วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

The Witch Hunts : การล่าแม่มด....


Witch hunt :=>

ที่ถูกต้องนั้น คำนี้นิยมเขียนว่า witch-hunt ซึ่งหมายถึง

การค้นหาเพื่อรังควานผู้คน ที่ไม่เห็นด้วย หรือ ความ พยายามค้นหาเพื่อลงโทษผู้คนที่มีความคิดไม่เห็นด้วย หรือผู้ที่คัดค้านแถมยังถูกกล่าวหาว่าเป็นอันตรายต่อสังคมอีกด้วย

ความเป็นมาของคำว่า "Witch Hunt "

The Witch Hunts : การล่าแม่มด

susarn

ปลาย เดือนตุลาคมของทุกปี ประเทศยุโรปจะมีเทศกาล ฮัลโลวีน (Halloween : เป็นเทศกาลชุมนุมนักบุญตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม) เทศกาลนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแม่มด เพราะเชื่อกันว่า ผู้ที่มาเคาะประตูขอขนม เล่นเกม จะโดนหลอกหรือให้ขนม (Trick or Treat) นั้นเป็นแม่มด ถ้าไล่ไปไม่ให้ขนม แม่มดจะดลบันดาลให้มีสิ่งร้ายเกิดขึ้น

ใน สายตาของเด็กๆทั่วไป แม่มดมีเพียงในนิทาน แต่ความจริงก็คือเรื่องราวประวัติศาสตร์ตะวันตก แม่มดจะถูกกวาดล้างและฆ่า การกวาดล้างไม่ได้ทำให้แม่มดหมดไป แต่กลับมีการฝึกฝนพลังแม่มดมากกว่าสมัยพุทธศตวรรษที่ 16-17 (คริสตศตวรรษที่ 13-14)ที่มีการคลั่งไคล้ และศรัทธาแม่มดเสียอีก

สัญลักษณ์ ของคุณไสย (witchcraft)
คริสตศตวรรษที่ 16-17 จำนวนแม่มดในสหรัฐอเมริกามีมากถึง 50,000 คน สหรัฐอเมริกาเป็นดินแดนที่ วิชาว่าด้วยคุณไสย (witchcraft ) เป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการ จำนวนแม่มดในออสเตรเลียและยุโรป อาจจะมีจำนวนมากพอๆ กัน ก็ได้ แต่ไม่เป็นที่เปิดเผย มีการเปิดสอนวิชาการแม่มดทางจดหมายซึ่งมีผู้สนใจเข้าร่วมมากกว่า 40,000 คน ในสมัยก่อนผู้คนต่างเชื่อว่า การเจ็บป่วยและโชคร้ายนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเอง เชื่อกันว่าเกิดจากความตั้งใจของแม่มด แม่มดเป็นผลพวงของลัทธิป่าเถื่อน ใช้คุณไสยช่วยเหลือผู้คน รักษาโรค นำโชค แต่คุณไสยสามารถนำมาใช้ในทางไม่ดีได้ด้วย ในสังคมอัฟริกานั้นเชื่อว่า อุบัติเหตุเกิดขึ้นจากแม่มดทั้งสิ้น

ใน ซูดานและซาอีร์ เชื่อว่า การเป็นแม่มดนั้นเป็นคุณสมบัติที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ผู้ที่เป็นอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองเป็นแม่มด สังคมนี้เชื่อว่าความเจ็บป่วยเกิดจากเชื้อโรค ซึ่งตรงกับนิยามทางวิทยาศาสตร์ ผิดแต่เพียงว่า แม่มดเป็นผู้ควบคุม เชื้อโรคเพื่อสร้างความเจ็บปวดให้กับคนบางคนเท่านั้น

ภาพ ลักษณ์ของแม่มดในสังคมยุโรปนั้นไม่ค่อยชัดเจน แม่มดอาจจะเป็นผู้วิเศษที่ช่วยรักษาโรคและนำโชคดีมาให้ก็ได้ พวกเขาจะรักษาโรคโดยใช้ความรู้ทางยาและสมุนไพรประกอบกับเวทมนตร์คาถา ภาษา ละติน และฮิบรู ที่โดยมากสืบทอดมาจากพวกเคลต์ (Celtic : ชาติวงศ์เมื่อพันกว่าปีของยุโรปกลางและยุโรปตะวันตก) นอกจากคุณไสยจะถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคแล้ว ยังอาจนำไปใช้ในการสาปแช่ง และทำเสน่ห์ได้ด้วย บุคคลใดเชื่อว่าตนถูกสาป จะต้องไปหาแม่มดเพื่อแก้คำสาปนั้น

ภาพ วาดของพี่น้องลิมเบอร์ก ต่อภาพลักาณ์ของปีศาจ
เรื่อง ของคุณไสยและเรื่องเหนือธรรมชาติ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนในยุคกลาง แม้ในศาสนาคริสต์พลังเหนือธรรมชาติถูกแสดงได้โดยพระเจ้าเท่านั้น

เรื่อง ราวของการต่อต้านแม่มดและการใช้คุณไสยเริ่มมีขึ้นก่อนยุคกลาง มีผู้วิเศษออกมากล่าวหาว่า พระเยซูเจ้าไม่ได้ต่างอะไรกับผู้วิเศษคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจสูงสุดอย่างองค์กรทางศาสนาอ้าง ตั้งแต่นั้นมาองค์การศาสนาก็ทำการต่อต้านผู้วิเศษรวมทั้งแม่มด ฐานแสดงความขัดแย้งต่อพลังอำนาจของพระเจ้า พ.ศ. 2027 (ค.ศ.1484) องค์กรทางศาสนาโรมันคาทอลิก ประกาศว่า ผู้ใดก็ตามที่ไม่ไช่สมาชิกของศาสนาแต่ปฏิบัติพิธีกรรม การใช้เวทมนตร์ คาถา และมีพลังเหนือธรรมชาติ ถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับซาตานและปีศาจ พลังที่ได้มาไม่ได้มาจากพระเจ้า แต่ได้มาจากซาตานและปีศาจ องค์กรศาสนาพยามเผยแพร่ศัตรูของพระเจ้าและสร้างภาพลักษณ์ให้ชัดเจน

การ ทรมานแม่มดในช่วงศตวรรษที่ 16 ในเยอรมัน
ใน ช่วงปลายยุคกลาง ปีศาจเริ่มมีรูปร่างชัดเจนมากขึ้น โดยเห็นได้จาก ภาพ วาดของพี่น้องลิมเบอร์ก(Limbourg) แสดงให้เห็นว่า ปีศาจนั้น มีเขา มีหาง มีเท้าเป็นกีบ ปีศาจอาจจะออกมาในรูปลักษณ์อื่นเพื่อหลอกลวง แม่มด ถือว่าเป็นผู้หนึ่งที่ยอมรับและลุ่มหลงในพลังอำนาจของปีศาจ และถือว่าเป็นสาวกของมัน นั่นเป็นเหตุให้มีการล่าและกำจัดแม่มดในเวลาต่อมา

ในปี พ.ศ. 2133 (ค.ศ.1590) พระเจ้าเจมส์ ที่ 6 แห่งสก็อต ได้รับทราบแผนลอบปลงพระชนม์ที่ เอิร์ล แห่งโบธเวลล์ (Bothwell) เป็นผู้วางแผนโดยใช้คุณไสยของแม่มดเป็นเครื่องมือ พระเจ้าเจมส์มีความเชื่อในอำนาจของปีศาจอยู่แล้ว จึงสืบสวนแม่มดฐานเป็นกบฏ แอกเนส ซิมพ์สัน (Agnes Simpson) หัวหน้าแม่มดถูกนำมาพิจารณาคดีที่ นอร์ธ เบอร์วิก(North Berwick)

การ ถูกเผาทั้งเป็นของ แอกเนส ซิมพ์สัน หัวหน้าแม่มดที่ นอร์ธ เบอร์วิก(North Berwick) เป็นจุดเริ่มของการล่าแม่มด
หลัง จากถูกทรมาน แอกเนสสารภาพถึงกรรมวิธีต่างๆที่ใช้เพื่อพยายามปลงประชนม์แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากพระเจ้าเจมส์ ทรงเป็นสาวกของพระผู้เป็นเจ้า เป็นผลให้พลังอำนาจของปีศาจไม่สามารถทำอันตรายต่อพระองค์ได้ จากคำสารภาพ ทำให้เหล่าแม่มดมีความผิดจริง จึงถูกประหารโดยการ เผาที่ เอดิน เบิร์ก (Edinberg) ส่วน เอิร์ล แห่ง โบธเวลล์ ผู้เป็นราชนัดดาที่ก่อการทั้งหมดได้ลี้ภัยไปอยู่ประเทศชิลี

เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นที่ นอร์ธ เบอร์วิก เป็นจุดเริ่มต้นของการล่าแม่มด แม่มดกลายเป็นคนชั่วร้าย สมควรแก่การล่า สังหารโดยการแขวนคอหรือเผาทั้งเป็น นักประพันธ์ผ็ยิ่งใหญ่อย่างวิลเลียม เชกส์เปียร์ (William Shakespeare) ก็ได้นำเหตุการณ์ที่ นอร์ธ เบอร์วิก มาเขียนเป็นละครและจัดแสดงต่อหน้าพระพักตร์ที่พระราชวัง แฮมพ์ตัน (Hamton) เนื้อหาของละครเป็นไปตามเหตุการณ์จริงที่แอกเนสสารภาพ

พระ เจ้าเจมส์ ที่ 6 แห่งสก็อต ทรงบัญชาการล่าแม่มดตัวการลอบปลงพระชนม์
ใน ปี พ.ศ. 2029 (ค.ศ.1486) มีการพิมพ์คู่มือพฤติกรรมแม่มด เพื่อช่วยในการจับและล่า ในคู่มือจะบอกว่า ส่วนใหญ่แม่มดจะเป็นผู้หญิง เพราะผู้หญิงอ่อนแอกว่าผู้ชาย จึงถูกปีศาจหลอกได้ง่ายกว่า วิธีที่จะทำให้แม่มดยอมรับสารภาพคือ การทรมานโดยวิธีต่างๆ เช่น การตอกเล็บหรือการทรมานอื่นๆ บางคนต้องยอมรับสารภาพเพราะทนความเจ็บปวดไม่ไหว

บาง สมัยมีการสังหารหมู่เหล่าแม่มดในคราวเดียวถึง 600-900 คน วันหนึ่งๆมีผู้หญิงที่ต้องตายเนื่องจากการล่าแม่มดนับพันคน มีตัวอย่างในสมัยพระเจ้าโยฮันจอร์จที่ 2 (Gohannes Georg II ) แห่งเยอรมัน โย ฮันเนส จูนิอุส ไม่เห็นด้วยสำหรับการสร้างโรงสำหรับทรมานแม่มดโดยเฉพาะ เขาจึงถูกจองจำและกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ในที่สุดก็ต้องยอมรับสารภาพและเสียชีวิตเพราะทนรับการทรมานไม่ไหว

การ พิจารณาคดีเกี่ยวกับแม่มด
ไม่มีหลักฐาน แน่ชัดว่า เพราะสาเหตุใดความเชื่อเกี่ยวกับการล่าแม่มดและแม่มดเสื่อมสลายไป อาจจะเป็นไปได้ว่า ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ในพุทธศตวรรษที่ 23 (คริสตศตวรรษที่19) ได้เบี่ยงเบนความสนใจเรื่องลึกลับไป หลังจากนั้นแม่มดไม่ค่อยเป็นที่พบเห็น มีเพียงคนทรงและผู้วิเศษ ที่ยังพบเห็นกันอยู่ ในพุทธศตวรรษที่ 21-22 (คริสตศตวรรษที่ 17-18)
++++++++++++++++++
The Messenger: The Story of Joan of Arc หนังของ luc bresson


อันดับ 7 จาก Women Who Changed the Worldhttp://www.amazon.com/exec/obidos/ASIN/1847240267/richard06-20

7.Joan of Arc 1412-1431

The patron saint of France, Joan of Arc received “heavenly visions” giving her the inspiration to lead the French in revolt against the occupation of the English. An unlikely heroine; at the age of just 17 the diminutive Joan successfully led the French to victory at Orleans. Her later trial and martyrdom on false premises only heightened her mystique.

++++++++++++++++++++

มาดูเหยื่อทางสังคมในยุคปัจจุบัน เหมือนในยุคล่าแม่มดกัน

มันเป็นเรื่องที่กำลังดังตามเว็บบอรด์ในตอนนี้
อ่านๆไปจับประเด็นได้ว่า มีผู้หญิงคนนึงกำลังถูกประนามจากสังคมที่กำลังวิปราศ
หาคนเป็นเหยื่อเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่เป็นเหยื่อ พอได้เหยื่อก็เอากันให้ตายดับกันไปข้าง
ไม่ว่าใครฝ่ายใหนก็แล้วแต่ ข้อความที่แสดงออกมาอย่างเห็นแก่ตัวหรือแอบเนียนนั้น น่าอนารถมากๆ
มีลิงค์ให้กดเข้าไปดู แต่ไม่ได้เรียงตามลำดับนะ อ่านๆไปทำความเข้าใจเอาเองล่ะกัน
http://www.pantip.com/cafe/siam/topic/F9277236/F9277236.html
http://www.fwdder.com/topic/245708
http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A9277111/A9277111.html
http://www.facebook.com/topic.php?uid=17171146143&topic=26321&perpage=30...
http://www.radioheaven.ispace.in.th/bad.html
http://en-gb.facebook.com/posted.php?id=111193035574484&share_id=1230381...
http://www.t-pageant.com/phpbb3/viewtopic.php?f=1&t=182013&p=2528672
http://www.facebook.com/topic.php?uid=108372992525155&topic=7344&perpage...

