื้อสินค้าที่โรงเรียนต้องการ เกี่ยวกับการเรียนการสอนที่มีความจำเป็นในท้องถิ่น แต่กลับมีการเปลี่ยนแปลงสินค้าวัสดุครุภัณฑ์ที่มาคาแพงกว่าท้องตลาดและ โรงเรียนไม่ต้องการมาให้แทน ทั้งนี้ในวันจันทร์ที่ 5 ต.ค.พรรคจะส่งคณะทำงานลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอีกครั้ง

“โครงการไทยเข้มแข็งที่ใช้เงินนอกงบประมาณสำหรับกระทรวงศึกษาธิการ น่าจะมี การทุจริตเกิดขึ้นเป็นขบวนการใหญ่เหมือนโครงการชุมชนพอเพียงและโครงการไทย เข้มแข็งที่มีการจัดซื้อครุภัณฑ์ของกระทรวงสาธารณสุข นี่คือการทุจริตเชิงนโยบาย เป็นการปล้นภาษีประชาชนกลางวันแสกๆ นายอภิสิทธิ์ ต้องไปกู้เงินทั้งต้นทั้งดอกมาดำเนินการแต่ขาดการตรวจสอบอย่างเป็นระบบ ปล่อยให้มีการทุจริตในหลายพื้นที่ เหล่านี้คือการบริหารของรัฐบาลระบอบอภิสิทธิ์ชนที่ทำอะไรก็ไม่ผิด”โฆษกพรรค เพื่อไทยกล่าว

------------------------------------------

พท.ปูดนักการเมือง กินหัวคิว ต่อรถเมล์4พันคัน

ระบุ มีฝ่ายการเมืองตกลงพูดคุยกัน โดยได้ค่าดูแลพูดคุยต่อคันเป็นตัวเลขพอสมควร เชื่อรัฐบาลอนุมัติเพื่อเอาใจพรรคภูมิใจไทย ไม่ให้เสียหน้าเพียงเท่านั้น เชื่อโครงการนี้ไม่เกิดขึ้นแน่นอน....

วันนี้(3 ต.ค.)นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. และประธานภาค กทม.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.)มีมติเห็นชอบโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ข้อสังเกตว่า โครงการดังกล่าวคงเกิดยาก ไม่เกิดในรัฐบาลนี้แน่นอน เพราะรายละเอียดในโครงการดังกล่าว กำหนดเงื่อนประเด็นต่างๆ ที่ต้องทำตามข้อตกลงค่อนข้างมาก และยังทำลายระบบของ ขสมก.ไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้ของขสมก.ได้ วันนี้ทางสหภาพแรงงาน ขสมก.เริ่มออกมาเคลื่อนไหว เพราะจะตกงานหรือถูกเออร์รี่รีไทออกไปจากการนำระบบจัดเก็บตั๋วแบบอีทิคเก็ต เข้ามาใช้

ส่วนกรณีการให้บริษัทในประเทศดำเนินการต่อรถนั้น นายวิชาญ กล่าวว่า อยากถามรัฐบาลว่า รถจำนวน 4,000 คัน ต้องใช้เวลาเท่าใด และยังมีข่าวออกมาว่าโรงงานที่ประกอบรถนั้น มีฝ่ายการเมืองไปตกลงพูดคุยกัน โดยได้ค่าดูแลพูดคุยต่อคันเป็นตัวเลขพอสมควร อย่างไรก็ตามโครงการนี้เกิดขึ้นเพียงต้องการปลอบใจ เอาใจพรรคภูมิใจไทยไม่ให้เสียหน้าเท่านั้น และซื้อเวลาให้ความหวังคน กทม.

