วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2552

น้องปอย ชิดซ้าย เลยครับ..... เจอรูปนี้

นี้ สมัยนั้น ไม่มียา... ไม่มี...ศัลยกรรม ยังขนาดนี้เลยนะครับ... อิอิอิ

111 ทรท. เตรียมฟ้อง 9 ตุลาการไม่มีอำนาจตัดสินยุบ ทรท.-เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง

รายงานข่าวจากอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย (ทรท.) แจ้งว่า ตัวแทนอดีตกรรมการบริหาร ทรท.ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นำโดยนายวิชิต ปลั่งศรีสกุล กำลังอยู่ในระหว่างการเตรียมการฟ้องร้องดำเนินคดีตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกับตุลาการรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน ในคดีตัดสินให้ยุบ ทรท.และเพิกถอนสิทธิ 111 คน โดยคำฟ้องจะอ้าง อำนาจหน้าที่ของตุลาการรัฐธรรมนูญทำได้เพียงสั่งให้ยุบพรรคเท่านั้น แต่ไม่สามารถตัดสินให้เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งได้ การฟ้องร้องครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คงไม่เข้าร่วมด้วยเนื่องจากจะเกิดปัญหาในกระบวนการเบิกพยาน เพราะไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศได้

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1238414882&grpid=04&catid=01

111 ทรท. เตรียมฟ้อง 9 ตุลาการไม่มีอำนาจตัดสินยุบ ทรท.-เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง

รายงานข่าวจากอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย (ทรท.) แจ้งว่า ตัวแทนอดีตกรรมการบริหาร ทรท.ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง นำโดยนายวิชิต ปลั่งศรีสกุล กำลังอยู่ในระหว่างการเตรียมการฟ้องร้องดำเนินคดีตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญา ข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกับตุลาการรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน ในคดีตัดสินให้ยุบ ทรท.และเพิกถอนสิทธิ 111 คน โดยคำฟ้องจะอ้าง อำนาจหน้าที่ของตุลาการรัฐธรรมนูญทำได้เพียงสั่งให้ยุบพรรคเท่านั้น แต่ไม่สามารถตัดสินให้เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งได้ การฟ้องร้องครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คงไม่เข้าร่วมด้วยเนื่องจากจะเกิดปัญหาในกระบวนการเบิกพยาน เพราะไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศได้

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1238414882&grpid=04&catid=01

พัลลภแฉอีก ปีย์ต้นคิดเก็บ แม้ว

เมื่อวันที่ 30 มี.ค. พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรอง ผอ.รมน.กล่าวว่า การที่นายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ระบุว่า ตนออกมาโวยวายเพราะไม่ได้รับตำแหน่ง ขอยืนยันว่าตนเป็นคนที่รักษาสัจจะเมื่อตกลงกันว่า การทำครั้งนี้ทุกคนต้องไม่หวังตำแหน่งและลาภยศใด ๆตนก็ถือตามนี้

สำหรับ เรื่องนี้ผ่านมาเกือบ 3 ปีแล้ว ถ้าตนต้องการตำแหน่งตนก็ออกมาโวยวายในช่วงนั้นแล้วจะปล่อยให้เนินนานมาถึง 3 ปีได้อย่างไร และถ้ามาพูดตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร ถ้าใครไม่พูดพาดพิงถึงตน ตนจะหลีกเลี่ยงในการพูดถึงบุคคลอื่น เพราะฉะนั้นจะเห็นว่า ตนจะไม่เคยพูดถึงชื่อนายปีย์ มาลากุลเจ้าของบ้านแม้แต่คำเดียว และวันนี้นายปีย์ มาพูดถึงตนทำให้ตนเสียหายจึงต้องพูดบ้างว่า นายปีย์ คิดอย่างไรกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และยังมีเรื่องอีกเยอะเกี่ยวกับตัว นายปีย์ ที่ตนจะนำมาเปิดเผย ทุกอย่างที่เขาทำนั้นเป็นลักษณะเจ้ากี้เจ้าการเชิญ คนนั้นคนนี้ไปกินข้าว ซึ่ง พล.อ.สุรยุทธ์ พูดถูกว่าไม่ได้เชิญตนไปกินข้าว แต่นายปีย์ เป็นคนเชิญในฐานะเจ้าของบ้าน แม้แต่ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ นายปีย์ ก็เป็นคนเชิญมา

พล.อ.พัลลภ กล่าวด้วยว่า ครั้งหนึ่งก่อนการประชุมหารือกันที่บ้านสุขุมวิท ซึ่งมีตนกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และนายปีย์ นั่งอยูที่โต๊ะรับแขกภายในบ้าน ปรากฏว่า นายปีย์ ได้ถามตนว่า

ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หายไปได้ไหม

ตนก็เลยตอบไปว่า เป็นการยากทำไม่ได้ เพราะท่านมี รปภ.จำนวนมากคงจะต้องยิงกันเละจนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก แต่สามารถทำให้ตายได้

ทุกคนก็เงียบไม่พูดอะไร ซึ่งขณะนั้น พล.อ.สุรยุทธ์ นิ่งเงียบไม่พูดอะไร เพียงแต่นั่งเฉยๆไม่ได้ออกความเห็นอะไร

ตน คิดว่าเราสามารถโกหกคนได้ทั้งโลก แต่ไม่สามารถโกหกตัวเองได้ นายปีย์ คงรู้ในใจตัวเองดี ตนยังมีเรื่องที่จะพูดอีกมาก ถึงคนชื่อปีย์ มาลากุล ที่ยังไม่อยากนำมาเปิดเผยในขณะนี้

เมื่อถามว่าขณะนี้ต่างฝ่ายต่างปฏิเสธ แต่มีการหารือในการล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ จริงใช่หรือไม่

พล. อ.พัลลภ กล่าวว่า เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น ตนจะมาพูดเล่นๆได้อย่างไร เพราะมีการกินข้าวหารือกันถึง 7 คน มีการพูดกันว่า จะต้องเล่นพ.ต.ท.ทักษิณ ทางกฎหมาย โดยมีนักกฏหมายเข้ามาร่วมประชุมด้วยในเรื่องของ กกต. ซึ่งเมื่อ กกต.ล้มการเลือกตั้งไม่สำเร็จ ก็มีการพูดถึงการรัฐประหาร มิเช่นนั้นพล.อ.สุรยุทธ์ จะมาพูดได้อย่างไรว่า การทำครั้งนี้เราทำเพื่อประเทศชาติและสถาบัน คนที่มีตำแหน่งเป็นองคมนตรีจะไปทำอย่างนั้นได้อย่างไร เพราะตัวเองมีตำแหน่งองคมนตรี โดยเฉพาะไปล็อบบี้ให้ กกต.ลาออก

เมื่อถามว่า พล.อ.สุรยุทธ์ ออกมาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาที่พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาโฟนอินเปิดเผยข้อเท็จจริง
พล. อ.พัลลภ กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดา เรื่องแบบนี้ ถ้าเขาออกมารับว่าจริง เขาคงต้องไปโรงพยาบาลประสาท เพราะฉะนั้นเขารับไม่ได้ต้องปฏิเสธ
แต่การปฏิเสธของพล.อ.สุรยุทธ์ มันขัดกันโดยตลอดจากการประมวลข่าวอะไรต่างๆทุกคนก็รู้ดีว่าเป็นข้อเท็จจริง ดังนั้นคนที่มีความคิดทุกคนสามารถคิดได้ เรื่องแบบนี้ถ้าเขารับเขาต้องเป็นโรคประสาท ต้องไปโรงพยาบาลประสาท

และ การที่นายปีย์ บอกว่ามีการประชุมครั้งเดียวก็ไม่จริง ซึ่งจริงๆแล้วประชุมกัน 4 ครั้งและกินข้าวร่วมกันทุกครั้ง ซึ่ง พล.อ.สุรยุทธ์ จะมาถึงก่อนเสมอมานั่งรอ จากนั้นก็มานั่งคุยกันที่โต๊ะกินข้าวในลักษณะกินข้าวไปคุยกันไป ตอนแรกเห็นปฏิเสธว่าไม่ได้ประชุม ก็ใช่เป็นการพูดกันไปกินกับไป เพราะการประชุมต้องมีวาระประชุม

http://www.matichon.co.th/khaosod/view_newsonline.php?newsid=TVRJek9EUXdNRFkzTWc9PQ==

วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2552

ปีย์ มาลากุล โกหก คำโต เพื่อปกปิด อะไร....

ทีมงานไทยอีนิวส์

29 มีนาคม 2552

ผู้ใช้ล็อกอิน VforVictory จากเวปบอร์ดฟ้าเดียวกัน นำเสนอบทสัมภาษณ์ นายปีย์ มาลากุล ที่ปรากฎในมติชนออนไลน์ พร้อมด้วยการวิเคราะห์และจับเท็จนายปีย์ ดังนี้

ส่วนที่หนึ่ง การนำเสนอของมติชนออนไลน์

เจ้าบ้าน"ปีย์ มาลากุล"เปิดตัวยัน "สุรยุทธ์" ถก "3 บิ๊กตุลาการ" ปัดวางแผนล้ม "แม้ว" แค่เพื่อนฝูงดินเนอร์


" ปีย์ มาลากุลฯ"เจ้าของบ้านเชิญ "สุรยุทธ์-บิ๊กตุลาการ-พัลลภ" กินข้าว เปิดตัว ยืนยัน ไม่มีการพูดเรื่องรัฐประหารโค่นล้ม "ทักษิณ" แค่ถกเรื่องขั้นตอนกฎหมายแก้วิกฤตบ้านเมือง หลังในหลวงทรงมีพระราชดำรัส เผยเชิญเพื่อนฝูงมาพบกันเป็นประจำ รวมทั้ง "แม้ว" ด้วย


นาย ปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ( ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีต รองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ระบุเป็นเจ้าของ บ้าน พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ พบกับตุลาการระดับสูง เพื่อวางแผนโค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ก่อนการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549) ให้สัมภาษณ์ "มติชนออนไลน์" เมื่อวันที่ 28 มีนาคมโดยยืนยันว่า ในการพูดคุยกัน 7 คนที่บ้านประกอบด้วย พล.อ.สุรยุทธ์ พล.อ.พัลลภ นายอักขราทร จุฬารัตน์ ประธานศาลปกครองสูงสุด นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา นายจรัญ ภักดีธนากุล เลขาธิการประธานศาลฎีกา นายปราโมทย์ นาครทรรพ และ ตน ไม่มีการพูดเรื่องการวางแผนรัฐประหารหรือโค่นล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่เป็นการเชิญคนที่สนิทสนม และเป็นเพื่อน มารับประทานอาหารที่บ้าน เพื่อพูด คุยถึงปัญหาบ้านเมืองซึ่งทำเป็นปกติอยู่แล้ว


นาย ปีย์กล่าวว่า การเชิญเพื่อนและคนที่มีความสนิทสนม มารับประทานอาหารเย็นที่บ้านเป็นประจำ อยู่ก็เพื่อให้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟังเพราะต้องการ ทันสถานการณ์ เนื่องจาก มีอาชีพเป็นนักข่าวซึ่ง ในช่วงเวลาดังกล่าวหลังจากที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัส กับตุลาการ ศาลปกครองสูงสุดและผู้พิพากษาศาลฎีกา เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2549 เกี่ยวกับปัญหาวิกฤตของบ้านเมือง จึงได้เชิญนายอักขราทร ซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ รวมทั้งนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ (ปัจจุบันเป็นองคมนตรี) มารับประทานอาหารที่บ้านใน วันที่ 6 พฤษภาคม 2549 เพื่อคุยว่า จะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอย่างไรตามที่ทรงมีพระราชดำรัส จากนั้นได้โทรศัพท์ชวน พล.อ.สุรยุทธ์ พล.อ.พัลลภ และนายปราโมทย์ ซึ่งมีความสนิทสนมกันอยู่แล้วว่า อยากจะมาฟังหรือไม่


นาย ปีย์กล่าว ว่า ในวันที่ 6 พฤษภาคม ปรากฏว่า พล.อ.สุรยุทธ์ มาถึงบ้านที่สุขุมวิท 103 เป็นคนแรก จึงนั่งคุยกัน จากนั้นอีกประมาณ 15 นาที นายอักขราทร นายชายชัย และนายจรัญ ภักดีธนากุล ซึ่งตอนนั้นเป็นเลขาธิการประธานศาลฎีกา(ปัจจุบันเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ) มาถึงพร้อมกัน โดยพล.อ.พัลลภและนายปราโมทย์ เดินเข้ามาบ้านพร้อมกัน จากนั้นจึงนั้นจึงขึ้นนั่งโต๊ะอาหารรูปทรงกลม โดย พล.อ.สุรยุทธ์นั่งขวามือของตน พล.อ.นั่งทางซ้ายมือ ส่วนตุลาการทั้ง 3 คน นั่งตรงกันข้ามเพื่อที่จะได้ซักถามสะดวก


นาย ปีย์กล่าวว่า ตนถามว่า ทางฝ่ายตุลาการว่า จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร ซึ่งทั้งนายอักขราทรและนายชาญชัยก็อธิบายว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสอย่างไรบ้าง จนเข้าใจ และทางตุลาการ มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างไร ในทางกฎหมายโดยไม่ได้ลงรายละ เอียดถึงตัวบุคคล แต่พูดถึงขั้นตอนในทางกฎหมายโดยนายอักขราทรและนายชาญชัย เป็นคนอธิบายเป็นหลัก ส่วนนายจรัญพูดน้อยหน่อยซึ่งจำไม่ได้ว่า พูดเรื่องอะไรบ้าง แต่หลังจากนั้นก็คุยกันเรื่องอดีตเก่าๆ เรื่องมโนสาเร่ จนกระทั่งเลิกประมาณ 4 ทุ่มกว่าและตนยังเดินไปส่งพล.อ.สุรยุทธ์ และ พล.อ.พัลลภ ซึ่งคนทั้งสองไม่เคยอยู่กัน 2 ต่อ 2 เพราะมีตนนั่งคั่นอยู่ตรงกลาง เวลามีอะไรต้องคุยผ่านตน


" เรื่องที่เกิดขึ้นมันนานหลายปีแล้ว คนที่มากินข้าวไม่มีใครจำวันที่ได้สักคน ผมอายุ 72 แล้วก็จำไม่ได้ แต่เมื่อมีคนมาให้สัมภาษณ์ก็ต้องเปิดดูบันทึกของเลขาฯ เพราะต้องสั่งอาหารญี่ปุ่นจากโรงแรมดุสิตธานีจึงรู้ว่า เป็นวันนี้ ซึ่งมีแผนผังด้วยว่า ใครนั่งตรงไหนอย่างไร "นายปีย์กล่าว
เมื่อถามว่า ในการพูดคุยมีเรื่องเกี่ยวกับการล้มการเลือกตั้งหรือไม่ นายปีย์ กล่าวว่า มีการพูดถึงการเลือกตั้ง แต่จำไม่ได้ในรายละเอียด เพียงแต่ฝ่ายตุลาการมีการพูดถึงการทำตามขั้นตอนของกฎหมาย


"ยืนยันว่า ไม่มีการพูดเรื่องปฏิวัติ หรือพูดเรื่องตำแหน่ง ไม่มีทหารอยู่สักคนจะพูดเรื่องปฏิวัติได้อย่างไร"นายปีย์กล่าว


เมื่อ ถามว่า ทำไมเชิญพล.อ.พัลลภและนายปราโมทย์เข้าร่วมและร่วมในฐานะอะไร นายปีย์กล่าวว่า มีความสนิทสนมกับคนทั้งสองมานานแล้ว และตอนนั้น พล.อ.พัลลภกำลังดังเรื่องคาร์บอมบ์(คดีวางระเบิดพ.ต.ท.ทักษิณ) ส่วนนายปราโมทย์นั้น เขียนหนังสือเกี่ยวกับปฏิญญาฟินแลนด์ และมีความรู้ทางด้านกฎหมายเลยเชิญมา ร่วมเมื่อถามว่า พล.อ.พัลลภ ระบุว่า มีการประชุมวางแผนที่บ้าน นายปีย์ ถึง 3-4 ครั้ง นายปีย์ปฏิเสธโดยยืนยันว่า พบเพียงครั้งเดียว


" ผมดู พล.อ.สุรยุทธฺ์ให้สัมภาษณ์ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แต่ที่พล.อ.พัลลภพูดไม่ตรง ก็แปลกใจว่าทำไม"นายปีย์กล่าวว่า เมื่อถามว่า เคยสนิทสนมกับพล.อ.พัลลภมาก่อน ทราบสาเหตุหรือไม่ว่า ทำไมถึงพลิกขั้วแบบ 180 องศา นายปีย์กล่าวว่า รู้สึกแปลกใจเหมือนกัน แต่คิดว่า อาจไม่พอใจ พล.อ.สุรยุทธ์ที่ไม่ได้ตำแหน่งอะไรในรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ หรือไม่ได้รับการตอบแทนอะไรบางอย่างซึ่งก้ไม่เข้าใจความคิดของพล.อ.พัลลภ เช่นกัน


เมื่อถามว่า หลังจากเกิดเหตุที่มีการเปิดโปงกันได้ติดต่อกับพล.อ.พัลลภ พล.อ.สุรยุทธ์ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องหรือไม่ นายปีย์กล่าวว่า ยังไม่ได้ติดต่อกับบุคคลใดทั้งสิ้น

เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เคยมารับประทานอาหารที่บ้านหรือไม่ นายปีย์กล่าวว่า เคยมาหลายครั้งเพราะเคยสนิทสนมกัน ในช่วงก่อนที่จะเป็นนายกฯ ส่วนช่วงเป็นนายกฯไม่ได้มา อาจจะเป็นเพราะไม่มีเวลา แต่หลังจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และกลับจากต่างประเทศมา 2 ครั้ง คุณพญิงพจมาน ชินวัตร

ส่วนที่สอง บทวิเคราะห์ของ VforVictory

ความสำคัญของข่าวนี้คือ

1. มีการรับประทานอาหารกันจริงระหว่างบุคคลดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วย ปีย์, สุรยุทธ์, อัคราทร, จรัญ, พัลลภ, ปราโมทย์, ชาญชัย

2. การสนทนาเป็นการสนทนาฉันท์คนรู้จัก หัวข้อการสนทนาคือ การพูดคุยปัญหาบ้านเมืองหลังแนวคิด เรื่องตุลาการภิวัตน์ และไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องปฏิวัติ

ผมขอวิเคราะห์ดังนี้

1. มีการรับประทานอาหารกันจริงระหว่างบุคคลดังกล่าว ซึ่งประกอบด้วย ปีย์, สุรยุทธ์, อัคราทร, จรัญ, พัลลภ, ปราโมทย์, ชาญชัย นี่เป็น FACT อย่างเดียวที่มีการพูดตรงกันระหว่าง ทักษิณ พัลลภ ปีย์ และ สุรยุทธ์ ดังนั้นการออกมาให้ข่าวเมื่อวานนี้ของปีย์ นับเป็นหมากที่พลาดอย่างมาก ของปีย์ในสายตาผม เพราะข้อมูลทั้งหมด (รวมทั้งคำยืนยันจากพัลลภ, สนธิ (ลิ้ม) ในวีดีโอคลิป , สุรยุทธ์ และปีย์ กลายเป็นลงสลักหลังยืนยันน้ำหนักคำพูดของทักษิณทั้งหมด จะเห็นได้ว่าทุกคนออกมายืนยันหมดว่ามีการนั่ง "ประชุมทานข้าว"กันจริง ซึ่งฝั่งทักษิณบอกว่าเป็นการคุยเพื่อล้มล้างอำนาจรัฐ แต่อีกฝั่งหนึ่งจะบอกว่าเป็นการคุยกันเรื่องปัญหาบ้านเมือง "ฉันท์เพื่อน" ดังนั้นเรื่องนี้จึงน่าจะเป็นการสนับสนุนคำพูดทักษิณว่ามีการพบกันของบุคคล เหล่านี้ "จริง"

2. การสนทนาเป็นการสนทนาฉันท์คนรู้จัก หัวข้อการสนทนาคือ การพูดคุยปัญหาบ้านเมืองหลังแนวคิด เรื่องตุลาการภิวัตน์ และไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องปฏิวัติ

ข้อนี้แหล่ะที่เป็นหลักฐานมัดตัวว่า ปีย์ โกหก

2.1 ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนของบุคคลทั้งเจ็ด
จาก คำสัมภาษณ์เบื้องต้นมีข้อความจากปากของ ปีย์ เองอย่างเดียวว่ามีความสัมพันธ์ ฉันท์เพื่อนกับอัคราทร ซึ่งเป็นตุลาการศาลฎีกา ณ ขณะนั้นคนเดียว แต่คนอื่นนอกเหนือจากนั้น ไม่น่าจะมีความสัมพันธ์ส่วนตัวเมื่อวิเคราะห์ให้ดีน่าจะได้ความสำคัญ (ตามคำให้การของปีย์ ) ดังนี้


อัคราทร - ตัวแทนศาลและเป็นเพื่อนของปีย์ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าน่าจะถูกเชิญมาคุยกันเรื่อง ตุลาการภิวัตน์ ชาญชัย + จรัญ - เข้าใจได้ว่ามาพร้อมกับอัคราทร ไม่น่าแปลกใจ แต่ลองสังเกตดูว่า จรัญเองไม่ได้มีความสำคัญนักจนกระทั่ง ปีย์ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าจรัญพูดอะไร (หรือไม่อยากให้มัดตัวก็ไม่แน่) สุรยุทธ์ - ไม่ได้มีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับปีย์ แต่โทรไปเรียกให้มานั่งฟังอัคราทรคุยว่าจะใช้ตุลาการภิวัตน์อย่างไร ปราโมทย์ - อาจจะตีความได้ว่าเป็นคอลัมนิสต์จึงรู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่ถ้าอ่านจากข้างบนจะเห็นได้ว่า "ไม่น่าจะรู้จัก" กันมาก่อน พัลลภ - ไม่สามารถหาได้ว่ามีความสัมพันธ์อย่างไรกับปีย์


2.2 หลักฐานล้างคำโกหกว่าสนทนาฉันท์คนรู้จัก
การ ปรากฎตัวของบุคคลทั้งเจ็ดขึ้น พร้อมกันเป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างดีว่าการ สนทนานั้นไม่ได้เกิดขึ้น ในลักษณะการคุยกันในหมู่คนรู้จักอย่างที่ปีย์กล่าว อ้าง เนื่อง จากความสัมพันธ์ส่วนตัวของทั้งหมดนั้น ดูแล้วหลวมมาก และไม่น่าจะอยู่ในสถานะที่จะเรียกว่าคุยกันฉันท์เพื่อนได้ จากการที่วิเคราะห์ความสัมพันธ์ข้างต้น จะเห็นได้ว่าทุกคน "อาจจะ" จะอยู่ในสถานะ คนรู้จัก หรืออย่างน้อยก็คนรู้จักของคนรู้จักได้ แต่กับพล.อ.พัลลภนั้น ปีย์ไม่น่าจะรู้จักเลย

2.2.1 โกหกเรื่องพัลลภ

อ่านย่อหน้าข้างล่างใหม่

" เมื่อถามว่า ทำไมเชิญ พล.อ.พัลลภและนายปราโมทย์เข้าร่วมและร่วมในฐานะอะไร นายปีย์กล่าวว่า มีความสนิทสนมกับคนทั้งสองมานานแล้ว และตอนนั้น พล.อ.พัลลภ กำลังดังเรื่องคาร์บอมบ์ (คดีวางระเบิดพ.ต.ท.ทักษิณ) ส่วนนายปราโมทย์นั้น เขียนหนังสือเกี่ยวกับปฏิญญาฟินแลนด์ และมีความรู้ทางด้านกฎหมายเลยเชิญมา ร่วม"

จะพบว่าสาเหตุเดียวที่เชิญพัลลภมาเพราะพัลลภกำลังดัง เรื่องคาร์บอมอยู่ ลองย้อนกลับไปดูว่าการสนทนานี้เกิดขึ้นเมื่อ 6 พฤษภาคม 2549 แต่เหตุการณ์คาร์บอมบ์เกิดเมื่อ 24 สิงหาคม 2549 http://board.palungjit.com/archive/index.php/t-65049.html (อ้างอิง) น่าแปลกที่ปีย์รู้ว่าพัลลภจะดังเรื่องคาร์บอมบ์ก่อนเหตุเกิดตั้งสามเดือน


2.2.2 โกหกเรื่องปราโมทย์

จาก เหตุผลในย่อหน้าเดียวกัน ปราโมทย์ถูกเชิญมาร่วมเพราะดังในเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ จากการสืบค้นพบว่าปราโมทย์เขียนเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์เมื่อ 18 พฤษภาคม 2549http://th.wikipedia.org/wiki/แผนฟินแลนด์ (อ้างอิง) น่าแปลกอีกเช่นกันที่ปีย์จะรู้เรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ก่อนที่ปราโมทย์จะเขียนตั้ง 12 วัน


2.3 สิ่งที่ขัดแย้งกันเองและบทสรุปของบทสัมภาษณ์
คำ ให้สัมภาษณ์ของปีย์เองกลับขัดแย้งกับความเป็นจริงและตัวมันเอง สิ่งที่ปีย์ต้องตอบให้ได้อย่างแรกคือ พัลลภ และ ปราโมทย์มาปรากฎตัว ณ ที่นั้นได้อย่างไร แน่นอนว่าจากเหตุผลเชิงเงื่อนเวลาข้างต้นแล้ว ไม่น่าจะเชื่อได้ว่าพัลลภและ ปราโมทย์มาปรากฎตัวตามสาเหตุที่ปีย์กล่าวอ้าง เพราะเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นหลังจากการสนทนาทั้งสิ้น หากการสนทนานั้นเกิดขึ้นเพราะต้องการคุยเรื่องตุลาการภิวัฒน์ สามคนที่เป็นตัวแทนจากศาลน่าจะเพียงพอที่จะสนทนาได้แล้ว การที่กล่าวอ้างว่าเชิญปราโมทย์เพราะรู้เรื่องกฎหมาย แล้วต้องตอบให้ได้ว่านักกฎหมายไทยมีตั้งแยะที่เก่งกว่าปราโมทย์ ทำไมไม่เชิญมา ???


