เมื่อ ต้นปี พ.ศ. ๒๕๒๘ นั้น มีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง เดินธุดงค์มาอาศัยอยู่ที่ “ถ้ำขี้เหล็กไหล” หน่วยพิทักษ์ป่าชะแนน เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าภูวัว ใกล้ ๆ กับหมู่บ้านชัยพรของเรา แต่ไม่มีใครทราบว่าท่านชื่ออะไร? มาจากไหน เพราะท่านไม่เคยบอกใคร ท่านเป็นพระธุดงค์ที่ปฏิบัติเคร่งครัดมาก ห่มจีวรสีกลัก ฉันอาหารมื้อเดียว และฉันในบาตร ออกบิณบาตเป็นประจำทุกวันไม่เคยขาดเลย แม้ฝนจะตก แดดจะออก หรือไม่สบายก็ตาม เพราะเหตุนี้ การถือธุดงควัตรจึงเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านอย่างสูง ทุกคนเรียกท่านว่า "หลวงพ่อ" อย่างสนิทสนม นอกจากปฏิบัติเคร่งครัดแล้ว หลวงพ่อของเรายังมีลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือ พูดน้อย อาจกล่าวได้ว่า ไม่มีใครเลยได้ยินท่านพูดถึง ๓ ประโยคในคราวเดียวกัน
บางทีท่านก็นั่งนิ่งๆ อยู่ทั้งวัน ทั้ง ๆ ที่ญาติโยมนั่งอยู่เต็มข้างหน้า
ดังนั้น บรรดาญาติโยมที่ตั้งใจจะไปคุยกับหลวงพ่อ จึงลงเอยด้วยการคุยกันเอง แต่หลวงพ่อของเราก็ไม่ใช่พระใบ้เสียทีเดียว นาน ๆ ท่านจะพูดออกมาประโยคหนึ่งหรือสองประโยค และทุก ๆ ประโยคที่หลุดออกมาจากปากของท่าน มักจะเป็นปริศนาธรรมอันลึกซึ้ง หรือเป็นสุภาษิต มีคติน่าจับใจเสมอ
เพราะเหตุนี้เอง คำพูดทุกคำของท่านจึงมีค่าอย่างยิ่ง ญาติโยมบางคนอุตสาห์ไปนั่งเฝ้าท่านอยู่ทั้งวัน เพื่อจะฟังคำพูดของท่านแม้เพียงประโยคเดียว เมื่อได้ฟังแล้วก็นำไปขบคิดเองบ้าง ถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง จนเกิดความรู้แตกฉานในพุทธธรรมได้ดีกว่าฟังเทศน์กัณฑ์ยาวๆ เสียอีก กิตติศัพท์ของหลวงพ่อทำให้ข้าพเจ้าเกิดความสนใจขึ้นมาทันที
วันหนึ่งเมื่อมีเวลาว่าง จึงได้ไปกราบนมัสการและพบท่านนั่งพักผ่อนอยู่ใต้ชะง่อนหินตรงปากถ้ำ “หลวงพ่อครับ” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้นหลังจากกราบท่านแล้ว “ตัวผมนี้ ถึงจะเป็นพุทธศาสนิกชน ก็ยังมีความสงสัยลังเลอยู่มาก ไม่ทราบว่าจะยึดอะไรเป็นหลักปฏิบัติ
ผมเคยไปถามพระหลายองค์หลายวัด บางองค์สอนให้ทำบุญทำทาน บางองค์สอนให้รักษาศีล บางองค์ก็สอนให้เจริญภาวนา มีทั้งยุบหนอพองหนอ สัมมาอะระหัง พุทโธ และโบกไม้โบกมือ บ้างก็ให้วิปัสสนาพิจารณากันเลย บางองค์ก็ชวนให้ออกบวช บางองค์ก็แนะนำให้ทำจิตให้ว่าง ผมเลยงงไปหมด ไม่รู้ว่าจะยึดอะไรเป็นหลักแน่! หลวงพ่อกรุณาบอกผมด้วยว่า จะทำอย่างไร จึงจะเดินถูกทาง เข้าถึงแก่นพระศาสนาได้”
“รู้” หลวงพ่อตอบสั้น ๆ ตามแบบฉบับของท่าน แล้วหลวงพ่อก็ไม่พูดอะไรอีก ข้าพเจ้างงเหมือนไก่ตาแตก เพราะไม่เข้าใจความหมายของท่าน ไม่ทราบว่า ท่าน “รู้” เรื่องที่ข้าพเจ้าเล่าถวาย หรือแนะนำให้ข้าพเจ้า “รู้” เมื่อเชื่อแน่ว่าท่านจะไม่อธิบายเพิ่มเติม ข้าพเจ้าจึงถามาว่า “รู้ อะไรครับ?”