..
รู้สึกเหมือนเห็นด้านมืดที่ชั่วร้ายของชุมชนคนเฟสบุคเลยแฮะ

+++++++++++++++++++++++++


ประชาไท ขอความอุปการะ

โอนเข้าบัญชีธนาคาร

ชื่อบัญชี: มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน เลขที่บัญชี 091-0-10432-8 ธนาคารกรุงไทย สาขารัชดาภิเษก-ห้วยขวาง
และส่งโทรสารสำเนาการโอนมาที่โทร. 02 690 2712 หรือทางอีเมล service@prachatai.com

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

กระชากจีวรมัดไพล่ หลังขังคุกโดยไม่ต้องสึก ถามสำนึกทรราชใจบาปวันวิสาขบูชา นี่หรือเมืองพุทธ!


นี่หรือเมืองพุทธ?!-พระสงฆ์ที่เข้าสนับสนุนการชุมนุมของคนเสื้อแดงถูกปฏิบัติจากทหารโดยการกระชากจีวรออกจากร่างแล้วจับมือไพล่หลัง และนำไปขังคุก โดยไม่ต้องทำพิธีสึก ส.ส.เพื่อไทยอภิปรายในสภาเป็นพระจริง ชาวบ้านกราบไหว้เลื่อมใส ไม่ใช่พระปลอมเหมือนที่ทรราชใจบาปยัดข้อหาผู้ก่อการร้ายให้


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
28 พฤษภาคม 2553

ข่าวเกี่ยวเนื่อง:องค์การนิรโทษกรรมสากลกดดันให้นานาชาติร่วมสืบสวนการจับผู้ชุมนุมยัดคุกถูกละเมิดสิทธิฯ ไม่เชื่อจะเป็นไปโดยอิสระและโปร่งใส


นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวอภิปรายในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อค่ำวานนี้(27พ.ค.)ว่า วันที่ 28 พ.ค.นี้เป็นวันวิสาขบูชา วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก แต่มีเรื่องน่าสะเทือนใจชาวพุทธก็คือ ในการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมนั้น ได้มีการจับกุมพระสงฆ์ที่เข้าร่วมสนับสนุนการชุมนุมอย่างน้อยก็ 5 รูปที่เขาได้เข้าไปเยี่ยมที่เรือนจำ

รัฐบาลพยายามบอกว่าพระที่โดนจับกุมนี้เป็นพระปลอม และมีอาวุธ แต่จากการที่ได้เข้าไปเยี่ยมพระที่ถูกจับในเรือนจำยืนยันได้ว่าเป็นพระจริง โดยรูปหนึ่งนั้นเป็นพระในพื้นที่เลือกตั้งของเขาคืออำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี มีชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธากราบไหว้มากรูปหนึ่ง โดยพระรูปนี้ถูกทหารจับกุมตัวในวันที่มีการกระชับพื้นที่สลายการชุมนุม

ทั้งที่เป็นพระสงฆ์อยู่และยังไม่ได้ให้ลาสึกแต่อย่างใด มีการกระชากผ้าเหลืองจีวรออกแล้วหาชุดนักโทษสีเหลืองจำคุกไว้ที่แดน9ในเรื่อนจำกลางกรุงเทพฯ ร่วมกับพระรูปอื่นๆอีกรวม 5 รูป ในจำนวนนี้เท่าที่จำชื่อได้ เช่น พระสมุทร ขาวอ่อน อยู่แดน 6 กับพระจากขอนแก่น และสระบุรีรวม 3 รูป อีกรูปหนึ่งนามสกุลมุทุกันต์ มาจากอุบลราชธานี สอบถามดูเป็นลูกหลานของอดีตรัฐมนตรีปิ่นมุทุกันต์ ถูกขังอยู่ในแดน 9กับพระจากท่าวุ้งลพบุรี

"เรื่องนี้สะเทือนใจชาวพุทธมากครับ ผมเพิ่งไปเยี่ยมทั้ง5ท่านมา ทำอย่างนี้ได้อย่างไรว่าท่านเป็นพระปลอม กระชากจีวรออกยัดคุก หาชุดนักโทษให้ท่านใส่ โดยที่ไม่ได้สึกตามพิธีทางพระพุทธศาสนา ท่านก็ยังถือว่าท่านเป็นพระอยู่"นายสุชาติกล่าว และว่าหากพระเหล่านี้จะมีความผิดก็คือ ท่านตามมาดูแลชาวบ้านที่มาชุมนุม กลัวว่าจะไม่ปลอดภัย เวลาทหารจะเข้ามายิงท่านก็ไปขอบิณฑาตชีวิต ปรากฎว่าท่านโดนจับเสียเอง และถูกปฏิบัติไม่สมกับเมืองไทยเป็นเมืองพุทธแม้แต่น้อย

ขอบิณฑาตชีวิต-กลุ่มพระสงฆ์ที่สนับสนุนคนเสื้อแดงขึ้นขอบิณฑบาตชีวิตผู้ชุมนุมในวันสุดท้ายก่อนถูกสลาย โดยรูปหนึ่งได้วิงวอนให้ในหลวงทรงโปรดใช้พระบารมีเป็นที่พึ่งแก่ผู้ชุมนุมด้วย


สิ่งที่ได้รับ-สิ่งที่พระสงฆ์ได้รับคือชีวิตที่ถูกสังหาร โดยท่านเหล่านี้ได้ช่วยญาติโยมเป็นครั้งสุดท้ายคือการหามร่างผู้บาดเจ็บ หรือไร้ชีวิตเข้าไปยังวัดปทุมวนาราม










กระชากจีวรจับมือไพล่หลังขังคุกไม่ต้องสึก-พระสงฆ์ที่เข้าสนับสนุนการชุมนุมถูกปฏิบัติจากทหารโดยการกระชากจีวรออกจากร่างแล้วจับมือไพล่หลัง และนำไปขังคุก โดยไม่ต้องทำพิธีสึก


ข่าวสดเดินหน้าเปิดโปงทหารฆ่าคนในวัด ปทุมฯ



ทั้งนี้พบว่า ขณะที่สื่อกระแสหลักแทบทั้งหมดนำเสนอข่าวรับใช้หรืออยู่ในทิศทางที่รัฐบาลต้องการให้นำเสนอ เพื่อโน้มน้าวสาธารณชนสนับสนุนรัฐบาลและเกลียดชังต่อต้านคนเสื้อแดง แต่ข่าวสดได้นำเสนอข่าวในเชิงสืบสวนสอบสวน(Investigative news)และนำเสนอตรงตามความเป็นจริงอย่างกล้าหาญทางจรรยาบรรณ ทำให้ล่าสุดพรรคประชาธิปัตย์เคลื่อนไหวกดดันให้นำเสนอข่าวแบบสื่อแกะดำร่วมวิชาชีพรายอื่นๆ


โดยข่าวสดยังนำเสนอข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนอย่างต่อเนื่อง แบบที่สื้อกระแสหลักอื่นๆละเลย และยังนำเสนอข่าวรับใช้รัฐบาลราวกับเห็นผู้เสพสื่อนั้นถูกชักจูงได้อย่างเชื่องๆ



ยืนยัน - นายเพิ่มสุข ใจเย็น ชาวจ.นครพนม ซึ่งบาดเจ็บมาจากวัดปทุมฯ เปิดให้ดูบาดแผลกระสุนที่ก้นและโคนขาขวา ยืนยัน 100% ว่าทหารยิงลงมาจากรางรถไฟฟ้า ถ้าหลบเข้าใต้ท้องรถไม่ทัน อาจถึงตาย


สลดเหยื่อศพที่ 3 ถูกยิงในวัด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า 1 ใน 6 ศพ ที่ถูกยิงตายในวัดปทุมวนาราม นอกจากอาสาสมัคร และพยาบาลอาสาที่ "ข่าวสด" นำเสนอไปตามลำดับแล้วนั้น ศพที่สาม คือนายอัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 28 ปี ชาวจังหวัดจันทบุรี ถูกทหารยิงตายในวัดปทุมวนาราม เมื่อค่ำวันที่ 19 พ.ค. ขณะเข้าช่วยเหลือพาผู้สูงอายุหลบภัยในวัด แล้วเดินออกนอกประตูรั้ววัด จะมุ่งหน้าไปที่สำนัก งานตำรวจแห่งชาตินั้น
ยืนยัน - นายเพิ่มสุข ใจเย็น ชาวจ.นครพนม ซึ่งบาดเจ็บมาจากวัดปทุมฯ เปิดให้ดูบาดแผลกระสุนที่ก้นและโคนขาขวา ยืนยัน 100% ว่าทหารยิงลงมาจากรางรถไฟฟ้า ถ้าหลบเข้าใต้ท้องรถไม่ทัน อาจถึงตาย

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านพักเลขที่ 151/3 หมู่บ้านรัตนะทรัพย์การ์เด้น ถ.ราชกิจ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เพื่อสอบถามความเป็นมาของเหยื่อที่ถูกยิงโหดในวัด ซึ่งเป็นเขตอภัยทาน

พ.ต.ต.ธีระวัฒน์ ชุมจันทร์ พนักงานสอบ สวน (สบ 2) สภ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เปิดเผยว่า นายอัฐชัย เป็นน้องชาย เสียชีวิตเมื่อเย็นวันที่ 19 พ.ค. ขณะเดินออกมาจากรั้วประตูวัดปทุมวนาราม ถูกยิงด้วยอาวุธสงคราม ที่บริเวณเหนือราวนมข้างซ้าย กระสุนทะลุปอด เสียชีวิตขณะเพื่อนนปช.ช่วยนำเข้าไปปฐมพยาบาลในเต็นท์ ภายในวัดปทุมวนาราม

เผยพาคนชรา-ผู้หญิงไปหลบภัย

พ.ต.ต.ธีระวัฒน์ กล่าวว่า นายอัฐชัย ย้ายมาพักอาศัยที่จันทบุรี เพื่อเรียนต่อมหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะนิติศาสตร์ หลังจากที่นายอัฐชัย เรียนจบชั้นมัธยมตอนปลายจาก อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งตนและพี่สาวช่วยกันส่งเสียให้เล่าเรียน เขาชอบกิจกรรมจึงเรียนช้า และหางานทำไปด้วย ตนจึงขอร้องให้เขาตั้งใจเรียนให้จบ เป็นความหวังของแม่ นิสัยใจคอของน้อง ชอบช่วยเหลือผู้สูงอายุ และรักประชาธิปไตย น้องชายไม่ใช่การ์ดนปช. แต่ร่วมชุมนุมทำหน้าที่ช่วยดูแลแจกอาหาร ประจำหน้าเวทีราชประสงค์ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. หลังจากที่แกนนำยอมมอบตัว วัดปทุมวนารามได้เปิดให้ผู้ร่วมชุมนุมเข้าไปหลบอยู่ในวัด น้องชายก็เข้าไปทำหน้าที่ช่วยนำพาชาวบ้าน คนแก่ ชายหญิง หลบภัย

"จากนั้นในช่วงค่ำเวลาประมาณ 17.00 น. วันที่ 19 พ.ค. น้องชายเดินออกมาจากรั้วประตูวัดปทุมวนาราม เพื่อเตรียมเดินทางต่อ จะเข้าไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ถูกยิงด้วยกระสุนสงครามที่บริเวณเหนือราวนมข้างซ้ายทะลุปอด ทราบว่ายิงมาจากที่สูง เพื่อนของเขาก็ช่วยนำร่างเข้าไปเพื่อปฐมพยาบาลในเต็นท์พยาบาลภายในวัด และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ผมทราบเหตุเมื่อเวลา 19.00 น. มีคนโทรศัพท์มาบอก" พ.ต.ต.ธีระวัฒน์กล่าว

พ.ต.ต.ธีระวัฒน์ กล่าวว่า ตนเป็นห่วงน้อง แต่เขารักประชาธิปไตย ทำได้แค่เตือนเขาให้ระวังตัว หลบให้ดี ไม่นึกว่าเหตุการณ์แค่ไปชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยแบบทั่วไป ธรรมดา มีคนไปจำนวนมาก ไม่น่าจะมีการยิงคนในวัด หรือหน้าวัด ซึ่งเป็นเขตอภัยทาน ท่านเจ้าอาวาสวัดก็ประกาศขึ้นป้ายเขตขออภัยทานไว้แล้ว เคยโทร.คุยกับเขาเสมอ และเตือนว่าให้หลบภัยอยู่ภายในเวทีชุมนุม หรือให้อยู่ภายในวัดปทุมวนาราม แต่สุดท้ายเขาก็มาถูกยิงเสียชีวิต

ลางสุดท้าย-สายรัดข้อมือ 3 สี

ด้านนางอัญชลี สาริกานนท์ พี่สาว กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุน้องชายไปหาตนที่บ้านพักในกรุงเทพฯ แล้วเขาถอดสายรัดข้อมือสามสีรูปธงชาติจากข้อมือข้างขวายื่นส่งให้แล้วพูดว่าจะให้พี่ไว้เป็นที่ระลึก ตนไม่นึกว่าจะเป็นลางครั้งสุดท้าย "วันนั้นน้องยังพูดอธิบายด้วยอารมณ์ และสีหน้าจริงจัง ว่า สีน้ำเงิน หมายถึงพระเจ้าอยู่หัว ที่เขาเทิดทูน ปกป้องสุดชีวิต สีแดงหมายถึงชาติไทย เขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายชาติ สีขาวหมายถึงศาสนา เขาบอกว่าเขาจะปกป้อง เขายอมตายได้ เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์"

นางอัญชลี กล่าวต่อว่า หลังจากน้องชายเสียชีวิต ตนและญาติ นำศพไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดประทุมทอง ในหมู่บ้านโพนทราย อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ 21 พ.ค. และฌาปนกิจเมื่อวันที่ 23 พ.ค. ท่ามกลางญาติมิตร เพื่อนบ้าน และมีกลุ่มส.ส.พรรคเพื่อไทย ชาวนปช. ประมาณพันคน "การตายของน้องชาย การช่วยเหลือจากราชการ มาทดแทนกันไม่ได้ เราพี่น้องรักผูกพันกันมาก อยากให้เขามาอยู่กันพร้อมหน้าเหมือนเดิม"