----------------------------------------

สว.กระตุกรบ. อย่ามูมมาม เหตุกลัวอยู่ไม่นาน

ส.ว.จี้รบ.ทำโปร่งใสใช้เงิน ไทยเข้มแข็ง รองปธ.กมธ.สธ.แนะอย่ารีบทุจริตเพราะกลัวอยู่ไม่นานเรียกร้องปรับปรุงการทำ โครงการ ชี้เฟส 2 ควรยกระดับทางวิชาชีพ ไม่ใช่ซื้อเครื่องมือเพื่อรอบุคคลากร
ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 5 ต.ค.มีการประชุมวุฒิสภา โดยมีนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม ก่อนเข้าสู่วาระการประชุมได้เปิดให้สมาชิกหารือ โดยนายเจริญ ภักดีวานิช ส.ว.พัทลุง ขอหารือกรณีปัญหาความไม่โปร่งใสในการใช้เงินกู้เพื่อดำเนินโครงการไทย เข้มแข็งของรัฐบาล ปัจจุบันปรากฏเป็นข่าวมาก หลายโครงการ หลายกระทรวงส่งกลิ่นทุจริต หากปล่อยให้เกิดอย่างนี้ประเทศย่อยยับ ส.ว.หลายคนจึงรู้สึกเป็นห่วง ขอให้รัฐบาลรีบสะสาง ตัดไฟแต่ต้นลม ต้องสร้างบรรทัดฐานทางการเมืองใหม่ให้ได้

ด้าน นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ส.ว.สรรหา รองประธานคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา หารือถึงปัญหาการจัดซื้อครุภัณฑ์ในกระทรวงสาธารณสุข โดยการยกระดับสถานีอนามัยตำบาล เป็นโรงพยาบาลตำบล ถือเป็นเรื่องดี แต่การเร่งรัดจากรัฐบาล ประกอบกับการมีงบไทยเข้มแข็งเข้ามาเหมือนต้องการเร่งรัดเพื่อให้มีผลงานออก มาเร็ว ไม่รู้ว่ากลัวจะอยู่ไม่ได้นานหรือไม่ มีการกระจายงบลงไปในสถานีอนามัยตำบล 1,000 แห่ง ในปีนี้ ปีหน้าอีก 1,000 แห่ง และอีก 6 ,000 แห่งที่จะทยอยในปีต่อๆไป รวมถึงการจัดซื้อครุภัณฑ์รวมแล้วใช้งบหลายหมื่นล้านบาท แต่ก็มีปัญหาไม่ตรงกับความต้องการกับพื้นที่ และแพทย์ จึงขอให้รัฐบาลปรับปรุงการทำโครงการ โดยการดำเนินการตามเฟส 2 ควรยกระดับทางวิชาชีพ ไม่ใช่ซื้อเครื่องมือเพื่อรอบุคคลากร

------------------------------------------

เผยบอลลูน380ล.ใช้ดับไฟใต้ ค้างเติ้งที่อู่ตะเภาเปล่าประโยชน์

รายงาน ข่าวจากกองทัพภาค 4 เปิดเผยว่ากองทัพซื้อบอลลูนในราคาลำละ 380 ล้าน เพื่อภารกิจบินลาดตระเวนตรวจสอบถ่ายภาพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นการใช้เงินที่ไม่ก่อประโยชน์ในการแก้ปัญหามากนัก เนื่องจากกองกำลังขบวนการแบ่งแยกดินแดนใช้วิธีการปะปนอยู่กับมวลชน ไม่แต่งเครื่องแบบ ไม่ติดอาวุธ ไม่ที่ค่ายพักในป่า และหลบเข้า-ออก ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งผลสุดท้ายบัลลูนที่ซื้อมาคงทำประโยชน์ต่อการปราบปราม ป้องกัน การก่อเหตุร้ายได้ไม่มากนัก และอาจจะไม่ได้ใช้เลยก็ได้

“บอลลูนที่ สั่งซื้อจากประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกส่งมาเก็บไว้ที่สนามบินอู่ตะเภาแล้ว มีแต่ตัวบอลลูน ส่วนกล้องถ่ายภาพอินฟราเรด 2 ตัว ซึ่งเป็นเขี้ยวเล็บที่สำคัญ ยังส่งเข้ามาไม่ได้ เพราะติดขัดเรื่อง “กฎหมาย” ที่ห้ามส่งออกของอเมริกา ดังนั้นจึงยังหวังไม่ได้ว่าสุดท้าย ประชาชนในพื้นที่จะได้บอลลูนเป็นของเล่นชิ้นใหม่จากกองทัพ”

ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่า กองทัพมีผู้มีความรู้มากมาย แต่เรื่องอย่างนี้คิดไม่้เป็นหรือ ซึ่งก็ไม่น่าเป็นไปได้
หรือจะเป็นอีกข้อพิสูจน์ว่า หน่วยงานราชการทั้งหลาย ต่างหากที่เป็นผู้สูบเลือดสูบเนื้อประชาชน

----------------------------------------

เสาธงต้นละ5แสน-คาดสูญหมื่นล.