“รู้ตัว” หลวงพ่อตอบ แล้วลูกขึ้นเดินหายเข้าไปในถ้ำ ก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้ซักถามอะไรเพิ่มเติม ขณะที่เดินทางกลับบ้าน ข้าพเจ้าพยายามคิดตึความหมายของคำว่า “รู้ตัว” มาตลอดทาง พลางนึกเถียงหลวงพ่ออยู่ในใจว่า ข้าพเจ้ารู้ตัวเองดีอยู่แล้ว่าชื่อนั้น นามสกุลนั้น อายุเท่านั้น เรียนจบชั้นนั้น ประกอบอาชีพชนิดนั้น มีนิสัยชอบศึกษาค้นคว้าหาความรู้แปลก ๆ ใหม่ ๆ มีโรคปวดท้องเป็นโรคประจำตัว
ข้าพเจ้าสามารถจะตอบปัญหาเกี่ยวกับตัวเองได้ทุกปัญหา ข้าพเจ้าไม่เคยไปให้หมอดูดูดวง เพราะไม่เชื่อว่าหมอดูจะรู้จัดข้าพเจ้าดีไปกว่าตัวเอง หลวงพ่อจะให้ “รู้ตัว” อย่างไรอีก
ข้าพเจ้านอนคิดปัญหานี้อยู่หลายวัน แต่คิดไม่ออก วันหนึ่งเมื่อมีโอกาส จึงเดินเข้าไปในตลาดเมืองหนองคาย จุดประสงค์เพื่อจะไปเยี่ยมชมร้านขายหนังสือ ด้วยเชื่อว่า บางทีหนังสืออาจจะช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง
ข้าพเจ้าได้เข้าไปในร้านจำหน่ายหนังสือใหญ่ร้านหนึ่ง แล้วก็เดินดูไปเรื่อยๆ ได้พบหนังสือทุกประเภท ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ หนังสือประเภทนวนิยาย สารคดี นิทาน ตำรับตำราและรูปภาพต่างๆ ข้าพเจ้าใช้เวลาอยู่ในร้านประมาณ ๑ ชั่วโมง เดินดูจนทั่วก็ไม่พบหนังสือที่ต้องการ
ในขณะที่กำลังจะเดินออกจากร้านนั่นเอง ตาก็เหลือบไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งวางโชว์ไว้ในตู้ สิ่งที่สะดุดตาที่สุดบนหนังสือนั้นก็คือ ภาพร่างมนุษย์ผ่าซีก ระบายสีเผยให้เห็นอวัยวะภายในต่างๆ อย่างชัดเจน ข้าพเจ้าเดินเข้าไปใกล้ และได้พบชื่อหนังสือนั้นว่า กลไกของร่างกายมนุษย์” เขียนโดยนายแพทย์ผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ข้าพเจ้าจ่ายเงิน ๑๕๐ บาท แล้วนำหนังสือนั้นกลับบ้าน พอถึงบ้านก็ลงมือเปิดอ่านทันที เนื่องจากผู้เขียนใช้ภาษาง่ายๆ และมีภาพประกอบแพรวพราว จึงทำให้เข้าใจได้ง่ายมาก
ภายใน ๓ วัน ข้าพเจ้าก็อ่านหนังสือเล่มนั้นจบ และจำสาระสำคัญ ๆ ได้หมด นัดนี้ ข้าพเจ้าได้ทราบว่า ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วย กระดูกกี่ชิ้น กล้ามเนื้อกี่มัด เส้นเอ็นเส้นอูดกี่เส้น อยู่ที่ไหนบ้าง อวัยวะต่างๆ เช่น หัวใจ ตับ ปอด ไต กระเพาะ ลำไส้ และต่อมต่างๆ ทำหน้าที่อย่างไร ข้าพเจ้ารู้ละเอียดลงไปถึงเรื่องโครงสร้าง ส่วนประกอบการเติบโต และการขยายพันธุ์ของเซลล์
หนังสือเล่มนี้ทำให้ข้าพเจ้า เห็นร่างกายเป็นโรงงานมหึมา ประกอบด้วยเครื่องจักรเป็นจำนวนหมื่น จำนวนแสน ทำงานเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิดตลอดวันตลอดคืน ตั้งแต่เกิดจนตาย เมื่อเชื่อว่าตน “รู้ตัว” ดีแล้ว ข้าพเจ้าก็ไปพบหลวงพ่อที่ถ้ำ และได้บรรยายกลไกแห่งร่างกายมนุษย์ ให้หลวงพ่อฟังอย่างละเอียด ตามที่จำได้จากหนังสือ
เมื่อเล่าจบก็นั่งตั้งใจคอยฟังว่า หลวงพ่อท่านจะมีความคิดเห็นอย่างไร “เจ้ายังไม่รู้ตัว” หลวงพ่อท่านพูดขึ้น หลังจากนั่งเงียบ ตลอดเวลา สิ่งที่เจ้ารู้เป็นแต่เพียง “สมมติสัจจะ” ก่อนที่ข้าพเจ้าจะทันได้โต้ตอบ ท่านก็ลูกขึ้นเดินเข้าถ้ำไปเสียแล้ว ปล่อยให้ข้าพเจ้านั่งทอดถอนใจด้วยความผิดหวังอยู่คนเดียว
ข้าพเจ้าเดินคอตกกลับบ้าน แล้วก็เริ่มต้นคิดหาความหมายของคำว่า “รู้ตัว” ในแนวอื่น แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งมืดแปดด้าน เช้าวันอาทิตย์วันหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจเข้าไปในตัวจังหวัดอีก จุดประสงค์ก็เพื่อ ไปพบและขอคำปรึกษาหารือ จากอาจารย์ผู้สอนวิทยาศาสตร์ ซึ่งเคยสอนข้าพเจ้ามา “อาจารย์ครับ” ข้าพเจ้าเอ่ยขึ้น หลังจากทักทายกันตามธรรมเนียมแล้ว “ที่บ้านผมมีพระธุดงค์รูปหนึ่ง ท่านสอนผมว่า ถ้าต้องการเดินให้ถูกทาง เข้าถึงแก่นพุทธศาสนาต้อง “รู้ตัว” ผมได้อธิบายตัวตนของเราตามหลักสรีรวิทยาให้ท่านฟังแล้ว ท่านบอกว่า “สิ่งที่ผมรู้เป็นเพียง สมมติสัจจะ” ผมยังไม่ “รู้ตัว” อาจารย์ช่วยแนะนำผมด้วยว่า จะให้ผมรู้ตัวในแง่ไหนอีก?