นางอัญชลี ยังเปิดเผยว่า น้องชายเรียนจบนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรแล้ว กำลังสมัครสอบเพื่อทำงานหลายแห่ง สมัครสอบตำรวจ ยังไม่ทราบผล เขาเป็นความหวังของแม่ การตายของเขาทำให้แม่ ซึมเศร้าเสียใจอย่างมาก ส่วนคุณพ่อเสียชีวิตนานแล้ว

แม่เป็นชาวนาเมืองร้อยเอ็ด

ด้านนางสุนันทา ชุมจันทร์ อายุ 53 ปี มารดา กล่าวว่า ตนมีอาชีพทำนาอยู่ที่บ้านโพนทราย อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด นายอัฐชัย เรียนจบชั้นมัธยมจากหมู่บ้านแล้ว เขาย้ายไปอยู่กับพี่ชายที่ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เพื่อเรียนต่อที่รามคำแหง เขาเรียนจบแล้ว กำลังสมัครหางานทำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายอัฐชัย เกิดเมื่อวันที่ 30 ส.ค.2524 เป็นบุตรของนายนิคม (เสียชีวิต) กับนางสุนันทา ภูมิลำเนาเดิมอยู่บ้านเลขที่ 42 หมู่ที่ 11 ต.โพนทราย อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด หลังเรียนจบชั้นม.ปลายจากโรงเรียนบ้านโพนทราย แล้วย้ายไปพักอยู่กับพ.ต.ต.ธีระวัฒน์ พี่ชาย ที่อำเภอท่าใหม่ จ.จันทบุรี เพื่อเรียนหนังสือที่รามคำแหง โดยพี่ชายพี่สาวส่งเสียเรียน และนายอัฐชัย ทำงานรับจ้างไปด้วย เรียนจบปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ รับพระราชทานปริญญาบัตร เมื่อปี 2552 อยู่ระหว่างสมัครสอบรับราชการตำรวจ และสมัครสอบเข้ารับราชการหลายแห่ง

แฉนาทียิงหน้าวัดค่ำวันที่19พ.ค.

รายงานข่าวเปิดเผยว่า สําหรับผู้บาดเจ็บที่ถูกยิงภายในวัดปทุมวนารามในช่วงค่ำของวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น ขณะนี้พบว่ายังคงนอนรักษาตัวอยู่ภายในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ อีกจํานวน 1 ราย เป็นชาย อายุประมาณ 45 ปี ซึ่งยังคงอยู่ในอาการหวาดผวากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมากและยังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยข้อมูล ส่วนผู้บาดเจ็บอีก 4 ราย แพทย์ได้อนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่ไม่กล้าเปิดเผยข้อมูลเช่นกัน

รายงานข่าวเปิดเผยว่า สําหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในวัดปทุมวนาราม ในช่วงหัวค่ำของวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา พบว่าขณะเกิดเหตุมีผู้บันทึกภาพเหตุการณ์ต่างๆ ไว้ได้อย่างละเอียด แต่ไม่สามารถที่จะนําออกมาเปิดเผยได้ และขณะนี้พบว่าได้หลบไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว ซึ่งภาพดังกล่าวเริ่มบันทึกตั้งแต่เวลา 18.30 น. วันที่ 19 พ.ค. ในเวลา 18.30 น. พบมีกลุ่มคนแต่งกายคล้ายทหาร สวมหมวกสนาม กว่า 10 คน ยืนเรียงรายอยู่บนรถไฟฟ้าบีทีเอสบริเวณหน้าวัด ทุกคนหันหน้าไปทางวัด ในมือมีอาวุธสงครามลักษณะเหมือนปืนยาวเล็งเข้าไปในวัดทุกคน และมีบางคนนั่งยองๆ แบบคุกเข่า ลักษณะกำลังเล็งปืนเข้าไปในวัด จากนั้นไม่กี่นาทีก็มีเสียงปืนดังขึ้น 1 ชุด ลักษณะเสียงคล้ายปืนกล นานประมาณ 5 นาที และในภาพยังเห็นกลุ่มผู้ชุมนุมที่อยู่บริเวณอุโบสถภายในวัดประมาณ 20-30 คนวิ่งชุลมุนอยู่ บางคนนอนราบกับพื้น บางคนหลบอยู่ด้านหลังเสา และหันหน้ามองไปยังหน้าวัดลักษณะกำลังมองหาต้นตอของเสียงปืนดังกล่าว จากนั้นผู้ชุมนุมก็พากันหลบเข้าไปในวัดจนกระทั่งเช้าของวันที่ 20 พ.ค. มีเจ้าหน้าที่ตํารวจเข้ามาเคลียร์ให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่และส่งกลับบ้าน


พยาน- นายกิติชัย แข็งขัน นอนรักษาตัวที่ร.พ.กลาง จากอาการบาดเจ็บสาหัส ถูกยิงในวัดปทุมฯ กระสุนเข้าที่หลังและมือ แฉว่าคนลงมือยิงเป็นทหาร ซึ่งตะโกนสั่งให้ถอดเสื้อ แล้วไล่ให้ไปหลบในวัด ทั้งที่บาดเจ็บอยู่
ส.ส.ย้ำพยานยืนยันทหารยิง

นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่ตนอภิปรายเกี่ยวกับนายเพิ่มสุขนั้นเป็นข้อเท็จจริง เพราะเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ตอนเกิดการยิงประชาชนภายในวัดปทุมวนาราม ซึ่งนายเพิ่มสุข ใจเย็น ในฐานะชาวนครพนมอยู่ในพื้นที่เลือกตั้งของตนได้ยืนยันว่า ช่วงเกิดเหตุการณ์ยิงประชาชนเวลา 18.00 น. วันที่ 19 พ.ค. นายเพิ่มสุขบอกว่าเข้าไปหลบภายในวัด พอได้ยินเสียงปืนดังขึ้นจึงมองขึ้นไปบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส เห็นทหารถือปืนและยิงเข้ามาในวัด จนต้องหลบ แต่ก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บที่ขา ต่อมาได้เข้ารับการผ่าตัดรักษาอาการที่โรงพยาบาลตำรวจ แต่นายเพิ่มสุขยืนยันว่ามีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัดแน่นอน และเห็นว่าผู้ที่ถูกยิงคนหนึ่งคือ น.ส.กมนเกด อัคฮาด อาสาพยาบาล ที่ถูกยิงล้มลงบริเวณใกล้เคียงกัน นายเพิ่มสุขยืนยันว่าในฐานะลูกนายทหารเก่า พ่อยศร.อ. สามารถแยกแยะได้ระ หว่างทหารกับพลเรือน

นายชวลิต กล่าวว่า ส่วนเรื่องการฟ้องร้องดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐและรัฐบาล นายเพิ่มสุข ยังไม่มีความคิดนี้ เพราะยังติดเรื่อง พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่

ให้ญาติ6ศพวัดปทุมฯร้องเรียน

ที่กระทรวงยุติธรรม นางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวถึงการช่วยเหลือด้านกฎหมายและการเยียวยาด้านการเงินให้กับผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในเหตุการณ์ชุมนุมเสื้อแดงว่า ขณะนี้กรมคุ้มครองสิทธิฯ อยู่ระหว่างการประสานขอข้อมูลรายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากศูนย์เอราวัณที่จัดทำไว้ตั้งแต่ต้น ซึ่งยังไม่ทราบจำนวนแน่ชัด สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกระชับพื้นที่ของศอฉ.ทุกรายสามารถยื่นเรื่องขอความช่วยเหลือและขอคําปรึกษาด้านกฎหมายต่อกรมคุ้มครองสิทธิฯ ได้ ทั้งนี้ ผู้เสียหายที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ยื่นเรื่องได้ที่กรมคุ้มครองสิทธิฯ ส่วนต่างจังหวัดยื่นได้ที่ยุติธรรมจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ และขณะนี้มีผู้ได้รับผลกระทบยื่นเรื่องแล้วกว่า 10 ราย และอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อมูลในแต่ละรายอยู่ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ชุมนุมและก่อการจลาจลหรือไม่

นางสุวณา กล่าวว่า ส่วนผู้เสียชีวิตภายในวัดปทุมวนาราม 6 ศพ ขณะนี้ยังไม่มีทายาทผู้เสียชีวิตเข้ามายื่นเรื่องร้องเรียน หากญาติผู้ตายต้องการขอความช่วยเหลือด้านกฎหมายก็สามารถมายื่นเรื่องได้ที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เพื่อจะให้การช่วยเหลือต่อไป

พยานที่บาดเจ็บยัน-ทหารยิง

วันเดียวกัน นายเพิ่มสุข ใจเย็น อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 12/1 ถ.ราชทัณฑ์ อ.เมือง จ.นครพนม ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ที่ทหารกราดยิงจากรางรถไฟฟ้าบีทีเอสใส่ผู้ชุมนุมในวัดปทุมวนาราม เมื่อช่วงค่ำวันที่ 19 พ.ค. เปิดเผยถึงเหตุการณ์ถูกยิงได้รับบาดเจ็บเฉียดตายว่า วันเกิดเหตุตนอยู่หน้า รร.โฟร์ซีซั่นส์ กำลังเก็บข้าวของในเต็นท์นครพนม 52 ได้ยินเสียงปืนไล่หลังมาจึงขับรถกระบะโตโยต้า สีน้ำเงิน ของตน ทะเบียน บน 3862 ร้อยเอ็ด เลี้ยวเข้าวัดปทุมวนาราม จอดอยู่ในวัดห่างประตู 6-7 เมตร ขณะเข้าวัดเวลาประมาณ 16.30.-17.00 น. วันที่ 19 พ.ค. ก็ได้ยินเสียงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จึงนำรถมาจอดใกล้รถตู้สีขาว ของร.พ.วชิรพยาบาล และมีคนแอบรวมอยู่ด้วยประมาณ 3-4 คน ก่อนที่ทั้งหมดจะมุดเข้าใต้ท้องรถ ส่วนตนชะเง้อมองดูพบว่าที่สะพานรถไฟฟ้าบีทีเอส ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นและเห็นทหาร 1 นายส่องปืนลงมา ก่อนยิงมาที่ตน กระสุนถูกโคนขาด้านขวา 1 นัด และก้นด้านขวา 1 นัด ได้รับบาดเจ็บ จึงล้มตัวนอนกลิ้งเข้าไปหลบใกล้รถเข็น

เผยนาทีเหยื่อถูกยิงดับหน้าวัด

นายเพิ่มสุข กล่าวระบุว่า คนที่ยิงใส่ชุดทหาร คาดว่าน่าจะเป็นอาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงไล่หลัง 4-5 นัด ถ้าตนโผล่อาจจะถูกยิงซ้ำจนตาย พอพลบค่ำเสียงปืนจึงสงบ มีพระภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปช่วยพยุงร่างเข้าที่กำบังในวัด ก่อนนำไปทำแผลกับหน่วยพยาบาลในวัด แล้วส่งไปรักษาต่อที่ร.พ.ตำรวจ

นายเพิ่มสุข กล่าวต่อว่า ขณะถูกซุ่มยิงบนสะพานรางรถไฟฟ้าบีทีเอสนั้น ตนยังเห็นกลุ่มผู้ชุมนุมที่กำลังวิ่งเข้ามาบริเวณหน้าวัด เป็นชาย ถูกยิงที่หน้าอก 1 นัด และลำคอ 1 นัด ผู้เห็นเหตุการณ์จึงช่วยอุ้มผู้บาดเจ็บเข้ามาในวัด พยาบาลอาสาพยายามปั๊มหัวใจไม่ถึง 5 นาที ชายคนดังกล่าวจึงเสียชีวิต

"ยืนยันว่าคนที่ยิงเป็นทหารร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะบิดาตนคือ ร.อ.สุชาติ ใจเย็น เคยรับราช การที่ ม.พัน.11 ค่ายอดิศร จ.สระบุรี ก่อนย้ายมา ม.2 พัน.6 จ.ขอนแก่น ผมพบเห็นทหารและคลุกคลีมาแต่เด็กๆ หลังเกิดเหตุวันที่ 20 พ.ค. นอนรักษาตัวที่ร.พ.ตำรวจแล้วจึงถูกส่งตัวกลับ แล้วขับรถกระบะคู่ชีพกลับบ้านที่จ.นคร พนม แต่จนถึงขณะนี้ยังนอนไม่หลับ เกรงจะมีคน ตามมายิงซ้ำอีก

เผยแดงสุรินทร์ถูกยิงตาย5ศพ

ที่จ.สุรินทร์ นายตี๋ใหญ่ พูนศรีธนากูล อดีต ส.ส.สุรินทร์ พรรคไทยรักไทย ประธานที่ปรึกษากลุ่มเสื้อแดงสุรินทร์ เปิดเผยว่า มีคนเสื้อแดงสุรินทร์เสียชีวิตจากการชุมนุมที่กทม.ระหว่าง 10 เม.ย.-19 พ.ค. จำนวน 5 ราย คือนายสมพาน หลวงชม ราษฎรบ้านจาน ต.ทับใหญ่ อ.รัตนบุรี นายกิตติพงษ์ สมสุข ราษฎรต.หนองหลวง อ.โนนนารายณ์ นายสวาท วางาม ราษฎรอ.ชุม พลบุรี นายประจวบ ประจวบสุข ราษฎรบ้านกรูด ต.เมืองลิง อ.จอมพระ และนายชาติชาย ชาเหลา ราษฎรบ้านเจ้าคุณ ต.โชคนาสาม อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ เฉพาะนายชาติชาย จะฌาปนกิจศพในวันที่ 31 พ.ค.นี้ ที่เมรุวัดบ้านเจ้าคุณ ผู้เสียชีวิตทุกราย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ช่วยค่าปลงศพ รายละ 100,000 บาท มูลนิธิไทยคม ช่วยค่าเคลื่อนย้ายศพรายละ 20,000 บาท ผู้เสียชีวิตรายใดที่มีบุตร มูลนิธิไทยคมจะให้ทุนเรียนจนจบปริญญาตรีทุกราย และในวันเสาร์ที่ 29 พ.ค.นี้ เวลา 15.00 น. กลุ่มคนเสื้อแดงสุรินทร์ทั้งจังหวัด จัดงานทำบุญมหาบังสุกุลอุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิตทุกรายทั้งทหาร ตำรวจ นักข่าว และพี่น้องชาวเสื้อแดงทุกคน ที่บ้านสำโรง-หนองกา ต.รัตนบุรี อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ โดยนิมนต์พระสงฆ์ จำนวน 99 รูป มาประกอบพิธี ขอเชิญชวนชาวเสื้อแดงสุรินทร์ทุกท่าน มาร่วมงานโดยทั่วกัน