นพ.เกรียง ศักดิ์กล่าวอีกว่า มีหลักฐานใบเสร็จชัด เช่น เรื่องการก่อสร้างโรงพยาบาล เช่น ปี 2551 รพ.ภูกระดึงทำหอพักพยาบาล 24 ห้อง ราคากลาง 6.8 ล้านบาท ประมูลได้ 6.5 ล้านบาท แต่ราคากลางตามเอสพี 2 อยู่ที่ 9.5 ล้านบาท ส่วนการจัดซื้อเสาธงให้ รพ.ทั่วประเทศ ความสูง 20 เมตร ราคากลางเอสพี 2 ต้นละ 495,000 บาท ทั้งที่ราคาจริงไม่น่าจะอยู่แค่ 20,000 บาท จากการตรวจสอบราคาสินค้าก่อสร้างครุภัณฑ์ชนิดอื่นๆ น่าจะเพิ่มสูงขึ้นเกินความเป็นจริงไม่ต่ำ 30% คิดเป็นเงินกว่าหมื่นล้านบาท
"ผม เชื่อว่ามีคนบงการอยู่เบื้องหลัง จนทำให้บริษัทเหล่านี้ย่ามใจกล้าข่มขู่โรงพยาบาลที่จัดซื้อ สิ่งที่เกิดขึ้นน่าจะมีปัญหาว่าเงินจะเข้ากระเป๋าใคร โดยเฉพาะเครื่องตรวจสารชีวะเคมีในเลือดเงิน น่าจะเข้ากระเป๋าใครบางคนเกือบ 100% เพราะบริษัทต้องลงทุนฟรีเพื่อจะขายน้ำยาอยู่แล้ว" นพ.เกรียงศักดิ์กล่าว
นพ.เกรียงศักดิ์กล่าวว่า สำหรับเครื่องช่วยหายใจและเครื่องรมยาสลบมีราคากลางที่สูงเกินความจริงและ สเปคที่สูงเกินไป ไม่ตรงกับที่พื้นที่ร้องขอ มีการจัดสรรเครื่องมือที่ราคา 1.5 ล้านบาทเท่ากันหมดโดยไปเพิ่มออพชั่นบางอย่างที่ไม่มีความจำเป็น และกำหนดสเปคเพื่อให้เข้ากับบริษัทผู้จำหน่ายบางแห่ง เช่น รพ.ใน จ.สกลนคร เสนอขอในราคา 7.5 แสนบาท 6 เครื่อง แต่กลับจัดสรรให้เพียง 3 เครื่องในราคา 1.5 ล้านบาท ทำให้ขาดโอกาสในการได้เครื่องมือที่ตรงกับความต้องการของพื้นที่ และความจริงแล้วราคาน่าจะไม่เกิน 1.2 ล้านบาท เรื่องเครื่องมือทางการแพทย์กำลังมีผู้ไม่หวังดีพยายามดูดเงินภาษีประเทศ ชาติอาจไม่น้อยกว่าหมื่นล้านบาทเช่นกัน ทั้ง 3 กรณีคือเชิงนโยบาย การเพิ่มราคากลางและเพิ่มราคาเครื่องมือแพทย์น่าจะทบทวนและปรับปรุงได้ไม่ น้อยกว่า 3 หมื่นล้านบาท

-------------------------------------------

ฉาวไม่เลิกชุมชนพอเพียง

บุรีรัมย์ – บุรีรัมย์ ฉาวอีก! กรรมการกองทุนชุมชนพอเพียง พร้อมชาวบ้านสมาชิก บุกโรงพักแจ้งความกล่าวหาประธานกองทุน รวมหัวบริษัททุจริตโครงการเลี้ยงไก่พันธุ์ไข่ไม่เป็นไปตามจุดประสงค์โครงการ เผย นำไก่พันธุ์ไข่แก่เสื่อมสภาพพิการ และหัวอาหารปลอมผสมแกลบ เป็นเงินร่วม 2.5 แสน มาแจกจ่ายให้ชาวบ้านโดยไม่ผ่านการตรวจรับของกรรมการ