สิ่งที่ปีย์ต้องตอบให้ได้คือ ทำไม ปราโมทย์ และ พัลลภ จึงไปอยู่ในที่นั้นได้


นี่ยังไม่ต้องพูดถึงความไม่ควรของการมีหนึ่งใน องคมนตรี ไปนั่งคุยอยู่ ณ ที่นั้นด้วย


3. ทฤษฎีสมคบคิดใหม่ ว่าด้วยการสนทนาของบุคคลทั้งเจ็ด


วิเคราะห์ความสำคัญของคนทั้งเจ็ดในแง่ตัวแทนกลุ่มบุคคล
อัคราทร + ชายชัย + จรัญ = ตัวแทนศาล
สุรยุทธ์ = องคมนตรี
ปราโมทย์ = ตัวแทนกลุ่มผู้จัดการและพธม.
พัลลภ = จปร. 7
วิเคราะห์ผลตอบแทนของบุคคลทั้งเจ็ดหลังเหตุการณ์รัฐประหาร
อัคราทร = candidate นายกฯหลังรัฐประหาร ปัจจุบันประธานศาลปกครองสูงสุด (http://th.wikipedia.org/wiki/อักขราทร_จุฬารัตน)
ชาญชัย = รมต.ยุติธรรม สมัย สุรยุทธ์ ปัจจุบัน องคมนตรี (http://th.wikipedia.org/wiki/ชาญชัย_ลิขิตจิตถะ)
จรัล = ปลัด ก.ยุติธรรม ปัจจุบัน ตลก.ศาลรัฐธรรมนูญ
สุรยุทธ์ = นายกรัฐมนตรี ปัจจุบัน องคมนตรี
ปราโมทย์ = คอลัมนิสต์
พัลลภ = รองผู้อำนวยการ กอ.รมน.


หาก ทั้งเจ็ดคนได้มีการวางแผนล้มล้างรัฐบาลจริง เชื่อได้ว่าบุคคลเกือบทั้งหมดได้รับการสมนาคุณทั้งทางตรงและทางอ้อม คนที่ดูจะได้รับผลตอบแทนน้อยที่สุดน่าจะเป็น พัลลภ เพราะตำแหน่งที่ได้ไม่ได้ มีความแตกต่างจากสมัยทักษิณอยู่เลย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ พัลลภ จะออกมาแฉเรื่องนี้ ส่วนปราโมทย์ นั้นด้วยความเป็นตัวแทนของกลุ่มผู้จัดการดังนั้นจึงเชื่อได้ว่า ผลตอบแทนน่าจะไปตกอยู่ที่ สนธิ มากกว่า แต่ก็อย่างที่ปรากฎเป็นความจริงต่อมาว่า สนธิ โดนหักหลังเรื่องสถานีโทรทัศน์ ให้วิเคราะห์จากเหตุการณ์ทั้งหมดตามลำดับ

- เกิดการประชุมกันของบุคคลทั้งเจ็ด
- มีการตีพิมพ์บทความปฏิญญาฟินแลนด์
- มีการใช้อำนาจศาลสั่งจำคุกกกต.ล้มการเลือกตั้ง
- มีการคาร์บอมบ์ทักษิณ
- มีการปฏิวัติ
- สุรยุทธ์ขึ้นเป็นนายกหลังการปฏิวัติ


ชัดซะไม่รู้จะชัดยังไง!!!!!!!!!!!!!

คุณ Vahn Citis แห่งเวปบอร์ดประชาไท ช่วยลำดับเหตุการณ์ดังนี้

6 พฤษภาคม ๒๕๔๙ - เกิดการประชุมกันของบุคคลทั้งเจ็ด

๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๙ - มีการตีพิมพ์บทความปฏิญญาฟินแลนด์ (ปราโมทย์)
๒๔ สิงหาคม ๒๕๔๙ - มีการคาร์บอมบ์ทักษิณ (ลูกน้อง 1000-)
๑๕ กันยายน ๒๕๔๙ - มีการใช้อำนาจศาลสั่งจำคุกกกต.(ฝ่ายตุลาการ)
๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ - มีการปฏิวัติ (ทหารกบฏ + PAD + สื่อ + ..)
๑ ตุลาคม ๒๕๔๙ - สุรยุทธ์ขึ้นเป็นนายกหลังการปฏิวัติ


วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2552

คำสอนของพระธุดงค์นิรนาม

เมื่อ ต้นปี พ.ศ. ๒๕๒๘ นั้น มีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง เดินธุดงค์มาอาศัยอยู่ที่ “ถ้ำขี้เหล็กไหล” หน่วยพิทักษ์ป่าชะแนน เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าภูวัว ใกล้ ๆ กับหมู่บ้านชัยพรของเรา แต่ไม่มีใครทราบว่าท่านชื่ออะไร? มาจากไหน เพราะท่านไม่เคยบอกใคร ท่านเป็นพระธุดงค์ที่ปฏิบัติเคร่งครัดมาก ห่มจีวรสีกลัก ฉันอาหารมื้อเดียว และฉันในบาตร ออกบิณบาตเป็นประจำทุกวันไม่เคยขาดเลย แม้ฝนจะตก แดดจะออก หรือไม่สบายก็ตาม เพราะเหตุนี้ การถือธุดงควัตรจึงเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านอย่างสูง ทุกคนเรียกท่านว่า "หลวงพ่อ" อย่างสนิทสนม นอกจากปฏิบัติเคร่งครัดแล้ว หลวงพ่อของเรายังมีลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือ พูดน้อย อาจกล่าวได้ว่า ไม่มีใครเลยได้ยินท่านพูดถึง ๓ ประโยคในคราวเดียวกัน

บางทีท่านก็นั่งนิ่งๆ อยู่ทั้งวัน ทั้ง ๆ ที่ญาติโยมนั่งอยู่เต็มข้างหน้า

ดังนั้น บรรดาญาติโยมที่ตั้งใจจะไปคุยกับหลวงพ่อ จึงลงเอยด้วยการคุยกันเอง แต่หลวงพ่อของเราก็ไม่ใช่พระใบ้เสียทีเดียว นาน ๆ ท่านจะพูดออกมาประโยคหนึ่งหรือสองประโยค และทุก ๆ ประโยคที่หลุดออกมาจากปากของท่าน มักจะเป็นปริศนาธรรมอันลึกซึ้ง หรือเป็นสุภาษิต มีคติน่าจับใจเสมอ

เพราะเหตุนี้เอง คำพูดทุกคำของท่านจึงมีค่าอย่างยิ่ง ญาติโยมบางคนอุตสาห์ไปนั่งเฝ้าท่านอยู่ทั้งวัน เพื่อจะฟังคำพูดของท่านแม้เพียงประโยคเดียว เมื่อได้ฟังแล้วก็นำไปขบคิดเองบ้าง ถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง จนเกิดความรู้แตกฉานในพุทธธรรมได้ดีกว่าฟังเทศน์กัณฑ์ยาวๆ เสียอีก กิตติศัพท์ของหลวงพ่อทำให้ข้าพเจ้าเกิดความสนใจขึ้นมาทันที

วันหนึ่งเมื่อมีเวลาว่าง จึงได้ไปกราบนมัสการและพบท่านนั่งพักผ่อนอยู่ใต้ชะง่อนหินตรงปากถ้ำ “หลวงพ่อครับ” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นหลังจากกราบท่านแล้ว “ตัวผมนี้ ถึงจะเป็นพุทธศาสนิกชน ก็ยังมีความสงสัยลังเลอยู่มาก ไม่ทราบว่าจะยึดอะไรเป็นหลักปฏิบัติ

ผมเคยไปถามพระหลายองค์หลายวัด บางองค์สอนให้ทำบุญทำทาน บางองค์สอนให้รักษาศีล บางองค์ก็สอนให้เจริญภาวนา มีทั้งยุบหนอพองหนอ สัมมาอะระหัง พุทโธ และโบกไม้โบกมือ บ้างก็ให้วิปัสสนาพิจารณากันเลย บางองค์ก็ชวนให้ออกบวช บางองค์ก็แนะนำให้ทำจิตให้ว่าง ผมเลยงงไปหมด ไม่รู้ว่าจะยึดอะไรเป็นหลักแน่! หลวงพ่อกรุณาบอกผมด้วยว่า จะทำอย่างไร จึงจะเดินถูกทาง เข้าถึงแก่นพระศาสนาได้”

“รู้” หลวงพ่อตอบสั้น ๆ ตามแบบฉบับของท่าน แล้วหลวงพ่อก็ไม่พูดอะไรอีก ข้าพเจ้างงเหมือนไก่ตาแตก เพราะไม่เข้าใจความหมายของท่าน ไม่ทราบว่า ท่าน “รู้” เรื่องที่ข้าพเจ้าเล่าถวาย หรือแนะนำให้ข้าพเจ้า “รู้” เมื่อเชื่อแน่ว่าท่านจะไม่อธิบายเพิ่มเติม ข้าพเจ้าจึงถามาว่า “รู้ อะไรครับ?”

“รู้ตัว” หลวงพ่อตอบ แล้วลูกขึ้นเดินหายเข้าไปในถ้ำ ก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้ซักถามอะไรเพิ่มเติม ขณะที่เดินทางกลับบ้าน ข้าพเจ้าพยายามคิดตึความหมายของคำว่า “รู้ตัว” มาตลอดทาง พลางนึกเถียงหลวงพ่ออยู่ในใจว่า ข้าพเจ้ารู้ตัวเองดีอยู่แล้ว่าชื่อนั้น นามสกุลนั้น อายุเท่านั้น เรียนจบชั้นนั้น ประกอบอาชีพชนิดนั้น มีนิสัยชอบศึกษาค้นคว้าหาความรู้แปลก ๆ ใหม่ ๆ มีโรคปวดท้องเป็นโรคประจำตัว

ข้าพเจ้าสามารถจะตอบปัญหาเกี่ยวกับตัวเองได้ทุกปัญหา ข้าพเจ้าไม่เคยไปให้หมอดูดูดวง เพราะไม่เชื่อว่าหมอดูจะรู้จัดข้าพเจ้าดีไปกว่าตัวเอง หลวงพ่อจะให้ “รู้ตัว” อย่างไรอีก

ข้าพเจ้านอนคิดปัญหานี้อยู่หลายวัน แต่คิดไม่ออก วันหนึ่งเมื่อมีโอกาส จึงเดินเข้าไปในตลาดเมืองหนองคาย จุดประสงค์เพื่อจะไปเยี่ยมชมร้านขายหนังสือ ด้วยเชื่อว่า บางทีหนังสืออาจจะช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง

ข้าพเจ้าได้เข้าไปในร้านจำหน่ายหนังสือใหญ่ร้านหนึ่ง แล้วก็เดินดูไปเรื่อยๆ ได้พบหนังสือทุกประเภท ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ หนังสือประเภทนวนิยาย สารคดี นิทาน ตำรับตำราและรูปภาพต่างๆ ข้าพเจ้าใช้เวลาอยู่ในร้านประมาณ ๑ ชั่วโมง เดินดูจนทั่วก็ไม่พบหนังสือที่ต้องการ

ในขณะที่กำลังจะเดินออกจากร้านนั่นเอง ตาก็เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งวางโชว์ไว้ในตู้ สิ่งที่สะดุดตาที่สุดบนหนังสือนั้นก็คือ ภาพร่างมนุษย์ผ่าซีก ระบายสีเผยให้เห็นอวัยวะภายในต่างๆ อย่างชัดเจน ข้าพเจ้าเดินเข้าไปใกล้ และได้พบชื่อหนังสือนั้นว่า กลไกของร่างกายมนุษย์” เขียนโดยนายแพทย์ผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ข้าพเจ้าจ่ายเงิน ๑๕๐ บาท แล้วนำหนังสือนั้นกลับบ้าน พอถึงบ้านก็ลงมือเปิดอ่านทันที เนื่องจากผู้เขียนใช้ภาษาง่ายๆ และมีภาพประกอบแพรวพราว จึงทำให้เข้าใจได้ง่ายมาก

ภายใน ๓ วัน ข้าพเจ้าก็อ่านหนังสือเล่มนั้นจบ และจำสาระสำคัญ ๆ ได้หมด นัดนี้ ข้าพเจ้าได้ทราบว่า ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วย กระดูกกี่ชิ้น กล้ามเนื้อกี่มัด เส้นเอ็นเส้นอูดกี่เส้น อยู่ที่ไหนบ้าง อวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ ตับ ปอด ไต กระเพาะ ลำไส้ และต่อมต่างๆ ทำหน้าที่อย่างไร ข้าพเจ้ารู้ละเอียดลงไปถึงเรื่องโครงสร้าง ส่วนประกอบการเติบโต และการขยายพันธุ์ของเซลล์

หนังสือเล่มนี้ทำให้ข้าพเจ้า เห็นร่างกายเป็นโรงงานมหึมา ประกอบด้วยเครื่องจักรเป็นจำนวนหมื่น จำนวนแสน ทำงานเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิดตลอดวันตลอดคืน ตั้งแต่เกิดจนตาย เมื่อเชื่อว่าตน “รู้ตัว” ดีแล้ว ข้าพเจ้าก็ไปพบหลวงพ่อที่ถ้ำ และได้บรรยายกลไกแห่งร่างกายมนุษย์ ให้หลวงพ่อฟังอย่างละเอียด ตามที่จำได้จากหนังสือ

เมื่อเล่าจบก็นั่งตั้งใจคอยฟังว่า หลวงพ่อท่านจะมีความคิดเห็นอย่างไร “เจ้ายังไม่รู้ตัว” หลวงพ่อท่านพูดขึ้น หลังจากนั่งเงียบ ตลอดเวลา สิ่งที่เจ้ารู้เป็นแต่เพียง “สมมติสัจจะ” ก่อนที่ข้าพเจ้าจะทันได้โต้ตอบ ท่านก็ลูกขึ้นเดินเข้าถ้ำไปเสียแล้ว ปล่อยให้ข้าพเจ้านั่งทอดถอนใจด้วยความผิดหวังอยู่คนเดียว

ข้าพเจ้าเดินคอตกกลับบ้าน แล้วก็เริ่มต้นคิดหาความหมายของคำว่า “รู้ตัว” ในแนวอื่น แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งมืดแปดด้าน เช้าวันอาทิตย์วันหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจเข้าไปในตัวจังหวัดอีก จุดประสงค์ก็เพื่อ ไปพบและขอคำปรึกษาหารือ จากอาจารย์ผู้สอนวิทยาศาสตร์ ซึ่งเคยสอนข้าพเจ้ามา “อาจารย์ครับ” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้น หลังจากทักทายกันตามธรรมเนียมแล้ว “ที่บ้านผมมีพระธุดงค์รูปหนึ่ง ท่านสอนผมว่า ถ้าต้องการเดินให้ถูกทาง เข้าถึงแก่นพุทธศาสนาต้อง “รู้ตัว” ผมได้อธิบายตัวตนของเราตามหลักสรีรวิทยาให้ท่านฟังแล้ว ท่านบอกว่า “สิ่งที่ผมรู้เป็นเพียง สมมติสัจจะ” ผมยังไม่ “รู้ตัว” อาจารย์ช่วยแนะนำผมด้วยว่า จะให้ผมรู้ตัวในแง่ไหนอีก?

อาจารย์ผู้ได้ปริญญาโททางวิทยาศาสตร์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “สรีรวิทยา หรือกายวิภาควิทยา ยังไม่ใช่ความรู้สุดท้ายเกี่ยวกับตัวมนุษย์ ถ้าจะให้ถึงที่สุดก็ต้องศึกษาในแง่เคมี” ว่าแล้วอาจารย์ก็เริ่มอธิบายร่างกายมนุษย์ในแง่เคมีให้ข้าพเจ้าฟัง เริ่มต้นด้วยการจำแนกสารประกอบทางเคมีของร่างกายออกเป็นอย่างๆ แล้วก็แยกสารประกอบแต่ละอย่างออกเป็นธาตุแท้ๆ คือ “ปรมาณู” อธิบายโครงสร้างปรมาณูของธาตุต่างๆ อย่างละเอียดตลอดถึงไอโซโธปต่างๆ ของธาตุชนิดเดียวกัน

“ปรมาณูนี้และ คือส่วนประกอบที่เล็กที่สุดของร่างกาย” อาจารย์กล่าวสรุป คุณจะเป็นได้ว่า ปรมาณูแต่ละตัว มีลักษณะคลายสุริยะจักรวาล โดยมีนิวเคลียส เป็นดวงอาทิตย์ มีอิเล็กตรอนเป็นดวงดาวนพเคราะห์ โคจรอยู่โดยรอบ

ฉะนั้นร่างกายของเราจึงไม่ใช่อะไร นอกจากกลุ่มปรมาณูนับจำนวนไม่ถ้วน เช่นเดียวกับ กาแล็กซี เป็นกลุ่มของสุริยจักรวาลมากมาย

ข้าพเจ้ากลับไปพลหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง และได้อธิบาย “ตัว” ในแง่วิชาเคมี ให้หลวงพ่อท่านฟังอย่างละเอียด เป็นเวลากว่า ๓๐ นาที ฝ่ายหลวงพ่อท่านก็ดูท่าทางตั้งใจฟังด้วยความสนใจ ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความหวังขึ้นมารางๆ ว่า คราวนี้หลวงพ่อคงรับรองว่าข้าพเจ้า “รู้ตัว” แน่ เมื่อข้าพเจ้าอธิบายจบ หลวงพ่อยังคงนั่งนิ่ง คล้ายกับกำลังพิจารณาทบทวนเรื่องราวที่ข้าพเจ้าเพิ่งเล่าจบลง

สักครู่ใหญ่ผ่านไป หลวงพ่อท่านจึงพูดขึ้นว่า “เจ้ายังไม่ รู้ตัว สิ่งที่เจ้ารู้เป็นเพียง สภาวสัจจะ” ว่าแล้วก็ลุกเข้าถ้ำไปตามเคย

ข้าพเจ้าต้องแบกความผิดหวังกลับบ้านอีกครั้งหนึ่ง แต่ความล้มเหลวสองคราวที่ผ่านมา หาได้ทำให้ข้าพเจ้าหมดความมานะพยายามที่จะค้นหาความจริงต่อไปไม่

ข้าพเจ้ายังพยายามขบคิดความหมายของ “รู้ตัว” ต่อไป แต่ก็ไม่ได้รับความกระจ่างแจ้งใดๆ พยายามไต่ถามใครต่อใครก็แล้ว จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง ขณะรับประทานอาหารค่ำ วิทยุท้องถิ่นประกาศข่าวว่า จะมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางพระอภิธรรมคนหนึ่งมาแสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ความลับของชีวิต” ที่หอประชุมกลาง อาคารเฉลิมพระเกียรติที่ในเมือง ในสองวันข้างหน้านี้

พอได้ยินประกาศนั้น ข้าพเจ้าก็เกิดความหวังขึ้นมาทันทีว่า คราวนี้คง “รู้ตัว” แน่ๆ เพราะสองครั้งที่แล้วมา ข้าพเจ้าศึกษา “ตัว” ในด้านวัตถุด้านเดียว ลืมด้านจิตใจเสียสนิท คราวนี้ข้าพเจ้าจะมีโอกาสรู้จักตนเองในด้านจิตใจ ซึ่งทางพระพุทธศาสนาถือเป็นสิ่งสำคัญอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจด วัน เวลา ปาฐกถาลงในสมุดพก แล้วตั้งตาคอยด้วยความกระวนกระวายใจ

ในที่สุด วันที่ตั้งตาคอยก็มาถึง ข้าพเจ้าเข้าไปในเมืองตั้งแต่เช้า และไปนั่งคอยอยู่ที่ห้องประชุม อาคารเฉลิมพระเกียรติก่อนเวลาเกือบชั่วโมง

ในวันนั้นปรากฏว่ามีคนฟังมากเป็นพิเศษ แม้หอประชุมจะกว้างใหญ่ ก็เต็มแน่นไปด้วยประชาชนผู้สนใจ เมื่อได้เวลา องค์ปาฐกก็ก้าวขึ้นสู่เวที ท่านกล่าวว่า คนสมัยนี้มีความรู้มาก ความรู้กว้างไกล ไกลจากตัวเองสู่โลก จากโลกสู่ท้องฟ้าอวกาศ คนสามารถรู้ว่า ดวงดาวเล็กๆ ที่ส่งแสงริบหรี่อยู่ในห้วงอวกาศอันไกลแสนไกลนั้น มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวเท่าไหร่ มีเส้นรอบวงยาวเท่าไร มีน้ำหนักเท่าไร ประกอบด้วยธาตุอะไรบ้าง ห่างจากโลกกี่ปีแสง แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ลืมตัวเองอย่างสนิท ไม่ศึกษาตนเอง จึงมีความรู้เกี่ยวกับตนเองน้อยมาก มนุษย์ไม่รู้ตนคืออะไร ประกอบด้วยอะไร เกิดมาได้อย่างไร ตายแล้วจะไปไหน ต่อจากนั้น องค์ปาฐกก็เข้าประเด็นสำคัญของปาฐกถา

ท่านได้อธิบายธรรมชาติของจิต ดวงต่าง ๆ ของจิต จำนวนร้อย การทำงานของจิต อารมณ์ของจิต เจตสิกธรรมต่างๆ ที่แทรกอยู่ในจิต การกระทำกรรม อำนาจของกรรม การเกิดใหม่

นอกจากนี้ ท่านยังได้อธิบายเรื่อง ผี เทวดา เปรต ตลอดจนถึงอำนาจลึกลับต่าง ๆ ทางไสยศาสตร์ด้วย หลังจากปาฐกจบ องค์ปาฐกได้เปิดโอกาสให้ผู้ฟังถามปัญหาข้อข้องใจต่าง ๆ ข้าพเจ้าก็ได้ถาม ๒-๓ ข้อ และได้ฟังการตองจากองค์ปาฐกอย่างแจ่มแจ้งเป็นที่พอใจ ข้าพเจ้าเดินทางกลับบ้านด้วยความมั่นใจยิ่งกว่าคราวใด การฟังปาฐกถาครั้งนี้ ทำให้ข้าพเจ้า “รู้ตัว” ในด้านจิตใจอย่างละเอียดถี่ถ้วน “หลวงพ่อจะต้องยอมจำนนในคราวนี้แน่” ข้าพเจ้าพูดกับตัวเองด้วยความกระหยิ่มใจ เมื่อสองครั้งที่แล้วมา เราไปแสดง “ตัว” ในด้านวัตถุให้ท่านฟัง ตามทัศนะทางวิทยาศาสตร์ ท่านปฏิเสธไปก็ชอบแล้ว ถูกของท่านแล้ว แต่คราวนี้เป็นเรื่องของจิตใจอันลึกซึ้งในประอภิธรรมปิฎก ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เอง ถ้าหลวงพ่อปฏิเสธอีกก็ให้มันรู้ไป

เย็นวันเดียวกันนั้นเอง อาบน้ำรัปประทานอาหารเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็รีบไปพบหลวงพ่อที่ถ้ำ เมื่อนั่งกราบท่านเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มสาธยาย เรื่อง จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน ตามหลักพระอภิธรรม ให้ท่านหลวงพ่อฟัง ด้วยความมั่นอกมั่นใจเป็นพิเศษ เช่นเดียวกัน เมื่อเล่าจบ ข้าพเจ้าก็คอยตั้งใจฟังคำตอบจากหลวงพ่อ “เจ้ายังไม่รู้ตัว” หลวงพ่อพูดขึ้นหน้าตาเฉย “สิ่งที่เจ้ารู้เป็นเพียง ปรมัตถสัจจะ” ว่าแล้วก็เดินเข้าถ้ำไป

