วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

'กิตติรัตน์' เคลียร์หมดเปลือก ค่าแรง300-เงินเดือนป.ตรี 1.5หมื่น (ตอนที่ 1)

ตัวอย่างคำถาม

1. การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำว่าจะเริ่มวันที่ 1 ม.ค. 2555 แน่นอนแล้วใช่หรือไม่ ?

กิตติรัตน์ : อาจจะเริ่มต้นได้ก่อนนั้น แต่ต้องขอเล่ากระบวนการว่าหากรัฐใช้วิธีการสั่งให้บริษัทปรับขึ้นค่าแรงให้สูงขึ้น โดยนายจ้างไม่อยากจ่ายสิ่งที่เกิดขึ้นคือ การไม่จ้างงาน ก็จะทำให้นโยบายไม่เป็นผล เพราะสิ่งที่รัฐบาลทำคือต้องการให้คนมีงานทำและมีค่าแรงที่สูงขึ้น ดังนั้นวิธีที่จะทำให้เกิดค่าจ้างขั้นต่ำจาก 215 บาท เป็น 300 บาทในไตรภาคีจึงไม่ใช่วิธีการหลัง แต่วิธีการหลักของรัฐบาลคือ รัฐในฐานะผู้จ้างต้องสำรวจตัวเองก่อนว่ามีแรงงานที่ได้ไม่ถึง 300 บาทอยู่มากแค่ไหน ซ่ึงต้องบอกว่ามีแน่นอน ลูกจ้างรัฐที่มีค่าแรงขั้นต่ำส่วนเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท อันนี้หนักกว่าค่าแรงขั้นต่ำ เพราะไม่มีการควบคุมของไตรภาคีปริญญาตรี ดังนั้น สิ่งที่ทำคือนโยบายของรัฐ รัฐก็จะต้องเดินหน้าก่อน คำว่ารัฐเดินหน้าก่อนก็จะต้องไปโยงกับเรื่องงบประมาณที่ต้องผ่านสภาฯ ดังนั้นการแถลงนโยบายต่อสภาฯทำให้รัฐบาลต้องเร่งทำงานเพื่อเรื่องทั้งหมดกลับเข้ามาภายในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้นเดือน ก.ย.ให้ได้ วันก่อนผมได้คุยกับพวกสมาพันธ์แรงงาน ก็มีคำถามว่าขึ้นค่าแรง 1 ม.ค. 2555 หรือเปล่า ผมก็บอกว่ารอมาได้ตั้งนาน รัฐบาลนี้ทำให้คุณแน่นอน แล้วถ้าถามว่าจะมั่นใจได้อย่างไร ก็บอกว่าถ้าทำไม่ได้รัฐบาลต้องไปถามว่าไปยังไงก็ไม่มีคนเลือกอีกไง

2. หลักการขึ้นเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท คืออะไร

กิตติรัตน์ : หลักการขึ้นเงินดือนปริญญาตรี 15,000 บาท คือ การกระจายรายได้ หมายความว่าคนที่มีรายได้น้อยต้องได้เงินเพิ่มมากกว่าคนที่มีรายได้สูง อย่างพวกอธิบดีก็จะไม่มีสิทธิ์ได้ในสิ่งตรงนี้ แต่ถ้ารัฐบาลบอกเพิ่มทั้งฐาน เช่น บางบริษัทที่กำลังคิดอยู่บอกว่าการเพิ่มเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 หมายความว่าฐานปริญญาตรีที่จะได้เพิ่มคืออีก 30-40% งั้นผู้บริหารระดับบนบริษัทเพิ่มให้อีก 10% ด้วย ผมก็บอกเลยว่าคุณคิดดี ถ้า 10% เงินเดือน 100,000 บาท จะได้เพิ่มอีก 10,000 บาท แต่พนักงานระดับล่างได้เพิ่ม 2-3 พันบาท อันนี้จะไม่ใช่การกระจายรายได้ตามที่รัฐบาลบอก ซึ่งกระบวนการคิดของรัฐบาลคือ 1.ใครต่ำกว่า 15,000 บาท ให้ปรับเป็น 15,000 บาท ส่วนคนที่สูงกว่าไม่ต้องเอา 2.บริษัทต้องสำรวจว่า พนักงานเก่าที่เงินเดือน 16,000-18,000 บาท ที่มีความเก่าแก่ตามกาลเวลาหรือประสบการณ์ ควรที่จะได้รับอะไรมากกว่านั้นหรือไม่