ช่วง บ่ายวันนี้ (1 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.00 น.นายปรัชญา อยู่สาโค อายุ 53 ปี รองประธานและกรรมการกองทุนชุมชนพอเพียงบ้านคอก:-) ม.7 ต.นางรอง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ พร้อมชาวบ้านที่เป็นสมาชิกร่วม 10 คน ได้นำหัวอาหารไก่ปลอมผสมรำและแกลบ เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.สำราญ ศรีพลกรัง พนักงานสอบสวน สภ.นางรอง ไว้เป็นหลักฐาน หลังทางบริษัท “สมประสงค์ฟาร์ม” ตั้งอยู่เลขที่ 11 ม.9 ต.ดอนเงิน อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม ได้นำไก่พันธุ์ไข่แก่และ หมดสภาพ พิการ ขนล่วง จำนวน 800 ตัว ที่ถูกโละทิ้งจากฟาร์ม ไม่ใช่ไก่รุ่นตามที่ตกลงกันไว้

พร้อม ทั้งหัวอาหารปลอมผสมทั้งรำและแกลบบรรจุกระสอบเย็บด้วยมือ จำนวน 149 กระสอบ รวมทั้งอุปกรณ์ในการเลี้ยงไก่พันธุ์ไข่ รวมมูลค่า 249,900 บาท มาส่งให้กับ นายเฮี๊ยะ อาจเอื้อม ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นประธานกองทุนฯ เมื่อเวลา 04.00 น.วันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยไม่มีใบนำส่งสินค้า อีกทั้งไม่มีการเรียกคณะกรรมการไปตรวจรับสินค้าตามระเบียบ ประกอบกับสินค้าทุกรายการไม่ระบุที่มาและบริษัทผู้ผลิต ซึ่งไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ส่อถึงความไม่โปร่งใสทั้งผู้รับและผู้ส่ง เชื่อว่า ประธานกับทางบริษัท ดำเนินการไม่โปร่งใส มีการทุจริตในโครงการ จึงได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้เป็นหลักฐาน

---------------------------------------

ชักหัวคิวไทยเข้มแข็งเละ

โพสต์ทูเดย์ — ประธานส.อ.ท. ผงะตัวเลขรีดหัวคิวงบไทยเข้มแข็งสูง 20-25% แถมล็อกสเปกอื้อ
นาย สันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ได้รับทราบจากบรรดาผู้รับเหมาก่อสร้างว่ามีการกินค่าหัวคิวในโครงการต่างๆ ภายใต้งบประมาณไทยเข้มแข็งสูงถึง 20-25% ถือว่ามากเกินไป ทำให้โครงการไม่มีความโปร่งใส และอาจจะมีปัญหาการดำเนินการได้
“ที่น่าเป็นห่วงคือการกินค่าหัวคิวกันมากเกินไป ถ้ากินแค่ 5% ก็คงไม่เป็นไรถือว่าธรรมดา” นายสันติ กล่าว
ประธาน ส.อ.ท. ยังเชื่อว่าการเบิกจ่ายงบโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาลน่าจะทำได้รวดเร็ว เพราะมีการกำหนดแบบหรือมี การล็อกสเปกจากผู้ประกอบการไว้เรียบร้อยแล้ว
ทั้ง นี้ โครงการไทยเข้มแข็ง วงเงินลงทุน 1.43 ล้านล้านบาท ก็จะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบปี 2552 ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท แต่ในปี 2553 จะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจถึง 1.04 ล้านล้านบาท ก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ
นายอานนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า หากสามารถทำโครงการลงทุนไทยเข้มแข็งได้อย่างที่รัฐบาลประกาศไว้ น่าจะเกิดผลดีต่อ ตลาดเงินตลาดทุน โดยเฉพาะสถาบันการเงิน ขณะที่ภาครัฐก็จะเก็บภาษีได้มากขึ้น ส่วนผู้ที่จะได้รับผลดีโดยตรงที่สุดคือภาคธุรกิจก่อสร้าง