อาจารย์ผู้ได้ปริญญาโททางวิทยาศาสตร์นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “สรีรวิทยา หรือกายวิภาควิทยา ยังไม่ใช่ความรู้สุดท้ายเกี่ยวกับตัวมนุษย์ ถ้าจะให้ถึงที่สุดก็ต้องศึกษาในแง่เคมี” ว่าแล้วอาจารย์ก็เริ่มอธิบายร่างกายมนุษย์ในแง่เคมีให้ข้าพเจ้าฟัง เริ่มต้นด้วยการจำแนกสารประกอบทางเคมีของร่างกายออกเป็นอย่างๆ แล้วก็แยกสารประกอบแต่ละอย่างออกเป็นธาตุแท้ๆ คือ “ปรมาณู” อธิบายโครงสร้างปรมาณูของธาตุต่างๆ อย่างละเอียดตลอดถึงไอโซโธปต่างๆ ของธาตุชนิดเดียวกัน
“ปรมาณูนี้และ คือส่วนประกอบที่เล็กที่สุดของร่างกาย” อาจารย์กล่าวสรุป คุณจะเป็นได้ว่า ปรมาณูแต่ละตัว มีลักษณะคลายสุริยะจักรวาล โดยมีนิวเคลียส เป็นดวงอาทิตย์ มีอิเล็กตรอนเป็นดวงดาวนพเคราะห์ โคจรอยู่โดยรอบ
ฉะนั้นร่างกายของเราจึงไม่ใช่อะไร นอกจากกลุ่มปรมาณูนับจำนวนไม่ถ้วน เช่นเดียวกับ กาแล็กซี เป็นกลุ่มของสุริยจักรวาลมากมาย
ข้าพเจ้ากลับไปพลหลวงพ่ออีกครั้งหนึ่ง และได้อธิบาย “ตัว” ในแง่วิชาเคมี ให้หลวงพ่อท่านฟังอย่างละเอียด เป็นเวลากว่า ๓๐ นาที ฝ่ายหลวงพ่อท่านก็ดูท่าทางตั้งใจฟังด้วยความสนใจ ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความหวังขึ้นมารางๆ ว่า คราวนี้หลวงพ่อคงรับรองว่าข้าพเจ้า “รู้ตัว” แน่ เมื่อข้าพเจ้าอธิบายจบ หลวงพ่อยังคงนั่งนิ่ง คล้ายกับกำลังพิจารณาทบทวนเรื่องราวที่ข้าพเจ้าเพิ่งเล่าจบลง
สักครู่ใหญ่ผ่านไป หลวงพ่อท่านจึงพูดขึ้นว่า “เจ้ายังไม่ รู้ตัว สิ่งที่เจ้ารู้เป็นเพียง สภาวสัจจะ” ว่าแล้วก็ลุกเข้าถ้ำไปตามเคย
ข้าพเจ้าต้องแบกความผิดหวังกลับบ้านอีกครั้งหนึ่ง แต่ความล้มเหลวสองคราวที่ผ่านมา หาได้ทำให้ข้าพเจ้าหมดความมานะพยายามที่จะค้นหาความจริงต่อไปไม่
ข้าพเจ้ายังพยายามขบคิดความหมายของ “รู้ตัว” ต่อไป แต่ก็ไม่ได้รับความกระจ่างแจ้งใดๆ พยายามไต่ถามใครต่อใครก็แล้ว จนกระทั่งเย็นวันหนึ่ง ขณะรับประทานอาหารค่ำ วิทยุท้องถิ่นประกาศข่าวว่า จะมีอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญทางพระอภิธรรมคนหนึ่งมาแสดงปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ความลับของชีวิต” ที่หอประชุมกลาง อาคารเฉลิมพระเกียรติที่ในเมือง ในสองวันข้างหน้านี้
พอได้ยินประกาศนั้น ข้าพเจ้าก็เกิดความหวังขึ้นมาทันทีว่า คราวนี้คง “รู้ตัว” แน่ๆ เพราะสองครั้งที่แล้วมา ข้าพเจ้าศึกษา “ตัว” ในด้านวัตถุด้านเดียว ลืมด้านจิตใจเสียสนิท คราวนี้ข้าพเจ้าจะมีโอกาสรู้จักตนเองในด้านจิตใจ ซึ่งทางพระพุทธศาสนาถือเป็นสิ่งสำคัญอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจด วัน เวลา ปาฐกถาลงในสมุดพก แล้วตั้งตาคอยด้วยความกระวนกระวายใจ
ในที่สุด วันที่ตั้งตาคอยก็มาถึง ข้าพเจ้าเข้าไปในเมืองตั้งแต่เช้า และไปนั่งคอยอยู่ที่ห้องประชุม อาคารเฉลิมพระเกียรติก่อนเวลาเกือบชั่วโมง