ข้าพเจ้ารู้สึกผิดหวัง ดุจเดียวกับคนที่สร้างบ้านจวนเสร็จแล้ว แต่ถูกลมพายุพัดพังทลายลงต่อหน้าต่อตา การประสบความผิดหวังถึง ๓ ครั้ง ๓ คราวนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความท้อแท้ใจ เพราะเชื่อมั่นว่าตน “รู้ตัว” เจนจบแล้ว ทั้งในแง่วัตถุและจิตใจ ทั้งในแง่วิทยาศาสตร์ และแง่พุทธศาสนา นอกเหนือไปจากนี้ ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีก

เมื่อคิดดังนี้ ข้าพเจ้าก็เลิกล้มความคิดที่ค้นหาความจริงของ “รู้ตัว” ต่อไป เพราะในตัวคนเรา ไม่มีอะไรจะให้รู้ต่อไปอีกแล้ว “พอกันที” ข้าพเจ้าพูดกับตัวเอง สำหรับ “รู้ตัว” อันยุ่งยากของหลวงพ่อ มันรู้ยากนักก็ไม่รู้มันละ ทำบุญรักษาศีลไปตามเดิมดีกว่า หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ดำเนินชีวิตฆราวาสไปอย่างปกติธรรมดา ไม่ได้คิดหาความหมายของ “รู้ตัว” และไม่ได้ไปพบหลวงพ่ออีกเลย

ประมาณ ๑ เดือนหลังจากนั้น ขาพเจ้ามีธุระจะต้องเดินทางไปต่างอำเภอ จึงไปขึ้นรถโดยสารที่สถานีจอดรถ วันนั้นอากาศค่อนข้องร้อนอบอ้าว ผู้โดยสารก็ค่อนข้างแน่นชวนให้งว่งนอน ในขณะที่รถโดยสารวิ่งไปตามถนนอันราบเรียบ ข้าพเจ้าจึงนั่งหลับนกไปในรถตลอดเวลา เมื่อรู้สึกตัวลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเกิดความประหลาดใจอย่างใหญ่หลวงที่สุดในชีวิต เพราะแทนที่จะพบตัวเองอยู่ในรถโดยสาร กลับพบตัวเองนอนอยู่ในห้องอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง

เสียงที่ได้ยิน แทนที่จะเป็นเสียงครางกระหึ่มของเครื่องยนต์ กลับเป็นเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดของมนุษย์ ข้าพเจ้าลองหันหน้าไปมองทางด้านขวามือ ก็ได้พบชายคนหนึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียง หน้าตาแขนขาของเขาถูกพันไว้ด้วยผ้าปลาสเตอร์สีขาว จนดูคล้ายศพที่เขาตราสังแล้ว ถัดจากนั้นไป มองเห็นหัวเข่าอันผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกของชายคนหนึ่งโผล่ขี้นมา ข้าพเจ้าลองหันหน้าไปดูทางซ้ายบ้าง ก็พบชายคนหนึ่ง รูปร่างผอมเหลืองดุจซากศพ กำลังนั่งกิดเข่าอยู่บนเตียงอย่างเป็นทุกข์ ถัดไปเป็นชายอีกคนหนึ่งนอนครวญครางอยู่ด้วยความเจ็บปวด ขาข้างหนึ่งของเขาถูกผูกโยงไว้กับราวข้างบน ข้าพเจ้าหันหน้ากลับ หลับตาคิดทบทวนความจำอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองมิได้ฝันไป แต่พอลืมตาขึ้นก็ได้พบสภาพเดิมอีก แสดงว่ามิได้ฝันแน่ๆ “โรงพยาบาล”

ข้าพเจ้าอุทานกับตัวเองเบาๆ “โรงพยาบาล” ข้าพเจ้าอุทานกับตัวเอง แล้วพยายามคู้แขนเตรียมจะใช้ยันลุกขึ้นนั่ง แต่แล้วก็ต้องล้มเลิกความพยายาม เพราะรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วสรรพางค์กาย พยายามคู้ขาเพื่อจะยันเข่าขึ้น แต่ก็ไม่สำเร็จอีก ข้าพเจ้าจึงนอนอยู่นิ่งๆ และยิ้มนิดๆ เพราะรู้สึกขบขันต่อความไม่แน่นอนของชะตามนุษย์

ต่อมาภายหลัง เมื่อนางพยาบาลนำยามาให้ข้าพเจ้ารับประทาน จึงได้ทราบจากเธอว่า รถยนต์ที่ข้าพเจ้าโดยสารไปเกิดคันเร่งหลุด เสียหลักพุ่งลงข้างถนนและพลิกคว่ำ ทำให้คนโดยสารตายทันที ๗ ศพ นอกนั้นบาดเจ็บสาหัส และไม่สาหัสทุกคน สำหรับข้าพเจ้า ขาขวาหัก ต้องเข้าเฝือก และต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอย่างน้อย ๒ สัปดาห์ ที่โรงพยาบาลนี้เอง ข้าพเจ้าได้รู้จักความจริงอีกด้านหนึ่งของชีวิต ความเจ็บปวดแสนสาหัสและความไม่สะดวกสบายต่างๆ อันกิดจากความเจ็บปวด ภาพของเพื่อนมนุษย์ผู้ผอมโซ เพราะโรคภัยไข้เจ็บนานาชนิดที่เห็นตำตาทุกวัน

เสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวด เสียงอาเจียนโอ้กอ้าก เสียงพร่ำเพ้อละเมอครวญครางด้วยทุกข์เวทนาที่ดังก้องอยู่ตลอดคืน ภาพคนเจ็บที่ตายลงต่อหน้าต่อตา และถูกนำใส่รถเข็นออกไปท่ามกลางเสียงร้องไห้ครวญครางของคนรัก ภาพเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้ามองชีวิตในแนวใหม่ ข้าพเจ้าเริ่มเห็นว่า ชีวิตคือความทุกข์ แต่ละคนคือก้อนแห่งความทุกข์ ทุกคนที่เกิดมาในโลกเป็นคนป่วย ป่วยด้วยโรคหิว โรคกระหาย โรคง่วง โรคเหนี่อย โรครัก โรคชัง โรคอยาก โรคกลัว โรคโง่ โรคเหงา โรคเศร้า โรคทุกข์

ข้าพเจ้าเห็นต่อไปอีกว่า โลกทั้งโลก คือโรงพยาบาลอันมหึมา สมบัติทุกชิ้นที่มนุษย์มีอยู่และแสวงหาอยู่คือ ยาแก้โรค อาหาร แก้โรคหิว น้ำ แก้โรคกระหาย ที่พักอาศัย แก้โรคหนาวร้อน เสื้อผ้า แก้โรคหนาวเย็นร้อน และโรคอาย เพื่อนฝูงลูกเมีย แก้โรคเหงา นอนแก้โรคง่วง เรียนแก้โรคดง่ แต่ถึงแม้จะมียาเท่าไร มากแค่ไหน ในที่สุด ก็ไม่พ้นโรคแก่ โรคเจ็บ และโรคตาย ซึ่งไม่มียาใดๆ รักษาได้

ความจริงของชีวิตที่ข้าพเจ้าได้พบ ทำให้เกิดความสังเวชสลดใจอย่างลึกซึ้ง และความสังเวชนี้ได้ขึ้นถึงขีดสุดในเช้าวันหนึ่ง คือที่ข้างๆเตียงของข้าพเจ้า มีเพื่อนร่วมทุกข์คนหนึ่งนอนเจ็บอยู่ เขาเป็นชายหนุ่มอายุ ๒๘ ปี และเป้นคนช่างพูด ฉะนั้นจึงเป็นที่รู้จักสนิทสนมกับคนป่วยบนเตียงข้างเคียงทุกคน เฉพาะอย่างยิ่งกับข้าพเจ้า เราได้กลายเป็นเพื่อคุยที่ถูกคอกันมากที่สุด เขาเล่าว่า มีร้านขายของเล็กๆ น้อยๆ อยู่ทางบ้าน กิจการของเขากำลังก้าวหน้า เขาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงแผนการต่างๆ ที่จะกลับไปทำเมื่อออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว

ภรรยาและลูกน้อยประมาณ ๓ ขวบครึ่งของเขาได้มานอนเฝ้าที่โรงพยาบาลด้วย โดยผูกมุ้งเข้ากับขาเตียงนอนอยู่ระหว่างเตียงของสามีกับเตียงของข้าพเจ้า นั่นเอง

ในตอนเช้าตรู่วันต่อมา ข้าพเจ้าสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังมาจากข้างๆ เตียง เมื่อลุกขึ้นนั่ง ก็ได้พบภรรยาของชายคนนั้นกำลังร้องไห้ฟูมฟาย ฝ่ายลูกน้อยก็กอดคอแม่ร้องไห้ด้วย ดูเป็นที่น่าสงสารจับใจยิ่ง ข้าพเจ้าได้ถามว่า ร้องไห้เพราะเหตุใด? ภรรยาของเขาไม่ตอบ เพียงแต่ชี้ไปทางสามีซึ่งกำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ข้าพเจ้าลงจากเตียง เดินกระย่องกระแย่งไปจับดูเท้าของเขา ข้าพเจ้าถึงกับสะดุ้งและชักมือกลับด้วยความตกใจ เพราะปรากฏว่า เท้าของเขาเย็นเฉียบและแข็งทื่อพิกล เมื่อคลำดูชีพจรที่ข้อเท้าอีกครั้งหนึ่ง ก็พบว่าเขาสิ้นใจตายเสียแล้ว! “ไปที่ชอบๆ เถิดเพื่อนรัก”

ข้าพเจ้าพูดออกมาคล้ายคนละเมอ พลางยื่นมือไปปิดเปลือกตาของเขาซึ่งเปิดอยู่นิดๆ แว่วเสียงก้องในจิตใจว่า

โลกมนุษย์เราเกิดแล้ว ตายแน่

บ้างไม่ทันถึงแก่ ดับแล้ว

บางคนป่วยจนแย่ ตายยาก นาเจ้า

อ่อนแก่ก็ไม่แคล้ว แน่แท้ คือ “ตาย”

ในไม่ช้า เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็นำรถเข้ามาเทียบ ยกร่างอันปราศจากวิญญาณของเขาขึ้นสู่รถเข็น แล้วก็เข็นออกไป พร้อมด้วยภรรยาของเขา ซึ่งอุ้มลูกหอบผ้าร้องไห้เดินตามไปอย่างระทดระทวย คนป่วยอื่นๆต่างมองหน้ากันทำตาปริบๆ “เขาไปเสียแล้ว” คนป่วยชราบนเตียงข้างหน้าข้าพเจ้าอุทานออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ “แต่ในไม่ช้าเราทุกคนก็จะตามเขาไป” ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอนเอามือก่ายหน้าผากมองเพดาน ข้าพเจ้าล้มตัวลงนอนบ้าง แต่แล้วก็ผุดลุกขึ้นนั่งทันที เพราะเกิดความคิดขึ้นอย่างฉับพลัน คล้ายมีแสงสว่างวาบขึ้นในดวงใจว่า “รู้ตัว” ก็คือ รู้ทุกข์ รู้ทุกข์ เท่ากับ “รู้ตัว”

“รู้ตัว ก็คือ รู้ทุกข์ รู้ทุกข์เท่ากับ รู้ตัว” พร้อม ๆ กับความคิดนี้ ข้าพเจ้าเกิดความเบื่อหน่ายแกมสังเวชสลดใจ ต่อการเวียนว่ายตายเกิดใน วัฏฏะ ข้าพเจ้าได้ตั้งปณิธานลงไปว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าจะทำความดีใด ๆ ก็จะไม่ทำเพื่อให้ตนได้ไปเกิดในสวรรค์ อันจะเป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิดอีก แต่จะทำเพื่อขัดเกลาสันดานให้บริสุทธิ์สะอาด เพื่อความพ้นทุกข์

ถ้าจะเว้นการทำชั่ว ก็จะไม่เว้นเพราะกลัวตกนรก แต่เว้นเพราะกลัวการเวียนว่ายตายเกิดใน วัฏฏะ ขณะที่กำลังนั่งตรึกตรองอยู่นั้นเอง จิตใจก็หวนคิดถึงหลวงพ่อที่ถ้ำขึ้นมา ข้าพเจ้าเกิดความมั่นใจอย่างประหลาดว่า บัดนี้ได้ “รู้ตัว” แล้ว ความมั่นใจทำให้อยากหายเร็ว ๆ จะได้รีบกลับไปรายงานผลให้หลวงพ่อทราบ ข้าพเจ้าล้มตัวลงนอนด้วยจิตใจอิ่มเอิบ และด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มผิดจากวันก่อน ๆ ปิติอันเกิดจากความรู้ใหม่ ทำให้ข้าพเจ้าลืมความเจ็บป่วยเกือบสิ้นเชิง

ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนอนคิดอยู่นั่นเอง เหตุการณ์ณ์ที่ข้าพเจ้าไม่นึกไม่ฝันก็ได้เกิดขึ้น หลวงพ่อที่กำลังระลึกถึงเหตุอยู่นั้น ได้เดินผ่านทะลุประตูเข้ามาในห้องจริง ๆ ! หลวงพ่อท่านมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียงของข้าพเจ้า แต่มิได้พูดอะไรออกมา ข้าพเจ้ารีบลุกขึ้นนั่งยกมือไหว้ แต่ก็พูดอะไรไม่ออก เพราะความตกตะลึงต่อเหตุการณ์ที่ไม่นึกไม่ฝันมาก่อน ครั้นได้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา ข้าพเจ้าก็เตรียมจะเอ่ยปากรายงานผลการ “รู้ตัว” แก่ท่าน แต่ก่อนที่ข้าพเจ้าจะทันได้อ้าปากพูด หลวงพ่อท่านก็ยกมือขวาขึ้นเป็นเชิงห้าม แล้วหลวงพ่อท่านก็พูดออกมาเองอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว ผู้ใดรู้จักทุกข์ ผู้นั้นรู้จักตัว ผู้ใดเห็นตัว ผู้นั้นเห็นทุกข์ ถ้าเจ้ารู้ สมมติสัจจะ เจ้าจะเพียงแต่ฉลาดในคดีโลก ถ้าเจ้ารู้สภาวะสัจจะ เจ้าจะเป็นเพียงนักวิทยาศาสตร์ ถ้าเจ้ารู้ปรมัตถสัจจะ เจ้าก็จะเป็นได้ก็เพียงนักปรัชญา แต่ถ้าเจ้าเห็นทุกข์ เจ้าก็เห็นอริยสัจจะ และกำลังจะก้าวไปสู่ความเป็นอริยบุคคล

เจ้าเริ่มก้าวขึ้นสู่ทางเดินอันถูกต้อง และจะไม่มีวันถอยหลังกลับ เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงเห็นทุกข์อันมาในรูป คนแก่ คนเจ็บ และคนตาย ทรงเบื่อหน่าย เสด็จออกบรรพชา แล้วพระองค์ก็ไม่กลับคืนมาสู่โลกอันเต็มไปด้วยทุกข์อีก ท่านยสกุลบุตรตื่นขึ้นกลางดึก เห็นสภาพอันน่าสังเวชของหญิงบริวาร ที่กำลังหลับใหลอยู่ เป็นดุจซากศพในป่าช้าผีดิบ จึงเดินบ่นออกจากบ้านตนเอง ไปจนพบพระพุทธองค์ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แล้วท่านก็ไม่หวนกลับมาอีก

พระสารีบุตร และพระมหาโมคัลลานะ เห็นทุกข์ขณะดูมหรสพบนยอดเขา เกิดความเบื่อหน่าย ออกบรรพชาแล้ว ท่านก็ไม่หวนกลับอีก ใครๆ ก็ตามถ้ายังไม่เห็นทุกข์ แม้ออกบรรพชา ก็ยังจะต้องหวนกลับคืน บัดนี้เจ้า “รู้ตัว” แล้ว เป็นพุทธศาสนิกชนที่สมบูรณ์ทั้ง กาย วาจา ใจ จงก้าวเดินต่อไปตามทางแห่งอริยมรรค เพื่อดับสมุทัย และบรรลุถึงนิโรธในที่สุดเถิด

พูดจบ หลวงพ่อท่านก็เดินหันกลับ เดินทะลุประตูออกไปทันที ก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้กล่าวตอบโต้ใด ๆ ข้าพเจ้ายกมือไหว้ตามหลังท่าน แล้วก็ก้มหน้าคิดทบทวนตามคำสอนของหลวงพ่อ เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้ยินหลวงพ่อพูดอย่างยือยาวเช่นนี้ ข้าพเจ้าปลื้มปิติอย่างบอกไม่ถูก ที่หลวงพ่ออุตส่าห์มาเยี่ยม และที่สำคัญที่สุด ก็มารับรองความเห็นของข้าพเจ้าว่า ถูกต้องแล้ว

พอหายเจ็บและได้รับอนุญาตให้ออกจากธรงพยาบาลได้ ข้าพเจ้าเดินทางกลับบ้านทันที จุดประสงค์ก็เพื่อ จะไปเยี่ยมนมัสการหลวงพ่อให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ พอถึงบ้านอาบน้ำรับประทานอาหารอย่างรีบเร่ง แล้วก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว ไปที่ถ้ำ

เมื่อถึงปากถ้ำ ข้าพเจ้ามิได้พบหลวงพ่อนั่งพักผ่อนอยู่ที่ปากถ้ำดังแต่ก่อน บรรยากาศทั่วไปก็ดูเงียบเชียบวังเวงผิดปกติ ข้าพเจ้ารู้สึกประหลากใจอย่างมาก แต่ก็ยังหวังอยู่ว่า หลวงพ่อคงจะพักผ่อนอยู่ในถ้ำ ข้าพเจ้าโผล่ศีรษะเข้าไปในถ้ำแล้วก็ส่งเสียงร้องเรียก “หลวงพ่อ ๆ” หลายครั้ง แต่ไม่มีเสียงตอบ นอกจากเสียงของข้าพเจ้าเองสะท้อนกลับ ข้าพเจ้าสำรวจภายในถ้ำจนทั่วก็ไม่พบร่องรอยของหลวงพ่อ

ในที่สุดข้าพเจ้าก็เดินทางกลับบ้าน “หลวงพ่อจากถ้ำไปเสียแล้ว” ชายแก่คนหนึ่งซึ่งเดินสวนทางกับข้าพเจ้าบอก

“และไม่มีใครทราบว่าท่านไปไหน มีคนเห็นท่านสะพายบาตร แบกกลดเดินขึ้นเขาไปตั้งแต่เย็นวานนี้” แม้หลวงพ่อได้จาริกธุดงค์ค์จากไปแล้ว แต่ข้าพเจ้ารู้สึกคล้ายกับว่า หลวงพ่อท่านยังอยู่กับ ข้าพเจ้าตลอดเวลา

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2552

ปม ขจัด "ทักษิณ"... ฉก. 399 มารู้จัก CTIC กัน

WEBSITE ที่น่าอ่าน ?
http://www.csis.org/tnt/ttu/ttu_0310.pdf
http://fpc.state.gov/documents/organization/27533.pdf
http://www.usembassy.it/pdf/other/RL31152.pdf
www.fridaycallege.org

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เคยกล่าวไว้ว่า สหรัฐอเมริกานั้นเป็นเพื่อนที่น่ารําคาญ

ในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่า เพื่อนที่น่ารําคาญผู้นี้ นอกจากจะยัดเยียดให้จัดตั้ง CTIC อย่างลึกลับแล้ว ยังเปิดเผยรายงานการจัดตั้งดังกล่าวต่อสาธารณะ ให้รัฐบาลไทยต้องขายหน้าอีกต่างหาก !

รัฐบาลไหนแอบไปตกลงให้เกิด CTIC ขึ้น เป็นคำถามที่คนไทยทุกคนอยากได้คำตอบ
หน้าตาเว็บไซต์ ..... แกะรอย CTIC จากฉก. 399 !
หน่วยเฉพาะกิจ 399 หรือฉก. 399 คือ “ข้อมูล”, “หลักฐาน” และ “ใบเสร็จ” ที่แสดงให้เห็นว่าสหรัฐอเมริกา คือ ตัวการสำคัญที่ทำให้รัฐบาล พม่า ไม่ไว้วางใจและหวาดระแวงไทย
เป็น “มูลเหตุพื้นฐาน” ของความตึงเครียดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2544 และเมษายน 2545

การเผชิญหน้ากันระหว่าง ไทย-พม่า และการใช้นโยบายทางทหารอย่างแข็งกร้าวภายใต้การนำของแม่ทัพภาคที่ 3 ในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นการประกาศปิดด่านแม่สายตั้งแต่ต้นปี 2544, การห้ามไม่ให้ส่งออกยุทธปัจจัย 4 ประเภทเข้าพม่า ทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง ยารักษาโรค ยานยนต์ ข้าวสาร, การ กักไม่ให้ขบวนรถบรรทุกอุปกรณ์ เครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าท่าขี้เหล็กผ่านด่าน แม่สาย ตลอดจนการปะทะกันด้วยกำลังทหารตามแนวชายแดน เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการปรากฏตัวของหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยหน่วยงานหนึ่ง..... " ฉก. 399 "

*** เหตุการณ์ ต่าง ๆ ๆ เหล่านี้ ทำให้ ท่านนายทักษิณ ชินวัตร ต้องกล่าว วลีสะท้านไปทั้งกองทัพ อย่า โอเว่อร์ รีแอ็ค

*** แล้วก็ได้ทำการ เด้ง สุรยุทธ จุลานนท์ พ้นจาก ผบ.ทบ. ไปเป็น ผบ.สส.

*** เท่ากับ ไปเหยีบ เท้า ของใครบางคน....

*** นี้คือ ปฐมเหตุ แห่งเภทภัย !!!!!!

“หน่วยเฉพาะกิจ 399” -“ฉก. 399”

เป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงที่กองทัพบก (ทบ.) ก่อตั้งขึ้นภายใต้การสนับสนุนของกองทัพสหรัฐอเมริกา

แม้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผบ.ทบ.ในขณะนั้น จะลงนามในคำสั่งก่อตั้งเมื่อปลายเดือนเมษายน 2544 แต่ในทางปฏิบัติแล้ว ฉก. 399 เริ่มปฏิบัติการมาตั้งแต่ปลายปี 2543 ในยุครัฐบาลชวน หลีกภัย แล้ว


ฉก. 399 ตั้งอยู่ในเขตอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ประกอบด้วยกำลังพล 4 กองร้อย มาจากกรมทหารราบที่ 7 จำนวน 2 กองร้อย กองพลรบพิเศษที่ 2 จำนวน 2 กองร้อย และ ตชด.อีก 1 กองร้อย
กอง ทัพสหรัฐส่งหน่วยรบพิเศษที่ประจำการในภาคพื้นแปซิฟิค ณ เกาะกวม เข้ามาทำหน้าที่ช่วยฝึกสอนงานด้านการข่าว และการปฏิบัติการต่อเป้าหมาย

วัตถุประสงค์ – อ้างว่าเพื่อสกัดกั้น และปราบปราม ขบวนการค้ายาเสพติด โดยเฉพาะกำลังพลที่ได้รับการบรรจุเข้า ฉก. 399 จะได้รับการสนับสนุนเบี้ยเลี้ยงจากทางการสหรัฐวันละประมาณ 500-600 บาท/คน ได้รับการสนับสนุนเครื่องมือที่ทันสมัย และยานพาหนะต่าง ๆ จากสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มที่

นอกจากนั้นยังจะได้รับเงินพิเศษช่วยรบ (พศร.) ปีละ 1 ขั้น เงิน พศร.นี้จะติดตัวกำลังพลไปจนกว่าจะเสียชีวิต

พล.อ.วัธนชัย ฉายเหมือนวงศ์ อดีตแม่ทัพกองทัพภาคที่ 3 เคยระบุไว้ว่า การตั้งฉก. 399 ขึ้นมามีเป้าหมายที่การสกัดกั้นปราบปรามยาเสพติดโดยเฉพาะ แต่จะไม่มีการรุกล้ำอาณาเขตของประเทศเพื่อนบ้าน และ....

การเข้ามาช่วยเหลือของกองทัพสหรัฐอเมริกา เป็นไปในลักษณะเดียวกับที่เคยช่วยเหลือ รัฐบาลโคลัมเบีย ปราบปรามโคเคน ! แต่แม้จะยืนยันหนักแน่นอย่างนั้น ความเป็นจริงของปฏิบัติการในพื้นที่กลับเป็นไปในลักษณะ.....

“อเมริกาหนุน-ไทยคุม-กะเหรี่ยง (คริสต์) ลงมือ”

การช่วยเหลือของกองทัพ สหรัฐ ต่อ ฉก. 399 อยู่ที่การช่วยเหลือด้านเทคนิคเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการอ่านภาพจากดาวเทียม หาจุดที่ตั้งโรงงานยาเสพติด , การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการปราบปรามยาเสพติด รวมไปถึงถ่ายทอด Know-how ที่จำเป็นผ่านชุดการฝึก “การปฏิบัติการต่อเป้าหมาย” ให้ เช่น การฝึกจู่โจมทางเฮลิคอปเตอร์ในเวลากลางคืน

มีนายทหารสหรัฐ เข้ามาทำหน้าที่ในแผ่นดิน ภายใต้อธิปไตยของราชอาณาจักรไทยระหว่าง 12-30 นายส่วน “การปฏิบัติการต่อเป้าหมาย” เป็นหน้าที่ของกำลังพลฝ่ายไทย โดยมีชนกลุ่มน้อย ที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลพม่า เข้าร่วมปฏิบัติการด้วย !