-----------------------------------------

มหกรรมค่าหัวคิวเขย่าไทยเข้มแข็ง

ดูเหมือนว่าข่าวคาวการทุจริตจัดซื้อจัดจ้างในโครงการไทยเข้มแข็งของ รัฐบาล จะ “ดัง” ขึ้นทุกขณะ
ไล่ตั้งแต่การที่ชมรมแพทย์ชนบทออกมาเปิดโปงการยัดเยียดให้ซื้อเครื่องมือ แพทย์ให้แก่สถานีอนามัยและโรงพยาบาลในต่างจังหวัด

ไม่ว่าจะเป็นเครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยระบบแสงอัลตราไวโอเลตระบบปิด หรือ ยูวี แฟน ราคาเครื่องละ 4 หมื่นบาท จำนวน 800 ตัว

ตาม มาด้วยกลิ่นตุๆ ของการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา มูลค่ากว่า 710 ล้านบาท ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีการล็อกสเปกเอื้อบริษัทรับเหมา

แต่ที่ซัดตรงๆ แบบ “ชัดเจน” ไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา แถมโพล่งกลางวงสัมมนา
นั่นคือกรณี นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า ผู้รับเหมาก่อสร้างตอนนี้กำลังเดือดร้อนหนัก

เพราะมีการกิน “ค่าหัวคิว” ในโครงการต่างๆ ภายใต้งบประมาณไทยเข้มแข็งสูงถึง 2025%
“ถ้ากินแค่ 5% ก็คงไม่เป็นไร ถือว่าธรรมดา” นายสันติ ระบุ
งานนี้ถือเป็นการแฉข้อมูล “ใต้โต๊ะ” ขึ้นมาวางให้เห็นกัน “บนโต๊ะ”
ถือว่าน้ำหนักไม่ธรรมดา เพราะเป็นการบอกเล่าของนักธุรกิจรุ่นใหญ่ในสภาอุตสาหกรรม ที่เป็นตัวแทนของบริษัทเอกชนทั่วประเทศ

จากเสียงสะท้อนครั้งนี้ ประเมินสัญญาณได้ว่า ภาคเอกชนเริ่มทนไม่ไหวกับ “ธุรกิจการเมือง” ที่เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลชุดปัจจุบัน

หลังจากที่เคยเจ็บปวดกับ “ธนกิจ การเมือง” ในรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมาก่อน
ความรู้สึกของสังคมตอนนี้ คือเหมือนหนีเสือปะจระเข้หรือไม่??

ทั้งที่ปัญหาการชักหัวคิวอาจไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เครือข่ายพรรคประชา ธิปัตย์อย่างเดียว
แต่ยังหมายรวมถึงพรรคร่วมรัฐบาล ที่มีข่าวด้านลบกระเส็นกระสายออกมาไม่เว้นแต่ละวัน
“ค่าหัวคิว” รับเหมาก่อสร้าง ยังทำให้กระทรวงคมนาคมนั่งไม่ติด ต้องออกมาชี้แจงแบบฉับพลันทันใด
โดย นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม ตอบโต้ประธานส.อ.ท. ว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดการเรียกเก็บเงินใต้โต๊ะจากเอกชน หรือหากมีจริง เอกชนที่รายงานต่อนายกรัฐมนตรีก็ต้องมีหลักฐานมาแสดง
เพราะโครงการที่คมนาคมรับผิดชอบ โดยเฉพาะกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท ส่วนใหญ่เป็นโครงการก่อสร้างกว่า 2,000 โครงการ

รวมเป็นเงิน 4.5 หมื่นล้านบาท กระจายไปยังผู้รับเหมาหลายเจ้า ไม่ได้เจาะจงที่รายใดรายเดียว
“มีหลักฐานก็ให้นำมาแสดง เพราะไม่อยากให้พูดอ้างขึ้นมาลอยๆ เพราะทำให้หลายคนเสียหาย” นายสุพจน์ กล่าว
สำหรับโครงการที่ถูกจับตามองมากที่สุด คือ โครงการถนนไร้ฝุ่น ที่พรรคภูมิใจไทยภูมิใจนำเสนอนั้น
ก่อนหน้านี้ มีข่าววงในออกมาว่า ได้มีการแบ่งเค้กให้สส.แต่ละจังหวัด แต่ละพรรคไปคนละเส้นสองเส้น
เรียกได้ว่าแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ เพราะเรื่องผลประโยชน์ไม่มีฝักฝ่าย มีแต่พรรค พวก และเพื่อน