คนเจ็บสุดท้ายของ"น้องหมู"แฉ

เมื่อเวลา 17.00 น. ที่โรงพยาบาลกลาง ชั้น 9 แผนกผู้ป่วยศัลยกรรมชายสามัญ นายกิติชัย แข็งขัน อายุ 40 ปี เหยื่อคมกระสุนจากเหตุการณ์วันที่ 19 พ.ค. นายกิติชัย อยู่ในสภาพเหนื่อยและอิดโรยเจ็บบาดแผลอยู่บนเตียงคนไข้ พร้อมเล่าถึงนาทีชีวิตที่รอดตายมาได้ว่า ตนมีอาชีพทำงานก่อสร้าง ทำงานก่อสร้างอยู่ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลังเลิกงานตนจะลงมาหาเพื่อนที่เดินทางมาร่วมชุมนุม ตั้งเต็นท์จังหวัดขอนแก่น เพื่อมาพูดคุยกินข้าวกันตามปกติ

หลังจากนั้นตนก็จะกลับไปนอนในแคมป์ที่พักคนงาน ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในวันที่ 19 พ.ค. นั้นตนก็ทราบว่าจะมีทหารเข้ามาบุกขอพื้นที่คืน และก็ได้ยินเสียงระเบิดและยิงปืนกันทั้งวัน จนกระทั่งได้ยินเสียงแกนนำออกประกาศว่าขอสลายการชุมนุม จนเย็นตนคิดว่าเรื่องต่างๆ คงจบไปแล้วไม่มีเหตุอะไรบานปลาย จึงได้เดินไปหาเพื่อน ทั้งนี้ ด้วยความเป็นห่วงเพื่อน แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

เมื่อตนเดินมาถึงจวนใกล้ถึงวัดปทุมวนาราม ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ตนรู้สึกตกใจกลัวมากและยังมีประชาชนคนอื่นๆ อีกหลายคนต่างก็วิ่งเข้าไปหลบในวัดปทุมวนาราม ตนรีบเข้าหาที่กำบังนอนราบหมอบกับพื้นใต้รถกระบะคันหนึ่งที่จอดอยู่ในวัด แต่เสียงปืนก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งมีกระสุนนัดหนึ่งมาโดนที่บริเวณหลังขวา ขณะที่ตนนอนหมอบอยู่รู้สึกทันทีว่าเจ็บบริเวณดังกล่าว ตนจึงได้ยกมือขวาร้องตะโกนบอกว่ายอมแล้ว แต่ก็ถูกยิงเข้าที่มือขวาอีกหนึ่งนัด และก็ได้ยินเสียงทหารบอกว่า ให้ออกมา ออกมา ตนจึงกัดฟันวิ่งไปหาทหาร และถูกทหารสั่งให้ถอดเสื้อออกและให้ยกมือขึ้น ก่อนจะสั่งให้วิ่งเข้าไปในวัดปทุมวนารามทั้งที่ตนถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ตนตกใจกลัวมาก จึงรีบวิ่งไม่คิดชีวิตจนไปพบกับเต็นท์พยาบาล และมีพยาบาลหญิงคนหนึ่ง ได้ให้ความช่วยเหลือปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนที่ตนจะสลบไป และเพิ่งจะมาทราบภายหลังว่า พยาบาลดังกล่าวที่ช่วยเหลือตนมาถูกยิงเสียชีวิตไป ตนรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

แฉอีก-นาทีการ์ดถูกยิงล้มทั้งยืน

นอกจากนี้ นายภัสพล ไชยพงษ์ อายุ 40 ปี อาชีพค้าขายและอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมในวันสลายการชุมนุมด้วยและถูกยิงได้รับบาดเจ็บ กล่าวว่า ตนขายของอยู่บริเวณใต้รถไฟฟ้าราชดำริ ขณะนั้นกำลังเก็บร้านอยู่ แต่ได้มีผู้ได้รับบาดเจ็บถูกยิง 2 ราย และมีหน่วยกู้ภัยบอกให้ตนช่วยเหลือ ขับรถจักรยานยนต์กุยทางเพื่อนำคนเจ็บไปส่งที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งตนได้ขับรถพาไปส่งแล้วถึง 3 เที่ยว จากนั้นก็ได้มาจอดรถอยู่ที่เดิม ขณะนั้นตนได้ยินเสียงปืนดังขึ้นเป็นระยะๆ โดยที่บริเวณที่ตนอยู่นั้นมีการ์ดนปช.คนหนึ่งยืนอยู่กับตนด้วย ก่อนได้ยินเสียงกระสุนดังขึ้นหนึ่งนัด ก่อนที่การ์ดนปช.คนดังกล่าวจะล้มทั้งยืนลงมาทับร่างตน และพบว่าการ์ดนปช.คนดังกล่าว ถูกยิงเข้าหน้าผากกระสุนทะลุท้ายทอยด้านซ้าย และลูกกระสุนยังทะลุมาถูกลำคอของตน กระสุนฝังในก่อนจะหมดสติไป และมารู้สึกตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ เบื้องต้นแพทย์ไม่สามารถผ่าเอาหัวกระสุนออกได้ เพราะฝังอยู่ในกล้ามเนื้อ ใกล้กับเส้นประสาท คงต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจอีกหลายวัน

เผยชีวิตเหยื่อปืนชาวยโสฯ

ที่ จ.ยโสธร ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปบ้านมัน ปลา เลขที่ 223 ม.5 ต.กุดแห่ อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร ซึ่งเป็นบ้านของนายพัน คำกอง อายุ 44 ปี เหยื่อที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ทหารกระชับพื้นที่ราชประสงค์ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. พบเพียงนางฉัตร สุวเพ็ชร อายุ 63 ปี อยู่เลขที่ 140 ม.5 ต.กุดแห่ อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร เป็นแม่ยายของนายพัน ซึ่งปลูกบ้านอยู่คู่กับบ้านลูกเขยลูกสาว ลักษณะเป็นบ้านแบบชั้นเดียว ติดทุ่งนาท้ายหมู่บ้าน

นางฉัตร กล่าวว่า ลูกสาวคือนางหนูชิด คำกอง พร้อมลูกๆ 4 คน และญาติพี่น้องทราบข่าวนายพันเสียชีวิตเมื่อวันที่ 15 พ.ค. จึงได้ประกอบพิธีเผาศพนายพัน ที่วัดในกทม. จะเป็นวัดอะไรนั้น ตนจำไม่ได้ และได้นำกระ ดูกนายพันกลับมาประกอบพิธีอุทิศส่วนกุศลที่บ้านเกิดในเช้าวันที่ 25 พ.ค. ซึ่งตนและญาติพี่น้องได้นำกระดูกนายพันไปบรรจุอัฐิที่วัดป่าบ้านมันปลา ส่วนนางหนูชิด คำกอง ลูกสาวได้หอบเอกสารหลักฐานเดินทางไปติดต่อขอความเป็นธรรมจากรัฐบาลที่ทำเนียบรัฐบาลที่ กทม. เมื่อวันที่ 26 พ.ค. จนถึงขณะนี้ ยังไม่ได้ติดต่อกลับมา

ทิ้งลูก4คนเผชิญชะตากรรม

นางฉัตร กล่าวว่า ที่บ้านยึดอาชีพทำนาปีละครั้ง และเมื่อ 18 ปีที่ผ่านมา หลังนายพันแต่งงานกับลูกสาวตนแล้ว ก็ได้อพยพไปทำงานที่ กทม. เพื่อหนีความแห้งแล้ง นางหนูชิด ลูกสาวทำงานเป็นแม่บ้านที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน กทม. ส่วนนายพันลูกเขยเช่ารถแท็กซี่ หลายปีผ่านไปลูกเขยลูกสาวเก็บออมเงินมาสร้างบ้านให้ตน และบ้านเขาเองเพื่อให้ลูกเขา ซึ่งมีด้วยกัน 4 คน หญิง 1 คน ผู้ชาย 3 คน ได้อยู่เพื่อเรียนหนังสือ ปัจจุบันลูกชายคนโตเรียนที่วิทยาลัยโปลี จ.อำนาจเจริญ ลูกสาวคนรองเรียนชั้น ม.3 ที่โรงเรียนบ้านกุดแห่วิทยา ลูกชายเล็กอีก 2 คน เรียนชั้น ป.4 และชั้น ป.1 ที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน ทุกวันหลานๆ ทั้ง 4 คน ต้องใช้เงินค่ารถค่าอาหารขณะไปเรียนหนังสืออย่างน้อยวันละ 60 บาท เมื่อลูกเขยซึ่งเป็นเสาหลักในการหาเงินจุนเจือครอบครัว มาเสียชีวิตลงลูกชายลูกสาวเขาที่กำลังเรียน คงเดือดร้อนแน่ ยิ่งเด็กชายสุพจน์ คำกอง อายุ 10 ขวบ ซึ่งเรียนอยู่ชั้น ป.4 ป่วยมีโรคประจำตัว โรคหัวใจ โรคหืดหอบ ต้องไปหาหมอประจำใช้เงินมากคงเดือดร้อนอย่างหนัก ลำพังตนทำนาปีละครั้งคงไม่มีเงินพอจะพาหลานไปหาหมอบ่อยๆ

นางฉัตร ยังกล่าวถึงวันที่ลูกเขยเสียชีวิตโดยได้ฟังจากปากของนางหนูชิด ลูกสาวว่า ก่อนเกิดเหตุในวันที่ 15 พ.ค. นายพันนำรถแท็กซี่ไปจอดอู่เพื่อตรวจก่อนจะเดินทางไกลมาที่ยโสธร เพื่อมาส่งลูกๆ ทั้ง 4 คน ในช่วงเช้าของวันที่ 16 พ.ค. เพื่อเรียนหนังสือหลังลูกเขยลูกสาวมารับลูกไปอยู่ที่ กทม. ช่วงปิดเทอม ก่อนลูกเขยจะขับรถมาจอดที่อู่ นางหนูชิด ลูกสาวบอกว่านายพันได้ร้องบอกนายคมกริช คำกอง อายุ 18 ปี ลูกชายคนโตให้บอกน้องๆ ให้รอกินข้าวด้วยกันพ่อจะซื้อกลับข้าวมาด้วย และนางหนูชิดลูกสาวมาทราบจาก ร.พ.อีกทีว่าสามีเสียชีวิตแล้ว

องค์การนิรโทษฯขอร่วมสอบ

เมื่อวันที่ 27 พ.ค. องค์การนิรโทษกรรมสากล ในกรุงลอนดอน ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเปิดทางให้ทีมสอบสวนนานาชาติเข้าไปช่วยสอบสวนพิสูจน์ความจริงกรณีที่ทหารใช้กำลังต่อผู้ชุมนุม เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย

เคลาดิโอ คอร์ดัน รักษาการเลขาธิการองค์การนิรโทษกรรมสากล กล่าวว่า ทางองค์การ วิตกถึงสถานการณ์จลาจลที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ และก่อนหน้านั้นทหารเผชิญกับผู้ชุมนุมที่ใช้อาวุธ แต่การตอบโต้ที่เราเห็นก็คือ กองทัพยิงใส่ผู้ชุมนุมแบบไม่เลือกหน้าในกลุ่มผู้ชุมนุม และมีบางกรณีที่เล็งเป้าหมายใส่ผู้ชุมนุมที่ไม่มีอาวุธ นอกจากนี้ ยังไม่ทราบว่า มีผู้ชุมนุมจำนวนเท่าใดที่ถูกคุมขังอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งเสี่ยงต่อให้เกิดสภาพการละเมิดสิทธิ์ไม่ถูกลงโทษ ดังนั้นขั้นแรก รัฐบาลไทยต้องเปิดเผยว่า มีจำนวนคนเท่าใดกันแน่ที่ถูกควบคุมตัวอยู่ และจำเป็นต้องมีการสอบสวนอย่างเหมาะสม รัฐบาลไทยอาจต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ช่วยนานาชาติ เพื่อให้การสอบสวนเป็นอิสระและน่าเชื่อถือ

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ไว้อาลัย เสธ.แดง " วีระบุรุษประชาชน "




แม้นรูปลักษณ์ จักรเป็น เช่นทหาร
แต่ต่อต้าน เผด็จการณ์ มารแอบแฝง
ไม่ละย่อ ต่อภัย ที่ร้ายแรง
เขา เสธ.แดง ปรากฏตัว ทั่วแผ่นดิน

ด้วยวิสัย มองแต่ ในแง่ดี
จึงต้องพลี ชีพให้ คนใจหิน
แม้ เสธ.แดง จะล่วงลับ ดับชีวิน
ชื่อยังยิน ดังก้อง ทั่วท้องไทย

จาก... งาน เสธ แดง

ปากคำ ‘เรื่องที่คุณต้องอ่าน’: ห่ากระสุนในเขตอภัยทาน ความตายหลังยอมแพ้ และศพที่ถูกลากขึ้นรถทหาร