ฉก. 399 เริ่มวางโครงร่างของหน่วยงานมาตั้งแต่กลางปี 2543

เริ่มฝึกเต็มอัตรา เมื่อ วันที่ 17 เมษายน 2544

ฉก. 399 มีลักษณะเดียวกันกับหน่วยงานในสังกัดศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก (ศปก.ทบ.) หมายเลข 514 และ 311 ในอดีต เพียงแต่ภารกิจแตกต่างกัน โครงการ 514 ก่อตั้งขึ้นมา เพื่อปฏิบัติการโต้ตอบกองกำลังของขุนส่าในอดีต ขณะที่โครงการ 311 ก่อตั้งขึ้นมาปฏิบัติงานด้านการข่าวพื้นที่ชายแดนไทย-พม่า โดยเฉพาะ และเสร็จสิ้นภารกิจไปเมื่อเดือนตุลาคม 2543 หลังจากนั้นจึงมี ฉก. 399 ขึ้นมาทดแทน

เป็นที่รับรู้และพิจารณากันมาแต่ต้นแล้วว่า ฉก. 399 คือ ความสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ความสัมพันธ์ ไทย-พม่า เลวร้ายลงไป เพราะนี่ คือ ช่องทางในการส่งผ่านความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา และประเทศตะวัน ตกเข้าไปยังชนกลุ่มน้อยที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลพม่า ทั้งด้านเงินทุน และอื่น ๆ รวมทั้งเป็นการรื้อฟื้นสถานภาพความเป็น Buffer State ของประเทศไทย ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้วัตถุประสงค์อ้างอิงใหม่ – สกัดกั้นยาเสพติดจากแหล่งผลิตในประเทศพม่า
เหตุการณ์หลายครั้งที่ผ่านมาในช่วงปี 2543 – 2544 บ่งชี้ให้เห็นว่าชนกลุ่มน้อยในพม่า เป็นผู้นำกำลังเข้าปะทะกับคาราวานยาเสพติด แล้วนำยาเสพติด ยาบ้า ที่ยึดได้มามอบให้กับทางการไทย ตัวอย่างที่ “บอกเล่า” ได้ดี คือ กรณียาบ้า 13 ล้านเม็ดเมื่อเดือนเมษายน 2544 ! ยาบ้าของกลางที่กองกำลังนเรศวรตรวจยึดได้ 2 ครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 16 และ 24 เมษายน 2544 รวมกว่า 13 ล้านเม็ดนั้น....

ครั้งแรก 7 ล้านเม็ด พล.อ.วัธนชัย ฉายเหมือนวงศ์ มทภ. 3 ในขณะนั้น บอกว่ากองกำลังกะเหรี่ยงคริสต์ (KNU) ยึดได้หลังปะทะกับคาราวานขนยาเสพติดของกองกำลังกะเหรี่ยงพุทธ (DKBA) ในฝั่งพม่าแล้วนำมามอบให้กองกำลังนเรศวร

ข่าวในพื้นที่บอกเล่าว่าเมื่อคืนวันที่ 14 เมษายน 2544 มีขบวนรถของเจ้าหน้าที่ทหารไทยลำเลียงกำลังทหารในสังกัด KNU จำนวน 7 คันรถไปปล่อยบริเวณโรงสูบน้ำประปาแม่สอด เพื่อให้ข้ามแม่น้ำเมยไปยังฝั่งพม่า แล้วรับกลับมาในคืนเดียวกัน ต่อมาอีก 1 วัน KNU ก็นำยาบ้า 7 ล้านกว่าเม็ดมามอบให้ทางการไทย

ครั้งที่ 2 มีรายงานว่า ฉก.ร. 4 ตรวจยึดได้หลังเกิดปะทะกับ DKBA บริเวณชายแดนอำเภอพบพระ จังหวัดตาก แต่หน่วยงานอื่น ๆ ในพื้นที่ ไม่มีรายงานเหตุการณ์ปะทะ

ชนกลุ่มน้อย หลายกลุ่มในพม่าหันมาให้ความร่วมมือในการปราบปรามสกัดกั้น ยาเสพติด ยาบ้า ที่มีแหล่งผลิตตามแนวชายแดนประเทศพม่า เริ่มจากกองกำลัง SSA ของ พ.อ.ยอดศึก รวมไปถึง KNU, กองทัพกะเหรี่ยงคะยา (KNPP) ปะล่อง ปะโอ แม้แต่ กลุ่มมอญ เองก็เริ่มมีท่าทีที่จะเข้าร่วมกับแนวทางนี้มากขึ้น

ถือเป็นแนวทางแสวงหาความช่วยเหลือจาก สหรัฐอเมริกา และ โลกตะวันตก ของชนกลุ่มน้อยที่ต่อต้าน รัฐบาลพม่า อีกแนวทางหนึ่ง
เป็นแนวทางที่ประเมินว่าน่าจะเห็นผลเร็วกว่า การชูธงเรียกร้องประชาธิปไตย เพียงธงเดียว ! เพราะ ปัญหายาเสพติดไม่เพียงแต่เป็นปัญหาใหญ่ของไทยเท่านั้น ยังเป็นภัยคุกคามต่อประชาคมโลก เมื่อชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ประกาศเจตนารมณ์สกัดกั้นขบวนการผลิต ค้ายาเสพติด ความช่วยเหลือจากภายนอกก็จะมีเข้ามามากและเร็วขึ้นแน่นอน
การผลักดันให้ชนกลุ่มน้อยในพม่า เข้าร่วมการปฏิบัติการสกัดกั้นยาเสพติด เข้าประเทศไทย นี้ย่อมมีแรงหนุนจาก สหรัฐอเมริกา ด้วยเช่นกัน
โดยมีหน่วยงานในสังกัดกองทัพบกไทยเป็นผู้ควบคุม และชนกลุ่มน้อยในพม่าเป็นผู้ปฏิบัติงาน ! หลัง การออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านยาเสพติดของบรรดาชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ในพม่า มีเม็ดเงินสนับสนุนจาก สหรัฐอเมริกา และประเทศตะวันตก เข้ามาค่อนข้างมาก รวมทั้งอาวุธด้วย
แน่นอน – ทุกอย่างผ่าน ประเทศไทย ทั้งสิ้น ! รัฐบาลพม่าแสดงท่าทีไม่พอใจต่อการกำเนิดของ ฉก. 399 มาตั้งแต่ต้น ผ่านข่าวและบทความในหนังสือ The Mirror โดยตั้งธงไว้ว่ารัฐบาลไทยสมคบสหรัฐอเมริกาสนับสนุนกบฏชนกลุ่มน้อย มีอยู่บทความหนึ่งลงตีพิมพ์เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2544 ตั้งชื่อเลียนแบบสุภาษิตไทยว่า....

“ช้างตายทั้งตัวเอาหนังแพะไปปิดไม่มิด”

เนื้อหา เป็นการลงบันทึกความเคลื่อนไหวหน่วยรบพิเศษไทยละเอียดยิบ โดยมุ่งเน้นไปที่กำลังผสม ไทย-สหรัฐอเมริกา เข้าไปให้การสนับสนุนชนกลุ่มน้อยกลุ่มต่าง ๆ ที่ยังไม่ได้สวามิภักดิ์ต่อรัฐบาลพม่า กองทัพบก และรัฐบาลไทย ยุค ชวน หลีกภัย ออกมาปฏิเสธในทุกข้อกล่าวหา ไม่ว่าจะเป็นการให้การสนับสนุนกองกำลังชนกลุ่มน้อยในพม่า หรือการเปิดพื้นที่ให้ผู้นำชนกลุ่มน้อยเข้ามาพักอาศัยในประเทศไทย พร้อมกันนั้นนายทหารระดับสูงของไทยหลายนาย โดยเฉพาะในระดับกองทัพภาคที่ 3 ก็ออกมาระบุหลายครั้งว่าทางการ พม่า ไม่ให้ความร่วมมือต่อการปราบปรามยาเสพติดเท่าที่ควร งบประมาณในการป้องกันและปราบปรามยาเสพย์ติด แต่ละปีของสำนักคณะกรรมการปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) อยู่ในราว 1,600-1,900 ล้านบาท
นอกเหนือจากจะได้รับสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลแล้ว ป.ป.ส. ยังได้รับงบสนับสนุนเพิ่มเติมมาจากองค์การสหประชาชาติอีกเป็นวงเงินประมาณ 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 11,250 ล้านบาท
แต่หลายปีที่ผ่านมาผลงานของ ป.ป.ส. ดูจะไม่ค่อยเข้าตาสหประชาชาติเท่าที่ควร สหประชาชาติจึงเปลี่ยนการจัดสรรงบประมาณในการปราบปรามยาเสพย์ติดส่วนใหญ่มาให้กับ “หน่วยปฏิบัติ” -- คือกองทัพบก -- โดยตรง แทนที่จะส่งผ่านให้ ป.ป.ส. ตัวเลขงบประมาณ จากสหประชาชาติในปีหนึ่ง ๆ ตกราว 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ ประมาณ 8,000 ล้านบาท

ฉก. 399 ก่อกำเนิดขึ้นเพื่อเป็น “หน่วยปฏิบัติภายในหน่วยปฏิบัติ” เพื่อรองรับการเปลี่ยน แปลงด้านการสนับสนุนงบประมาณจากสหประชาชาติดังกล่าว

ฉก. 399 มาจากแนวคิดของพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ผบ.ทบ.ในขณะนั้น และได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาล รัฐบาล ที่มี ชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคง ! ในชั้นต้น ภาพที่มีกำลังพลจากรบพิเศษ ของสหรัฐอเมริกา เข้ามาทำการฝึกสอนกำลังพล ของกองทัพบก ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อกังขาเป็นการภายในว่า นี่จะเท่ากับเป็นการอนุญาตให้ต่างชาติ เข้ามาจัดตั้ง “ฐานทัพ” ในประเทศหรือไม่ ถ้าใช่ก็เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ เพราะเป็นการละเมิดทั้งรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายอาญา !

วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2552

จะสืบ ว่าผมเป็นพวก เล่นพนันบอล ให้ได้

คือ... การโอนเงินต่าง ๆๆ ส่วนใหญ่ ผมก็โอนทำบุญ นะครับ....

ไม่รู้ว่าทำมัย ถึงโง่ดักดาน อย่างนี้ ผมก็ Post รายการ ในบล๊อกนี้ให้ดูแล้วนี้ครับ .... แหกตา ดูซิ ไอ้งั้ง ....

ทำเป็น พูดลอย ๆๆ สงสัย ลอยๆๆ พวกมึงจะ ดิสเครดิต กูไปถึงไหนว่ะ
ไอ้สัตว์

วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2552

ลิงค์ร่วมคลิป อภิปราย

http://www.prachataiwebboard.com/webboard/wbtopic.php?id=786089

Shot เด็ด.... วิสาระดี เตชะธีรววัฒน์ น้องยิ้ม .... สุดยอด


อีก ลิ้งค์ หนึ่ง
http://www.secondclass111.com/board/index.php?showtopic=887

วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2552

คำสารภาพของ นาย ปวโร ซิงค์

คำสารภาพของนายปวโร ซิงค์ อ่านแล้วซึ้งมาก ช่วยส่งต่อกันให้มากๆนะครับ
ชาวอินเดียธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่อพยพครอบครัวไปอาศัยและทำงานในประเทศญี่ปุ่น แต่กลับถูกหน่วยสืบราชการลับของญี่ปุ่น ยัดเยียดข้อหาอย่างไม่เป็นธรรม กล่าวหาว่าเป็นสายลับเกาหลี โดยแค่แนวคิดของปัญญาชนคนธรรมดาๆ ที่ไม่มีแม้แต่เงิน และไม่มีแม้แต่อำนาจ ทำมาเลี้ยงชีพด้วยความสุจริตมีแค่สองมือที่หาเลี้ยงครอบครัว แต่กลับถูกการกระทำที่เรียกได้ว่ายิ่งกว่าการทารุณชีวิตมนุษย์ โดยมือใครไม่ทราบ

เขาอาศัยอยู่กลับครอบครัวในประเทศญี่ปุ่น เป็นเวลานาน 20 - 30 ปี โดยไม่รู้ตัวเลยว่า ชีวิตเค้ากำลังถูกคุกคาม ถูกการกระทำที่เรียกว่า การล่วงละเมิดสิทธิ์ในการเป็นคน เขาอาศัยกับครอบครัวเล็กๆๆมีพ่อแม่ที่แก่เฒ่าและน้อง เปิดร้านอาหารอินเดียเล็กๆที่ฮิโรชิมา ชีวิตเค้าเริ่มต้นจากการที่เขาไม่ติดธงแสดงความเคารพต่อสมเด็จพระจักรพรรดิ ซึ่งไม่น่าแปลกสำหรับชาวอินเดีย หรือชาวต่างชาติทั่วๆไปที่ไม่อาจจะเข้าใจขนบธรรมเนียมหรือการแสดงความเคารพ แบบญี่ปุ่น ซึ่งโดยทั่วๆไปคนที่เพิ่งอาศัยก็ไม่อาจทราบได้ว่าช่วงนี้ของประเทศต่างๆๆ จังหวัดไหนมีพิธีกรรมอะไรบ้าง จากนั้นชีวิตเค้าจึงเริ่มต้นด้วยการถูกคุกคามโดยการสะกดรอยตาม ดักฟังโทรศัพท์ ตั้งก้องแอบถ่าย ดักฟังเสียงพูดในบ้าน และเริ่มหาทางก่อกวนกลั่นแกล้งคุกคามชีวิตเขาต่างๆๆนาๆๆ โดยฝีมือพวกที่เรียกตนเองว่า "ตำรวจ" จากการที่เริ่มต้นเปิดร้านอาหาร อยู่ๆร้านอาหารก็เจ๊ง จากนั้นจึงพยายามเริ่มไปทำฟาร์มปลา ก็มีคนไปทำตัดหน้าแย่งราคา สุดท้ายก็ต้องพัง พอไปลงทุนธุรกิจน้ำมัน ก็มีแหล่งเงินทุนมากมายมหาศาลมาจากไหนไม่รู้โจมตี สุดท้ายก็เหมือนเคย ปรากฏว่าไม่ว่าจะทำอะไรเหมือนถูกกลั่นแกล้งตลอดเวลา แม้แต่ครอบครัว พ่อแม่และ ลูกไปเรียนหนังสือก็ถูกเพื่อนที่โรงเรียนรุมแกล้งโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจารย์มหาลัยก็พูดจาแปลกๆๆ เพื่อนบ้านก็คอยแต่จะหาเรื่องคุกคาม ไม่ว่าจะย้ายหนีไปอยู่ที่ไหนก็มีแต่คนคอยหาเรื่องกับครอบครัวนี้ตลอด เป็นอย่างนี้ถึง 7 ปีเต็ม โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเป็นการกระทำของกลุ่มคนที่เรียกตนเองว่า "ตำรวจ" จนกระทั่งเขาชักเอะใจ ในปีที่ 8 เขาจึงเริ่มรู้ความจริงทุกอย่าง แต่ทุกอย่างก็สายไป เพราะชีวิตเขาได้พังลงอย่างสิ้นเชิง และหมดสิ้นทุกอย่าง สิ้นเนื้อประดาตัว ลูกก็แทบไม่มีอนาคต พ่อแม่ก็เป็นโรคร้ายอันเกิดจากการกระทำที่โหดเหี้ยมของกลุ่มหน่วยงานราชการ ลับ เป็นระยะเวลานานถึง 8 ปี ก่อนที่เขาจะตัดสินใจจบชีวิตตนเอง เขาได้พยายามแจ้งทุกอย่างให้สังคมรับรู้ แต่ดูเหมือนว่าทั้งรัฐบาลญี่ปุ่น และพวกตำรวจ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนอินเดียหรือ อินเดียไม่ใช่คน ญี่ปุ่นเป็นคน เขาพยายามหนีออกนอกประเทศนี้ แต่ก็สิ้นเนื้อประดาตัวไม่สามารถทำอะไรได้อีก แม้แต่เงินซื้อตั๋วเครื่องบินก็ยังไม่มี สังคมก็ไม่มี เพื่อนก็ไม่มี เพราะถูกกีดกั้นออกจากโลกภายนอกทุกอย่าง และแม้แต่จากข่าวสารทุกอย่าง ถึงขนาดตั้งเครื่องส่งคลื่นทีวีขนาดเล็กไว้คุมข่าวสารและข้อมูลที่ครอบครัว นี้จะได้รับรู้ เพื่อบิดเบียนข่าวสารจากโลกภายนอกแก่ครอบครัวเขา ทั้งชีวิตเขามีแต่คนของตำรวจรอบข้างที่คิดแต่จะบิดเบียน ตัดขาดออกจากสังคมทั่วไป หาเรื่องก่อกวนตลอดเวลา และยังมีความพยายามทางการฑูตหลายอย่างที่จะกักตัวเขาไว้ไม่ให้ออกนอกญี่ปุ่น และในที่สุดวันที่ 8 เดือน 8 ปี 2008 เขาจึงได้ตัดสินใจจบชีวิตเขา และครอบครัว เพราะทนอยู่ต่อไปเป็นคนไม่ไหวแล้วจริงๆ ก่อนตายเขาได้ทิ้งคำสารภาพอันน่าเศร้าไว้ดังข้างล่างนี้ เพื่อเป็นการเผยแพร่การกระทำอันป่าเถื่อนเกินมนุษย์ให้แก่สาธารณชนและบุคคล ที่มีปัญญาคิดได้รับรู้ ส่วนตัวผมที่ได้รับข้อความมาเป็นภาษาอังกฤษ ขออนุญาตินำมาแปลเป็นภาษาไทย ผมคิดว่าคนเราเกิดมาเป็นมนุษย์ไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งในทางศาสนาพุทธด้วยแล้ว แค่การฆ่าคนก็บาปมาก แต่การที่ทำให้คนที่มีชีวิตอยู่ กลับทนมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆๆ จนต้องไปจบชีวิตตนเองนี่ซิ ผมคิดว่าคงเป็นการกระทำที่เลวร้ายมากจนยอมรับไม่ได้ ในแง่ความเป็นมนุษย์นี่ถือว่าเลวทรามต่ำช้ามากเลยทีเดียว และในแง่ของบาปถือได้ว่าเป็นบาปมากกว่าการกระทำบาปทั้งหลายทั้งปวง มากกว่าการเอาปืนไปยิงเขาให้ตายเสียอีก เคยได้ยินมาว่า "ชีวิตใคร ใครก็รัก แต่นี่เค้าทำกันยังไง ถึงขนาดให้คนที่เป็นคนแท้ๆๆ กลับทนมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ คงน่าดูหละครับ ตอนที่อ่านครั้งแรกก็ถึงกับน้ำตาซึมเลย

คำสารภาพของนายปวโร ซิงค์ เขากล่าวไว้ก่อนที่จะสิ้นชีวิต พร้อมกับคำสาปแช่งที่สุดแสนทรมานเมื่อได้อ่านแล้วจนต้องร้องไห้ ให้กับกลุ่มคนพวกนี้ที่ร่วมมือกันทำร้ายเขา เป็นใจความสั้นๆๆ แต่อ่านแล้วซึ้งมาก นับว่าเป็นบุคคลตัวอย่างที่ต่อสู้เพื่อความชอบธรรมในการมีชีวิตอยู่ ของคน คนหนึ่งเลยทีเดียว ปวโร ซิงค์ กล่าวว่า ...

"ถ้าเราสามารถจัดหาสิ่งต่างๆ สนองความต้องการของมนุษย์ได้เพียงพอทุกอย่าง ปัญหาต่างๆ เพื่อการสนองความต้องการของมนุษย์ก็คงไม่มีด้วย ถ้ามนุษย์มีทุกสิ่งทุกอย่างมากเกินพอ สิ่งของทุกอย่างก็จะไม่มีคุณค่าในทางโลก ไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยน และไม่จำเป็นต้องแสวงหาความเป็นเจ้าของ เช่น อากาศในธรรมชาติไม่มีผู้ใดต้องการแสดงความเป็นเจ้าของ และไม่มีผู้ใดอยากนำมาแลกเปลี่ยน เพราะอากาศในธรรมชาติมีเกินพอเช่นทุกวันนี้ (หากอากาศมีไม่เกินพอ เวลานี้พวกเราทุกคนคงจะตายกันหมดเพราะไม่มีอากาศหายใจ) และถ้าทุกอย่างในโลกมีสภาพเช่นเดียวกันกับอากาศ โลกก็คงไม่มีความหมาย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ วันนี้พวกคุณทั้งหลายควรจะเข้าใจถึงมรรค คือ การทำความเข้าใจถึงความเป็นไปของโลก การทำความเข้าใจถึงความเป็นไปของชีวิต ทุกสรรพสิ่งล้วนต่างต้องดิ้นรน ไม่มีใครไม่ต้องดิ้นรน อย่าไปทำอะไรที่ฝืนชีวิตมนุษย์เขาอีกเลย มันบาปและมันก็ทุเรศมากด้วย!!!
และขอได้โปรดอย่าสนองความต้องการที่ไม่ถูกจังหวะ หรือสนองความต้องการที่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
ทำไมอเมริกาต้องส่งนักสำรวจไปเหยียบดวงจันทร์ ทำไมมวลมนุษยชาติถึงต้องพัฒนาอย่างไม่หยุดหยั้ง เริ่มจากแสงไฟ จนเป็นตะเกียงน้ำมัน จนกลายมาเป็นพลังงานไฟฟ้า จนมีดาวเทียม และเริ่มไปสำรวจหาโลกใหม่ โลกที่สาม สิ่งต่างๆๆเหล่านี้ที่เราทุกคนพยายามทำ เค้าทำไปเพื่ออะไร ในขณะที่พวกคุณกำลังทำอะไร อย่าทำอะไรเพี้ยนๆ ฝืนธรรมชาติของโลกอีกเลยครับ ถ้าพวกคุณว่างก็ไปจุดตะเกียงส่องไฟ นั่งสมาธิแบบเปิดโลกของพวกคุณทั้งหลายต่อไปเถอะ อย่ามายุ่งกับกระผมและครอบครัวอีกเลย

พวกคุณทำเป็นแค่สืบ จับ คุกคาม ดักฟัง ติดตาม สะกดรอย ก่อกวน รังควาน แต่พวกคุณไม่อาจเข้าใจถึงธรรมชาติของชีวิต และที่เลวร้ายที่สุดคือ ไม่เข้าใจถึงมรรค คือ ธรรมชาติ

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ถ้าพวกคุณไม่เลิกแล้วพวกคุณจะอยู่ต่อไปทำไมละครับ ไปๆๆซะทีเถอะ ไม่มีใครต้องการพวกคุณเลยในที่นี้ ฟ้าผ่าซิ!! จะอยู่ไปเพื่อสร้างความฉิบหาย พินาศ วุ่นวาย น่ารำคาญให้แก่เขาทำไม หรือปล่อยให้เค้าได้มีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิมมากก เพื่อสร้างคุณค่าในชีวิตของเขาให้ดีขึ้นไม่ดีกว่าหรือ?? แค่วันนี้คุณเลือกที่จะไปก็เพียงพอแล้ว คุณเลือกได้ด้วยตัวคุณเองว่าจะทำในสิ่งที่ถูก หรือจะทำในสิ่งที่เลวต่อไป....

และที่ผ่านมาผมคิดว่าที่คุณทำเพราะความทุเรศของตัวคุณเองมากกว่า และการที่คุณยอมทำอะไรเล็กๆๆน้อยๆ ให้กับเขาและครอบครัวบ้างก็เพื่อปกปิดพฤติกรรมเน่าๆ ของตัวคุณเองที่ไม่อยากให้สังคมโลกรับรู้ และที่มันวุ่นวายจนทุกวันนี้ ก็เพราะพวกคุณไม่ยอมไปเสียที....."