3. ตอนหาเสียงบอก 300 บาททั่วประเทศ แต่ตอนนี้บอกว่าเริ่มที่ข้าราชการ-รัฐวิสาหกิจ และแรงงานในกรุงเทพฯก่อน ส่วนที่เหลือรอไตรภาคี

กิตติรัตน์ : ก็ไปฟังคุณอภิสิทธิ์ มากไป คำว่าทั่วประเทศผมหมายความว่า รัฐบาลเดินเปรี้ยง ถ้า 300 บาทกับพนักงานที่อยู่กทม.ก็ 300 บาทกับพนักงานที่แม่ฮ่องสอน กระบี่ก็ 300 บาท ถามว่าทั่วประเทศทันทีหรือเปล่าทั่วประเทศ ถามว่าทันที ทันทีที่อะไร ทันทีที่งบประมาณฝั่งรัฐบาลเดินออกไปได้ พนักงานร้านเซเว่น อยู่ที่ไหนก็ 300 บาท ถามว่าทำไม 300 บาท เพราะบริษัทฯให้ความร่วมมือ


4. แล้วบริษัทขนาดเล็กอย่างเอสเอ็มอีจะมีวิธีการช่วยเหลืออย่างไร เพราะหลายแห่งออกมาโอดครวญ

กิตติรัตน์ : มีสำรวจแล้ว และพบหลายเรื่อง เช่น เอสเอ็มอีจำนวนหนึ่งบอกขาดทุน ถ้าขึ้นค่าแรงมาตายแน่ ต้องย้อนกลับไปว่าเอสเอ็มอียอมรับก่อนหรือไม่ที่บอกขาดทุนเยอะ เพราะแจ้งงบการเงินเป็นเท็จเพื่อหนีภาษี ถ้าถามต่อว่าทำไมถึงหนีภาษีเพราะอัตราภาษีสูงจึงไม่อยากเสีย เลยต้องไปโยงกับการลดอัตราภาษีซึ่งต่างจาก นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรมว.คลัง ที่บอกอันนั้นประชานิยม อันนี้ก็บริษัทนิยม ไม่ต้องบริษัทนิยมทุกคนก็พูดกันอยู่แล้วว่าประเทศไทยจะเข้าสู่อาเซียน สิงคโปร์เสียภาษี 18% ไทยเก็บ 30% จะให้นักธุรกิจไปแข่งกับต่างประเทศอย่างไร อยากเล่าให้ฟังว่าไม่ใช่ว่าอันนี้ประชานิยมเอาใจแรงงาน อันนี้ประชานิยมเอาใจเกษตรกร อันนี้เอาใจบริษัท ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ต้องเปลี่ยนแปลง การที่ประเทศไทยยืนบนภาษี 30% มันน่าหนีจะตาย ส่วนจะลงเท่าไหร่นั้นตามที่รัฐบาลประกาศคือปี 2555 เหลือ 23% และในปี 2556 เหลือ 20%


มีการคุยกับแบงก์ชาติหรือไม่

กิตติรัตน์ : ไม่คุย

มีปัญหากันใช่หรือไม่

กิตติรัตน์ : ไม่มี

แต่ทำไมดูเหมือนหลายๆนโยบายแบงก์ชาติสกัดหมดเลย

กิตติรัตน์ : ธปท.ก็คิดของเค้าผมก็คิดของผม

แล้วจะทำงานด้วยกันได้หรือ

กิตติรัตน์ : ได้ เพราะอะไรเพราะเพิ่งแถลงนโยบายเสร็จจะให้ผมเดินไปคุยกับธปท.ก่อนเดี๋ยวก็จะบอกว่ายังไม่แถลงนโยบายมีสิทธิ์อะไรมาบริหารราชการแผ่นดิน