ในวันนั้นปรากฏว่ามีคนฟังมากเป็นพิเศษ แม้หอประชุมจะกว้างใหญ่ ก็เต็มแน่นไปด้วยประชาชนผู้สนใจ เมื่อได้เวลา องค์ปาฐกก็ก้าวขึ้นสู่เวที ท่านกล่าวว่า คนสมัยนี้มีความรู้มาก ความรู้กว้างไกล ไกลจากตัวเองสู่โลก จากโลกสู่ท้องฟ้าอวกาศ คนสามารถรู้ว่า ดวงดาวเล็กๆ ที่ส่งแสงริบหรี่อยู่ในห้วงอวกาศอันไกลแสนไกลนั้น มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวเท่าไหร่ มีเส้นรอบวงยาวเท่าไร มีน้ำหนักเท่าไร ประกอบด้วยธาตุอะไรบ้าง ห่างจากโลกกี่ปีแสง แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ลืมตัวเองอย่างสนิท ไม่ศึกษาตนเอง จึงมีความรู้เกี่ยวกับตนเองน้อยมาก มนุษย์ไม่รู้ตนคืออะไร ประกอบด้วยอะไร เกิดมาได้อย่างไร ตายแล้วจะไปไหน ต่อจากนั้น องค์ปาฐกก็เข้าประเด็นสำคัญของปาฐกถา
ท่านได้อธิบายธรรมชาติของจิต ดวงต่าง ๆ ของจิต จำนวนร้อย การทำงานของจิต อารมณ์ของจิต เจตสิกธรรมต่างๆ ที่แทรกอยู่ในจิต การกระทำกรรม อำนาจของกรรม การเกิดใหม่
นอกจากนี้ ท่านยังได้อธิบายเรื่อง ผี เทวดา เปรต ตลอดจนถึงอำนาจลึกลับต่าง ๆ ทางไสยศาสตร์ด้วย หลังจากปาฐกจบ องค์ปาฐกได้เปิดโอกาสให้ผู้ฟังถามปัญหาข้อข้องใจต่าง ๆ ข้าพเจ้าก็ได้ถาม ๒-๓ ข้อ และได้ฟังการตองจากองค์ปาฐกอย่างแจ่มแจ้งเป็นที่พอใจ ข้าพเจ้าเดินทางกลับบ้านด้วยความมั่นใจยิ่งกว่าคราวใด การฟังปาฐกถาครั้งนี้ ทำให้ข้าพเจ้า “รู้ตัว” ในด้านจิตใจอย่างละเอียดถี่ถ้วน “หลวงพ่อจะต้องยอมจำนนในคราวนี้แน่” ข้าพเจ้าพูดกับตัวเองด้วยความกระหยิ่มใจ เมื่อสองครั้งที่แล้วมา เราไปแสดง “ตัว” ในด้านวัตถุให้ท่านฟัง ตามทัศนะทางวิทยาศาสตร์ ท่านปฏิเสธไปก็ชอบแล้ว ถูกของท่านแล้ว แต่คราวนี้เป็นเรื่องของจิตใจอันลึกซึ้งในประอภิธรรมปิฎก ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้เอง ถ้าหลวงพ่อปฏิเสธอีกก็ให้มันรู้ไป
เย็นวันเดียวกันนั้นเอง อาบน้ำรัปประทานอาหารเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็รีบไปพบหลวงพ่อที่ถ้ำ เมื่อนั่งกราบท่านเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มสาธยาย เรื่อง จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน ตามหลักพระอภิธรรม ให้ท่านหลวงพ่อฟัง ด้วยความมั่นอกมั่นใจเป็นพิเศษ เช่นเดียวกัน เมื่อเล่าจบ ข้าพเจ้าก็คอยตั้งใจฟังคำตอบจากหลวงพ่อ “เจ้ายังไม่รู้ตัว” หลวงพ่อพูดขึ้นหน้าตาเฉย “สิ่งที่เจ้ารู้เป็นเพียง ปรมัตถสัจจะ” ว่าแล้วก็เดินเข้าถ้ำไป
ข้าพเจ้ารู้สึกผิดหวัง ดุจเดียวกับคนที่สร้างบ้านจวนเสร็จแล้ว แต่ถูกลมพายุพัดพังทลายลงต่อหน้าต่อตา การประสบความผิดหวังถึง ๓ ครั้ง ๓ คราวนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความท้อแท้ใจ เพราะเชื่อมั่นว่าตน “รู้ตัว” เจนจบแล้ว ทั้งในแง่วัตถุและจิตใจ ทั้งในแง่วิทยาศาสตร์ และแง่พุทธศาสนา นอกเหนือไปจากนี้ ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีก
เมื่อคิดดังนี้ ข้าพเจ้าก็เลิกล้มความคิดที่ค้นหาความจริงของ “รู้ตัว” ต่อไป เพราะในตัวคนเรา ไม่มีอะไรจะให้รู้ต่อไปอีกแล้ว “พอกันที” ข้าพเจ้าพูดกับตัวเอง สำหรับ “รู้ตัว” อันยุ่งยากของหลวงพ่อ มันรู้ยากนักก็ไม่รู้มันละ ทำบุญรักษาศีลไปตามเดิมดีกว่า หลังจากนั้น ข้าพเจ้าก็ดำเนินชีวิตฆราวาสไปอย่างปกติธรรมดา ไม่ได้คิดหาความหมายของ “รู้ตัว” และไม่ได้ไปพบหลวงพ่ออีกเลย
ประมาณ ๑ เดือนหลังจากนั้น ขาพเจ้ามีธุระจะต้องเดินทางไปต่างอำเภอ จึงไปขึ้นรถโดยสารที่สถานีจอดรถ วันนั้นอากาศค่อนข้องร้อนอบอ้าว ผู้โดยสารก็ค่อนข้างแน่นชวนให้งว่งนอน ในขณะที่รถโดยสารวิ่งไปตามถนนอันราบเรียบ ข้าพเจ้าจึงนั่งหลับนกไปในรถตลอดเวลา เมื่อรู้สึกตัวลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเกิดความประหลาดใจอย่างใหญ่หลวงที่สุดในชีวิต เพราะแทนที่จะพบตัวเองอยู่ในรถโดยสาร กลับพบตัวเองนอนอยู่ในห้องอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
เสียงที่ได้ยิน แทนที่จะเป็นเสียงครางกระหึ่มของเครื่องยนต์ กลับเป็นเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดของมนุษย์ ข้าพเจ้าลองหันหน้าไปมองทางด้านขวามือ ก็ได้พบชายคนหนึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียง หน้าตาแขนขาของเขาถูกพันไว้ด้วยผ้าปลาสเตอร์สีขาว จนดูคล้ายศพที่เขาตราสังแล้ว ถัดจากนั้นไป มองเห็นหัวเข่าอันผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกของชายคนหนึ่งโผล่ขี้นมา ข้าพเจ้าลองหันหน้าไปดูทางซ้ายบ้าง ก็พบชายคนหนึ่ง รูปร่างผอมเหลืองดุจซากศพ กำลังนั่งกิดเข่าอยู่บนเตียงอย่างเป็นทุกข์ ถัดไปเป็นชายอีกคนหนึ่งนอนครวญครางอยู่ด้วยความเจ็บปวด ขาข้างหนึ่งของเขาถูกผูกโยงไว้กับราวข้างบน ข้าพเจ้าหันหน้ากลับ หลับตาคิดทบทวนความจำอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองมิได้ฝันไป แต่พอลืมตาขึ้นก็ได้พบสภาพเดิมอีก แสดงว่ามิได้ฝันแน่ๆ “โรงพยาบาล”
ข้าพเจ้าอุทานกับตัวเองเบาๆ “โรงพยาบาล” ข้าพเจ้าอุทานกับตัวเอง แล้วพยายามคู้แขนเตรียมจะใช้ยันลุกขึ้นนั่ง แต่แล้วก็ต้องล้มเลิกความพยายาม เพราะรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วสรรพางค์กาย พยายามคู้ขาเพื่อจะยันเข่าขึ้น แต่ก็ไม่สำเร็จอีก ข้าพเจ้าจึงนอนอยู่นิ่งๆ และยิ้มนิดๆ เพราะรู้สึกขบขันต่อความไม่แน่นอนของชะตามนุษย์
ต่อมาภายหลัง เมื่อนางพยาบาลนำยามาให้ข้าพเจ้ารับประทาน จึงได้ทราบจากเธอว่า รถยนต์ที่ข้าพเจ้าโดยสารไปเกิดคันเร่งหลุด เสียหลักพุ่งลงข้างถนนและพลิกคว่ำ ทำให้คนโดยสารตายทันที ๗ ศพ นอกนั้นบาดเจ็บสาหัส และไม่สาหัสทุกคน สำหรับข้าพเจ้า ขาขวาหัก ต้องเข้าเฝือก และต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลอย่างน้อย ๒ สัปดาห์ ที่โรงพยาบาลนี้เอง ข้าพเจ้าได้รู้จักความจริงอีกด้านหนึ่งของชีวิต ความเจ็บปวดแสนสาหัสและความไม่สะดวกสบายต่างๆ อันกิดจากความเจ็บปวด ภาพของเพื่อนมนุษย์ผู้ผอมโซ เพราะโรคภัยไข้เจ็บนานาชนิดที่เห็นตำตาทุกวัน
เสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวด เสียงอาเจียนโอ้กอ้าก เสียงพร่ำเพ้อละเมอครวญครางด้วยทุกข์เวทนาที่ดังก้องอยู่ตลอดคืน ภาพคนเจ็บที่ตายลงต่อหน้าต่อตา และถูกนำใส่รถเข็นออกไปท่ามกลางเสียงร้องไห้ครวญครางของคนรัก ภาพเหล่านี้ทำให้ข้าพเจ้ามองชีวิตในแนวใหม่ ข้าพเจ้าเริ่มเห็นว่า ชีวิตคือความทุกข์ แต่ละคนคือก้อนแห่งความทุกข์ ทุกคนที่เกิดมาในโลกเป็นคนป่วย ป่วยด้วยโรคหิว โรคกระหาย โรคง่วง โรคเหนี่อย โรครัก โรคชัง โรคอยาก โรคกลัว โรคโง่ โรคเหงา โรคเศร้า โรคทุกข์
ข้าพเจ้าเห็นต่อไปอีกว่า โลกทั้งโลก คือโรงพยาบาลอันมหึมา สมบัติทุกชิ้นที่มนุษย์มีอยู่และแสวงหาอยู่คือ ยาแก้โรค อาหาร แก้โรคหิว น้ำ แก้โรคกระหาย ที่พักอาศัย แก้โรคหนาวร้อน เสื้อผ้า แก้โรคหนาวเย็นร้อน และโรคอาย เพื่อนฝูงลูกเมีย แก้โรคเหงา นอนแก้โรคง่วง เรียนแก้โรคดง่ แต่ถึงแม้จะมียาเท่าไร มากแค่ไหน ในที่สุด ก็ไม่พ้นโรคแก่ โรคเจ็บ และโรคตาย ซึ่งไม่มียาใดๆ รักษาได้
ความจริงของชีวิตที่ข้าพเจ้าได้พบ ทำให้เกิดความสังเวชสลดใจอย่างลึกซึ้ง และความสังเวชนี้ได้ขึ้นถึงขีดสุดในเช้าวันหนึ่ง คือที่ข้างๆเตียงของข้าพเจ้า มีเพื่อนร่วมทุกข์คนหนึ่งนอนเจ็บอยู่ เขาเป็นชายหนุ่มอายุ ๒๘ ปี และเป้นคนช่างพูด ฉะนั้นจึงเป็นที่รู้จักสนิทสนมกับคนป่วยบนเตียงข้างเคียงทุกคน เฉพาะอย่างยิ่งกับข้าพเจ้า เราได้กลายเป็นเพื่อคุยที่ถูกคอกันมากที่สุด เขาเล่าว่า มีร้านขายของเล็กๆ น้อยๆ อยู่ทางบ้าน กิจการของเขากำลังก้าวหน้า เขาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงแผนการต่างๆ ที่จะกลับไปทำเมื่อออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว
ภรรยาและลูกน้อยประมาณ ๓ ขวบครึ่งของเขาได้มานอนเฝ้าที่โรงพยาบาลด้วย โดยผูกมุ้งเข้ากับขาเตียงนอนอยู่ระหว่างเตียงของสามีกับเตียงของข้าพเจ้า นั่นเอง
ในตอนเช้าตรู่วันต่อมา ข้าพเจ้าสะดุ้งตื่น เพราะได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังมาจากข้างๆ เตียง เมื่อลุกขึ้นนั่ง ก็ได้พบภรรยาของชายคนนั้นกำลังร้องไห้ฟูมฟาย ฝ่ายลูกน้อยก็กอดคอแม่ร้องไห้ด้วย ดูเป็นที่น่าสงสารจับใจยิ่ง ข้าพเจ้าได้ถามว่า ร้องไห้เพราะเหตุใด? ภรรยาของเขาไม่ตอบ เพียงแต่ชี้ไปทางสามีซึ่งกำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ข้าพเจ้าลงจากเตียง เดินกระย่องกระแย่งไปจับดูเท้าของเขา ข้าพเจ้าถึงกับสะดุ้งและชักมือกลับด้วยความตกใจ เพราะปรากฏว่า เท้าของเขาเย็นเฉียบและแข็งทื่อพิกล เมื่อคลำดูชีพจรที่ข้อเท้าอีกครั้งหนึ่ง ก็พบว่าเขาสิ้นใจตายเสียแล้ว! “ไปที่ชอบๆ เถิดเพื่อนรัก”
ข้าพเจ้าพูดออกมาคล้ายคนละเมอ พลางยื่นมือไปปิดเปลือกตาของเขาซึ่งเปิดอยู่นิดๆ แว่วเสียงก้องในจิตใจว่า