หากตัวเลขผู้เสียชีวิตในปฏิบัติการ ‘กระชับพื้นที่’ 19 พ.ค. ที่รายงานโดยศูนย์เอราวัณเมื่อวันที่ 20 พ.ค.มี 13 ราย คุณเชื่อหรือไม่ 50% ของผู้เสียชีวิตนี้ถูกฆ่าในวัด และคุณเชื่อหรือไม่ ในจำนวนนี้เป็นหน่วยพยาบาลถึงครึ่งหนึ่งซึ่งถูกฆ่าในขณะช่วยเหลือเพื่อน มนุษย์

แกนนำ นปช.ประกาศขอมอบตัวและให้ประชาชนกลับบ้านตั้งแต่ช่วงบ่ายแก่ของวันที่ 19 พ.ค.เพราะทหารเริ่มล้อมเข้ามาใกล้มากขึ้นขณะที่ความสูญเสียชีวิตไร้วี่แวว สิ้นสุด แต่หลังจากนั้นเหตุการณ์กลับวุ่นวายโกลาหล มีเสียงระเบิด เสียงปืน ทำให้ประชาชนกระเจิดกระเจิงหลบเข้าสถานที่ต่างๆ ขณะที่บางส่วนที่ทยอยเดินทางออกก่อนหน้านั้นสามารถไปลงทะเบียนยังเต๊นท์ของ เจ้าหน้าที่ทหาร และเต็นท์ของกระทรวงมหาดไทยได้ พวกเขาสามารถขึ้นรถบริการไปส่งยังสถานีขนส่งหมอชิต และสถานทีรถไฟบางซื่อ แต่ก็เพียงหลักไม่กี่ร้อยคน หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเดินออกมาอีก เจ้าหน้าที่บางคนที่เต็นท์บอกว่า “พวกผู้ชุมนุมไม่ยอมออกมา”

กระทั่งในช่วงค่ำจึงมีรายงานข่าวว่า มีผู้คนที่ติดอยู่ในวัดปทุมวนารามจำนวนมากไม่ต่ำว่าสองพันคน รวมทั้งอยู่ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติอีก รวมแล้วหลายพัน โชคดีที่มีผู้สื่อข่าวต่างชาติติดอยู่ที่นั่นด้วย 4-5 ชีวิต และผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยฉบับหนึ่งอีก 1 ชีวิต ชะตากรรมเลวร้ายซ้ำซ้อนของพวกเขาจึงถูกบอกเล่า ไม่เงียบหาย หรือถูกมองว่าเป็นข่าวลือใส่ร้ายรัฐบาลของหมู่เสื้อแดง

เขตของวัดปทุมวนารามถูกประกาศโดยหลายหน่วยงานก่อนหน้านี้ว่าเป็น เขตอภัยทาน มีป้าย “เขตอภัยทาน” ตัวใหญ่ติดไว้ด้านหน้าวัดอย่างชัดเจน เราต่างโล่งอกว่าพวกเขาจะปลอดภัยในเบื้องต้น แล้วค่อยคิดหาทางช่วยเหลือในวันรุ่งขึ้น แต่ทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่ผู้คนเข้าใจ

“เขตอภัยทาน” ไม่ใช่ที่ที่จะได้รับการละเว้น

คนบ้านนอกคอกนา ผู้หญิง คนแก่ จำนวนมากที่ไร้อาวุธ ไม่ใช่ผู้ที่จะได้รับการละเว้น

หน่วยพยาบาล หน่วยกู้ชีพที่ทำงานเชิงมนุษยธรรม ไม่ใช่ผู้ที่จะได้รับการละเว้น

ความพ่ายแพ้ทางการเมืองยังไม่ทำให้พวกเขายับเยินเพียงพอ หลายคนถูกซ้ำเติมให้พ่ายแพ้แก่ชีวิตด้วย แม้ ณ นาทีที่ประกาศยอมแพ้แล้ว

แอนดริว บันคอมบ์ นักข่าว นสพ.ดิ อินดีเพ็นเด้นท์อยู่ที่นั่นและได้รับบาดเจ็บ ถูกยิงที่ขา เขียนเล่าเรื่องราวว่า “ระบุไม่ได้จริงๆ ว่ากระสุนที่โดนขาผมนั้นยิงมาจากตรงไหน และไม่สามารถตอบได้ว่า ทหารยิงกราดไปทั่วอย่างไร้บันยะบันยังด้วยเหตุผลอันใด ลูกปืนที่กราดเข้ามานั้นยิงจากสไนเปอร์หรือพลทหารธรรมดา? ที่ค่อนข้างแน่ใจทีเดียวก็คือว่า กระสุนมาจากฝั่งทหารคงไม่สามารถตอบได้ว่าใครเป็นคนสั่งให้ทหารยิงไม่เลือก หน้า ทั้งๆ ที่อยู่ในระยะใกล้ผู้คนจำนวนมาก ผู้คนซึ่งเกือบทั้งหมดไม่พกอาวุธ ไม่ได้ทำตัวเป็นอันตราย และได้ออกจากพื้นที่ชุมนุมตามคำขอของทางการแล้ว หากพวกเขามีโอกาสที่จะออกจากตรงนี้ไปได้อย่างปลอดภัย ก็ทำอย่างนั้นไปแล้ว ทุกคนทราบดีว่า นี่เป็นจุดจบของการต่อสู้ อย่างน้อยก็เป็นจุดจบของขั้นตอนนี้ของการต่อสู้ บรรดาผู้นำระดับสูงสุด ต้องตอบคำถามสำคัญเร่งด่วนหลายประการทีเดียวในกรณีนี้”

“ที่ตลกร้ายก็คือว่า โรงพยาบาลตำรวจตั้งอยู่ใกล้ประตูทางเข้าวัดเพียงนิดเดียวเท่านั้นเป็นโรง พยาบาลที่ว่ากันว่า เจ้าหน้าที่เตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการยามเกิดเหตุเช่นนี้มานานเป็นเดือน แล้ว ไม่มีใครกล้าหามผู้บาดเจ็บข้ามถนนไปส่งโรงพยาบาลเพราะถนนได้กลายเป็นสนามยิง ปืนไปแล้ว”

สตีฟ ทิคเนอร์ ช่างภาพชาวออสเตรเลีย บอกว่าเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมาเขาเห็นผู้ชายคนหนึ่งโดนยิงจากทหารแค่ไม่กี่ เมตรจากวัด

"ผมเห็นกระสุนพุ่งทะลุร่างคนนั้นออกมาจากหน้าอกและคนนั้นก็ล้มลง" ทิคเนอร์กล่าวและว่า เมื่อเขาและพระพยายามจะเข้าไปช่วย พวกเขาก็ถูกยิงใส่

“เก่ง” เป็นหน่วยกู้ชีพอาสาที่อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน เขาเป็นแนวหน้าผู้กล้าหาญ คอยฝ่าดงกระสุนเพื่อไปดึงเอาศพ หรือคนเจ็บหนักที่ล้มคว่ำห่างไปไม่กี่สิบเมตรกลับเข้ามา เขาอยู่กับความตาย (ของคนอื่น,คนข้างๆ) และการเสี่ยงตาย(ของตัวเอง) มาตั้งแต่สายวันนั้น กล้องของสื่อมวลชนทุกตัวอยู่หลังแนวทหาร แต่ตัวเขาอยู่หลังแนวผู้ชุมนุม เขาจึงเห็นสิ่งที่เราไม่เห็น มีคนล้มคว่ำคนแล้วคนเล่า เพียงเพราะจะวิ่งเข้าไปเอา “ศพ” ของ “เพื่อน” ที่พวกเขาไม่เคยรู้จักมักจี่ พวกเขาต่างเกรงว่าจะไม่หลงเหลือหลักฐานใดยืนยันความโหดร้ายและการตายของ มนุษย์หนึ่งๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทหารสาดกระสุนใส่ “หน่วยกู้ชีพ” สวมชุดวชิระพยาบาลไม่ให้เข้าถึงผู้ตาย หากแต่เมื่อกองกำลังของทหารเข้าถึง กลับเอาเชือกมัดศพ แล้วลากไปไว้บนรถทหาร

ดูเหมือนมันเลวร้ายเกินกว่าที่ใครจะเชื่อได้ว่าเกิดขึ้นจริง …

มันเป็นเรื่องเล่าซึ่งเขากล้าหาญพอที่จะออกยืนยันในสิ่งที่ตาของเขาเห็น กับผู้สื่อข่าวทีวีหลายสำนักในวัดปทุมฯ ในวันรุ่งขึ้น รวมถึงประชาไท หากจะมีข้อเท็จจริงใดที่เบี่ยงเบนออกไปจากความเป็นจริงก็ขอให้แต่ละฝ่ายนำ หลักฐานข้อมูลออกมายืนยันต่อสู้กัน

เพราะเก่งไม่ใช่เสื้อแดง เขาเป็นหน่วยแพทย์อาสาที่ทำงานมากว่า 10 ปี เขาและเพื่อนๆ เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยชีวิตผู้อื่นรวมถึงคนเสื้อแดงท่ามกลางดงกระสุน ท้ายที่สุดเขาและเพื่อนก็ยังเลือกที่จะ “เสี่ยงชีวิต” อีกครั้งเพื่อช่วยให้คนอื่นได้เห็นในสิ่งที่พวกเขาเห็น หากจะมีใครที่เราควรนับถือ น่าจะนับรวมพวกเขาด้วย หากจะมีใครที่สังคมต้องร่วมปกป้องจากภัยมืดทั้งปวง พวกเขาก็ควรเป็นหนึ่งในนั้น

เก่ง- หน่วยแพทย์อาสาร่วมใจ

สัมภาษณ์ที่วัดปทุมฯ และโรงพยาบาลตำรวจ
เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2553

ทางสยามรวมใจอยู่ที่นู่น ผมก็ประสานว่าเดี๋ยวเราช่วยแล้วกันตรงนี้ เราก็ตัดสินใจออกไปดูคนเจ็บที่ศาลาแดง พอออกไป หน่วยกู้ชีพตรงนั้นไม่มีใครแล้ว มีเป็นผมที่ใส่เสื้อของวชิระพยาบาล ผมเลยตัดสินใจว่าเมื่อไม่ใครออกไปได้ ก็จะลุยออกไปเอง พอลุยออกไปก็พบผู้เสียชีวิต 1ราย ศพแรกของศาลาแดง ร่วงไปแล้ว มี 2 คนเข้าไปช่วย แล้วก็โดนยิง คนที่ 1 ประมาณ 9 โมงเช้า ร่วงตรงป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามจุฬาฯ แล้วผู้ชาย 2 คนก็วิ่งเข้าไปช่วย พอวิ่งไปก็ร่วง เป็นประชาชนช่วยกันเองนี่แหละ สรุปตรงนั้นเสียชีวิตไป3 คนที่ 4 ที่วิ่งเข้าไปก็เป็นคนวิ่งหลบกระสุนก็โดนอีก สุดท้ายไม่มีใครแล้วผมเลยตัดสินใจว่าจะเข้าไปเอาเอง พอผมวิ่งเข้าไป น้องคือประชาชนนี่แหละเห็นว่าผมเป็นแพทย์จะเข้าไปช่วยก็เลยวิ่งเข้าไป โดนยิงต่อหน้าผมเลย เข้าอกข้างขวากับแขน แล้วผมก็ลากเข้ามา พอลากเข้ามาเสร็จก็วิ่งเข้าไปใหม่เพื่อจะไปเอาตรงนั้นให้ได้ คนที่วิ่งตามมาก็ร่วง โดนเข้าหน้าอกเหมือนกัน ทุกคนโดนเข้าหน้าอกและหัวทุกคน แล้วก็มีผู้ชายที่เข้ามาเมื่อวานประมาณเที่ยง โดนยิงเข้าศีรษะแล้วก็คอ 3 รายพร้อมกันตรงนั้น น่าจะเสียชีวิต เพราะผมก็ปั๊มหัวใจตั้งแต่ศาลาแดงจนถึงโรงพยาบาล

พอยุติจากตรงนั้น เหตุการณ์ก็คือปกติ จนได้มีการมาแถลงข่าวตอนช่วงบ่าย นายณัฐวุฒิขึ้นเวทีประมาณ 3 โมงเย็น ณัฐวุฒิก็เริ่มให้ประชาชนทุกคนกลับบ้าน ประชาชนที่นี่ก็ไม่ยอมอยู่แล้ว การจลาจลก็เริ่มเกิดขึ้น พอณัฐวุฒิสั่งปุ๊บเสียงระเบิดก็เริ่มดังมาเรื่อยๆ พอระเบิดดังต่างคนก็ต่างไปเข้าวัดบ้าง ตรงนู้นบ้าง ตรงนี้บ้าง ผมได้เข้าวัดตั้งแต่ 3 โมงแล้วก็วิ่งดูคนเจ็บรอบนอก โรงพยาบาลตำรวจบ้าง บริเวณวัดบ้าง พอเริ่มซักประมาณ 5 โมงเสียงระเบิดก็เริ่มเข้าใกล้เรามาเรื่อยๆ พอ 6 โมงเท่านั้นแหละ ตรงเต็นท์พยาบาลแทบไม่เหลือใครเลย กระสุนน่ะ เราไม่เห็นหรอกนะว่าจะเป็นใครยิงก็ตาม ทุกคนเห็นคนเจ็บ เราเป็นกู้ชีพก็ต้องเข้าไปช่วย พอเราลากออกมา คนที่ลากออกมาก็คือโดนยิงร่วงทุกคน แม้กระทั่งผู้หญิงที่ชื่อเกด ที่เป็นหน่วยแพทย์จากข้างนอกเข้ามาช่วย ก็คือ ยืนทำแผลห้ามเลือดให้อีกคนอยู่ข้างในบริเวณเต็นท์พยาบาลบริเวณวัดตรงนั้น ก็ร่วงนอนเสียชีวิตตรงนั้น ตอนนั้นประมาณ 6 โมงกว่า คือ กระสุนเริ่มสาดเข้ามาเรื่อยๆ ผมก็บอกทุกคนว่าให้วิ่งเข้าไปในศาลาข้างในให้หมด