มีแพลนที่จะคุยหรือไม่

กิตติรัตน์ : ต้องคุยแต่ไม่ใช่หน้าที่ผมที่ต้องคุยต้องเป็นหน้าที่นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง ที่ต้องคุยกัน

ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/eco/197359



อ่านเพื่อประเทืองปัญญาพรรคฝ่ายค้านครับ สรุปทำได้แน่นอนครับ


ถ้าบางคน " มือไม่พาย เอาเท้ามาราน้ำ "

จากคุณ : ภูจอห์น
เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 11:34:45 A:202.67.122.114 X:

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โอกาส"ทอง"(จริงๆ):Dow/Gold ratio

โอกาส"ทอง"(จริงๆ):Dow/Gold ratio
เครดิตคุณ...Nexttonothing

ผมเคยนำทองคำแท่งที่มีอยู่ เอาออกมาวางแล้ว “จ้อง”(ใครจะลองทำตามก็ได้นะครับ)
มองซ้ายก็แล้ว มองขวาก็แล้ว พบว่า "มันนอนนิ่งของมันอยู่เฉย"
แต่พอหันมาดู “ราคา” ทองคำกลับเปลี่ยนแปลง
วิ่งขึ้นวิ่งลงอยู่ตลอดทุกวัน

จึงขอสรุปเอาง่าย ๆ ตามที่ตาเห็นว่า
“ทองคำไม่เคยเปลี่ยน ราคาที่จะเอามาใช้ ซื้อ-ขาย มันต่างหากที่เปลี่ยน”

-ราคาขึ้น ต้องเอา เงินปึกหนาขึ้น มาซื้อ

-ราคาลง เอาเงินปึกบางลง มาซื้อ

แสดงถึง มูลค่าของเงินที่เปลี่ยนแปลง บางวันแข็ง-บางวันอ่อน(ทองไม่เกี่ยว)

ทำให้เราต้องมองไปถึง “ที่มา” ของเงิน ซึ่งคือ ธนาคารกลางทั่วโลก
ก็พบว่าในอดีต-ปัจจุบัน-ยันถึงแนวโน้มในอนาคต เค้าไม่เคยหยุดพิมพ์
หนำซ้ำมีแต่จะพิมพ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อแก้ปัญหาหนี้ และวิกฤตเศรษฐกิจ

หากคุณเข้าใจในพื้นฐานความจริงข้อนี้ ในระยะยาวราคาทองคำจึงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
นอกจาก “ขึ้น” สถานเดียว

ผมเคยบอกกับคนอื่นๆว่า ทองคำจะขึ้นราคาต่อไปทุกปี แม้มันจะขึ้นมาหลายปีแล้วก็ตาม

“เค้าไม่เชื่อ”

ผมเลยบอกใหม่ว่า ค่าของเงินจะเล็กลงๆต่อไปทุกๆปี ปรากฎว่าคราวนี้

“เค้าเชื่อ”

อืมม....มันเรื่องเดียวกันครับ

...............................................................

ในบทความตอนที่แล้ว ผมพูดว่าเมื่อเวลาผ่านไปราคานั้นเป็นตัววัดมูลค่าที่ “แย่มาก”
วันนี้เราจะมาดูกันต่อว่า แย่ยังไง?

จำได้มั๊ยครับ

ตอนทองบาทละ 10000 ครั้งแรกคนบ่นว่า “ทองแพง”
ตอนทองบาทละ 12000 คนบ่นว่า ทองแพง
ตอนทองบาทละ 16000 คนบ่นว่า ทองแพง
ตอนทองบาทละ 19000 คนก็ยังบ่นว่า “ทองแพง” ??