โลกมนุษย์เราเกิดแล้ว ตายแน่
บ้างไม่ทันถึงแก่ ดับแล้ว
บางคนป่วยจนแย่ ตายยาก นาเจ้า
อ่อนแก่ก็ไม่แคล้ว แน่แท้ คือ “ตาย”
ในไม่ช้า เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็นำรถเข้ามาเทียบ ยกร่างอันปราศจากวิญญาณของเขาขึ้นสู่รถเข็น แล้วก็เข็นออกไป พร้อมด้วยภรรยาของเขา ซึ่งอุ้มลูกหอบผ้าร้องไห้เดินตามไปอย่างระทดระทวย คนป่วยอื่นๆต่างมองหน้ากันทำตาปริบๆ “เขาไปเสียแล้ว” คนป่วยชราบนเตียงข้างหน้าข้าพเจ้าอุทานออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ “แต่ในไม่ช้าเราทุกคนก็จะตามเขาไป” ว่าแล้วก็ล้มตัวลงนอนเอามือก่ายหน้าผากมองเพดาน ข้าพเจ้าล้มตัวลงนอนบ้าง แต่แล้วก็ผุดลุกขึ้นนั่งทันที เพราะเกิดความคิดขึ้นอย่างฉับพลัน คล้ายมีแสงสว่างวาบขึ้นในดวงใจว่า “รู้ตัว” ก็คือ รู้ทุกข์ รู้ทุกข์ เท่ากับ “รู้ตัว”
“รู้ตัว ก็คือ รู้ทุกข์ รู้ทุกข์เท่ากับ รู้ตัว” พร้อม ๆ กับความคิดนี้ ข้าพเจ้าเกิดความเบื่อหน่ายแกมสังเวชสลดใจ ต่อการเวียนว่ายตายเกิดใน วัฏฏะ ข้าพเจ้าได้ตั้งปณิธานลงไปว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าจะทำความดีใด ๆ ก็จะไม่ทำเพื่อให้ตนได้ไปเกิดในสวรรค์ อันจะเป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิดอีก แต่จะทำเพื่อขัดเกลาสันดานให้บริสุทธิ์สะอาด เพื่อความพ้นทุกข์
ถ้าจะเว้นการทำชั่ว ก็จะไม่เว้นเพราะกลัวตกนรก แต่เว้นเพราะกลัวการเวียนว่ายตายเกิดใน วัฏฏะ ขณะที่กำลังนั่งตรึกตรองอยู่นั้นเอง จิตใจก็หวนคิดถึงหลวงพ่อที่ถ้ำขึ้นมา ข้าพเจ้าเกิดความมั่นใจอย่างประหลาดว่า บัดนี้ได้ “รู้ตัว” แล้ว ความมั่นใจทำให้อยากหายเร็ว ๆ จะได้รีบกลับไปรายงานผลให้หลวงพ่อทราบ ข้าพเจ้าล้มตัวลงนอนด้วยจิตใจอิ่มเอิบ และด้วยใบหน้ายิ้มกริ่มผิดจากวันก่อน ๆ ปิติอันเกิดจากความรู้ใหม่ ทำให้ข้าพเจ้าลืมความเจ็บป่วยเกือบสิ้นเชิง
ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนอนคิดอยู่นั่นเอง เหตุการณ์ณ์ที่ข้าพเจ้าไม่นึกไม่ฝันก็ได้เกิดขึ้น หลวงพ่อที่กำลังระลึกถึงเหตุอยู่นั้น ได้เดินผ่านทะลุประตูเข้ามาในห้องจริง ๆ ! หลวงพ่อท่านมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียงของข้าพเจ้า แต่มิได้พูดอะไรออกมา ข้าพเจ้ารีบลุกขึ้นนั่งยกมือไหว้ แต่ก็พูดอะไรไม่ออก เพราะความตกตะลึงต่อเหตุการณ์ที่ไม่นึกไม่ฝันมาก่อน ครั้นได้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา ข้าพเจ้าก็เตรียมจะเอ่ยปากรายงานผลการ “รู้ตัว” แก่ท่าน แต่ก่อนที่ข้าพเจ้าจะทันได้อ้าปากพูด หลวงพ่อท่านก็ยกมือขวาขึ้นเป็นเชิงห้าม แล้วหลวงพ่อท่านก็พูดออกมาเองอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว ผู้ใดรู้จักทุกข์ ผู้นั้นรู้จักตัว ผู้ใดเห็นตัว ผู้นั้นเห็นทุกข์ ถ้าเจ้ารู้ สมมติสัจจะ เจ้าจะเพียงแต่ฉลาดในคดีโลก ถ้าเจ้ารู้สภาวะสัจจะ เจ้าจะเป็นเพียงนักวิทยาศาสตร์ ถ้าเจ้ารู้ปรมัตถสัจจะ เจ้าก็จะเป็นได้ก็เพียงนักปรัชญา แต่ถ้าเจ้าเห็นทุกข์ เจ้าก็เห็นอริยสัจจะ และกำลังจะก้าวไปสู่ความเป็นอริยบุคคล