เกดช่วยปฐมพยาบาลคนถูกยิง อยู่ที่เต็นท์ด้านขวามือในวัดปทุม? – ใช่ อย่างคนตัวเล็กกว่าจะเสียชีวิตก็ประมาณเที่ยงคืน เขาดิ้นทุรนทุรายมาตลอด

โดนยิงพร้อมกันหมด? โดนพร้อมกันหมดทุกคนตรงนั้น พอคนเข้าไปช่วยก็โดนยิงทุกคน ไม่มีใครสามารถเข้าถึงผู้เสียชีวิต พอจะลากได้เราก็โดน

ระยะเวลาของเสียงกระสุน สาดนานไหม? สองสามชั่วโมง เสียงกระสุนมันรอบ คนแก่บางคนข้างในถึงกับช็อก ด้วยความตกใจและความกลัวที่เขาไม่เคยเจออย่างนี้ และทุกคนก็ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ ผมอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา ต้องเอาคนเจ็บทำแผล ห้ามเลือดทุกอย่าง เสื้อผม วชิระเอามาดูได้ เลือดเต็มไปหมด รองเท้าผมเลือดทั้งนั้น กางเกงผมต้องทิ้งเพราะมีแต่เลือด ผมทำงานอย่างนี้ทำด้วยใจ ทุกอย่างที่มีเราต้องห้ามเลือดเขาเท่าที่เราทำได้ เมื่อคืนกว่ารถพยาบาลจะเข้ามาเอาศพที่ 6 ศพตัวเล็กน่ะ ไม่น่าตายเลยนะ น่าจะรอด เพราะผมประสานทั้งศูนย์วิทยุผม ศูนย์เอราวัณ ตำรวจ ทุกอย่าง ประสานทุกอย่างให้เข้ามารับคนเจ็บสาหัสข้างในให้ไวที่สุด สุดท้ายผมก็ให้ทั้งน้ำเกลือ ออกซิเจน ทุกอย่างแล้วไง

ตัวเล็กนี่เป็น นปช.หรือเป็นอะไร? เป็น นปช.นี่แหละ อยู่เต็นท์กาฬสินธุ์ซึ่งใกล้กับเต็นท์ผม เขาก็มาช่วย มาอะไรตลอด สนิทกัน เขาก็ทำด้วยใจ ใช้อะไรเขาก็ทำ จ่ายยา ทำแผล จนมาเมื่อวานเขาก็ยืนช่วยเรานะ ช่วยหยิบอุปกรณ์การแพทย์อะไรทุกอย่าง เขาก็ยังโดน ผมบอกแล้วว่าให้สละเต็นท์เหอะ คนไหนที่เราไปเอาได้เราก็เอา คนไหนเอาไม่ได้ก็ต้องทิ้งแล้วเดี๋ยวค่อยกลับมา แล้วในที่สุด ผลที่เราได้รับตอบแทนจากที่ช่วยชีวิตคนหลายๆ คนนะ ถามว่าผมเสียใจไหม เสียใจมากๆ ขนาดกินนอนด้วยกันมา แล้วมาเจออย่างที่ว่าคือ หมดกับรัฐบาลชุดนี้จริงๆ ทำไมทำกับเราถึงขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ตรากาชาดเราก็มีติดทุกคน ใส่เสื้อตรากาชาดทุกคน ก็ยังจะยิง กราดยิงตรงนั้นเต็มๆ เต็นท์พยาบาล

จากมุมสูง? วิถีต่ำ เป็นไปไม่ได้ที่ทหารจะอยู่ตรงนั้น ดูแล้วมาจากมุมสูงทุกเม็ด ไม่มีการที่ว่าทหารจะเฝ้าอยู่หน้าประตู เพราะถ้าทหารเข้าไปตรงนั้นเราติดป้ายตัวใหญ่นะ ว่าเขตอภัยทาน เราทำทุกอย่างทุกวิถีทาง ทุกคนตรงนั้นคิดแล้วว่า ในวัดเป็นสิ่งที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับพวกเขาแล้ว ข้างหน้าเราไม่เห็นทหาร ข้างบนมันมืด ข้างหน้ามันยังมีแสงไฟถ้ามีทหารเราต้องเห็นแล้ว แต่กระสุนมาจากไหนไม่รู้ ทุกคนไม่สามารถหลบวิถีกระสุนได้เลย

ตึกสูงบริเวณนั้น มีอะไรบ้าง พารากอน ฯลฯ ? ผมคิดว่าบนรถไฟฟ้าเป็นไปได้มากที่สุด ขนาดกลางวันที่มองเห็น ประชาชนไม่กล้าออกจากวัดเพราะอะไร เงยขึ้นไปข้างบนเห็นทหารเดิน ทุกคนก็กลัวไง เมื่อเช้าก่อนที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่สื่อ จะมา คนของเราก็ออกมาเพื่อหาเสบียงไปแจกจ่ายคนข้างใน ก็ยังมีเสียงปืนจากข้างบนลงมาเลย ประมาณ 7-8 โมง มีคนเห็นทหารบนสกายวอล์ค (รางรถไฟ?) ตั้งแต่เมื่อวาน ทุกคนเห็นหมด จนเช้าวันนี้เราเห็นตัวเต็มๆ ที่เดินเพ่นพ่านตลอด และถือสไนเปอร์ตลอด เห็นเยอะมาก

6 ศพมีใครใส่เสื้อกาชาด? สามคนมีหมดครับ กระทั่งกู้ชีพปอเต็กตึ๊งยังใส่ชุดเลย แม้กระทั่งผมใส่เสื้อวชิรพยาบาลตลอด

ตั้งแต่เก้าโมงที่ทำงานมี คนเจ็บตลอด? มีตายตลอด มีเจ็บเข้ามาตลอดส่งโรงพยาบาลตำรวจทั้งวัน จนยุติเงียบไปได้พักหนึ่งก็เริ่มมีการระเบิดดังฝั่งเพลินจิต ไม่มีตำรวจทหารทางนู้นก็ไม่มีอะไร มีแต่เสียงระเบิด ฝั่งประตูน้ำก็เริ่มขึ้น ฝั่งปทุมวันยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเสียงปืนบ้าง พอเริ่มประกาศว่าให้ประชาชนกลับบ้านเท่านั้น ระเบิดดังทุกจุด เสียงปืนเข้ามาเรื่อยๆ ทุกคนแห่วิ่งเข้าวัด ส่วนที่เหลือบางคนก็วิ่งไปข้างนอกที่อื่น แล้วดังมาตลอด เช้ามันคือส่วนหนึ่ง บ่ายมันมากขึ้นกว่าตอนเช้า จากที่ไม่เคยมีระเบิด ตึกไฟไหม้ก็เริ่มมี จนถึงเที่ยงคืนก็ใช่ว่าจะหยุด ผมกว่าจะได้นอนกันก็ตีสาม หน้าวัดกระสุนหยุดประมาณตีสอง หน้าวัดเราเงียบ แต่ฝั่งปทุมวันก็มีเสียงดังตลอดทั้งคืน กลางคืนผมกับประชาชนข้างในก็คิดถึงคนข้างใน ก็เลยตัดสินใจว่าเราจะมาเอาเสบียงจากข้างนอก ออกไปก็ยังได้ยินเสียงปึงปังอยู่ ทุกคนก็กลัว กลัวมาก

กินอะไร? มาม่า เราต้องคลานออกมาจากประตูวัด คลานมาเรื่อยๆ เพื่อมาหาเสบียงจากข้างนอก ปืนก็ยิงมาตลอด ข้างล่างนี่เราไม่เห็นทหารเลย ส่วนข้างบนก็มืดมาก เขาดับไฟหมด มีแต่ข้างในวัดที่ไม่ดับ (อาจมีเครื่องปั่นไฟ-ประชาไท)

มีเจ้าหน้าที่รัฐมาดูแล ความปลอดภัยไหม? ไม่มีเลย

เมื่อวานมีเคสนึง เด็กวัยรุ่นที่โดนยิงต่อหน้าผม พระท่านช่วยผมลากตั้งแต่หน้ารพ.จุฬาจนถึงตรงสามแยกเฉลิมเผ่า เด็กโดนยิงเข้าหน้าอก ตอนนั้นประมาณสิบโมง พระท่านก็ไม่สนใจอะไรแล้ว แล้วศพที่ 5 ในวัดที่พระท่านสละจีวรให้นั่นเราก็ยกเอาจากหน้าวัดเข้าไป เลือดตรงเต็นท์พยาบาลไม่ใช่น้อย ตรงนั้น 3 คน

เพื่อนเก่งมีสามคน? ใช่ครับ มีหน่วยปอเต๊กตึ๊งคนหนึ่ง เขามาช่วยเพราะบ้านอยู่หลังวัดเข้ามาช่วยทุกวัน ช่วยจ่ายยา ทำแผลเล็กๆ น้อยๆ

ผู้หญิงอ้วนๆคือเกด? – ใช่ เป็นหน่วยแพทย์ที่โรงพยาบาล

เกดสนิทกับเก่งไหม? ทุกคนตรงนั้นสนิทกันหมดเพราะเราอยู่ด้วยกัน กินข้าวด้วยกันอยู่ตรงนั้น เล่นกันตลอด มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมจะหยุดงานวันศุกร์ก็จะมานอนที่นี่ตลอดเผื่อถ้ามีคนเจ็บ คนป่วยจะได้ประสานรถเข้ามา อย่างข่าวโรงพยาบาลรับคนเป็นไข้หวัด2009 อันนั้นผมก็เป็นคนประสานไป ปกติเราอยู่กันตรงแยกเฉลิมเผ่า แต่วันนั้นตกกลางคืนเสียงปืนดังขึ้นเรื่อยๆ เราก็ตัดสินใจว่าเข้าไปอยู่ในวัดน่าจะปลอดภัย เพราะเป็นเขตอภัยทาน คงไม่มีอะไรกับเราแล้ว

หน่วยแพทย์ในนี้ มีทั้งหมดสี่หน่วย มีอาร์เอสอาร์ ไนติงเกล ฟาเรด แล้วก็หน่วยผม หน่วยพวกนี้เป็นหน่วยที่เขามาทำให้นปช.เอง แต่พูดตรงๆ ว่าหน่วยพวกนี้ไม่สามารถช่วยอะไรคนได้เลยในเวลาวิกฤตจริงๆ

หน่วยของผมคือหน่วยแพทย์อาสาร่วมใจ เราช่วยตั้งแต่ข้างนอกแล้ว ช่วยตั้งแต่วันที่สิบเมษาแล้ว บางคนมองว่าเราเข้ามาช่วยในนี้เราเป็นเหมือนกัน แต่มันไม่ใช่ไง เราเป็นหน่วยแพทย์

ตอนเช้าผมช่วยไป 6 ศพแล้ว ผมก็พยายามช่วยเต็มที่แล้วนะ ทำงานมา 10 ปีผมทำด้วยใจ ทุ่มเทเพื่อคนมาตลอด

นอกจากนี้มีตัวเล็กเป็นคนกาฬสินธุ์ ปอเต๊กตึ๊ง เกดซึ่งเป็นผู้ช่วยหมออยู่ในโรงพยาบาล ลุงอีกคนหนึ่งเป็นชาวบ้านแกก็วนเวียนช่วยบ้างอะไรบ้าง เพราะเต็นท์อยู่แถวนั้นเหมือนกัน เราจะคุ้นกัน และทุกคนใน นปช.จะเห็นหน่วยพยาบาลของผมทุกคน ใครป่วยเราก็ช่วยเบื้องต้น ใครหนักก็ประสานส่งข้างนอก เพราะตอนนั้นโรงพยาบาลตำรวจยังไม่ค่อยอะไรกับเรา ลุงคนนั้นก็ไม่รู้เป็นยังไง ไม่รู้เสียชีวิตไหม แต่แกทรมานมาก กว่ารถจะเข้ามารับได้ก็เกือบตีหนึ่งแล้ว มีเอาคนเจ็บออกไป 4 คน แต่มีคนอ้วนคนหนึ่งโดนยิงเข้าสะโพกขวาไม่ยอมออกไปเพราะเขากลัว ผมเลยให้ยาระงับปวด แก้อักเสบ เขาก็ดีขึ้น แล้วเข้ารักษาที่รพ.ตำรวจเมื่อเช้านี้เอง

ทุกคนก็เสียใจ ผมไม่กินข้าวเลย 2 วัน ตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้าที่ไปช่วยคนแล้วน้องที่ไปช่วยคนแล้วโดนยิงผมก็กิน อะไรไม่ลง

เมื่อคืนลุงคนนั้นที่โดนยิงเข้าข้างหน้า ออกข้างหลัง รู้อย่างงี้ (ทำมือว่ารูใหญ่) ถามว่าทรมานไหม ทรมานมาก ผมต้องหาไม้ 2 แผ่นมาบล็อกหลังไม่ให้กระดูกมันเคลื่อน ผมดาม เฝ้าดูแล อย่างตัวเล็กน่ะ ผมถามใจจริงๆ ว่าน่าจะรอดไหม น่าจะรอดถ้าหมอทุกคนช่วย

แปลว่าหมอไม่ช่วยหรือ? เขาเข้าไม่ได้ เพราะทหารมันไม่ให้เข้าเลย จนผมประสานทุกหน่วย ใช้เวลานานมากกว่าจะเข้ามาได้ จนตัวเล็ก อ๊อฟ ไม่ไหวแล้ว

ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึง ยิงเข้ามาในเขตวัด มันมีอะไร? มีประชาชนของเราได้ยินว่า ทหารตะโกนว่าพวกมึงอยู่ไปก็รกชาติ กูจะฆ่าให้ตายให้หมด สร้างความเดือดร้อน ทุกคนในวัดผมก็ได้แต่ตะโกนว่าให้วิ่งไปข้างในเพราะมันยิงไม่ถึงหรอก มันเป็นป่า มีศาลา มีห้องใต้ดินของศาลาด้วย แต่ด้านหน้ามันเป็นพื้นที่โล่ง

พวกเราไปตะโกนด่าเขาก่อน หรือเปล่า? ไม่เลย (เน้นเสียง) เพราะทุกคนก็ห่วงแต่คนที่โดนยิงก่อนแล้ว

มีปืนยิงสู้ไหม? ไม่มีครับ ของเราไม่มีอะไรเลย มีแต่มือเปล่า

เก่งเป็นเสื้อแดงหรือ เปล่า? ไม่ครับ ผมเป็นศูนย์วิทยุร่วมด้วยช่วยกันที่เข้ามาช่วยตรงนี้ด้วยใจ แล้วก็ทำอย่างนี้มาตลอด ไม่ว่าเสื้อแดง เสื้อเหลือง ผมก็เข้ามาทำหน้าที่โดยไม่ได้แบ่งแยกหรืออะไร ต้องถือว่าผมเป็นอาสาสมัครตรงนี้แล้วทำด้วยใจทุกอย่าง ผมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ตั้งแต่วันที่สิบ คอกวัว ผมก็โดนทหารเอาปืนจ่อหัวนะ ทั้งๆ ที่ใส่เสื้อตรากาชาด ชุดพยาบาลขาว บอกมึงจะเอาศพไปไหน ผมบอกพี่ผมเป็นเจ้าหน้าที่น่ะ มึงอยากยิงกูเลย กูไม่ได้กลัวเลย กูต้องการเอาคนที่นอนพะงาบๆ ดึงออกมาให้เขามีชีวิต กูก็ไม่ได้กลัวมึงยิง กูก็ตาย เขาก็ตาย ก็ไม่ได้กลัวอะไรจากมึงแล้วมาทำอย่างนี้ตายก็คือตาย ต้องการแค่ชีวิตจากตรงนี้ มันก็ชักปืนออก ไม่ยิง มันถอย ผมก็ลากคนนั้นออกมา แต่มาเสียชีวิตข้างนอก เพราะเสียเลือดมาก ก็เหมือนหกศพคราวนี้เป็นรูสามารถมองเห็นหัวใจเขาได้เลย มีสองเคสที่โดนอก ผมอยากรู้ด้วยปืนอะไร ทำไมรูมันใหญ่ขนาดนั้น

ตั้งแต่ทำงานมาเคยเจอหนัก อย่างนี้ไหม? นี่ครั้งที่สองของผม ครั้งแรกสิบเมษา ครั้งที่สองนี่เป็นครั้งที่หนักมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา จากที่อยู่อาสามาสิบปี

ประเมินว่าน่าจะมีผู้เสีย ชีวิตขนาดไหน? ผมว่าเยอะมากๆ ผมไม่ได้ใส่ร้ายทหารนะ แต่สิ่งที่เราเห็น สิ่งที่ทุกคนเห็น สิ่งที่ทหารทำ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเอาศพคนตายไป

เห็นกับตาไหม? ใช่

ตรงไหน? ศาลาแดง เข้าไปเราโดนยิง แต่พอทหารวิ่งมากลับเอาเชือกผูกแล้วก็ลากไป แต่เราไม่สามารถถ่ายรูปได้ อย่างที่คอกวัวก็เห็นกับตา ยิงปุ้ง ร่วง แล้วเอาใส่รถทันที ไม่เข้าใจว่าทำไมข่าวไม่ลงให้เห็นๆ ว่ารัฐบาลเป็นอย่างนี้เหรอ ผมอยู่ตรงนี้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง วันที่สิบผมว่าหนักแล้ว มาวันนี้มันยิ่งกว่า

ศาลาแดงเห็นลากขึ้นรถกี่ ศพ? สี่ครับ ถูกทหารลากขึ้นรถไป ประชาชนที่อยู่ตรงนั้นเห็นหมด

ประมาณกี่โมง? กว่าทหารจะสลายได้ก็ประมาณสิบเอ็ดโมงแล้ว ทหารก็จะวิ่งสลับฟันปลาไปเรื่อยๆ จนถึงบีทีเอสราชดำริ พอถึงตรงนั้นหยุดนิ่งไม่มีเสียงปืน เลยถอนกำลังอาสาทั้งหมด มาอยู่บริเวณวัด ไม่มีเหตุการณ์อะไร พอซักบ่ายสองเริ่มมีเสียงระเบิดฝั่งเพลินจิต ด้านปทุมวันก็เริ่มมีการยิงกัน พอสามโมงกว่าๆ ณัฐวุฒิขึ้นแถลงการณ์มอบตัว เท่านั้นแหละ ระเบิดดังขึ้นทันที หลังเวทีต้องกระจาย ผมเข้าไปเอาเปล ถังออกซิเจน กระเป๋าพยาบาลของผมมาไว้ที่วัดเพื่อช่วยคนเจ็บ หลังจากนั้นก็ออกไปไหนไม่ได้แล้ว ผมต้องอยู่บริเวณวัดและทุกคนก็คิดว่าต้องปลอดภัยที่สุดแล้ว สี่ห้าโมงก็เริ่มแรงขึ้น มันหนักมาก ผมไม่คิดไม่ฝันว่าจะมีวันนี้ นึกว่าคอกวัวจะเป็นการยุติมากแล้ว แต่พอวันนี้มันหนักมากขึ้นเรื่อยๆ

ตอนสำนักงานตำรวจติดต่อจะมารับประชาชน ตอนเช้าประชาชน ให้ตำรวจมาพูดยังไง ทุกคนจะไม่ออก ถ้าไม่เห็นส.ส.ของพวกเขาเขาก็จะไม่ออก แล้วที่ผมไม่ออกก็เพราะคนยังออกไม่หมดไม่รู้จะเป็นไง แล้วผมก็ห่วงศพ ห่วงศพเพื่อนผมที่ตายว่าจะไปไหนหรือเปล่า ทุกคนก็กลัว ผมเลยต้องอยู่ให้ถึงที่สุด จะเป็นจะตายยังไงผมก็จะอยู่ตรงนั้นแหละ

--------------------------
ผู้เสีย ชีวิตบริเวณวัดปทุมวนาราม มี 6 ศพ ทราบชื่อภายหลัง ดังนี้

1. นายวิชัย มั่นแพ อายุ 61 ปี อยู่บ้านเลขที่ 31/1 หมู่ 7 ต . กระทุ่มล้ม อ . สามพราน จ . นครปฐม

2. นายมงคล เข็มทอง อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 3/24 แขวงและเขตปทุมวัน กทม เป็น เจ้าหน้าที่มูลนิธิปอเต็กตึ๊ง กระสุนทำลายปอด หัวใจ และตับ


3. นายอัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 41 หมู่ 11 ต . โพนทราย อ . โพนทราย จ . ร้อยเอ็ด เป็นนักศึกษาพึ่งเรียนจบ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง


4. นางกมลเกด อัคฮาด เจ้าหน้าที่อาสาของสภากาชาดไทย ถูกยิงเข้าที่ศีรษะทำให้สมองถูกทำลาย อายุประมาณ 40 - 45 ปี ซึ่งเป็นอาสาพยาบาล เสียชีวิตภายในเต็นท์พยาบาล


5. นายอัครเดช ขันแก้ว ชาว ต.หนองผือ อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งถูกยิงเข้ามีที่ศีรษะ ทำให้สมองถูกทำลาย


6. เป็นชายไม่ทราบชื่อกระสุนทำลายปอดและหัวใจ

หมายเหตุ
นายประสาท ภิมเภา ผู้ใหญ่บ้านหนองผือ อ.เขาวง กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นผู้ที่นำรถลงมารับศพนายอัครเดช ขันแก้ว กลับมาประกอบพิธีศพที่บ้าน ได้แจ้งเพิ่มเติมกับประชาไทว่าภายหลังจากที่เขาและคณะได้ไปรับศพผู้เสีย ชีวิตที่แผนกนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ แล้วจึงได้พบว่าในใบชันสูตรได้ระบุสาเหตุการตายของนายอัครเดชว่าเสียชีวิต เนื่องจากศีรษะกระทบกับของแข็ง คณะที่มารับศพจึงได้โต้แย้งไปว่าเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ทางโรงพยาบาลจึงแก้ไขให้เป็นการเสียชีวิตจากการถูกยิงเข้าที่บริเวณศีรษะ โดยกระสุนทะลุออกบริเวณแก้ม

เราไม่ได้แพ้ แต่รอขึ้นรถค้นต่อไป by คุณลูกชาวนาไทย from Thaifreenews

ก็ เป็น อันว่า รถ นปช. ได้ส่งเรามาถึงแค่นี้นะครับ ต่อไปคงต้องหารถคันอื่นขึ้นต่อไปครับ สงครามยังไม่จบ เป็นแต่เพียงขึ้นสู่ขั้นตอนใหม่เท่านั้นเอง พร้อมกับเงื่อนไขสงครามที่รุนแรงกว่าเดิม ตวามแค้นเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

สถานการณ์ ก็เคลื่อนจากขั้นตอนการปฎิรูป เข้าสู่ขั้นตอนปฎิวัติ

การ รณรงค์ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา คือกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของมวลชน เรียนรู้และปฎิบัติอย่างจริงจัง เครือข่ายได้มีโอกาสที่จะเรียนรู้ทั้งในขั้นตอนอุดมการณ์ นำอุดมการณ์มาสู่การปฎิบัติ สรุปบทเรียน และก้าวต่อไป

แน่นอน การต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม ย่อมต้องกินเวลานาน เพราะมันคือกระบวนการเปลี่ยนแปลงสังคมขนาดใหญ่ มีประชาการมาก คนทุกคนไม่อาจก้าวข้ามพัฒนาการที่สั่งสมกันเป็นเวลานานได้ทันที จะต้องสะสมการเรียนรู้ในการปฎิบัติจริงไปทีละขั้น

ผมเอง รู้มานานแล้วว่า ชัยชนะไม่อาจได้มาโดยง่าย แต่สงครามสองเดือนที่ผ่านมา ก็เป็นสิ่งจำเป็น ไม่อย่างนั้น คนก็ไม่เรียนรู้และหล่อหลอมความคิดขึ้นมาได้

ประชาธิปไตย สอนกันไม่ได้ ร้องขอก็ไม่ได้ มันต้องเรียนรู้ และต่อสู้ให้ได้มา ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่ยั่งยืนและคนก็ไม่ห่วงแหนมัน

การ เรียนจากตำรา ว่าประชาธิปไตยคืออะไร ไม่มีประโยชน์มากนัก เพราะ "คนเรียนรู้แบบท่องจำได้" แต่ "ทัศนคติ" ยังไม่เปลี่ยนแปลง ชอบบูชาเทพ ไม่ฟังเสียงประชาชน ก็ไม่อาจเป็นประชาธิปไตยได้

สังคมจึงต้องจ่ายค่าเล่าเรียนด้วยราคา แพง

มีคนถามผมเสมอ ก่อนวันนี้ว่า มันจะจบอย่างไร ?

ผมรู้ใน ทางยุทธศาสตร์ว่า เราจะต้องสร้างม็อบกดดันเวลาหนึ่ง แล้วยุติการชุมนุม ในเวลาอันเหมาะสม

แต่ที่ผมตอบไม่ได้คือ "จะยุติการชุมนุม" เพื่อไปสู้ในขั้นตอนต่อไปได้อย่างไร

เพราะ "จิตใจมวลชน" ยังไม่ยอมแพ้ เมื่อเขาไม่ยอมแพ้ การยุติการชุมนุมจึงเป็นเรื่องที่ไม่สมควร

ผม ไม่นึกว่าจะยุติการชุมนุมแบบนี้ แต่ "สถานการณ์ก็แก้ไขปัญหาให้เอง

ปี ทีแล้ว เราเจ็บปวด แต่เราก็เข็มแข็งกว่าเดิม จากสงกรานต์เลือด เรากระชากหน้ากากของ "บางคน" ได้

ปีนี้ "เราเจ็บปวดกว่าเดิม" แต่เราก็ "กระชากหน้ากาก" และ "ศรัทธาที่ทับทมเรามานานปีได้"

กำลัง ยิ่งใหญ่อย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน เราตกอยู่ในภาวะสะกดจิตมานาน การ "ตื่นขึ้น" จึงต้องจ่ายด้วยราคาแพง

แต่เราจะเข็มแข็งกว่าเดิม

ผม ไม่คิดว่า สงครามจะยกระดับขึ้นสู่ สถานการณ์ปฎิวัติได้
แต่มันก็ได้เกิด ขึ้นแล้ว

The Water buffalo has a political awareness. ตามที่นักข่าวในบีบีซีเขียนแล้ว

ขอบคุณเทวดาจริงๆ ที่สอนบทเรียนราคาแพงให้ ขอบคุณจริงๆ ครับ ///// ต่อรถที่รถไฟใต้ดินที่ หมู่บ้านแดงสยาม ได้เลยค่ะ