ถึงเวลานี้ คนที่เคยบอกว่า -ทองแพง- นั้นเข้าใจผิด
ที่เข้าใจผิดก็เพราะเค้าใช้ “ราคา” (Price) เป็นไม้บรรทัดวัด "มูลค่า" (Value)ของทอง

ไม่ได้ผิดที่ทองแต่ผิดที่ “ไม้บรรทัด” ราคาที่แพงขึ้นๆ ไม่ได้เป็นการบอกว่า ทองแพง
อย่างที่เข้าใจ เพราะมันก็แพงขึ้นไปอีกตลอด

พอเถอะครับ

วันนี้เรามาเปลี่ยน “วิธีวัด” กันใหม่ดีกว่า

ในเมื่อทองเป็น สินทรัพย์ ชนิดหนึ่ง ผมขอใช้สินทรัพย์อีกชนิดหนึ่ง “วัด” สิ่งนั้นคือ
“ดัชนีหุ้นดาวน์โจนส์” (Dowjones)

คนที่เล่นหุ้นคงรู้จักเป็นอย่างดี เมื่อคุณซื้อหุ้น = คุณซื้อบางส่วนของกิจการ หุ้นของคุณมีมูลค่าที่แท้จริง
เป็นสินทรัพย์ที่แท้จริง ดีพอจะเอามาใช้วัดมูลค่าของทองคำ
อีกแง่นึงในทางกลับกัน ทองคำก็สามารถเอาไปใช้วัด มูลค่าของหุ้นได้ด้วย

หากคุณไม่เคยเล่นหุ้น หรือ ไม่รู้จัก ดาวน์โจนส์ ไม่เป็นไรเลยครับ คุณแค่รู้ไว้ว่า
ขณะนี้ มันอยู่ที่ระดับ 11,000 จุด (ก็พอ)
ที่จริงเราสามารถใช้ สินทรัพย์ประเภทอื่นวัดก็ได้ เช่น อสังหาริมทรัพย์ หรือ น้ำมัน
แต่ที่ผมใช้ Dow วัดทองคำ เพราะ สองสิ่งนี้ เท่าที่ศึกษา มันสัมพันธ์กันอย่างน่าประหลาดมีวัฎจักรและทฤษฎีรองรับ

ทฤษฎีนี้คือ Dow/Gold Ratio = 1:1

หลักการก็คือ
ไม่ว่า หุ้นดาวน์โจนส์จะขึ้นหรือลงไปอยู่ที่ราคาเท่าไหร่ ไม่ว่าราคาทองคำจะขึ้นหรือลงไปอยู่ที่ราคาเท่าไหร่
สุดท้ายมันจะกลับมาเท่ากัน (1:1)



วิธีการวัดก็คือ ต้องใช้“ทองกี่ออนซ์” ถึงจะเทียบเท่าดัชนีหุ้นดาวน์โจนส์
เช่น : คณิตศาสตร์ระดับประถม

ให้ดัชนีหุ้น Dow = 10,000 จุด

ให้ราคาทอง = 1,000$/oz

อัตราส่วน Dow/Gold จะเท่ากับ 10

นั่นหมายความว่า ทอง 10 ออนซ์ มีค่าเทียบเท่า ดัชนีหุ้น Dow


จากกราฟ:ในช่วงปลายทศวรรษที่ 20

Dow/gold ratio เคยขึ้นไปสูงถึงระดับเกือบ 20:1
แต่หลังจากนั้น ตุลาคม 1929 ตลาดหุ้น Dow ร่วงดิ่งเหวเหลือเพียง 35 จุด (เหตุการณ์ Black Monday)
มาชนกับราคาทองคำในขณะนั้นคือ 35$/oz พอดี
ทำให้อัตราส่วนลดลงอย่างรวดเร็วเหลือ 1:1

จากกราฟ :ช่วงทศวรรษที่ 60

Dow/gold ratio ขึ้นไปใหม่ถึงระดับ เกือบ 30:1 ในขณะนั้น
นักเศรษฐศาสตร์ออกมาเตือนให้ระวังประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยแต่ “ไม่มีใครเชื่อ”
เพราะเห็นว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว ยุคนี้เป็นยุคใหม่ บ้านเมืองเจริญก้าวหน้า นาซ่า ส่งคนไปดวงจันทร์
เป็นยุคของ เอลวิส เพรสรีย์ และเดอะ บีทเทิ้ล อันโด่งดัง

แต่วัฎจักรก็วนมาอีกครั้ง

ปี 1980 ตลาดหุ้นร่วงลงอย่างหนัก พร้อมๆกับ ราคาทองที่ทะยานสูงขึ้น จนไปพบกันที่
Dow 850 จุด : ทองคำ 850$/oz