โดย นายวิชาญ คุณากูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท ยืนยันว่า การเก็บค่าหัวคิวไม่น่าจะเกิดขึ้นกับโครงการถนนไร้ฝุ่น เพราะเป็นโครงการขนาดเล็ก วงเงินก่อสร้างแต่ละโครงการไม่มาก อยู่ที่ 2030 ล้านบาท
อีกทั้งกำไรแต่ละโครงการก็ไม่มาก คือโครงการที่ไม่เกิน 20 ล้านบาท จะอยู่ที่ 12.5% เกิน 100 ล้านบาท จะอยู่ที่ 9% เท่านั้น

หมายความว่าผู้รับเหมาก็กำไรน้อยอยู่แล้ว จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าหัวคิวให้ข้าราชการและนักการเมือง
ปัญหาก็คือถ้าไม่ใช่เรื่องจริง แล้วคนอย่างประธานส.อ.ท.จะกล้าออกมาชนฉะกับรัฐบาลชุดนี้หรือไม่??
มันเสียเครดิต...

เคาะตัวเลขกันให้เห็นจะจะ คือโครงการไทยเข้มแข็ง วงเงินเต็มๆ 1.43 ล้านล้านบาท
หัวคิว 10% เท่ากับเงินตกหล่นระหว่างทาง 1.43 แสนล้านบาท
หัวคิว 20% เงินเข้ากระเป๋าเหลือบไรทางการเมือง 2.86 แสนล้านบาท
ถือเป็นการกระจายรายได้ที่ค่อนข้างกระจุกตัว และจะเขย่าโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาลชุดนี้ไปอีกนาน
ถ้าประชาธิปัตย์คุมเกมไม่ดีมีสิทธิไป!!!

*****************************************

พลิกคำวินิจฉัย"หนึ่งเดียว"ในองค์คณะคดียึดทรัพย์"ม.ล.ฤทธิเทพ" ตอบโจทย์ ทำไม"ทักษิณ"มิได้ร่ำรวยผิดปกติ
Wed, 03/17/2010 - 20:40 | by เฒ่ากร่าง | Report topic
หมายเหตุ"มติชนออนไลน์"- เป็นส่วนหนึ่งของคำวินิจฉัยส่วนตนของ ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล รองประธานศาลฎีกาซึ่งเป็นผู้พพิพากษาเพียงคนเดียวในองค์คณะจากทั้งหมด 9 คนที่เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) หรือชินคอร์ปทั้ง 5 กรณี ในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณกว่า 46,000 ล้านบาท

แม้ว่า ม.ล.ฤทธิเทพ จะเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ณ ป้อมเพชร อดีต ภรรยาซุกหุ้นหรือคงไว้ซึ่งหุ้นชินคอร์ปจำนวน 1,419 ล้านหุ้นก็ตาม

ต่อไปนี้เป็นเหตุผลในคำวินิจฉัยส่วนตนที่เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณมิได้ร่ำรวยผิดปกติ
--------------------------------------------------------

ปัญหาประการต่อไปมีว่า เงินที่ได้จากการขายหุ้นและเงินปันผลตามคำร้องเป็นทรัพย์ที่ต้องตกเป็นของแผ่นดิน หรือไม่

เห็นว่า ข้อเท็จจริงซึ่งฟังเป็นที่ยุติแล้วว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้ใช้อำนาจรัฐเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของบริษัทชินคอร์ป ทั้งห้ากรณี ดังได้วินิจฉัยข้างต้นแล้ว นับเป็นข้อสำคัญประการหนึ่งที่บ่งชี้ว่า หุ้นบริษัทชินคอร์ปไม่ได้มีค่าสูงเพิ่มขึ้นขึ้นผิดปกติ แต่ก็ยังม่ข้อสนับสนุนอื่นอีกที่สอดคล้องกันคือ นอกจากทางไต่สวนจะไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่า ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้สั่งการหรือมอบนโยบายต่างๆ ทั้งห้ากรณีแล้ว