*ปล. ผมแปลมาแต่อาจไม่ถนัดทางภาษา บางส่วนขอเติมคำพูดและอารมณ์ลงไปบ้าง ฟังดูอาจจะขัดๆๆเกลาๆบ้าง แต่เพื่อให้ได้อรรถรสในการอ่านในภาคภาษาไทยนี้

**คือผมทราบมาว่าในประเทศไทยก็มีกลุ่มคนพวกนี้และทำเรื่องพวกนี้เหมือนกัน ฟังแล้วดูแย่มาก ไม่คิดว่าจะมีในไทยด้วย ไม่อยากให้ใครไปร่วมมือกับคนพวกนี้เลยจิงๆ ถ้าเจอแบบนี้ที่ไหนอย่าไปให้ความร่วมมือ ให้ช่วยต่อต้าน หรือเจอคนแปลกหน้าให้ไปทำอะไรแปลกๆๆ หรือไปแกล้งใคร หรือถ้ามีคนบอกว่าให้เดินผ่านทางนั้น เจอคนนี้แล้วให้พูดกับเขาแบบนี้อะไรยังไง เราอย่าไปให้ความร่วมมือนะครับ เพราะอาจกลายเป็นการรุมกลั่นแกล้งผู้อื่นโดยที่เรารู้ไม่เท่าทัน เป็นเครื่องมือของหน่วยงานแบบนี้ไปโดยปริยาย และอาจกลายเป็นว่าเราร่วมกันทำร้ายชีวิตของเขาโดยทางอ้อมก็เป็นได้

*** ก่อนตายเท่าที่ทราบท่านปวโร ซิงค์ ได้พูดแค่คำว่า แค้น แค้น แค้น จนลมหายใจสุดท้าย

****ในส่วนของคำสาปแช่ง ผมไม่ได้รับมาจึงไม่สามารถนำมาเผยแพร่ได้ แต่ใครที่ได้ฟังหรือได้ยินเรื่องนี้แล้วล้วนแต่หดหู่ใจและสังเวชในการกระทำ ของกลุ่มคนที่เรียกตนเองว่า ผู้มีอำนาจของประเทศ บุคคลที่คนทั่วไปยกย่อง แต่มีพฤติกรรมทรามอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว

***** ผมทราบว่าหลังจากท่านปวโร ซิงค์ โดนจนธุรกิจล้มละลายจนหมดตัว แต่ก็ไม่เคยท้อแท้ ได้มีความพยายามหลายครั้งที่จะไปสมัครงาน ตามบริษัท ห้างร้านต่างๆๆ เพื่อที่จะพยายามหาเลี้ยงชีพและครอบครัวให้ได้ แต่ดูเหมือนกลับถูกปฏิเสธตามที่ต่างๆ ด้วยอำนาจของหน่วยงานลับที่มีอิทธิพลมากในประเทศญี่ปุ่นขณะนั้น เบื้องหลังหน่วยงานนี้เราไม่ทราบจริงๆๆ ว่าพวกเค้าทำไปเพื่ออะไร แต่ที่รู้แน่ๆๆ ในประเทศไทยเราเองก็มีการกระทำแบบนี้เหมือนกัน ซึ่งผมอ่านๆๆดูแล้วเป็นการกระทำที่ทุเรศมาก เกินกว่าที่เมืองพุทธแบบเราจะรับได้ หากเพื่อนๆๆหรือใครเจอพฤติกรรมแปลกๆ แบบนี้ หรือกลุ่มคนพวกนี้มาสั่งให้ทำโน่น ทำนี่ แกล้งคนนั้น คนนี้ ขอความร่วมมือให้ช่วยกันนำมาประจานด้วยนะครับ อย่าให้การกระทำที่เลวร้ายเกินมนุษย์แบบนี้อยู่ในสังคมไทยต่อไปอีกเลยครับ

แหล่งที่มา....
http://board.palungjit.com/showthread.php?t=178730

วันอังคารที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2552

รวบรวมภาพ รายการตอแหลสัญจร จากประเทศอังกฤษ วันที่ 14 มีนาคม 2552

http://www.thaireduk.com/board/index.php?PHPSESSID=60j0tpnd39sk4m7ct77l6gtg93&topic=8.msg18#msg18

ผม ยืนยันว่า นายใจ อึ้งภากรณ์ยังไม่ได้หนีคดี เพราะคดีนี้ ตำรวจมีหมายเรียกนายใจไปพบว่ามีการสงสัยว่านายใจหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ นายใจไปพบ ตำรวจไม่ว่าอะไร ปล่อยตัวมา นายใจบินไปลอนดอนเพราะเชื่อว่าอยู่ต่อก็โดนขังลืมแบบดา ตอร์ปิโด หรือป้าบุญยืน อยู่ไปให้โง่ทำไม
การจะหนีคดี ต้องปรากฎว่า ตำรวจส่งตัวผู้ต้องหาฟ้องไปยังอัยการ อัยการสั่งฟ้องตามตำรวจ

แต่คดีนายใจ ยังไม่มีการส่งฟ้องจากตำรวจ และไม่มีการชี้ขาดให้ฟ้องคดีจากอัยการ

ตรง ไหนที่กล่าวหาว่าเขาผิด ตรงไหนที่มีการฟ้องคดี เมื่อยังไม่ฟ้องคดี จะมากล่าวหานายใจหนีคดีได้ไง คดีนี้ ตำรวจอาจทำความเห็นไม่ฟ้อง หรือตำรวจฟ้อง อัยการเห็นว่าสำนวนอ่อนไป ไม่ฟ้อง ก็ได้นี่นา จึงไม่มีการหรีคดีอะไรอย่างที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าใจผิด และลิ่วล้อ พยายามจะสร้างกระแสว่า เด็กเวรเก่ง

เก่งตายห่าเลย เศรษฐกิจพินาศติดดิน จนความเชื่อมั่นผู้บริโภคไทยตอนายกตกต่ำที่สุดในรอบเจ็ดปี แม้โพลล์เอแบคค์จะสำรวจอย่างไร ก็ไม่เปลี่ยนแปลงผลได้ เพราะทุกคนรู้ว่า นพดล กรรณิการ์ ของเอแบคค์ คือ แขนข้างหนึ่งของ ปชป ที่จะพยายามสร้างภาพหลอกประชาชน ในขณะที่คนทั้งโลกรู้ว่า ประเทศไทยวิกฤติแล้ว แต่คณะเอแบคค์โพลล์กลับไม่รู้

งานนี้ สรุปว่า คนหน้าแตกที่ออกฟอร์ด ไม่ใช่ใจ อึ้งภากรณ์ แต่เป็นเด็กเวรหน้าโง่ต่างหากเล่า !!!

แหล่งร่วมคลิป

http://www.secondclass111.com/board/index.php?showforum=4

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2552

ทักษิณ... โฟนอิน ณ ฮ่องกง

" ทักษิณ" โฟนอิน ณ ฮ่องกง

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ปาฐกถา " วิกฤตเศรษฐกิจโลก : ทำไมจึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่วิกฤตการเงิน แต่เป็นวิกฤตทางปัญญา "ณ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ฮ่องกง 12 มีนาคม 2552 โดยผ่าน VDO Conferrent ถ่ายทอดมาที่ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในประเทศไทยด้วย "ณัฐวุฒิ" เตรียมนำออกอากาศดีทีวี

หมายเหตุ : พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ปาฐกถา" วิกฤตเศรษฐกิจโลก : ทำไมจึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่วิกฤตการเงิน แต่เป็นวิกฤตทางปัญญา" ณ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ฮ่องกง 12 มีนาคม 2552 โดยผ่าน VDO Conferrent

ฟาง เส้นสุดท้าย ที่ทำให้สถาบันการเงิน ล่มสลาย จนได้ลุกลามกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจระดับโลกครั้งนี้ เกิดขึ้นจากนักการเงินใช้จ่ายเงินเกินตัวอย่างไร้เหตุผล การกำกับดูแลตรวจสอบสถาบันการเงินที่ไร้ประสิทธิภาพ และถ้าเราเชื่ออีกว่า การโยกย้ายผ่องถ่ายเงินไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว เป็นต้นเหตุสำคัญของวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ผมคิดว่าเรากำลังจะพลาดประเด็นที่สำคัญของปัญหาไปอย่างน่าเสียดาย
เราทราบกันดีว่าต้นเหตุของวิกฤตครั้งนี้ เกิดขึ้นชัดเจนตั้งแต่ปี 1997 โดยการโจมตีค่าเงินบาท และลุกลามกลายเป็น " วิกฤตการเงินของเอเชีย " ทุกประเทศในเอเชีย ยกเว้นเกาหลีเหนือได้ดำเนินนโยบายตาม "ฉันทามติแห่งวอชิงตัน " ( Washington′s Mantra ) ซึ่งแต่ละประเทศประสบความสำเร็จมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป แต่ดูเหมือนว่าประเทศที่เดินตาม "ฉันทามติแห่งวอชิงตัน" อย่างเคร่งครัดในครั้งนั้น จะกลับกลายเป็นประเทศ ที่ได้ผลกระทบอย่างรุนแรงจาก วิกฤตการเงินรอบใหม่ใน ครั้งนี้

"ฉันทามติแห่งวอชิงตัน" ที่ทุกประเทศท่องจำจนขึ้นใจ คือ คำว่า "ตลาดเสรี" ( Free Markets ) ตลาดที่เป็นอิสระจากการกำกับควบคุมดูแล และจะนำไปสู่ความมั่งคั่งอย่างไม่มีขีดจำกัด สำหรับคนทุกหมู่เหล่า
ผมเติบโตมาในประเทศที่ได้รับประโยชน์มหาศาล จากการยอมรับนโยบาย ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ยุคสงครามอินโดจีน ชนชั้นปกครองเชื่อว่า ประเทศจะประสบความสำเร็จและก้าวหน้าด้วยการเปิดประเทศ ทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้อนรับใครก็ตามที่ต้องการทำธุรกิจกับเรา โดยเฉพาะเมื่อมีข้อเสนอดี ๆ จาก 2 ประเทศมหาอำนาจ คือ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ที่เวลานั้นเป็นหัวขบวนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก
แนวความคิดจากต่างประเทศ ได้รับการยอมรับและนำไปปฏิบัติด้วยดี โดยไม่มีการตั้งคำถามว่า เราจะถูกกลืนเข้าไปในวังวนห่วงโซ่อุปสงค์และอุปทาน ของสินค้าและบริการหรือไม่ อย่างไร รวมทั้งระบบการเงินที่เราไม่สามารถตีตัวออกห่างได้ แม้ในยามที่เราประสบกับวิกฤตที่ร้ายแรงที่สุด เราไม่สามารถมีปากเสียงที่จะไปต่อกรว่า ความเชื่อมโยงต่างๆ เหล่านี้ ถูกบงการมาอย่างไร เราต้องปล่อยไปตามกระแส หรือไม่เช่นนั้น ก็ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นพวกชาตินิยมและจะไม่สามารถแข่งขันกับใครได้ การพัฒนาทักษะจากจุดแข็งที่มีอยู่ของคนในประเทศ ถูกกล่าวหาว่าเป็นสิ่งเชื่องช้าล้าหลัง
การหมุนเวียนของเงิน และความหลากหลายของตราสารทางการเงินที่ถูกสร้างขึ้นจากศูนย์กลางการเงินต่าง ๆ ของโลกนั้น เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณวันต่อวัน ความรุ่งเรืองและความถดถอยเป็นวัฏจักรของธรรมชาติ แต่จะเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก ถ้าเกษตรกรและคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมของเราต้องเดือดร้อน โดยได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากปัญหาภายในประเทศ แต่วิกฤตกลับเกิดเพราะรัฐบาลในขณะนั้นไม่มีความรู้ รู้ไม่เท่าทันการไหลเวียนของตราสารทางการเงินในตลาดต่างประเทศที่อยู่ห่าง ไกลจากอีกซีกโลกหนึ่ง
วิกฤตเศรษฐกิจในปี 1997 ทำให้เราต้องกลับมาเริ่มต้นคิดใหม่ว่า เราจะสามารถก่อร่างสร้างตัวได้อย่างไร ในแนวทางที่มีเหตุมีผล ซึ่งจะทำให้เราสามารถควบคุมเศรษฐกิจ ให้ดำเนินไปในแบบอย่างที่เราอยากจะให้เป็นได้มากขึ้น ผลของการคิดอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ถูกร่างเป็นนโยบายของพรรคการเมือง ที่ผมก่อตั้งขึ้น ด้วยแนวความคิดหลัก ที่ต้องการให้คนไทยทั่วทั้งประเทศทุกพื้นที่ นำจุดเด่น จุดได้เปรียบ ของตนเองมาผลิตสินค้าและบริการออกไปขาย และแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพได้ในตลาดโลก ทั้งยังเสนอวิธีการช่วยเหลือและพัฒนาความได้เปรียบเหล่านั้นให้มี ประสิทธิภาพอย่างเป็นรูปธรรม
แนวความคิดนี้ ไม่เชื่อเรื่องการปิดประเทศ การปิดประเทศอาจเป็นไปได้ เพราะประเทศไทย เป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ แต่เราเลือกที่จะไม่ถอนตัวจากเศรษฐกิจโลก แต่จะทำให้ประเทศไทยดีขึ้น และเป็นประเทศที่น่าอยู่สำหรับทุกคน ผมมีความยินดีที่จะรายงานว่า หลายนโยบายที่ผมได้พัฒนาไว้ รัฐบาลต่อ ๆ มาของไทยเห็นด้วยและนำมาใช้บริหารประเทศอย่างต่อเนื่อง แม้บางครั้งจะถูกเปลี่ยนชื่อไปเป็นอย่างอื่น แต่สาระสำคัญของนโยบายยังคงอยู่เหมือนเดิม
ครั้ง นี้ไม่ใช่เป็นเพียงวิกฤตการเงิน แต่เป็นวิกฤตทางปัญญาของโลก นาย โทนี่ แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ให้ความเห็นว่า ถ้าคุณไปถามผู้เชี่ยวชาญว่า จะแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลกครั้งนี้อย่างไร คำตอบที่คุณจะได้รับ น่าจะเป็นคำตอบว่า "ผมจนปัญญาจริง ๆ ครับ"
วิกฤติครั้งนี้เป็นวิกฤตทางปัญญาของโลก ( Intellectual Crisis ) ซึ่งเป็นผลจากการปฏิเสธที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง และที่สำคัญที่สุดปฏิเสธที่จะคิดแก้ปัญหาจากภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง ( Real Economy )
ความสำเร็จของอเมริกาและญี่ปุ่น เกิดขึ้นจากการที่ประเทศทั้งสองเรียนรู้ความก้าวหน้าจากการปฏิวัติ อุตสาหกรรมในยุโรป รวมทั้งการพัฒนาทักษะความสามารถในการผลิตสินค้าจำนวนมาก ( Mass Production ) เพื่อตอบสนองความต้องการของโลก นวัตกรรมใหม่ถูกคิดค้นด้วยมันสมองและแรงงานที่มีคุณภาพ แต่ในปัจจุบัน กลับไม่เป็นเช่นนั้น นักศึกษาที่ฉลาดที่สุด เก่งที่สุด ดีที่สุด เมื่อจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และ ญี่ปุ่น ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา กลับหลั่งไหลไปทำงานในธุรกิจบริการด้านการเงินการธนาคาร ดังนั้นความคิดสร้างสรรค์ใหม่จึงถูกจำกัดอยู่เพียงแค่การออกแบบผลิตภัณฑ์ทาง การเงิน ที่สัญญาว่า จะให้ผลตอบแทนสูงลิบลิ่วเท่านั้น และถ้าหากว่ามีใครกล้าตั้งคำถามว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นจะมีความยั่งยืนมั่นคงเพียงใด คนแหล่านั้นก็อาจจะถูกโจมตีได้ว่า เป็นพวกมีความคิดล้าหลังและเป็นพวกต่อต้านความเจริญก้าวหน้าของโลกยุคโลกาภิ วัฒน์
วันนี้ไม่มีใครสามารถหมุนเวลาย้อนกลับ และถอนตัวจากเศรษฐกิจยุคโลกาภิวัตน์ได้ สิ่งที่เศรษฐกิจยุคโลกาภิวัตน์ต้องการ คือ การ ถูกกำกับดูแลระดับโลก (Globalized Regulation) ซึ่งยังไม่มีประเทศใดกล้าที่จะพูดถึง เพราะการทำเช่นนั้น หมายถึงการท้าทายความเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลกของสหรัฐอเมริกา คู่ค้าที่สำคัญอย่างประเทศจีน มีประสบการณ์มากมายในอดีต น่าจะมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหาในขณะนี้ได้ แต่ก็ยังไม่กล้าทำเช่นนั้น เพราะด้วยเหตุผลทางการเมืองที่ไม่ต้องการแสดงให้เห็นว่า จีนอยากแข่งขัน และเป็นผู้นำของโลกแทนสหรัฐอเมริกา จีนต้องการคงบทบาทเป็นแค่เพียงผู้สนับสนุนที่ดีเท่านั้น
ขณะที่สหรัฐอเมริกาและยุโรป กำลังหาทางแก้ปัญหาวิกฤตทางปัญญาอยู่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ กำลังหาทางที่จะผลิตสินค้าและบริการอะไรสักอย่างที่ดีกว่า การสร้างตราสารทางการเงิน และเป็นความต้องการของตลาดโลกชิ้นใหม่ที่สำคัญ ต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่จีนและอินเดียไม่สามารถผลิตได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า
อะไรคือหนทางรอดของประเทศเล็ก ๆ ที่เหลืออยู่ในภูมิภาคเอเชีย ?
เราต้องสร้างความสามารถในการแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพให้ได้ ด้วยทรัพยากรที่เรามีอยู่ ซึ่งไม่ด้อยไปกว่าใครทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ คนของเราได้รับการศึกษาที่ดีกว่าในอดีตมาก ประกอบกับคนงานของเราไม่ได้มีความมั่นคงในหน้าที่การงาน เหมือนกับที่ชาวอเมริกันในอุตสาหกรรมรถยนต์และเหล็กได้รับมายาวนาน ดังนั้นเราจึงสามารถฝึกอบรมคนงานของเราใหม่ได้ไม่ยาก โดยไม่ต้องกลัวกับการต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้จัดการทั้งหลาย ที่หมดไฟในการทำงานและขาดแคลนความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ
อุตสาหกรรมการเกษตรของเรา ก็ก้าวมาถึงขั้นที่สามารถปรับปรุงคุณภาพและความหลากหลายเพื่อตอบสนองความ ต้องการของตลาดต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายทั่วโลก อุตสาหกรรมระดับหมู่บ้านก็สามารถปรับให้อยู่ในรูปของอุตสาหกรรมขนาด กลางและขนาดเล็กคล้ายกับของประเทศอิตาลีที่สามารถเอาตัวรอดได้ในยาม วิกฤตมานับครั้งไม่ถ้วน ระบบเศรษฐกิจบนพื้นฐานความคิดสร้างสรรค์ (Creative Economy) ไม่จำเป็นที่จะต้องถูกผูกขาดเฉพาะชาวยุโรปเท่านั้น ระบบเศรษฐกิจบนพื้นฐานความคิดสร้างสรรค์ และจะต้องถูกพัฒนาอย่างจริงจัง จะเป็นทางออกที่สำคัญของประเทศในอนาคต จะเป็นตัวจักรสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ จะทำให้เกิดการสร้างงานที่มั่นคงและสังคมที่แข็งแรงในอนาคต
ทั้งหมดที่ผมได้กล่าวมานี้เป็นจะต้องได้รับความช่วยเหลือด้านการพัฒนาอย่าง มีเป้าหมายซึ่งสามารถทำได้ ทุนสำรองระหว่างประเทศไม่ใช่สิ่งที่ไม่สำคัญแต่คงไม่มีประเทศใดใช้ทุนสำรอง ระหว่างประเทศที่มีอยู่ทั้งหมดไปกับการแก้ไขปัญหาของประเทศ เพราะกลัวว่าประเทศจะประสบกับภาวะวิกฤตทางการเงิน ด้วยเหตุนี้เองที่แนวทางในการพัฒนาตลาด " พันธบัตรเอเชีย " (Asia Bonds) ที่ผมเป็นผู้ริเริ่ม จึงมีบทบาทสำคัญ หากจีนและญี่ปุ่นยอมรับที่จะเป็นผู้นำในการนี้ ประกอบกับความร่วมมือของประเทศอื่น ๆ ที่มีทุนสำรองส่วนเกิน เราจะมีแหล่งเงินทุนสำหรับใช้พัฒนาเศรษฐกิจของเราในอนาคตได้อย่างมั่นใจ
ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าประเทศในเอเชียและประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ ในโลกจะอยู่ได้อย่างมั่นคง โดยไม่คำนึงถึงประเด็นเกี่ยวกับธรรมาภิบาล ซึ่งขณะเดียวกันเรายังต้องรักษาและยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ดังการศึกษาของ "อมาตยา เซน" (Amartya Sen) ที่แสดงให้เห็นว่า " ระบอบประชาธิปไตย เป็นหนทางเดียวที่จะช่วยป้องกันปัญหาความอดอยาก " มีแต่การพัฒนาที่สมดุลที่คนจนและคนด้อยโอกาสไม่ถูกละเลยเท่านั้น ที่จะนำมาซึ่งเสถียรภาพในระยะยาว
เราจำเป็นต้องเรียนรู้ความสำเร็จของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ใช้นโยบายยืดหยุ่นและละเอียดอ่อน ในการปกครองประชาชนและการบริหารประเทศ จนประสบความสำเร็จอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ทำให้จีนกลายเป็นโรงงานของโลก ผลิตสินค้า ทำรายได้ และที่สำคัญมีเงินออมมากมายเพียงพอ ที่จะอุดหนุนการใช้จ่ายการบริโภคของประชาชนในประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่ สุดในโลกได้
จากวิกฤตครั้งนี้ ถึง เวลาแล้วที่จีนจะต้องใช้เงินออมที่มีอยู่ เป็นแหล่งทุน สำหรับการสร้างโอกาส สร้างความมั่งคั่ง ให้กับประชาชนของตน ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคม ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ทั่วทั้งประเทศทัดเทียมและดียิ่งขึ้น มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะการทำเช่นนี้นอกจากจะช่วยลดแรงกดดันทางสังคมและการเมืองที่มีต่อพรรค คอมมิวนิสต์แล้ว ยังช่วยลดแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกาได้อีกด้วย
เราต่างรู้ดีว่าปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้...ร้ายแรงกว่าที่หลายคนคิดไว้ มาก จนในที่สุดรัฐบาลอาจหนีไม่พ้น จำเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่กำลังล่มสลาย แต่รัฐบาลของเราต้องให้ความช่วยเหลืออย่างมีความซื่อสัตย์ทางปัญญา กล้าปฏิเสธความไม่ถูกต้อง หากจำเป็นต้องเข้าไปรับผิดชอบความเสียหายของธุรกิจใดๆ ก็ตาม ต้องทำอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม รัฐบาลต้องกล้าที่จะประกาศว่า เงินภาษีของประชาชนที่รัฐบาลจะนำไปให้ความช่วยเหลือนั้นจะต้องไม่ถูกนำไป จ่ายเป็นค่าโบนัสให้กับบรรดาผู้บริหารทั้งหลายที่สร้างความเสียหายให้กับ ธุรกิจนั้น
ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกจะไม่มีทางแก้ไขได้ ถ้านักเศรษฐศาสตร์ยังคิดว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินไปข้างหน้า ต้องพึ่งพาพลังเศรษฐกิจขนาดใหญ่เท่านั้น ถึงวันนี้เราต้องยอมรับความจริงว่า ความสามารถในการชำระหนี้ต่างหากคือกุญแจสำคัญไม่ใช่เรื่องของขนาดเท่านั้น "ขนาด" จะมีบทบาทช่วยได้ ตราบเท่าที่ "ขนาด" และความสามารถในการชำระหนี้เดินหน้าไปพร้อมๆ กัน
ธุรกิจจะเติบโตได้ตราบเท่าที่มีความสามารถในการชำระหนี้ ความสามารถในการชำระหนี้ย่อมเกิดจากความสามารถในการสร้างรายได้สุทธิ (Net Income) เงินออมจะมีประสิทธิภาพได้ ก็ต่อเมื่อเงินออมนั้นมาจากรายได้สุทธิเช่นกัน
สมมติ ว่าเราสามารถคลี่คลายวิกฤตสถาบันการเงินของโลกได้แล้ว ธนาคารกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง เพราะได้รับการชดเชยและสนับสนุนจากรัฐบาล ธนาคารเหล่านั้นจะทำธุรกิจอะไร พวกเขาจะให้ใครกู้เงิน และจะให้เงินกู้เพื่อทำธุรกิจแบบเดิม ๆอีก...อย่างนั้นหรือ
วันนี้ ท่าเรือสำคัญของโลกเต็มไปด้วยตู้คอนเทนเนอร์ ที่อัดแน่นด้วยสินค้าที่ผลิตแบบเดียวกัน เหมือนกัน จำนวนมากมายมหาศาล เราจะผลิตสินค้าแบบนั้นเพิ่ม ขึ้น.....อีกหรือ คนงานจีนจะยังเดินหน้าผลิตรถยนต์เหมือนกับที่คนงานอเมริกันคงผลิตและขายไม่ ออก....อีกหรือ
เราต้องยอมรับว่าสินค้ากำลังล้นตลาด การผลิตสินค้าแบบอุตสาหกรรม ( Mass Production ) มีขีดจำกัด เราจึงจำเป็นต้องสนับสนุนการสร้างรายได้แบบใหม่ด้วยการผลิตสินค้าและบริการ ที่อาศัยความได้เปรียบจากสินทรัพย์วัฒนธรรม ภูมิปัญญาแห่งชนชาติ และการผลิตด้วยทักษะแรงงาน ที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ อย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว พร้อมทั้งสนับสนุนการสร้างตลาดที่จะแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างท้องถิ่นที่ คึกคักและมีชีวิตชีวา
วันนี้...จึงเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องพยายามค้นหาสินค้าและบริการเหล่านั้น ให้พบ รวมทั้งให้การสนับสนุนด้านเงินทุนในทุกวิถีทาง เพื่อทำให้ธุรกิจเหล่านี้อยู่รอด เราจึงจะสามารถสร้างระบบเศรษฐกิจที่มั่นคงและสังคมที่แข็งแรงได้ในระยะยาว
ผมเชื่อว่า อเมริกา มีพลังของภูมิปัญญาในหลากหลายแขนง ซึ่งสามารถสร้างสรรค์สินค้าและบริการอย่างมีคุณภาพสูง โดยไม่จำเป็นต้องแข่งขันด้านราคากับใคร โลกกำลังต้องการพลังงานทดแทนที่มีประสิทธิภาพและต้นทุนต่ำอย่างพลังงานแสง อาทิตย์ โลกกำลังต้องการเทคโนโลยีและบริการที่ให้ความสำคัญกับการปกป้องสิ่งแวดล้อม
อเมริกามีผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้และสามารถสร้างนวัตกรรม เพื่อตอบสนองความต้องการของโลกยุคใหม่นี้อย่างไม่ยากเย็น เมื่อสหรัฐอเมริกา เริ่มที่จะใช้เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเหล่านี้ ก็จะเป็นการบังคับให้ประเทศต่างๆ ในเอเชียรวมทั้งประเทศอื่น ๆ ในโลก ต้องปรับปรุงกระบวนการผลิตสินค้าและบริการ
สติปัญญาของชาวอเมริกัน สามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ ให้เกิดขึ้นมาได้ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อชาวอเมริกันเอง รวมทั้งต่อประเทศอื่นๆ ในโลก เพียงแต่ชาวอเมริกันต้องยอมรับว่า "โลกในอนาคตจะต้องไม่ถูกกำหนดจากวอลสตรีท ที่สำคัญสินค้าและบริการต้องมีความสัมพันธ์กับการจ้างงาน รวมทั้งให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และนำมาซึ่งรายได้สุทธิ (Net Income) ที่คุ้มค่ากับความตั้งใจที่ใส่ลงไป"
การสร้างเศรษฐกิจที่แท้จริง Real Economy) มีความสำคัญอย่างยิ่ง การค้าตราสารทางการเงิน (Paper Trading) จะเป็นประโยชน์ก็ต่อเมื่ออยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่เหมาะสมเท่านั้น
หากบรรดาผู้นำทางปัญญาในสหรัฐอเมริกา ยอมรับแนวคิดนี้ได้เร็วเท่าใด ผลดีที่จะเกิดขึ้นต่อเราทุกคนในโลกก็จะมีมากขึ้น...เท่านั้น
ดร.ทักษิณ ชินวัตร
ประธานมูลนิธิสร้างอนาคตที่ดีกว่า
( The Building a Better Future Foundation )
และอดีตนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของประเทศไทย
ทั้งนี้นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปชป.) กล่าวว่า จะนำเอาเทปปาฐกถาของพ.ต.ท.ทักษิณ ดังกล่าวมาออกกาศทางสถานีโทรทัศน์ดีทีวี ในวันจันทร์ที่ 16 มีนาคม เวลา 20.30 น.และวันพุธที่ 18 มีนาคม เวลา 20.30 น.