1:1

จากกราฟ : ปี 2000

Dow/gold ratio ขึ้นไปทำสถิติสูงสุดตลอดกาลมากกว่า 40:1 แต่หลังจากนั้นก็เหมือนเดิม
ตลาดหุ้นเริ่มร่วงจากเหตุการณ์ Dot-com ,วินาศกรรม 9-11 ,ฟองสบู่ อสังหาริมทรัพย์ (Housing bubble)
ในขณะเดียวกันทองคำเริ่มปรับมูลค่าของตัวเองสูงขึ้นเรื่อยๆ

ปี 2010 จากอัตราส่วนกว่า 40:1 บัดนี้เหลือเพียง 8:1

ผมเฝ้าติดตามอัตราส่วนนี้มาตลอด
จากระดับ 10:1 เมื่อปีก่อน ลดเหลือ 9 จนเหลือ 8 “คล้ายกับการนับถอยหลัง”
มันเกิดขึ้นมาแล้ว 2 ครั้ง มันกำลังจะเกิดขึ้นอีก
ราคาทองคำและดัชนีดาวกำลังปรับตัวเข้าหากัน


(อีกครั้ง) หากคุณไม่เคยเล่นหุ้น หรือ ไม่รู้จัก ดาวน์โจนส์ ไม่เป็นไรเลยครับ
คุณแค่ รู้ไว้ว่า
ขณะนี้มันอยู่ที่ระดับ 11,000 จุด (ก็พอ)

:excl: หาก ตลาด หุ้นล่มสลายไปปิดตลาดที่ 2000 จุด ทองก็จะไป 2000$/oz ด้วย

:excl: หากตลาดหุ้นลงถล่มทลาย กว่า 50% ไปปิดตลาดที่ 5000 จุด ทองก็จะไปเจอที่ 5000$/oz

:excl: หรือต่อให้ตลาดหุ้น ไม่ลง ยืนอยู่ระดับ 11000 จุดเหมือนเดิม ทองก็จะวิ่งไปหา ที่ 11000$/oz อยู่ดี

ผมไม่สนว่า Dowjones จะเป็นเท่าไหร่ หรือราคาทองคำจะไปไกลแค่ไหน
ผมรู้แค่ว่า สุดท้าย ตัวเลขสองตัวนี้ มันจะมาเจอกันที่ 1:1



นั่นเป็นเพราะในระยะยาวไม่มีใครสามารถ “กด” หรือ “ปั่น” ราคาตลาด (ไม่ว่าหุ้นหรือทอง)ได้ตลอดไป
เมื่อระบบที่บิดเบือนราคาตลาดอ่อนกำลังลง ของทุกอย่างจะปรับมูลค่าของมันกลับไปสู่พื้นฐานราคาที่แท้จริง

เหมือนกับการ “ปรับตามอัตราเงินเฟ้อ” ที่พูดถึงเมื่อคราวก่อน ผมสรุปทิ้งท้ายเอาไว้ว่า
อัตราเงินเฟ้ออย่างเป็นทางการนั้น “ต่ำกว่าความเป็นจริง”
คำถามคือ แล้วตามความเป็นจริงนั้นควรจะเป็นอย่างไร ? เรามาดูกันต่อครับ

มีองค์กรอยู่องค์กรนึง ก่อตั้งโดย John William มีชื่อว่า “Shadow Government Statistics : SGS”
เค้าคงจะทนไม่ได้ กับการตบแต่งตัวเลข หลายๆรายการจากองค์กรภาครัฐ แล้วนำเสนอ ต่อประชาชนทั่วไป

-อัตราการว่างงานที่ต่ำเกินจริง
-ตัวเลข GDP ที่สูงเกินจริง
-อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำเกินจริง

เหล่านี้ล้วนออกมา สร้างความเชื่อมั่นและภาพพจน์ที่ดูดีให้กับรัฐบาล
แต่ตรงข้ามกับความจริงที่ประชาชนในประเทศต้องเผชิญ
SGS จึงรวบรวมข้อมูลและจัดทำตัวเลข “อัตราเงินเฟ้อ”
ขึ้นมาเอง