เจ้าเริ่มก้าวขึ้นสู่ทางเดินอันถูกต้อง และจะไม่มีวันถอยหลังกลับ เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงเห็นทุกข์อันมาในรูป คนแก่ คนเจ็บ และคนตาย ทรงเบื่อหน่าย เสด็จออกบรรพชา แล้วพระองค์ก็ไม่กลับคืนมาสู่โลกอันเต็มไปด้วยทุกข์อีก ท่านยสกุลบุตรตื่นขึ้นกลางดึก เห็นสภาพอันน่าสังเวชของหญิงบริวาร ที่กำลังหลับใหลอยู่ เป็นดุจซากศพในป่าช้าผีดิบ จึงเดินบ่นออกจากบ้านตนเอง ไปจนพบพระพุทธองค์ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แล้วท่านก็ไม่หวนกลับมาอีก
พระสารีบุตร และพระมหาโมคัลลานะ เห็นทุกข์ขณะดูมหรสพบนยอดเขา เกิดความเบื่อหน่าย ออกบรรพชาแล้ว ท่านก็ไม่หวนกลับอีก ใครๆ ก็ตามถ้ายังไม่เห็นทุกข์ แม้ออกบรรพชา ก็ยังจะต้องหวนกลับคืน บัดนี้เจ้า “รู้ตัว” แล้ว เป็นพุทธศาสนิกชนที่สมบูรณ์ทั้ง กาย วาจา ใจ จงก้าวเดินต่อไปตามทางแห่งอริยมรรค เพื่อดับสมุทัย และบรรลุถึงนิโรธในที่สุดเถิด
พูดจบ หลวงพ่อท่านก็เดินหันกลับ เดินทะลุประตูออกไปทันที ก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้กล่าวตอบโต้ใด ๆ ข้าพเจ้ายกมือไหว้ตามหลังท่าน แล้วก็ก้มหน้าคิดทบทวนตามคำสอนของหลวงพ่อ เป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้ยินหลวงพ่อพูดอย่างยือยาวเช่นนี้ ข้าพเจ้าปลื้มปิติอย่างบอกไม่ถูก ที่หลวงพ่ออุตส่าห์มาเยี่ยม และที่สำคัญที่สุด ก็มารับรองความเห็นของข้าพเจ้าว่า ถูกต้องแล้ว
พอหายเจ็บและได้รับอนุญาตให้ออกจากธรงพยาบาลได้ ข้าพเจ้าเดินทางกลับบ้านทันที จุดประสงค์ก็เพื่อ จะไปเยี่ยมนมัสการหลวงพ่อให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ พอถึงบ้านอาบน้ำรับประทานอาหารอย่างรีบเร่ง แล้วก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูวัว ไปที่ถ้ำ
เมื่อถึงปากถ้ำ ข้าพเจ้ามิได้พบหลวงพ่อนั่งพักผ่อนอยู่ที่ปากถ้ำดังแต่ก่อน บรรยากาศทั่วไปก็ดูเงียบเชียบวังเวงผิดปกติ ข้าพเจ้ารู้สึกประหลากใจอย่างมาก แต่ก็ยังหวังอยู่ว่า หลวงพ่อคงจะพักผ่อนอยู่ในถ้ำ ข้าพเจ้าโผล่ศีรษะเข้าไปในถ้ำแล้วก็ส่งเสียงร้องเรียก “หลวงพ่อ ๆ” หลายครั้ง แต่ไม่มีเสียงตอบ นอกจากเสียงของข้าพเจ้าเองสะท้อนกลับ ข้าพเจ้าสำรวจภายในถ้ำจนทั่วก็ไม่พบร่องรอยของหลวงพ่อ
ในที่สุดข้าพเจ้าก็เดินทางกลับบ้าน “หลวงพ่อจากถ้ำไปเสียแล้ว” ชายแก่คนหนึ่งซึ่งเดินสวนทางกับข้าพเจ้าบอก
“และไม่มีใครทราบว่าท่านไปไหน มีคนเห็นท่านสะพายบาตร แบกกลดเดินขึ้นเขาไปตั้งแต่เย็นวานนี้” แม้หลวงพ่อได้จาริกธุดงค์ค์จากไปแล้ว แต่ข้าพเจ้ารู้สึกคล้ายกับว่า หลวงพ่อท่านยังอยู่กับ ข้าพเจ้าตลอดเวลา
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น