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2552

รบ. มาร์ค เด็กล้างรถ หน้ามืด ให้คลังปลดล็อกดึงเงิน “หวยทักษิณ” ถลุง เละ

คลังปลดล็อกดึงเงิน “หวยทักษิณ” ถลุง [10 มี.ค. 52 - 05:22]

นาย ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะเร่งนำเสนอกฎหมายให้สภาอนุมัติเพื่อนำเงินรายได้จากหวยบน ดินที่เหลืออยู่ 17,000 ล้านบาทที่ยังไม่ได้นำออกมาใช้จ่ายเพราะยังไม่มีกฎหมายรองรับ ดังนั้นจึงจะเสนอกฎหมายรองรับเพื่อเสริมสภาพคล่องให้รัฐบาล อย่างไรก็ตามการจะนำเงินจำนวนนี้ไปใช้จ่ายอะไรนั้นยังไม่มีรายละเอียดแต่ก็ จะเป็นส่วนหนึ่งของการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

“สถานการณ์ ปัจจุบันรายได้ของภาครัฐมีแนวโน้มลดต่ำลง โดยเฉพาะกรมสรรพากร ซึ่งเป็นกรมจัดเก็บภาษีหลักคาดว่ารายได้จะต่ำกว่าเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท หรือประมาณ 10% อย่างไรก็ตาม การประมาณการรายได้ว่าจะต่ำกว่าเป้าหมายเท่าไหร่นั้น ยังไม่สามารถประเมินได้ชัดเจนเนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจของโลกยังไม่จบส่ง ผลให้เศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้น รายได้จากภาษีที่เกิดจากกิจกรรมต่างๆก็ลดลงตามไปด้วยแน่นอน”

ทั้ง นี้ ในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้เสนอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาโครงการหวยบนดินของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยเห็นว่าโครงการดังกล่าวไม่มีกฎหมายรองรับ ทำให้รายได้ของโครงการนี้ที่มีสะสมอยู่ 1.7 หมื่นล้านบาทยังไม่สามารถนำออกมาใช้ได้จนกระทั่งรัฐบาลชุดนี้คิดที่จะออก กฎหมายเพื่อดึงเงินจำนวนนี้ออกมาใช้

นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวถึงภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2552 นี้ว่า คาดว่าจะเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายประมาณ 10% หรือประมาณ 1.5 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีแนวโน้มที่จะต่ำกว่า นี้ได้อีกสะท้อนจากกำลังการผลิตที่เคยอยู่ที่ 70% เมื่อ 6 เดือนที่แล้วมาอยู่ที่ 57% ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ในด้านสินเชื่อนั้นในปีนี้ยังสามารถขยายตัวได้ในระดับ 6-7%.

"เพื่อนแท้" ...ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล ...ขอคารวะครับ ....


คอลัมน์เรียงคนมาเป็นข่าว(4 มี.ค.2552) .... โดย "วิหคเหินฟ้า" มีรายงานข่าวเล็กๆว่า สมเป็น "เพื่อนแท้" ของจริง งานวันเกิด "ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล" ที่โรงแรมแชงกรี-ลา มี "เซอร์ไพรส์" แขกที่มาร่วมงาน เมื่อเจ้าภาพ เปิดสาย "โฟนอิน" จากแดนไกลกระจายเสียงทั่วงาน ทั้งอวยพรวันเกิดและพูดเรื่องเศรษฐกิจ คุณหญิง-คุณนาย "เสื้อเหลือง" ที่อยู่ในงานอึ้งกันหมด ซึ่ง " ท่านผู้หญิงวิระยา" คนนี้แหละที่เคยให้สัมภาษณ์ว่า " ครอบครัวคุณทักษิณและคุณหญิงพจมาน เป็นเพื่อนกับพี่มาตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเป็นนายกฯ " (ข้อมูลจาก หนังสือ ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล ขุมคลังสาธารณกุศลพันล้าน) และเป็น "ท่านผู้หญิงวิระยา" ที่เคยประกาศตัวว่าไม่เคยเข้าร่วมเวทีพันธมิตรฯ .....

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2552

ทำบุญ เดือน มีนาคม

http://board.palungjit.com/showthread.php?t=177218

ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชน ผู้มีจิตศรัทธาและญาติธรรมผู้ใจบุญทุกท่านร่วมเป็นเจ้าภาพ " โครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน 2552 " ณ วัดเขาถ้ำประทุนธรรม ต.ตาคลี อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์
ธนาคารนครหลวง สาขาตาคลีชื่อบัญชี พระสมเกียรติ
หมายเลขบัญชี 349-2-18042-2

***********************************

http://board.palungjit.com/showthread.php?t=129019&page=2

ขอเชิญเป็นเจ้าภาพเสาหอสวดมนต์ชั้น 2 และเป็นเจ้าภาพสร้างกุฏิสงฆ์
ด้วยวัดสระบรเพ็ด ต.วังโมกข์ อ.วชิรบารมี จ.พิจิตร ซึ่งเป็นวัดบ้านนอก
ได้ริเริ่มก่อสร้างหอสวดมนต์ขึ้นมา 1 หลัง ลักษณะ 2 ชั้น ทรงไทย

พระอธิการ อนุวัตร สจฺจญาโณ เจ้าอาวาสวัดสระบรเพ็ด
ธนาคาร กรุงศรีอยุธยา สาขาพิจิตร
บัญชี 272-1-27891-1

http://board.palungjit.com/showthread.php?t=177508&page=2


ขอเชิญร่วมบูรณะซ่อมแซมปิดทองพระพุทธรูปและรูปหล่อหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค

ธนาคารกรุงเทพ สาขาซอยอารีย์ Bangkok Bank /Aree Branch
บัญชีออมทรัพย์ Saving Name : Parsiree Hensook
A/C no. 127-4-64419-2

*****************
http://board.palungjit.com/showthread.php?t=177528

ขอเชิญร่วมทำบุญซ่อมสร้างโบสถ์สำหรับปฏิบัติศาสนกิจของพระครับ!!!

ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขา สุขุมวิท 35
ชื่อบัญชี นายอิทธิพลปาละอาจ
เลขที่บัญชี 116-1-29108-0

*******************
http://board.palungjit.com/showthread.php?t=176715


เอาข่าว " "งานบุญ" " มาฝากเหมือนเคยจร้า เตรียมเสบียงกันไว้

ขอเชิญร่วมทอดผ้าป่า
เพื่อจัดซื้อที่ดินเป็นเขตอภัยทาน ๓๖๖,๔๐๐ ตารางวา ๆ ละ ๒๐.- บาท
ถวายวัดป่าหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน
ต.สิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี

ธนาคารกรุงเทพ สาขากาญจนบุรี
ชื่อบัญชี: วัดป่าหลวงตาบัวญาณสัมปันโน
บัญชี: ออมทรัพย์ เลขที่ # 327-0-63602-4

Youtube ย้อมรอยความชั่ว ปชป และ พธม. 150 Clips

http://www.prachataiwebboard.com/webboard/wbtopic.php?id=782888

Youtube ย้อนรอยทบทวน ความชั่ว ปชป และ พธม. 136Clips

http://www.prachataiwebboard.com/webboard/wbtopic.php?id=782794

ผลงานอัปยศ 3 ปี ประชาธิปัตย์ 10 ตอน จบ....

ผลงานอัปยศ...3 ปี
รัฐบาลชวน หลีกภัย


ตอนที่ 1
9 พฤศจิกายน 2540 นายชวน หลีกภัยได้นำพลพรรคเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาลภาพพจน์ “ความซื่อสัตย์” บวกกับทีมงานด้านเศรษฐกิจสังคมที่ประกอบไปด้วยบุคคลที่มีชื่อเสียง ส่งผลให้คณะรัฐมนตรีชวน 2 เป็นความหวังในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจและแก้ปัญหาทุจริต คอรัปชั่น

จาก วันนั้นจนถึงวันนี้ เป็นเวลาเกือบ 3 ปี ในยุครัฐบาลชวน 2 ความคาดหวัง ความฝันของประชาชนที่ฝากไว้กับคณะรัฐมนตรีของนายชวน หลีกภัย กลับมิได้เป็นไปตามที่ฝัน รัฐบาลดรีมทีมไม่เพียงแต่จะซ้ำเติมความเสียหายแก่ประเทศชาติด้วยการสร้าง ความหายนะทางเศรษฐกิจให้เลวร้ายยิ่งขึ้น แต่ยังปล่อยให้มีการทุจริตคอรัปชันอย่างมโหราฬในหลายๆ ระดับของรัฐ

รัฐบาล “กินเมือง”
การ โกงกินภาใต้การบริหารงานของรัฐบาลชวน 2 ประเดิมกันด้วยเหตุการณ์ “ประวัติ ถนัดค้า” รองอธิปดีกรมป่าไม้หอบเงินสด 5 ล้านบาท ที่ได้จากการรับสินบนตัดไม้สักจากป่าสาละวินเข้าไปให้นายกรัฐมนตรีเพื่อ บริจาคให้กองทุนไทยช่วยไทย เมื่อ กุมภาพันธ์ 2541 บทสรุปก็คือ ประวัติ ถนัดค้า ถูกปลดจากรองอธิบดีกรมป่าไม้ แต่ไม่สามารถสืบค้นและจับกุมผู้บงการตัดไม้ป่าสาละวินที่แท้จริงได้

SDH ฮั้วเพื่อพรรคพวกตน
จาก นั้นเดือนมิถุนายน 2541 รัฐมนตรี พรรคประชาธิปัตย์โชว์ผลงานผลาญงบประมาณชาติ ในกรณีโครงการสื่อสัญญาณความเร็วสูงหรือ SDH มูลค่าหมื่นล้านบาทขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย หน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการฯ เตรียมการ “อั้ว” การประมูลของเอกชน 8 ราย ไว้ล่วงหน้า แต่บังเอิญคนในพรรคทนความอดสูไม่ไหว ทวี ไกรคุปต์ หนึ่งในสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จึงขุดคุ้ยก่อนจะถูงสาวไส้ต่อด้วยฝีมือพรรค ฝ่ายค้าน
ภายหลังหลักฐานต่างๆ ออกมายืนยันว่า สุเทพ เทือกเทพสุบรรณ มีส่วนรู้เห็นกับขบวนการ “ฮั้ว” ในฐานะผู้เซ็นต์อนุมัติ ทำให้สุเทพ เทือกสุบรรณ ต้องระงับโครงการดังกล่าวไว้ชั่วคราว
ไม่เพียงไม่มีการตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบความผิดปกติที่เกิดขึ้นในโครงการเท่านั้น แต่ปัจจุบัน SDH อยู่ระหว่างนำมารีไซเคิลใหม่อีกครั้ง โดยเปลี่ยนชื่อจาก SDH เป็นโครงการ TNEP หรือโครงการขยายข่ายทศท. พ.ศ.2538-2541 ซึ่งเป็นที่เคลือบแคลงและสงสัยว่าเป็นโครงการที่จะเก็บเกี่ยวหาเงินเข้าพรรค ไว้เป็นทุนสำหรับการเลือกตั้งครั้งใหม่
เสี้ยวนาที่สุดท้ายในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2543 ก่อนที่จะนายกฯชวนจะประกาศยุบสภาเพียง 5 ชั่วโมง องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยในยุคที่ สุเทพ เทือกสุบรรณเป็น รมต.คมนาคม ได้เปิดไฟเขียวให้ สมบัติ อุทัยสาง ประธานคณะกรรมการ ทศท. และสุธรรม มลิลา ผอ.ทศท. ทายาท สุเทพ เทือกสุบรรณ เซ็นสัญญาพร้อมจัดหา และติดตั้งอุปกรณ์โครงการขยายโครงการข่ายสัญญาณความเร็วสูงทั่วประเทศ (เอสดีเอช.หรือที่แปลงโฉมเป็น TNEP. นั่นเอง) มูลค่าถึง 7,500 ล้านบาท

ผักสวนครัว รั้ว “กิน” ได้
เดือน กันยายน 2541 มีการขุดคุ้ยให้สาธารณชนรับรู้ถึงความผิดปกติของโครงการผักสวนครัวรั้วกิน ได้ ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของ วิรัช รัตนเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จากพรรคชาติไทย ที่นำเงินงบประมาณ 500 ล้านบาทมาจัดซื้อเมล็ดพันธุ์พืชผักสวนครัว เช่น มะเขือเปราะ พริกขี้หนู บวบ เป็นต้น เพื่อนำไปให้ชาวบ้านปลูกไว้กินเอง โครงการนี้ถูกตรวจสอบพบว่าใช้วิธีพิเศษในการจัดซื้อเมล็ดพันธุ์พืชกล่าวคือ เมล็ดพันธุ์ที่จัดซื้อภายใต้วิธีพิเศษมีราคาที่แพงกว่าเมล็ดพันธุ์พืชชนิด เดียวกันที่ขายอยู่ตามท้องตลาดอย่างต่ำ 2 เท่า เป็นผลให้ต้องสูญเสียงบประมาณแผ่นดินหลายร้อยล้านบาทโดยเปล่าประโยชน์
ใน ที่สุด วิรัช รัตนเศรษฐ์ ในฐานะรัฐมนตรีที่เซ็นอนุมัติโครงการ ต้องจำนนต่อหลักฐานและข้อเท็จจริง แต่รัฐบาลทำได้เพียงกดดันให้ วิรัช รัตนเศรษฐ์ ลาออกจากเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยทั้งน้ำตา และถึงวันนี้ยังไม่สารถหาผู้ทำความผิดมาลงโทษตามกฎหมาย และไม่ได้รับการเอาใจใส่ติดตามจากผู้นำรัฐบาลแม้แต่น้อย
“ทุจริตยา” การหากินบนคราบน้ำตาของผู้ยากไร้
เดือน พฤศจิการยน 2541 โครงการของงบประมาณจัดซื้อยาให้กับโรงพยาบาลทั่วประเทศวงเงิน 1,400 ล้านบาท โดยการอนุมัติ รักเกียรติ สุขธนะ รัฐมนตรีชาวยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พรรคกิจสังคม ถูกเปิดโปรงออกมา โดยที่นายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัย “ผู้ซื่อสัตย์” ออกมาปกป้องอย่างออกหน้าออกตา
ข้อมูลต่างๆ ที่ปรากฎทั้งราคาในการจัดซื้อยาเวชภัณฑ์ที่แพงกว่าปกติ และผลิตภัณฑ์บางชนิดที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานกดดันให้ “รักเกียรติ สุขธนะ” ต้องยอมลาออกจากเก้าอี้รัฐมนตรีไปอีกคนอย่างไม่ค่อยเต็มอกเต็มใจนัก
รวม ไปถึงการปลด นพ.ปรากรม วุฒิพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้นออกจากตำแหน่ง เพราะมีข้อมูลพัวพันกับขบวนการจัดซื้อยาแพง ตลอดจนการลงโทษข้าราชการระดับสูงในกระทรวงสาธารณสุขอีก 3-4 คน รวมทั้งการขึ้นบัญชีดำรายชื่อบริษัทขายยาและเวชภัณฑ์ของคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ป.ป.ป.)
ส่วนนักการ เมืองอย่าง “จิรายุ จรัสเสถียร” ที่ปรึกษา “ธีระวัฒน์ ศิริวันสาณฑ์” อดีตรมช. สาธารณสุขที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการทุจริต เพราะมีเงิน 31 ล้านบาทมาจากการเล่นพนัน เมื่อครั้งที่ไปเที่ยวออสเตรเลีย


ตอนที่ 2

ปล่อย “คนโกง” ให้ลอยนวล
คน ในรัฐบาลชวนคดโกงงบประมาณแผ่นดินยังไม่พอ กระทั่งการเลือกตั้งก็มีเรื่องฉาวโฉ่ไม่แพ้กันซึ่งมีทุกระดับ ตั้งแต่โครงการสร้างระดับบนจนถึงระดับล่าง
กลางปี 2542 ปฎบัติการ “โกง” ครั้งมโหราฬในการเลือกตั้งสมาชิกเทศบาลนคร จังหวัดสมุทรปราการ ถึงขั้นต้องให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ สูญเสียงบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะผลที่ออกมาไม่สามารถหาคนโกงมาลงโทษได้ เนื่องจากนายวัฒนา อัศวเหม เป็นบิดาของหัวหน้าผู้สมัครทีมหนึ่ง ซึ่งในขณะนั้นนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้มีบุญคุณต่อพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลชวน 2 เป็นผลสำเร็จ บุญคุณย่อมต้องทดแทน เป็นเหตุให้ข่าวการปฏิบัติการโกงเลือกตั้งหายเงียบไปอีกครั้งหนึ่ง

ยืมหลังบ้านนายกฯเป็นแหล่งค้า “ซีดีเถื่อน”
ตุลาคม 2542 มีการเปิดโปรงขบวนการค้าซีดีเถื่อน ซึ่งคนของรัฐบาลได้ใช้ “บ้านพิษณุโลก” อันเป็นบ้านพักของนายกรัฐมนตรี เป็นสถานที่เก็บซีดีเถื่อนก่อนกระจายสู่ท้องตลาด จนขยายผลสู่การทลายแหล่งผลิตซีดีเถื่อนแหล่งใหญ่ในบริเวณท่านน้ำเมืองนนท์ ร้านที่ตรวจพบซีดีเถื่อนเป็นของส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล สังกัดกลุ่มงูเห่า และ ตรวจสอบพบว่าเครื่องมือผลิตซีดีเถื่อนถูกนำเข้ามาโดยผิดกฎกรมศุลกากร
ใน กรณีซีดีเถื่อน รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ได้แสดงให้เห็นความเชี่ยวชาญในการจัดการทำให้เรื่องเงียบหาย อยู่ในฐานะของรัฐบาลที่ปกป้องผู้กระทำผิดอย่างเห็นได้ชัด
เงินกู้ไร้ที่มา 45 ล้านบาท / ปฏิบัติการรุกอุทยาน
เอามาสร้างเป็นบ้าน 3 หลัง
นอก จากนี้พิจารณาของคณะกรรกมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีกู้เงิน 45 ล้านบาทจากบริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ของพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยว่า เป็นการจงใจแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินที่เป็นเท็จ เพราะไม่มีที่มาที่ไปของเงินชัดเจน ก็สะท้อนถึงการทุจริตคอรัปชันที่กลาดเกลื่อนในรัฐบาลชวน 2 ได้อย่างแจ่มชัด ทว่าการตัดสินลงโทษไม่ได้มาจากการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ
กรณีของพล. ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ยังมีเรื่องคฤหาสน์ 3 หลังในพื้นที่ป่าเมืองกาญจนบุรี เหนือเขื่อนศรีนครินทร์ ที่กรมป่าไม่ตรวจสอบพบว่าบุรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติเป็นการจับจองที่ดิน สาธารณะโดยมิชอบที่เกี่ยวโยงกับ ประหยัด เวสสบุตร ปลัดจังหวัดกาญจนบุรี และ ดิเรก อุทัยผล อดีตผู้ว่าราชการกาญจนบุรี ซึ่งล้วนเป็นคนไกล้ชิดของพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ กระทั่งถึงวันนี้ก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปนำผู้กระทำผิดกฎหมายมาลงโทษได้ ล่าสุดอัยการได้สั่งฟ้องผู้ต้องหา 3 คน คือปราจีน เวสสบุตร จุฑามาศ เวสสบุตร ธวัช ศรีกรวิไล
แตกต่างจากกรณีซื้อขายตำแหน่งสำนักงานรพช. ที่ถูกเปิดโปงในเดือนกันยายน 2541 เริ่มต้นจาการจับกุม น.อ.ธาตรา ธารบุญ จากนั้นขยายผลสู่การจับกุม จ.ส.ต.สุวิทย์ มลธุรัช คนขับรถของเสธ.หนั่น และ สันติ เกรียงไกรสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดหนองคาย เพราะผลตรวจสอบพบว่ามีการอ้างชื่อ ฉวีวรรณ ขจรประศาสน์ ภรรยา พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เข้าไปเกี่ยวข้อง
กรณีผืนป่าท่าชนะ จังหวัดสุราษฏร์ธานี พบว่าป่าได้ถูกทำลายไป422 ไร่ ต้นไม่ถูกตัดโค่น 1,293 ต้น เมื่อเดือนมีนาคม 2543 จนข้าราชการกรมป่าไม้ด้วยกันทนไม่ไหว พยายามนำข้อเท็จจริงของการทำลายป่าครั้งนี้ออกมาเปิดเผย เรื่องจริงร้อนถึงนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เพิ่งรอดจากการไม่ถูกสั่งฟ้องในความผิดฐานไม่สั่งเพิกถอนสัมปทานพื้นที่ ป่าสงวนป่าท่าชนะ และเปลี่ยนพื้นที่สัมปทานโดยไม่ได้นำเสนอรับอนุมัติจาก ครม. ซึ่งพื้นที่เปลี่ยนแปลงเกิน 2,000 ไร่ ความผิดครั้งนั้นถ้า ชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ไม่เล่นบทอีแอบให้นิพนธ์ พร้อมพันธ์ไปวิ่งเต้นกับอัยการสูงสุดในขณะนั้นให้ออกคำสั่งไม่ฟ้องสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็คงถูกดำเนินคดีอาญาอย่างแน่นอน
การบุกรุกตัดไม้เมื่อเดือน มีนาคม 2543 สุเทพ เทือกสุบรรณ ถึงกับออกมาแก้ตัวว่าเป็นการพยายามนำเรื่องป่าท่าชนะมาเป็นประเด็นการเมือง เพื่อหวังให้ตนตายทางการเมือง แต่ข้อเท็จจริงแล้ว สุเทพ เทือกสุบรรณได้สั่งการลับผ่านอธิบดีกรมป่าไม้ ให้ข้าราชการผู้รู้ข้อมูลฉาวของตนมากที่สุดในกรมป่าไม้ยุติการเปิดเผยข้อมูล ป่าท่าชนะเด็ดขาด
เบื้องหลังการตัดไม่ครั้งนี้ ในทางการสิบสวนสอบสวนต้องดำเนินการหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ แต่อธิบดีกรมป่าไม้ที่ซึ่งเป็นคนของสุเทพ เทือกสุบบรณ ได้ดำเนินการเพียงแค่ยึดไม้เท่านั้น โดยไม่มีการสืบสาวหาผู้กระทำผิดใดๆ ทั้งที่รู้ว่ากลุ่มผู้ที่ลักลอบตัดไม้ครั้งนี้เป็นกลุ่มนายทุนท้องถิ่นที่มี สายสืบพันธ์ทางผลประโยชน์กับสุเทพ เทือกสุบรรณ อย่างลึกซึ้ง และถ้าสืบสวนไปมากกว่านี้ก็จะเป็นการนำไปสู่การเรื้อฟื้นคดีป่าท่าชนะ ซึ่งจะได้ตัวผู้กระทำผิดซ้ำสองถัดจากกรณี สปก.4-01 คือ สุเทพ เทือกสุบรรณ