จริงๆแล้วก็ไม่มีอะไรมาก SGSแค่ยึดหลักการคำนวณอัตราเงินเฟ้อที่ใช้กันมาอย่างยาวนาน
ก่อนที่ BLS จะมาเปลี่ยนวิธีการคำนวณใหม่
โดยใช้ระบบ CPI’s hedonic adjustments (มั่วราคา)
เข้ามาช่วยคำนวณ (ย้อนอ่านบทความตอนที่แล้ว)
SGS จึงตัดระบบ Hedonic ออกไปเพราะมันทำให้เงินเฟ้อนั้นต่ำกว่าความเป็นจริง
ปรากฎว่าตัวเลขที่ได้ สูงกว่าของ BLS กว่าเท่าตัว !


เช่น มิถุนายน 2010 ตัวเลข CPI จาก BLS คือ 4.3%

แต่ มิถุนายน 2010 ตัวเลข CPI จาก SGS คือ 8.4%

ตัวผมเองนั้นขอเชื่อถือตัวเลขจาก SGS และไม่ขอเชื่อถือตัวเลข “อย่างเป็นทางการ (Official)”
จาก BLS เพราะการคำนวณของเค้านั้น ไม่แฟร์

เมื่อได้ตัวเลขจาก SGS มาแล้ว แน่นอนครับย่อมต้องย้อนกลับไปเข้าเรื่องของเรา นั่นคือ นำเอาราคาทองคำมาปรับตามอัตราเงินเฟ้อ
ผลที่ได้ก็คือ

:excl: กราฟนี้ปรับตาม BLS เราจะได้ราคาทองที่ประมาณ 2200$ เพื่อให้เท่า 850$ เมื่อ 30 ปีที่แล้ว



:excl: กราฟนี้ปรับตาม SGS เราจะได้ราคาทองที่ประมาณ 7500$ เพื่อให้เท่า 850$ เมื่อ 30 ปีที่แล้ว



สรุปแล้วหาก “ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย”
ทองคำมีโอกาสแตะระดับ 7500$/oz และหุ้นดาวน์โจนส์ มีโอกาสร่วงลงเหลือ 7500 จุด เป็นไปตามทฤษฎี 1:1


.......................................


โอกาสมาเคาะประตูหน้าบ้านของคุณ ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะเปิดรับมันหรือปล่อยมันผ่านเลยไป
ตัวเลขในวันนี้ ดูเหมือนจะเป็นตัวเลขในจินตนาการ หรือ ตัวเลขแค่ในทางทฤษฎี
แต่ผมก็ได้แสดงให้คุณเห็นแล้วว่า ตัวเลขพวกนี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต
ด้วยเหตุและปัจจัยเดียวกันกับที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้

ผมไม่ได้การันตี ว่ามันจะเกิดซ้ำ แต่ มันมีแนวโน้มมากเหลือเกินที่มันจะเป็นไปได้ และ หากมันเกิดขึ้นอีก
ผมไม่อยากพลาดครับ

โอกาสการลงทุนแบบนี้ ในชั่วชีวิตของคนๆนึง จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว หากคุณพลาด โอกาส “ทอง”(จริงๆ)ครั้งที่ 1
เมื่อ 30 ปีที่แล้ว(ซึ่งผมก็พลาด) คราวนี้ เราจะไปด้วยกัน
และหน้าที่ของผมคือพยายามสื่อสารและพาคนไปกับผมให้มากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้


เช่นเดิม:ขอให้โชคดีและมีความสุขในการลงทุนทุกท่านครับ


ปล. ยังต้องตามกันต่อนะครับสำหรับตอนหน้า เนื้อหาจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ผมเขียนเรียงลำดับจากเบาไปหาหนักอยู่แล้วครับ :)

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ยุคใหม่เหลืองกลายพันธุ์หนีการวิจารณ์ของสังคม