ยังเห็นว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับเหตุคดีนี้ ย่อมเป็นผู้มีอำนาจวางแนวนโยบายในการบริหารราชการในแต่ละกระทรวงที่ตนต้องรับผิดชอบโดยอิสระ

การจะฟังว่า เมื่อรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ ดังกล่าว ทำงานอยู่ในรัฐบาลเดียวกับผู้ถูกกล่าวหา หรือสังกัดพรรคการเมืองเดียวกันกับผู้ถูกกล่าวหา ย่อมมีผลให้รัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ เหล่านั้นต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ถูกกล่าวหาทุกกรณีไป แม้กระทั่งคำสั่งที่อาจมีผลเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ถูกกล่าวหา ทั้งที่เป็นไปได้ว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐภายใต้การบังคับบัญชาหรือกำกับดูแลของผู้ถูกกล่าวหา อาจกระทำการต่างๆ เองเพื่อให้เป็นที่พอใจแก่ผู้ถูกกล่าวหาก็ได้นั้น ย่อมเป็นการรับฟังพยานหลักฐานไปในทางที่เป็นโทษแก่ผู้ถูกกล่าวหา ทั้งๆ ที่ยังมีมูลเหตุยังไม่ชัดแจ้งพอ และเป็นเหตุผลที่ถูกโต้แย้งได้อีกด้วย

นอกจากนี้ยังเห็นว่า หุ้นบริษัทชินคอร์ปมีราคาสูงขึ้นในระหว่างที่ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็ไม่ถือเป็นเรื่องผิดปกติ เพราะราคาหุ้นจะสูงหรือต่ำในแต่ละช่วงเวลาย่อมต้องอาศัยปัจจัยหลายประการที่เกิดจากทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ นอกเหนือจากการดำเนินการ 5 กรณีตามคำร้องด้วยเหตุผลดังนี้

ประการแรก บริษัทชินคอร์ปเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจด้วยการเป็นผู้ลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) มีบริษัทในเครือหลายบริษัทประกอบธุรกิจสัมปทานจากรัฐ ย่อมทำให้นักลงทุนเล็งเห็นได้ว่า แนวโน้มที่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐ และทำให้บริษัทชินคอร์ปเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่มีคู่แข่งทางการค้าน้อยหรือแทบไม่มี

นอกจากนี้ยังเป็นบริษัทที่ลงทุนประกอบกิจการด้วยจำนวนเงินมาก อันสามารถทำผลประโยชน์ตอบแทนได้ในปริมาณมากเช่นกัน สิ่งสำคัญเหล่านี้ส่งผลให้บริษัทชินคอร์ปและบริษัทในเคครือมีความมั่นคงสูง ได้เปรียบบริษัทอื่นๆ สามารถเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนได้มาก จึงเป็นที่ต้องการของนักลงทุนทั้งภายในและภายนอกประเทศยิ่งกว่าบริษัทอื่น

ประการที่ 2 เมื่อพิจารณาถึงดุลอำนาจทางการเงินของผู้ซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ป คือกลุ่มเทมาเส็ก ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีอยู่ว่า เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ของโลกรายหนึ่งที่มีกำลังซื้อสูง กับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตำแหน่งดาวเทียมของประเทศไทยที่ได้รับอนุมัติจาก ITU เป็นตำแหน่งที่มีศักยภาพสูงมาก สามารถครอบคลุมพื้นที่ให้บริการ (Foot Print) แผ่ไพศาลไปได้กว้างไกลมากกว่าตำแหน่งอื่นที่หลายประเทศได้รับอนุมัติ

ทั้งตามทางไต่สวนยังได้ความว่า ดาวเทียม iPSTAR เป็นดาวเทียมที่ใหญ่และดีที่สุดในโลก เป็นดาวเทียมดวงแรกของโลกที่มีหลายช่องสัญญาณ ทำงานได้หลากหลายกว่า ติดต่อได้ 14 ประเทศ มีสถานีภาคพื้นดิน 18 แห่ง มีประสิทธิภาพสูง คุณสมบัติทางเทคนิคดีกว่าดาวเทียมทั่วไป สร้างขึ้นเพื่อรองรับความก้าวหน้าของเทคโนโลยี และยังทำให้ประชาชนสามารถใช้อินเตอร์เน็ตได้ในราคาที่ถูกลงย่อมเป็นที่ปรารถนาอย่างยิ่งของประเทศที่ต้องการศักยภาพทางยุทธศาสตร์ และความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีกิจการดาวเทียม เพื่อชิงความได้เปรียบทางด้านธุรกิจสื่อสารทางดาวเทียม หรือแม้แต่ในเรื่องความมั่นคงของประเทศของตน