ตอนที่ 3

รัฐบาลเล่นกล “เบี้ยว” แม้กระทั่งชาวบ้าน
กรณี ม๊อบเขื่อนปากมูลและฝายราษีไศล เป็นความทุกข์ยากของประชาชนในเขตโครงการที่เดือดร้อนจาการต้องถูกอพยพ และขาดรายได้จากการประมง เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามพันธะสัญาในโครงการต่อเนื่องซึ่งรัฐบาลเดิมเคยสัญญา ไว้ รัฐบาลชุดนี้ยังปัดความรับผิดชอบและไม่ใส่ใจต่อความทุกข์ยากของประชาชน ปล่อยให้ประชาชนรอคอยการแก้ปัญหามานนานถึง 14 เดือน โดยไม่ยอมเจรจา ไม่ยอมพบ ส่งแค่ตัวแทนรัฐบาลที่ไม่มีอำนาจตัดสินใจมารับฟังปัญหา และท้ายสุดก็แก้ปัญหาไม่ได้

ผลาญงบประมาณเพื่อประโยชน์พวกพ้อง
ล่า สุดการจัดสรรงบประมาณประมาณประจำปี 2544 ได้สะท้อนให้เห็นถึงการมุ่งหาผลประโยชน์ของคนในพรรคร่วมรัฐบาลโดยไม่สนใจว่า “เงิน” นั้นมาจากภาษีของประชาชนโดยการเร่งรีบอนุมัติผ่านงบประมาณปี 2544 และฉวยโอกาสโค้งสุดท้ายของการจัดสรรงบประมาณอนุมัติโปรเจคยักษ์ซึ่งใช้เงิน มหาศาล เช่น โครงการสร้างไซโล 66 แห่งทั่วประเทศภายใต้วงเงิน 10,800 ล้านบาทของ ประภัตร โพสุธน ซึ่งได้รับการอนุมัติโดยไม่ต้องพิจารณารายละเอียด
ไม่เพียงเท่านี้รัฐบาล ชุดนี้ยังแสดงให้เห็นถึงการใช้อำนาจในทางมิชอบโดย ประภัตร โพธสุธน มีคำสั่งใช้ชะลอการใช้เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างภาคการเกษตรจากธนาคารเพื่อ การพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ในวงเงิน 600 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยให้เหตุผลว่าโครงการที่ดำเนินการไม่โปร่งใสหลายโครงการมีปัญหา หลังจากนั้นก็ได้ให้คณะรัฐมนตรียกเลิก มติครม.เศรษฐกิจเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2543 ที่ระบุให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศณษฐกิจและสังคมแห่งชาติตรวจสอบโครงการ ที่มีมูลค่าเกิน 500 ล้านบาท เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของโครงการ
การยก เลิกมติครม. ดังกล่าวดูเหมือนเป็นการสมยอม ครม. ทั้งคณะ ที่ใช้เงินกู้เอดีบี โดยไม่คำนึงถึง ความถูกต้อง ทั้ง ๆ ที่เงิน 600 ล้านเหรียญสหรัฐเป็นเงินที่กู้มาและต้องจ่ายดอกเบี้ย แต่รัฐบาลชุดนี้กลับใช้เพื่อหวังผลทางการเมืองมากกว่าเพื่อผลประโยชน์ของ ประชาชน
แม้แต่ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าราชการธนาคารแห่งประเทศไทย ยังไม่เห็นชอบกับพฤติกรรมของรัฐบาล โดยได้ออกมาพูดว่า “รัฐบาลไม่จำเป็นต้องรีบผ่านงบประมาณเพราะถึงแม้ว่างบประมาณปี 2544 จะล่าออกไป แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะหากผ่านไม่ทัน ก็สามารถใช้งบปีที่แล้วก่อนได้อยู่แล้ว จนกว่างบใหม่จะเสร็จ ซึ่งปฏิบัติเช่นนี้กันมาโดยตลอด” การพูดของผู้ว่าธนาคารชาติเป็นการตอกย้ำถึงความไม่พอไม่ชอบมาพากลในกลไกการ จัดสรรงบครั้งนี้อย่างชัดเจน
ระยะเกือบ3ปี ภายใต้การบริการของรัฐบาลชวน2จึงนับเป็นยุดของ “ขบวนการโกงกินบ้านเมือง” ที่มีฐานเงิน อำนาจ และความชอบธรรมอยู่ในมือ ในการกระทำทุจริตฉ้อฉลหลากหลายรูปแบบ โดยไม่ได้คำนึงถึงผลเสียหายต่อส่วนรวม


ตอนที่ 4

ครม. ชวนดื่มกินงบผูกพัน 6.5 หมื่นล้านบาท จนหยุดสุดท้าย
หลัง จากนายชวน หลีกภัย ประกาศยุบสภาไปเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2543 ขบวนการผลาญงบก็ยังไม่ลดละ ครม.ชุดของนายชวน ที่เป็นครม.รักษาการ ได้มีมติอนุมัติงบประมาณผูกพัน เป็นจำนวนเงินสูงถึง 64,653.1 ล้านบาท ไปเมื่อวันที่ 21 พฤศจิการยน 2543 ที่ผ่านมานี้ มีรายการใหญ่ๆที่ครม. อนุมัติคือ
1. รายการค่าก่อสร้างและปรับปรุงระบบคมนาคม ของกระทรวงคมนาคมด้วยวงเงินสูงถึง 33,051.3 ล้านบาท หรือ 51.1 เปอร์เซ็น ของวงเงินของผูกพันทั้งหมด
2. รายการขออนุมัติงบผูกพันข้ามปีงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ 2544 ที่เป็นรายการขนาดใหญ่ซึ่งมีวงเงินงบประมาณทั้งสิ้นสูงเกิน 1,000 ล้านบาท มีจำนวน 10 รายการประกอบด้วย กระทรวงกลาโหม 3 รายการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2 รายการ และกระทรวงมหาดไทย 5 รายการ รวมเป็นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 16,844.9 ล้านบาท และเป็นงบประมาณที่จะต้องจ่ายในปี 2544 จำนวน 2,129.4 ล้านบาท
3.รายการ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายการต่างๆ ที่มีวงเงินการก่อหนี้ผูกพันทั้งสิ้นไม่เกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 743 รายการ เป็นเงินงบประมาณรายการใหม่ในปีงบประมาณ 2544 จำนวน 9,380.3 ล้านบาท และเป็นจะนวนภาระผูกพันทั้งสิ้น 47,808.2 ล้านบาท
การที่รัฐบาล ของนายชวน มีมติอนุมัติงบประมาณผูกพัน เป็นจำนวนเงินสูงถึง 64,653.1 ล้านบาท เป็นการก่อหนี้สาธารณะของรัฐบาล จะทำให้ประชาชนต้องแบกรับภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น ซึ่งโดยมารยาททางการบริหารแผ่นดินแล้ว รัฐบาลที่รักษาการจะไม่อนุมัติงบประมาณ อนุมัติโครงการใดๆ ในช่วงที่รักษาการ
การที่รัฐบาลของนายชวน หลีกภัย อนุมัติงบประมาณผูกพันในช่วงที่รักษาการนี้ ได้สะท้อนให้เห็นว่ามีขบวนการผลาญงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งเป็นภาษีอากรของประชาชน ที่กระทำกันจนถึงนาทีสุดท้ายจนเรียกได้ว่าไม่ให้เหลือติดก้นขวด นี่แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ยังกล้าทำโดยไม่เกรงใจประชาชนเลยแม้แต่น้อย แสดงให้เห็นธาตุแท้ของรัฐบาลชวนได้ชัดเจน ซึ่งตรงข้ามกับที่รัฐบาลบอกเสมอว่าบริหารงานด้วยความโปร่งใส เล่นบทหน้าซื่อมือสะอาดกับประชาชนมาตลอด ถึงวันนี้คงเห็นความจริงกันแล้ว

ดรีมทีมปชป. กับหายนะทางเศรษฐกิจ : สร้างภาพดีเข้าตัว เอาชั่วให้ผู้อื่น
ตลอด เวลาเกือบ 3 ปีที่รัฐบาลชวนเข้ามาประเทศ ได้สร้างภาพหลอกประชาชน รวมทั้งนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศให้เชื่อว่า เศรษฐของประเทศไทยจะฟื้นตัวด้วยฝีมือของทีมเศรษฐกิจ

รับบาลชุดนี้ เริ่มหลอกประชาชนตั้งแต่ให้ทำตามเงื่อนไขไอเอ็มเอฟ. เพื่อให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนทั้ง แล้วก็หลอกต่อไปอีกว่า การให้ฝรั่งมาซื้อสินทรัพย์จากปรส. นั้นเป็นสิ่งที่ดีต่อชาติ เพราะฝรั่งจะเอาเงินเข้ามา เอาเข้าจริงๆ ฝรั่งก็ไม่เอามาเงินเข้ามา กลับมาหลอกขอยืมเงินในประเทศเพื่อซื้อทรัพย์สินจากปรส. ไปในราคาถูกแสนถูก แล้วบริษัทฝรั่งเหล่านั้นก็เอาไปขายต่อสร้างกำไรมหาศาล
เท่านั้นยังไม่พอ รัฐบาลชุดนี้หลอกพวกเราอีกครั้งว่า จะแก้ปัญหาสถาบันการเงินได้อย่างเบ็ดเสร็จด้วยมาตรา 14 สิงหาคม (2541) โดยเข้าไปรับหนี้เอกชนเข้ามาเป็นหนี้รัฐบาล ทำให้หนี้สาธารณะที่ประชาชนคนไทยต้องแบกรับหนี้พุ่งสูงถึง 3,260,000 ล้านบาท หรือราว 70,000 บาทต่อคน

ความอ่อนแอในระบอบเศรษฐกิจเกิดขึ้น เกือบทุกๆด้านไม่เพียงแต่ปัญหาในเชิงโครงสร้างระบบเงิน และสถาบันการเงินและสถาบันการเงินของประเทศเท่านั้น การผลิตและการลงทุนก็ลดต่ำลงไปด้วย
ดรีมทีมเศรษฐกิจนำโดยรัฐมนตรีคลัง ธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ ยังคงไม่ยอมรับความจริง โดยทันทีที่การส่งออกของประเทศขยายตัวเพิ่มขึ้น รัฐบาลก็รีบอ้างว่าสิ่งนี้คือสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทั้งๆที่ยอดการส่งออกเพิ่มขึ้นเกือบทั้งหมดเป็นการส่งออกของบริษัทต่างชาติ ที่กระจุกตัวอยู่เพียงไม่กี่ธุรกิจ และใช้วุตถุดิบนำเข้าเกือบทั้งหมดผลประโยชน์ที่ตกแก่คนไทยจึงมีเพียงน้อยนิด
ความ ไว้วางใจและความชื่อมั่นจึงไม่มีเหลือ ทุกวันนี้นักลงทุนต่างชาติสั่งลดการลงทุนในประเทศ ในขณะเดียวกันนักลงทุนไทยก็ไม่ชื่อมั้นในเศรษฐกิจของตัวเองส่งผลให้ดัชนี ตลาดหุ้นตกต่ำกว่าระดับ 300 จุด จากที่เคยสูงกว่าระดับ 400 จุดเมื่อครั้งที่รัฐบาลเริ่มเข้ามาบริหารประเทศ สร้างความเสียหายแก่นักลงทุนรายย่อยอย่างมหาศาล

ปล่อย “คนโกง” ให้ลอยนวล
คน ในรัฐบาลชวนคดโกงงบประมาณแผ่นดินยังไม่พอ กระทั่งการเลือกตั้งก็มีเรื่องฉาวโฉ่ไม่แพ้กันซึ่งมีทุกระดับ ตั้งแต่โครงการสร้างระดับบนจนถึงระดับล่าง
กลางปี 2542 ปฏิบัติการ “โกง” ครั้งมโหราฬในการเลือกตั้งสมาชิกเทศบาลนคร จังหวัดสมุทรปราการ ถึงขั้นต้องให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่ สูญเสียงบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะผลที่ออกมาไม่สามารถหาคนโกงมาลงโทษได้ เนื่องจากนายวัฒนา อัศวเหม เป็นบิดาของหัวหน้าผู้สมัครทีมหนึ่ง ซึ่งในขณะนั้นนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้มีบุญคุณต่อพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลชวน 2 เป็ลผลสำเร็จ บุญคุณย่อมต้องทดแทน เป็นเหตุให้ข่าวการปฏิบัติการโกงเลือกตั้งหายเงียบไปอีกครั้งหนึ่ง

ยืมหลังบ้านนายกฯเป็นแหล่งค้า “ซีดีเถื่อน”
ตุลาคม 2542 มีการเปิดโปรงขบวนการค้าซีดีเถื่อน ซึ่งคนของรัฐบาลได้ใช้ “บ้านพิษณุโลก” อันเป็นบ้านพักของนายกรัฐมนตรี เป็นสถานที่เก็บซีดีเถื่อนก่อนกระจายสู่ท้องตลาด จนขยายผลสู่การทลายแหล่งผลิตซีดีเถื่อนแหล่งใหญ่ในบริเวณท่านน้ำเมืองนนท์ ร้านที่ตรวจพบซีดีเถื่อนเป็นของส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล สังกัดกลุ่มงูเห่า และ ตรวจสอบพบว่าเครื่องมือผลิตซีดีเถื่อนถูกนำเข้ามาโดยผิดกฎกรมศุลกากร
ใน กรณีซีดีเถื่อน รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ได้แสดงให้เห็นความเชี่ยวชาญในการจัดการทำให้เรื่องเงียบหาย อยู่ในฐานะของรัฐบาลที่ปกป้องผู้กระทำผิดอย่างเห็นได้ชัด
เงินกู้ไร้ที่มา 45 ล้านบาท / ปฏิบัติการรุกอุทยาน
เอามาสร้างเป็นบ้าน 3 หลัง


ตอนที่ 5

รัฐบาลนายกฯชวน ตัวการเศรษฐกิจไม่ฟื้น
นับ ตั้งแต่ที่รัฐบาลนายกฯชวน เข้ามาบริหารประเทศเมื่อปลายปี 2540 และดำเนินงานตามนโยบายของกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ ด้วยการใช้นโยบายเศรษฐกิจที่เข้มงวด ตรึงดอกเบี้ยให้สูง และชะลอการใช้จ่ายของภาครัฐ โดยอ้างว่าเพื่อต้องการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ได้ส่งผลให้เงินบาทแข็งตัวจริง แต่ผลเสียหายที่ตามมา คือรายได้ประชาชาติ (GDP) หดตัวลงกว่า 10 % ในปี 2541 ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของไทย ภายใต้การบริหารของรัฐบาลชุดนี้ ผู้ที่อาจได้รับประโยชน์บ้างก็คือธุรกิจขนาดใหญ่ธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งได้อนิสงส์จากเงินบาทแข็งตัว จนเป็นผลให้ภาระหนี้ต่างประเทศลดลง
ท้าย ที่สุดใช้นโยบายดอกเบี้ยสูง ได้สร้างผลกระทบต่อธุรกิจให้ต้องมีอันล้มละตายหลายหมื่นราย และจำนวนคนว่างงานได้เพิ่มขึ้นกว่า 1 ล้านคน ความเสียหายที่เกืดขึ้นยังเห็นได้จากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่เพิ่ม ขึ้น จากการที่ NPL ในภาคอุตสาหกรรมที่ปรับโครงสร้างไปแล้วกลับคืนมาเป็น NPL อีกครั้งถึง 3,965 ล้านบาท และในภาคธุรกิจอีก 1.3759 หมื่นล้านบาท และยังมี NPL ที่เกิดขึ้นใหม่เพิ่มขึ้นอีกในหลายภาคธุรกิจ

ถมเงินเข้าสู่ธนาคาร ยิ่งถมยิ่งพัง
ใน ช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ แทนที่รัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาโครงสร้างทางการเงินพร้อมๆกับการแก้ปัญหาโครง สร้างการผลิตหรือการประกอบการโดยตรง รัฐบาลกลับยืนยันใช้นโยบายดอกเบี้ยสูงตามการชัดจูงของไอเอมเอฟ. และบอกกับประชาชนว่าต้องเร่งให้ธนาคารเพิ่มทุนมากๆ เพื่อสำรองความเสียหายก่อน เมื่อธนาคารเพิ่มทุนแล้วก็จะมีความมั่นคง สามารถปล่อยกู้ให้ธุรกิจฟื้นตัวได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทุกวันนี้กลับตรง กันข้าม เพราะแม้ว่าธนาคารจะได้เพิ่มทุนไปหลายแสนล้านบาทแล้วก็ตาม ก้ยังไม่สามารถทำให้ธนาคารต่างๆยอมปล่อยกู้เพิ่มให้กับผู้ประกอบการจน กระทั่งทุกวันนี้ เพราะต่างเกรงว่าเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดี ตัวเลข NPL ใหม่อีกรอบนั้น มีมากถึง 3-4 หมื่นล้านบาทต่อเดือนในปัจจุบัน
รัฐบาลได้ พยายามผลักดันให้ธนาคารเพิ่มทุน แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ จึงออกมาตารการ 14 สิงหาคม 2541 มูลค่า 300,000 ล้านบาท เพิ่มทุนให้สถาบันการเงิน โดยหวังว่าถ้าสถาบันการเงินแข็งแรงขึ้น ธุรกิจอื่นก็จะดีขึ้นตามมา
นอก จากนี้ในปี 2541 รัฐบาลยังได้เร่งออกพระราชกำหนด 11 ฉบับเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และขออำนาจออกพันธบัตรรัฐบาลขายให้แก่กับต่างประเทศมูลค่า 200,000 ล้านบาท แต่สถานการณ์ก็ยังคงไม่ดีขึ้น

ปฏิบัติการยึดธนาคาร ยิ่งยึดยิ่งเจ๊ง
หลงัจ ากที่รัฐบาลพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะให้ธนาคารต่างๆ เพิ่มุทนในช่วงที่เกิดวิกฤตช่วงนั้น ปรากฎว่าเป็นความพยายามที่ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าในการแก้ปัญหาสถาบันการ เงิน ทำให้รัฐบาลตัดสินใจเข้าไปยึดกิจการธนาคารและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์บาง ส่วน โดยมุ่งนำมาควบรวมขายให้กับต่างชาติ
ในการขายธนาคารพาณิชย์แต่ละ ครั้งนั้น รัฐบาลอ้างว่าขายแล้วจะไม่ขาดทุน เพราะตั้งราคาขายเท่ากับราคาที่ยึดมา แต่จนถึงวันนี้รัฐบาลยังไม่ยอมเปิดเผยเงื่อนไขการขายธนาคารที่แท้จริงออกมา และไม่เปิดเผยราย และไม่เปิดเผยรายละเอียดของสัญญา แต่ข้อเท็จจริงคือ รัฐบาลยอมชดใช้ความเสียหายจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารดังหกล่าว (ซึ่งได้แก่ ธนาคารรัตนสิน และธนาคารศรีนคร) ถึง 85% ให้กับผู้ซื้อต่างชาติ นอกจากนั้นยังยอมจ่ายดอกเบี้ยให้กับสินชื่อมที่เป็น NPL ให้กับผู้ซื้อเป้นระยะเวลา 3-5 ปีอีกด้วย
ด้วยเงื่อนไขนี้ การขายธนาคารที่รัฐยึดมาจึงเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ซึ่งเป็นนักลงทุนต่างชาติ อย่างที่สุด โดยที่ต้องซ่อนการขาดทุนดังกล่าวเอาไว้เป้นภาระของผู้เสียภาษีในอนาคตจำนวน หลายแสนล้านบาท ขณะเดียวกันยังสร้างความไม่เท่าเทียมกันระหว่างธนาคารที่ขายให้ กับธนาคารที่ยังเป็นของคนไทย เพราะธนาคารคนไทยยังคงต้องแบกภาระแก้หนี้ NPL สูงถึง 35-40 % ของสินเชื่อทั้งหมดด้วยตัวเอง
ปฏิบัติการการยึดธนาคาร ครั้งนี้ สร้างความเสียหายแก่ประเทศอย่างมหาศาล จนถึงวันนี้ได้สร้างภาระให้กับกองทุนฟื้นฟูแล้วประมาณ 1.4 ล้านบาท ซึ่งสร้างแรงกดดันให้รัฐบาลต้องหาแหล่งเงินมากลบความเสียหายในครั้ง


ตอนที่ 6

มิยาซาวา : ขบวนการกู้มาโกง
หลัง จากรัฐบาลใช้เงินมหาศาลไปใช้ในการฟื้นฟูสถาบันการเงิน รัฐได้ออกมาตรการใหม่เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยมุ่งที่ภาคการผลิต โดยอาศัยเงินกู้จากต่างประเทศ เพื่อเพิ่มรายจ่ายภาครัฐในปีงบประมาณ 2542-2543 อาทิ เงินกู้มูลค่า 53,397.90 ล้านบาทในโครงการมิยาซาวา
จาก การประเมิณผลโดยหน่วยงาน OECF ของญี่ปุ่นเอง สำนักงานงบประมาณกรมบัญชีกลาง ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และหน่วยงานประเมิณผลจากภาคเอกชนพบว่า ผลลัพธ์จากโครงการมิยาซาวาได้ผลน้อยมาก และไม่มีแรงส่งพอที่จะทำให้เกิดดุลยภาพทางเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพได้ เพระมีปัญหาทุจริตคอรัปชันคดโกงในทุกขั้นตอนของการบริหารและการจัดการ ตลอดจนการใช้จ่ายเงินกู้ในโครงการไม่มีกลยุทธ์และทิศทางที่มีประสิทธิภาพ

ประมูล ปรส. ผลงานอัปยศ
นับ ตั้งแต่ที่รัฐบาลปิดกิจการของบริษัทเงินทุน 56 แห่ง และเร่งให้ ปรส. ประมูลขายทรัพย์ออกอย่างรวดเร็ว โดยไม่พยายามดูแลให้สินทรัพย์ดังกล่าวขายให้ได้ในราคาสูงนั้น ผลปรากฏว่าสินทรัพย์มูลค่า 870,000 ล้านบาท ขายได้เพียง 160,000 ล้านบาทหรือไม่ถึง 20% และผู้ประมูลซื้อสินทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนต่างชาติรายใหญ่เพียงไม่กี่ แห่ง ส่วนสินทรัพย์ที่เหลือประมาณ 100,000 ล้านบาทนั้น รัฐบาลยอมขายให้กับบบส. ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ โดยแลกกับพันธบัตรของบบส.
การที่รีบร้อนขายสินทรัพย์ในขณะที่เศรษฐกิจตก ต่ำเต็มที่เช่นนี้ ทำให้ ปรส. ได้ราคาต่ำ มิหนำซ้ำรัฐบาลยังกีดกันมิให้ลูกหนี้หรือรายย่อยเข้าซื้อสินทรัพย์ดังกล่าว ผลคือ บริษัทต่างชาติเหล่านี้สามารถเร่งรัดให้ลูกหนี้ไทยจ่ายคืนเป็นสัดส่วน 60-70 % ของเงินต้น
ความเสียหายประมาณ 600,000 ล้านบาทจากการประมูณของ ปรส. นับเป็นภาระภาษีของประชาชนคนไทยทุกคน ซึ่งรัฐบาลต้องยอมออกพันธบัตรชดใช้ความเสียหายไปแล้ว 500,000 ล้านบาท แต่ก็ยังเหลืออีก 100,000 ล้านบาท