ในยุด ศาสดาลิ้ม ครองเมือง เสื้อเหลืองเฟื่องฟู ความภาคภูมิใจในการยึดสนามบิน แต่งชุดเหลือง โพกผ้าเหลือง และถือมือตบ ยังคงอบอวล เวปต่างๆ พันทิพ ยูทูบ สนุก และอีกมากมาย ล้วนเต็มไปด้วย login ที่แสดงตนว่าเป็นเสื้อเหลืองพันแท้ ที่เข้าร่วมอุดมการณ์ และเห็นด้วยกับการไล่ลาคนที่เห็นต่างอย่างบ้าคลั่ง ไม่ต่างจากลัทธิล่าแม่มด

อีก 3 ปีถัดมา วันนี้ เสื้อเหลืองกลายเป็นขยะสังคม และคำพูดที่ดูสบถหากต้องพิมในเวปสาธารณะ ไม่มีใครประกาศตัวว่าเป็นเสื้อเหลือง เรามักพบคำว่า " ไม่ใช่ทั้งแดงและเหลือง" "เกลียดเสื้อแดง แต่ไม่ใช่เสื้อเหลือง" "ไม่ใช่เสื้อเหลืองแต่ชอบอภิสิทธิ์" คล้ายกับว่า จะกลายพันธุ์เพื่อความอยู่รอดในสังคม

ความพ่ายแพ้หลังการเลือกตั้ง ความหลงผิดว่าคนส่วนใหญ่เป็นเสื้อเหลือง ยังคงคุกรุ่นอยู่ในใจ และเก็บความสงสัยไว้ให้เสื้อเหลืองรุ่นต่อไปรอพิสูจน์ วันนี้พวกเสื้อเหลืองพร้อมกลายพันธุ์เพื่อความอยู่รอด จากการถูกวิพากวิจารณ์ทางสังคม คล้ายกับแมลงสาบต้นตอพรรคการเมืองที่สร้างความขัดแย้ง

ถึงแม้ว่า เสื้อเหลืองจะหายไป แต่แนวคิด ของพวกเสื้อเหลืองไม่หายไปด้วย นั่นคือมุ่งเน้น สร้างความขัดแย้งในสังคม และโจมตีรัฐบาลที่มาจาก ระบบประชาธิปไตย ไม่ยอมรับเสียงส่วนใหญ่ และยึดถือความเป็นเสื้อเหลืองเป็นที่ตั้ง

วันนี้เราอาจแยกแยะเสื้อ เหลืองออกจากคนส่วนใหญ่ได้ยาก แต่เราสามารถสังเกตุแนวคิดนั้นได้ และต้องช่วยกันป้องกันและให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่คนเหล่านั้นที่เป็นเหยื่อ ของ พรรคการเมืองสกปรก ที่หลอกใช้เสื้อเหลืองเป็นเครื่องมือในการก้าวขึ้นสู่อำนาจเผด็จการ

จากคุณ : golfmba8
------------------------------

ผมก็เห็นด้วยส่วนหนึ่ง
แต่จริง ๆ แล้ว คนพวกนี้รู้ รู้มากด้วยแต่เลือกที่จะเป็น

เพราะเห็นแก่พวกพ้อง และ เพื่อการอยู่รอดในสังคม

ที่ส่วนใหญ่ คนที่เติบโตในสายงาน เป็นเสื้อเหลือง

นาย คุณ เป็นเหลือง นายของนายคุณ ก็เป็นเหลือง

เพราะฉนั้นพวกเค้าจะชอบเป็นเหลืองหรือไม่มันก็ไม่สำคัญสำหรับพวกเค้า

พวกเค้ารู้แต่ว่าถ้าอยู่ข้างเหลือง เค้าจะได้รับการอุ้มชู ทำงานโดยไร้แรงกดดัน ได้รับความนิยมยินดีจาก นาย ๆ ทั้งหลาย....

เป็นเสื้อเหลือง ได้จิ๊กด่าคนได้ ดูเป็นเจ้าคนนายคน ดูเหมือนว่าเป็นคนดีมีจริยธรรมสูง ดูเหมือนได้ถือความถูกต้องไว้ในมือ

พวกเค้าก็แค่คนเห็นแก่ตัว เอาแต่ได้ ไม่มีอุดมการณ์ อะไร...ทั้งนั้นหรอก