หุ้นบริษัทชินคอร์ปจึงเปรียบได้กับเพชรเม็ดงามที่ผุ้ครอบครองสามารถต่อรองราคาซื้อขายได้สูง อันเป็นสิ่งปกติในกลไกทางธุรกิจและการซื้อขายหลักทรัพย์

ประการที่ 3 บริษัทในเครือบริษัทชินคอร์ปหลายบริษัทลงทุนว่าจ้างบุคลากรที่ความรู้เฉพาะด้านกิจการของบริษัทหรอืผู้ที่มีประสบการณ์สูงในการทำงานเกี่ยวกับกิจการของบริษัทเป็นผู้บริหาร ย่อมทำให้มีความได้เปรียบทางด้านแผนธุรกิจการค้าและมีผลประกอบการที่ดี รวมทั้งเกิดความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ได้มากยิ่งกว่าผู้ประกอบธุรกิจอื่นอีกหลายรายที่ไม่ได้ลงทุนในด้านนี้

และประการสุดท้าย เมื่อเปรียบเทียมดัชนีราคาหุ้นบริษัทชินคอร์ปกับหุ้นของบริษัทอื่นๆ ที่ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ และเป็นที่นิยมของผู้ลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วงเวลาเดียวกันก่อนมีการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปให้กลุ่มเทมาเส็กแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่า เป็นราคาขึ้นลงที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด

ด้วยเหตุดังกล่าว จึงฟังไม่ได้ว่า หุ้นบริษัทชินคอร์ปจำนวน 1,419,490,150 หุ้น หรือเงินที่ได้จากการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป 69,722,880,923.05 บาท รวมทั้งเงินปันผลอีก 6,898,722,129 บาท เป็นทรัพย์สินที่ผู้ถูกกล่าวหาได้มาเนื่องจากการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลกับประโยชน์ส่วนรวม ทั้งไม่เป็นทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นมากผิดปกติหรือได้มาโดยไม่สมควรสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่อันถือว่า เป็นการร่ำรวยผิดปกติ ตามคำจำกัดความแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 ที่จะต้องสั่งให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 35 วรรคสอง

สำหรับคำร้องคัดค้านของผู้ถูกกล่าวหา และของผู้คัดค้านทั้งยี่สิบสอง ซึ่งขอให้ศาลมีเพิกถอนคำสั่ง คตส. ที่อายัดเงินและทรัพย์สินนั้น เมื่อปรากฏว่า คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส. )เพิกถอยคำสั่งอายัดเงินของผู้คัดค้านที่ 7 ที่ 8 ที่ 14 ที่ 17 และที่ 19 ต้องตามความประสงค์ของผู้คัดค้านเหล่านี้และมีผลให้เงินของผู้คัดค้านเหล่านี้หลุดพ้นจากการถูกอายัดแล้ว จึงไม่มีเหตุต้องขอให้สาลมีคำสั่งเช่นว่านั้นซ้ำอีก

ส่วนเงินและทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1-6 ที่ 9-13 ที่ 15 ที่ 16 ที่ 18 และที่ 20-22 ซึ่ง คตส. ยังคงมีคำสั่งอายัดไว้นั้น เมื่อไม่อาจสั่งให้ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านที่ 1 ตกเป็นของแผ่นดินแล้ว ก็ไม่มีเหตุที่จะอายัดอีกต่อไป

จึงมีความเห็นว่า ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง และเพิกถอนคำสั่ง คตส.ที่อายัดเงินรวมทั้งทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหากับของผู้คัดค้านที่ 1-6 ที่ 9-13 ที่ 15 ที่ 16 ที่ 18 และที่ 20-22 ยกคำร้องคัดค้านของผู้คัดค้านที่ 7 ที่ 8 ที่ 14 ที่ 17 และที่ 19

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น