หมกเม็ดความเสียหาย ตบตาประชาชนทั่งประเทศ
ความ เสียหายซึ่งถูกวุกซ่อนไว้ที่กองทุนฟื้นฟู เป็นการสร้างภาระให้กับประชาชนอย่างมาก เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้รัฐบาลต้องชดใช้ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากกองทุน ฟื้นฟูฯ โดยอาศัยเงินงบประมาณซึ่งก้คือเงินภาษีของประชาชน
ที่ผ่านมากอง ทุนฟื้นฟูฯ มีเงินกองทุนติดลบกว่า 200,000 ล้านบาท และหากนับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คาดว่าจะมีหนี้ทั้งสิ้น 1 ล้านล้านบาท โดยที่รัฐบาลยังไม่รู้ว่าจะหาเงินที่ไหนมาชดใช้

รวมบัญชี ทุบคลังหลวงชดเชยความผิดพลาดรัฐบาล
เพื่อ ลดแรงกดดันทางการเมืองจากการที่จะต้องขึ้นภาษีที่เรียกเก็บจากประชาชนในการ หาเงินมาใช้หนี้ นายกฯชวนเอาตัวรอดด้วยการนำเอาเรื่องการรวมบัญชีของธนาคารแห่งประเทศไทยมา เป็นข้ออ้างในการบังคับให้ธปท. ต้องนำทุนสำรองส่วนเกินมาชดใช้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ โดยให้เหตุผลว่าหากไม่ใช้วิธีนี้ รัฐบาลจำเป็นต้องหารายได้เพิ่มโดยการเก็บภาษีจากประชาชน และแม้ว่าในท้ายสุดธปท. จะยอมให้นำเงินทุนสำรองจำนวน 1.3 แสนล้านบาทไปชดใช้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ แต่ผลที่ตามมาคือ ผู้ประกอบการ นักลงทุน และประชาชนต่างสูญเสียความเชื่อมั่น
การบีบให้ปธท. รับภาระหนี้เงินบาทของกองทันฟื้นฟูฯ ยังทำให้นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเป็นห่วงว่า อาจมีการพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นกว่า 55,000 ล้านบาท เพื่อจ่ายหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ เป็นการเสียวินัยทางการเงิน ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงในขณะนี้


ตอนที่ 7

สร้างภาพเศรษฐกิจฟื้นบอกความจริงประชาชนครึ่งเดียว
รัฐบาล อ้างกับประชาชนตั้งแต่ปี 2542 ว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นฟูแล้ว แต่ทุกวันนี้ประชาชนเริ่มเห็นแล้วว่า การฟื้นตัวนั้นจำกัดอยู่เฉพาะบางสาขา เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ และการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเจ้าของกิจการส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ
สินค้าที่คนไทยเป็นผู้ผลิตโดย เฉพาะสินค้าเกษตร เช่น ข้าว น้ำตาล ปัจจุบันมีราคาตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ส่วนสินค้าอุปโภคบริโภค ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการจะกระตุ้นยอดขายได้ก็ต้องลดราคา ทำให้สัดส่วนของกำไรลดลง และการจ้างงานก้ไม่ได้เพิ่มขึ้น
สำหรับภาคการ เงิน ภายหลังจากที่ธนาคารต่างชาติเข้ามาเป็นเจ้าของธนาคารไทยแล้ว ปัญหาการปลดพนักงานออกก็ไม่มีที่ท่าว่าจะลดลง ทั้งธนาคารไทยและธนาคารลูกครึ่งยังมีแนวโน้มที่จะลดจำนวนพนักงานลงอีก โดยในปีนี้มีแผนจะลดคนประมาณ 2 หมื่นคนซึ่งผลของการลดคนดังกล่าวย่อมทำให้การฟื้นตัวของการอุปโภค บริโภค เป็นปอย่างเชื่องช้า

ประชาชนตกงาน ธุรกิจละลาย
ผลพวงจากความผิด พลาดของการบริหารงานภายใต้รัฐบาลชวนนั้น มีผลสรุปที่ชัดเจนคือ ประชาชนยังตกอยู่ในภาวะที่ยากลำบากอยู่เช่นเดิม ยอดคนตกงาน ซึ่งส่วนใหญ่เป้นการตกงานของคนไทยที่มีค่าครองชีพสูง มีถึง 2.5 ล้านคน
ธุรกิจ จำนวนไม่น้อยกำลังประสบปัยหาต้องปิดกิจการ จากการรายงานของกระทรวงพาณิชย์ระบุชัดเจนว่า ในช่วงปี 2540 ปีแรกที่ประเทศไทยเริ่มประสบวิกฤตเศรษฐกิจ มีธุรกิจบริษัทและห้างหุ้นส่วนปิดกิจการ 9,856 ราย เฉพาะบริษัทจดทะเบียน 5,621 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2539 ถึง 45.47 % และจากปี 2540-2542 มีบรัทและห้างหุ้นส่วนปิดกิจการไปแล้ว 29,202 ราย และมีอีกมากมายที่กำลังจะปิดตัว
ม.ร.ว. ปรีดียาธร เทวกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าถึงกับออกมาเตือนรัฐบาลว่า มีผู้ส่งออกรายย่อย 1.1 หมื่นรายจากจำนวนทั้งหมด 1.4 หมื่นรายกำลังจะตาย เพราะนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่ผิด และนโยบายการงเงินที่เข้มงวดที่สุดในโลกของรัฐบาล ทำให้สถาบันการเงินไม่ปล่อยกู้ให้กับบรฺษัทในประเทศตั้งแต่เดือน มีนาคม 2541


ตอนที่ 8

ไม่ช่วยไม่ว่า แต่กลับซ้ำเติมเกษตรกร
รัฐบาล ขาดวิสัยทัศน์และความเข้าใจที่ถ่องแท้ว่าภาคเกษตร คือภาคการผลิตพื้นฐานของสังคมไทย และเป็นความหวังในการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจและสังคม ปัจจุบันภาคเกษตรกรรมสามารถสร้างความมั่นคงให้กับประเทศได้ ด้วยการเป้นหนึ่งในประเทสผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ของโลก ตาที่ผ่านมารัฐบาลขาดการจัดการด้านการเกษตรอย่างเป้นระบบภาคเกษตรของไทยจึง เต็มไปด้วยปัญหา เกษตรกรไทยจำนวนมากมีฐานะความเป็นอยู่ยากจนแร้นแค้น มีภาระหนี้สิน ขาดแคลนที่ดินทำกิจ และประสบปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำลงกว่า 50% ผลกระทบดังกล่าวได้จุดชนวนให้ชาวนารวมตัวกัน เพื่อเรียกร้องขอความช่วยเหลือหลายต่อหลายครั้ง แต่รัฐบาลกลับเพิกเฉยไม่ใส่แก้ปัญหา
ไม่เพียงแต่ไม่เหลียวแลชาวยเหลือ ปัญหาของเกษตร รัฐบาลชวน2กลับซ้ำเติมเกษตรให้ลำบากยิ่งขึ้นไปอีก เห็นได้ชัดจากแผนกู้เงินจากธนาคารพัฒนา เอเชีย (เอดีบี) วงเงิน 600 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อปรับโครงสร้างภาคเกษตร รัฐบาลได้ใช้เงินส่วนหนึ่งเป้นทุนในการจัดทำโครงการจัดรูปที่ดินและระบบชล ประทาน เพื่อให้เกษตรที่ต้องการเพิ่มผลผลิตเข้าร่วมโครงการ และตั้งเงื่อนไขขอจัดเก็บค่าใช้น้ำในระบบส่งน้ำสำหรับผู้ต้องการใช้น้ำเพื่อ การเกษตร เกาตรกรในพื้นที่ที่มีการจัดรูปที่ดินส่วนหนึ่งร่วมกับ NGOs ได้ชุมนุมกันเพื่อต่อต้านเงื่อนไขและแนวทางดังกล่าวของรัฐบาล ก่อนและระหว่างการประชุมสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชียที่จังหวัดเชียงใหม่ (ต้นเดือนพฤษภาคม 2543)

รัฐบาลกลับอ้างว่าเป็นการชุมนุมแบบจัดตั้ง จงใจก่อความไม่สงบ และเห้นว่าเกษตรกรและ NGOs ไม่ฟังเงื่อนไขและคำอธิบายที่ชัดเจน รัฐบาลได้ให้คำอธิบายว่า การจัดเก็บภาษีน้ำจะทำเฉพาะผู้ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการ และเต็มใจจะจ่ายค่าใช้น้ำและค่าระบบส่งน้ำที่รัฐบาลต้องลงทุนไปเท่านั้น เพื่อรัฐบาลจะได้นำรายได้ทีจัดเก็บนี้ไปใช้คืนทุนในปี 2543 20% ปี 2544 30% อีก 50 % สำหรับผู้ที่อยู่ในโครงการแต่ไม่ต้องการใช้น้ำ สามารถย้ายออกจากโครงการได้
เห็นได้ชัดว่าโครงการดังกล่าวไม่กระจายการ ช่วยเหลือไปสู้เกษตรผู้ยากจน แต่เป็นการบรรเทาและช่วยเหลือเกษตรที่มีความสามารถจ่ายลงทุนได้เท่านั้น ในขณะที่เกษตรที่ยากจนจำเป้นต้องเลือกที่จะย้ายออกจากพื้นที่โครงการ อย่างไรก้ตาม ท้ายสุดการต่อต้านในงานประชุมสภาผู้ว่าการธนาคารพัฒนาเอเชียที่จังหวัด เชียงใหม่ในครั้งนั้น ทำให้ผู้บริหารเอดีบีต้องออกมายืนยันว่าจะไม่จัดเก็บค่าน้ำจากเกษตรกร ซึ่งล้วนเป็นผลงานที่เกิดจากการต่อสู้ดิ้นรนเกษตรกรเองทั้งสิ้น
ยิ่งไป กว่านั้นรัฐบาลยังออกมาแสดงทัศนะกล่าวหาเกษตรกรว่า การก่อความไม่สงบในระหว่างการจัดประชุมนั้นทำให้เสียภาพพจน์ของประเทศไทย และกล่าวว่าเอดีบีเป้นองค์กรที่ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำมาก ประเทศไทยจำเป็นต้องกู้เงินจากองค์กรนี้ การชุมนุมทำให้ไทยถูกจับตามอง และสูญเสียความน่าเชื่อถือไป
ที่ผ่านมารัฐบาลมีแผนกู้เงินจากเอดีบี ตั้งแต่ปี 2542-2545 รวมเป็นเงิน 1,480 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมีเงื่อนไขบังคับให้รัฐบาลลดค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการหลายรายการเช่นให้ รัฐบาลลดจำนวนจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเหลือเพียง 50% จากที่จ่ายปัจจุบัน กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ส่งผลให้ไม่มีการปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำมาตั้งแต่ปี 2541
การดำเนินการ เพื่อปรับโครงสร้างภาคเกษตรที่บ่งชัดถึงความล้มเหลว ในการจัดการกับภาคเกษตรของรัฐบาลชุดนี้ ยังเห้นได้ชัดจากการไม่ประสบความสำเร็จหลังจากการจัดตั้งกองทุนนี้จัดตั้ง ขึ้นเพื่อช่วยเหลือเกาตรตามพ.ร.บ. กองทุนฟื้นฟูเกษตรฯ วัตถุประสงค์ของกองทุนนี้จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยซึ่งไร้ หลักประกันในการกู้เงิน โดยกองทุนฯนี้จะเป็นแหล่งเงินกู้ของเกษตรกร โดยให้เกาตรกรเป็นผู้บริหารกองทุนฯ ในชุมชนของตนเองโดยไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันกู้ แต่ให้เกษตรกรในชุมชนเป็นผู้ค้ำประกันเอง ทั้งนี้เกาตรกรผู้สนใจเข้าร่วมโครงการจะต้องสมัครขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิกกอง ทุนฯ และจะได้รับสิทธิในการเลือกตั้งผู้แทนชุมชนเข้าไปบริหารกองทุน และรับสิทธิในการกู้เงิน
จนถึงวันนี้การจัดการกับโครงสร้างกองทุนยังไม่ สร็จสิ้น ยังไม่มีเกษตรกรได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิกกองทุนฯ และมีข้อมูลว่าในปี 2542 ที่ผ่านมา รัฐบาลได้จัดสรรเงิน 33 ล้านบาทใช้สำหรับการเตรียมการเลือกตั้งกรรมการบริหารกองทุนฯ ซึ่งเป็นตัวแทนเกษตรกร เงินจำนวนนี้ถูกใช้ไปหรือไม่อย่างไร ตลอดจนเงินทุนประเมิณรอบแรกที่รัฐจัดสรรให้กับกองทุนฯ จำนวน 1,800 ล้านบาท ถูกจัดการไปอย่างไร จนถึงวันนี้ไม่มีการให้ข้อมูลกับประชาชนผู้เสียภี และเกาตรกรผู้รอคอยการช่วยเหลือ
ท้ายที่สุดการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร 4.8 ล้านครอบครัว รวมมูลค่าหนี้ 230,000 ล้านบาท ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2542 นั้น ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างแท้จริง และยังกลับเป็นมาตรการที่นำปัญหาไปกองไว้ที่ ธ.ก.ส. เกิดอะไรขึ้นกับการบริหารงบประมาณของรัฐบาลชุดนี้กันแน่?
ความแยแสต่อ ความยากไร้ของเกาตรกรของรัฐบาลชวน 2 นั้น เน้นย้ำให้เห็นชัดอีกครั้งจากเหตุการณ์การเรียกร้องของเกษตรกรให้รัฐบาล ประกันราคามันสำปะหลัง ซึ่งตกต่ำลงอย่างหนักในช่วงเดือนตุลาคม 2542 ทั้งๆที่ผลผลิตล้นตลาด นายกชวนไม่เพียงไม่ออกมาหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมเกษตรกร แต่ในที่สุดวันที่ 27 ตุลาคม 2542 ก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่น่าละอายไปทั่วโลก เมื่อรัฐบาลปล่อยสุนัขตำรวจไล่กัดเกาตรกรที่มาชุมนุมประท้วงบริเวณหน้า ทำเนียบฯ มีชามบ้านได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งเด็ก ผู้หญิง และ คนชรา
วิธี การใช้ความรุนแรงเพื่อจัดการขับไล่ชาวบ้าน และเกษตรกรผู้ยากไร้ที่เรียกร้องความเป็นธรรมจากรัฐบาล ยังคงเกิดขึ้นอีกหลายครั้งในช่วงเวลาของการบริหารงานภายใต้รัฐบาลชุดนี้ อาทิ กรณีที่รัฐบาลใช้กำลังเข้าสลายม็อบชาวบ้านที่เดือดร้อนกรณีเขื่อนปากมูล (เดือนกรกฎาคม 2543) ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล รัฐบาลใช้กำลังเสริมกว่า 5 กองพัน ทั้งจากตชด. พลร่มค่ายนเรศวร ประจวบฯ และตำรวจปราบจราจลกว่า 5 กองพัน เข้าเคลียร์พื้นที่ม็อบปากมูล เพื่อล้างทำเนียบฯ เตรียมการต้อนรับประธานาธิบดีจีนที่มาเยือนประเทศไทย (18 ก.ค. 48) ปรากฎว่ามีผู้บาดเจ็บมากกว่า 50 คน และถูกจับอีก 202 คน
นอกจากนี้วิกฤต หนี้สาธารณะ ทำให้รัฐบาลปฏิเสธร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม สำหรับจัดตั้งกองทุนสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและว่างงาน รวมทั้งการปัดสวะปัญหาหนี้สินกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายด้วยมติให้ปรับราคา น้ำตาลทรายขั้นต่ำ 2 บาทต่อกิโลกรัม


ตอนที่ 9

“มูมมาม” งาบโครงการทิ้งทวนจนนาทีสุดท้าย
รัฐบาล ชวนมาบริหารบ้านเมืองด้วยความหวังของประชาชนว่าจะเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ได้ด้วยดรีมทีมของพรรคประชาธิปปัตย์ โดยรัฐบาลชวนได้ให้คำมั่นกับประชาชนว่า เมื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจฟื้นและออกกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเสร็จจะยุบสภา แต่แล้วรัฐบาลชวนก็บิดเบือนสัญญาที่เคยให้กับประชาชน
กรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ร.ม.ต. คมนาคม อนุมัติโครงการ เอสดีเอช,ไอพีเน็ตเวอร์ก,ซิพกราด และโครงการโทรศัพท์มือถือ 1900 รวมมูลค่าโครงการทั้งหมด 24,216 ล้านบาทโดยใช้เวลาอนุมัติเพียงเดือนเดียวเท่านั้น และดำเนินการประมูลไม่มีความโปร่งใส ล่าสุดที่ประชุม ครม. เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2543 ก่อนจะมีการยุบสภานายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็นำโครงการจัดซื้อเครื่องบิน 5 ลำ มูลค่า 3 หมื่นล้านบาทของการบินไทยเข้าที่ประชุม ความไม่ปกติเกิดขึ้นเมื่อยังไม่มีการเลือกแบบเครื่องบิน แต่สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็อนุมัติเงินมัดจำกับบรัทโบอิ้งไปแล้ว 2 ลำๆละ 2 แสนเหรียญสหรัฐ และเมื่อการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2543 กระทรวงคมนาคมก็อนุมัติให้กับคณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในเรื่องปรับโครงสร้างการรถไฟแห่งประเทศไทยเป็นวงเงิน 124,566 ล้านบาท ในขณะที่ทรัพย์สินของการรถไฟขณะนี้มีอยู่ 58,755.3 ล้านบาท หนี้สินอีก 36,803 ล้านบาท
บัญญัติ บรรทัดฐาน ร.ม.ต. มหาดไทย ผู้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ไม่น้อยหน้า ทั้งที่กลิ่นฉาวของการถือหุ้นในบริษัท ศรีสุบรรณเทรดดิ้ง จำกัดยังไม่ทันจางก็กวาดไปอีก 1,823,000,000 ล้านบาท จากการอนุมัติจัดซื้อรถจักรยานยนต์และรถกระบะของสายตรวจตำรวจ

พิสิฐ ลี้อาธรรม รมช.คลัง ได้อนุมัติเรื่องการจ่ายเงินโบนัสคืนให้กับผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ งบประมาณถึง 20 ล้านบาท

สา วิตต์ โพธิวิหค รมต. ประจำสำนักนายกฯ เสนอเรื่องขอกู้เงินเพื่อรีไฟแนนซ์เงินกู้เดิม 3.5 หมื่นล้านบาทให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทสไทย (กฟผ.) ครม. ก็อนุมัติให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้อีก 9 พันล้านบาท

วัฒนา อัสวเหม รมช.มหาดไทย ผู้ดูแลการเคหะแห่งชาติ อนุมัติโครงการในการศึกษาโยกย้ายประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชนดินแดง งบประมาณ 200 ล้านบาท โครงการรื้อถอนอาคารเดิม และโครงการก่อสร้างอาคารใหม่ งบประมาณอีก 7,798 ล้านบาท

ประภัตร โภสุธน ร.ม.ต.เกษตรและสหกรณ์ ผู้สร้างสถิติฮือฮาทำงาน 7 เดือน เสนอกฎหมายแค่ 3 บับ แต่อนุมัติไป 133 เรื่องกับอีก 11 โครงการ โดยอนุมัติถี่ยิบในช่วงเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม และอีก 2 โครงการยักษ์ ก่อนยุบสภาเพียงอึดใจ ก็หนีบโครงการชลประทานระบบท่อ มูลค่า 699 ล้านบาท และโครงการจัดหาและการบำรุงรักษาอากาศยานเพื่อเกษตร พ.ศ. 2544-2549 อีก 3,031 ล้านบาท แต่ถูกโยนตระกร้าไปเสียก่อน

รัฐบาลชวนอนุมัติเรื่อง และโครงการต่าง ๆ โดยที่ขั้นตอนดำเนินการโครงการเหล่านั้นไม่มีความโปร่งใส มีการฮั้วประมูลกัน หรือบางโครงการก็ยังต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมอีกครั้ง การรีบร้อนก่อนยุบสภาเช่นนี้ เป็นสิ่งสะท้อนประจักษ์ชัดเจนว่ารัฐบาลชวนมีเจตนาที่จะหาเศษหาเลยกอบโกยเข้า พกเข้าห่อของตนไว้ก่อน ด้วยโครงการใหญ่ๆ เหล่านี้เปรียบเสมือนเนื้อก้อนโตบนเขียงทองคำ ที่พร้อมจะถูกเฉือนเป็นทุนแจกจายให้กับลูกพรรคนำไปโปรยหว่านยังหัวคะแนนใน ที่สุด นี่คือหลักฐานชิ้นล่าสุดที่พิสูจน์ว่ารัฐบาลชวนมีความซื่อสัตย์เพียงใด
ถึงวันนี้คงต้องทบทวนสิ่งที่นายกฯชวนเคยบอกประชาชนเสมอว่า “ผมไม่เคยสักครั้งที่ควักเงินจายค่ากาแฟในการหาเสีย”
สิ่ง ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างการจัดการปัญหาของประเทศ ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลชวน 2 เท่านั้น สิ่งที่เราพบก็คือ รัฐบาลคอรัปชั่นโอบอุ้มพวกพ้องตนเอง ไม่มีประสิทธิภาพ และขาดวิสัยทัสน์ในการจัดการกับปัญหาความทุกข์ร้อนของแผ่นดินอีกทั้งยัง สร้างภาระและความเจ็บแค้นให้กับประชาชนผู้ยากไร้ที่เป็นกำลังสำคัญของชาติ ด้วยหากที่ผ่านมารัฐบาลจะเปิดใจให้กว้าง รับฟังปัญหา และอยู่เคียงข้างประชาชนผู้ยากไร้มากกว่านี้ ความทุกข์ยากและเจ็บปวดของคนไทยอาจบรรเทาลงมากกว่าทุกวันนี้ และเราอาจฟื้นตัวเองขึ้นได้บ้าง แม้ไม่ทั้งหมดก็ตาม

ตอนที่ 10 อวสานรัฐบาลหัวครก!!!!!!!!!!!

เพราะนายกรับมนตรีที่ชื่อ ชวน หลีกภัย
ผล งานอัปยศในช่วง 3 ปีภายใต้การบริหารประเทศของรัฐบาลนี้ นายกรัฐมนตรีที่ชื่อชวน หลีกภัยไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบต่อประชาชนทั้งประเทศได้ การอ้างว่าคนเองมาจากการเลือกตั้ง และกาหประชาชนไม่พอใจการกระทำของตนเองหรือพวกพ้องในพรรคประชาธิปัตย์ ก็อย่าเลือกพวกเขาเข้ามาอีก คือคำท้าทายที่แสดงความเป็น “นักเลือกตั้ง” ที่ฝังลึกในกมลสันดานอย่างชัดเจนที่สุด
นายชวน หลีกภัยภาคภูมิใจนักหนาและมักอวดอ้างว่าเล่นการเมืองมายาวนานถึง 30 ปี ทั้งก็เคยดำรงตำแหน่งเจ้ากระทรวงในกระทรวงใหญ่หลายแห่ง แต่ไม่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า มีผลงานอะไรบ้างที่เป็นชิ้นเป็นอันในระหว่างดำรงตำแหน่งเหล่านั้น และประชาชนก็ไม่มีใครจดจำได้เช่นกัน

นายกรัฐมนตรีที่ชื่อชวน หลีกภัยไม่ได้เป็นอะไรอื่นที่มากกว่านักเลือกตั้ง ที่ถนัดในการใช้คารมเชือดเฉือนคู่แข่งและผู้ที่ไม่เห้นด้วยกับตน และตลอกชีวิตของการ “เล่น” การเมืองที่ผ่านมา ก็อาศัยเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงทางการเมือง กระทั่งบิดเบือนหลักการประชาธิปไตย ไต่เต้าขึ้นมาดำรงตำแหน่งบริหารสูงสุดของประเทศด้วยเหตุนี้จึงหวังไม่ได้ว่า คนอย่างนายชวนจะมีวิสัยทัศน์ และความสามารถในการบริหาร โดยเฉพาะในยามวิกฤติที่ประเทศต้องการ “ผู้นำ” ไม่ใช่ “ปลัดประเทศ”

นาย ชวน หลีกภัยผู้สักแต่เซ็นหนังสือไปวันๆ และโยนกลองการตัดสินใจเรื่องนโยบายเศรษฐกิจให้กับรัฐมนตรีคลังปู้ยี่ปู้ยำจน บ้านเมืองล่มจมเพราะความไม่รู้ และความดื้อตาใส ไม่ฟังแม้แต่เสียงทักท้วงของคนร่วมพรรค ซึ่งไม่เห็นด้วยกับแนวทางแก้ไขปัญหาที่กลับทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเลวร้ายลงไป อีก ย่อมไม่สมารถเอาแต่ “แก้ตัว” และ “ลอยตัว”
หมดเวลาของนายชวน หลีกภัย, รัฐบาลชุดนี้ และพรรคประชาธิปัตย์แล้ว

ประชาชนกำลังจะให้บทเรียนครั้งสำคัญ เพื่อสั่งสอน “นักเลือกตั้ง” อย่างนายชวน หลีกภัย และพรรคประชาธิปัตย์ให้หลาบจำตลอดไป

------------------------------------
โพสต์โดย : เซียงเส้าหลง แห่งประชาไท
แหล่งที่มา....
http://my.dek-d.com/Writer/story/view.php?id=248583