ขอขอบคุณ คุณ คุณลูกชาวนาไทย from Thaifreenews

แถลงการณ์ แดงสยาม ฉบับที่ ๔ โดย คุณ จักรภพ เพ็ญแข

แถลงการณ์แดงสยาม ฉบับที่ ๔
เรื่อง ย่างก้าวของขบวนประชาธิปไตย

แดงสยามได้ติดตาม สถานการณ์การเมืองในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓ ซึ่งลงท้ายด้วยการปราบปรามผู้เรียกร้องประชาธิปไตยด้วยกำลังทหารและกระบวน การทางกฎหมาย ได้ติดตามการประกาศยุติการชุมนุมเพื่อสงวนชีวิตมวลชน เมื่อวันพุธที่ ๑๙ พฤษภาคม และได้รับรู้ถึงความคับแค้นใจของมวลชนต่อการกระทำของระบอบอำมาตยาธิปไตยและ เผด็จการโบราณที่ติดตามมาหลังจากนั้น เราจึงขอแสดงจุดยืนดังนี้
๑. แดงสยามของคารวะต่อจิตใจต่อสู้ของมวลชนทั่วประเทศและในต่างประเทศ ที่ได้แสดงออกโดยตลอดมาอย่างผู้มีจิตใจสูงและมีทัศนะการเมืองที่ก้าวหน้า พร้อมที่จะก้าวข้ามอุปสรรคเฉพาะหน้าไปสู่เป้าหมายหลัก คือประชาธิปไตยที่แท้จริงในอนาคต เราขอยืนยันว่า การเสียสละของมวลชนทุกผู้ทุกนามในครั้งนี้ ไม่สูญเปล่า แต่กลับต่อยอดการจัดตั้งประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจนพ้นระดับปฏิรูป
๒. แดงสยามขอแสดงความชื่นชมต่อแกนนำผู้ที่ได้ตัดสินใจสงวนชีวิตมวลชนไว้อย่าง เต็มความสามารถเพื่อการต่อสู้ในอนาคต และขอประกาศว่าแกนนำทุกท่านมีส่วนร่วมในการเตรียมมวลชนครั้งสำคัญในครั้งนี้ ไม่ว่าเราจะเห็นสอดคล้องหรือแตกต่างอย่างไรในวิธีการ
๓. แดงสยามขอประกาศการสิ้นสุดลงของแนวทางปฏิรูปเพื่อประชาธิปไตย และเริ่มการปฏิวัติเพื่อสถาปนาระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริงขึ้นในประเทศไทย ณ บัดนี้

แถลงไว้ ณ วันพุธที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๓

-------------------------------------

The Announcement of Dang Sayam (Red Siam) No. 4
“Our Path Towards True Democracy”

Dang Sayam has been following the situation during the months of April and May of 2010, which ended in a brutal government suppression on all democracy advocates with the military forces and “the legal system”. We have followed the announcement to end a rally for democracy at Rajprasong on May 19 to save lives. And we have been witnessing the people’ discontent over Thailand’s aristocracy and its ancient regime.
Here are our stance:
1. We commend all individuals who gathered together for democracy, both in Thailand and overseas, in expressing the true courage and progressive political thoughts all along these years of uprising. They are clearly ready to overcome any immediate obstacles in order to achieve true democracy in the near future. We wish to insist that their devotion does not end in vain, but become a major continuation of the next stages.
2. We admire all UDD leaders in doing their very best to save precious lives of the people. Their contribution to our course is duly noted, despite a few differences in ways and means at times.
3. We declare that any attempt of “democratic reform” has now ended. From today, we begin the journey of democratic revolution of Thailand until we achieve one.

This is announced on Wednesday, May 19 of 2010.

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ตุลาการภิวัตน์ ในแบบ "ตี๋เหรินเจี๋ย" ผู้ค้ำจุนบัลลังก์


"ตี๋เหรินเจี๋ย" อาจเป็นชื่อที่คนไทยไม่คุ้นเคย หรือแทบไม่รู้จัก เว้นแต่ผุ้สนใจ
ประวัติศาสตร์ชาติจีน ในสมัยของพระนางบู๊เช็กเทียน

ตี๋เหรินเจี๋ย เป็นขุนนางคนสำคัญในสมัยราชวงศ์ถัง หรือมหาเสนาบดี ที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษ
ในการสืบสวนคดี ถือเป็นต้นแบบของ
"ตุลาการ" ในสมัยต่อมา การดำเนินชีวิตและการทำงานของเขา
ทำให้เกิดตำนานของนิยายแนวสืบสวนสอบสวน ถ้าเป็นคำพูดแบบจีน ก็ต้องเรียกว่า เป็นรหัสคดีของจีน
ซึ่งเก่าแก่กว่ายุคสมัยเปาบุ้นจิ้น และซ่งฉืด ในราชวงศ์ซ่ง ถึง 500 ปี

เรื่องราวของ
ตี๋เหรินเจี๋ย ต้องเรียกว่า ดึงดูดยิ่งนักกับความเป็นไป โดยเฉพาะความขัดแย้งในราชสำนัก
ไปสู่การแย่งชิงบัลลังก์ การทำศึกกับชนเผ่าเล็กเผ่นน้อยทางเหนือของประเทศ ถูกเรียบเรียงเป็น
คดีประวัติศาสตร์ที่น่าตื่นเต้นจากเนื้อหาซับซ้อนให้ติดตาม

สำคัญไปกว่านั้น ยังแทรกด้วยคติและแนวคิดแบบจีน ที่ให้ความรู้ประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์ถัง
จากภารกิจของชาติบ้านเมือง ตี๋เหรินเจี๋ย มีหน้าที่สะสางคดีในราชสำนัก นำไปสู่การกอบกู้วิกฤตบ้านเมือง
ชี้ให้เห็นถึงความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหา ด้วยไหวพริบ ปฏิฎาณ

ความเป็น ตี๋เหรินเจี๋ย นี้เอง ในฐานะเป็นแบบอย่างของขุนนางที่ดี ทุ่มเททำงานเพื่อบ้านเมือง
ประชาชน รับใช้ผู้คน ที่รู้ได้จากคำกล่าวของเขาที่ว่า
"ที่จริงชาวบ้านมีข้อเรียกร้องไม่สูง
ขอแต่ให้มีที่ดินทำกิน มีข้าวกินอิ่มท้อง หากเรื่องแค่นี้พวกเราชาวชุนนางยังทำไม่ได้
ก็ควรจะถอดหมวกประจำตำแหน่งออก"


หรือ
"การเป็นขุนนางแค่เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายคน เท่านี้ก็พอแล้ว
ไยต้องกังวลอะไรมากมาย"
จึงไม่แปลกหากมีขุนนางดีๆ ที่ผลักดันให้พระนางบูเช็กเทียน
ได้ริเริ่มทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ดีๆ จนได้รับการไว้วางพระทัย

ผู้แต่ง :
เฉียนเยี่ยนชิว ส่วนผู้แปล : เรืองชัย รักศรีอักษร เจ้าของผลงานที่เคยแปลเนื้อหา
คดีสืบสวนสอบสวนอย่าง "ยอดตุลาการราชวงศ์ซ่ง" ได้รับการตอบรับอย่างดีมาแล้ว
จะมาสร้างความตื่นเต้นของการสืบสวนในที่เกิดเหตุ ฉากต่อสู้ และความซับซ้อนของคดี
แทรกด้วยหลักคุณธรรมของการเป็นนักปกครองที่ดี ขุนนางที่ซื่อสัตย์ เดิมเป็นซีรีย์ออกอากาศ
ทางโทรทัศน์เรื่องดังที่ได้รับความนิยมในประเทศจีน ตั้งแต่ปี 2004-2010
(ภาคหนึ่ง 2004 ภาคสอง 2006 ภาคสาม 2008 ภาคสี่ 2010)

ชุดนี้ประกอบด้วยคดีใหญ่ 8 คดี เล่มแรกนี้มี 3 คดี คือ คดีสังหารคณะทูตทูเจี๋ย, คดีลายแทงอำมหิต,
และคดีรอยเลือดรูปพญาอินทรี ซึ่งทั้งหมดสามารถโยงไปสู่การลอบก่อกบฎต่อต้าน
พระนางหวู่เจ๋อเทียนได้ ทั้งยังแฝงวิธีคิดอย่างเป็นตรรกะ ทำให้มีความเป็นเหตุเป็นผล
และชวนติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ

ตุลาการภิวัตน์ทั้งหลายในบ้านเมืองของไทย สมควรอย่างยิ่ง ที่ต้องใช้สายตา
ไล่เรียงตัวอักษรจาก หนังสือเล่มนี้ เพื่อย้ำถึงภารกิจ หน้าที่อันถูกต้อง เที่ยงธรรม
เพื่อเป็นที่พึ่งของคนในชาติ และประเทศให้ดำรงอยู่ได้

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1271933487&catid=02

วันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553 เวลา 13:33:33 น.
มติชนออนไลน์

“ตี๋เหรินเจี๋ย” ขุนนางโดดเด่นที่เป็นพวก “ตงฉิน” ผู้เน้นคุณธรรมและความซื่อสัตย์

โดย หนอนอ้วน

ประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของจีนนับแต่สมัยที่ “กษัตริย์” หรือ จักรพรรดิ หรือ “ฮ่องเต้”
หรือ โอรสแห่งสวรรค์ยิ่งใหญ่และสูงส่งเพียงหนึ่งเดียวนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราว และเรื่องเล่ามากมาย
ทั้งในด้านดีและด้านร้ายของผู้ครอบครองความยิ่งใหญ่ไว้ ในกำมือเพียงผู้เดียวซึ่งถูกบันทึก
อยู่ในหน้ากระดาษแห่งประวัติศาสตร์

ยุคสมัยที่ได้รับการหยิบยกมาเล่าเรื่องมากที่สุดยุคหนึ่งก็คือ ยุคที่จีนถูกปกครองโดยจักรพรรดิ
ทีเป็นผู้หญิง ที่รู้จักกันทั่วโลกในนาม พระนางหวู่เจ๋อเทียน หรือ บู๊เช็กเทียน ที่ถูกนำมาสร้างเป็น
นิยายอิงประวัติศาสตร์ในหลากรูปแบบทั้ง ในแบบหนังสือ และภาพยตร์จอเงิน จอแก้ว

ในแต่ละยุคสมัยของจีนก็จะมีขุนนางโดดเด่นที่เป็นพวก “ตงฉิน” คือเน้นคุณธรรม ความซื่อสัตย์
บางท่านก็เด่นในทางบู๊ คือพวกนักรบ บางท่านก็เด่นเชิงบุ๋น คือพวกนักคิดนักวางแผน

สมัยของพระนางบู๊เช็คเทียน มีขุนนางสำคัญท่านหนึ่งซึ่งเป็นถึงมหาเสนาบดีคู่บัลลังก์
ซึ่งมีความเชี่ยวชาญพิเศษในด้านการสืบสวนสอบสวนคดี ซึ่งถือเป็นต้นแบบตุลาการจีน
เลยก็ว่าได้ ซึ่งมีนามว่า “ตี๋เหรินเจี๋ย” หลายคนอาจไม่คุ้นชื่อเสียงนามเพราะเป็นยุคที่เก่ากว่า
ยุคเปาบุ้นจิ้นและยุคซ่งฉือถึงห้าร้อยปี

ที่สุด ตี๋เหรินเจี๋ย ก็เป็นที่รู้จักอย่าแพร่หลายเมื่อ เฉียนเยี่ยวชิว นักเขียนจีนได้หยิบเรื่องราวของเขา
มาถ่ายทอดเป็นนิยายสืบสวน หรือรหัสคดีอิงประวัติศาสตร์ที่อ่านสนุก ตื่นเต้นและซับซ้อน
ชวนค้นหาตลอดทั้งเรื่องในชื่อ ตี้เหรินเจี๋ย นักสืบคู่บัลลังก์

สำนักพิมพ์มติชน ได้เลือกหยิบรหัสนิยายเรื่องนี้มานำสู่สายตานักอ่านชาวไทยให้ไได้สัมผัสต้น
แบบของการสืบสวนสอบสวนที่สนุกเข้มข้นจนวางไม่ลงผ่านสำนวนการแปลของ เรืองชัย รักศรีอักษร
ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 4 เล่ม ตอนนี้วางแผงก่อนหนึ่งเล่มในชื่อตอน
“สกัดแผนโค่นอำนาจบู๊เช็คเทียน”
ซึ่งจะเป็นการสืบสวนคดีใหญ่ 3 คดี ที่มีเงื่อนงำซับซ้อนและผลิกผันอย่างไม่น่าเชื่อ

คดีแรก เป็นคดีสังหารคณะทูตทูเจี๋ย ที่กระทบถึงความสำพันธ์ระดับชาติ ระหว่างราชสำนักจีน
กับ แคว้นทูเจี๋ย ซึ่งมีความซับซ้อนยิ่ง แต่ตี๋เหรินเจี๋ยก็ค่อยๆ แก้ปมปลดรหัสคดีได้ทีละเปราะๆ
ทำให้เราได้เห็นถึงความรอบคอบ ช่างสังเกต และไม่ด่วนสรุปหากปราศจากหลักฐานและเหตุผลรองรับ
ทำให้คดีคลี่คลายลงได้ และได้มาซึ่งขุนพลคู่ใจ หลี่หยวนฟาง ซึ่งเป็นตัวละครหลักที่ช่วยไข
คดีปริศนามากมายต่อมาด้วย

อีกสองคดีที่อยู่ในตอนนี้คือ คดีฆาตกรรมต่อเนื่องที่อำเภอหูโจว และ คดีรอยเลือดรูปพญาอินทรี
ซึ่งเข้มข้นไม่แพ้กัน ซึ่งทุกคดีล้วนโยงไปสู่การลอบก่อกบฎต่อต้านพระนางหวู่เจ๋อเทียนทั้งสิ้น

แฝงด้วยตรรก ชวนให้ติดตามสอดรับในเรื่อง “เหตุ” และ “ผล” ได้อย่างชัดเจน

http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2010/03/K8972512/K8972512.html


http://roch.clubdara.com/topic.php?topic=795

พระนางเจ้า อู่เจ๋อเทียน (บู่เซ็กเทียง) ฮ่องเต้ สตรี

องค์แรก, องค์เดียว ใน ปวศ. จีน

ประวัติราชวงศ์ ถัน (ทั้ง) พ.ศ. 1161 - พ.ศ. 1650

ภายหลังพระเจ้า สุยหยานตี้ (ซุยเอี่ยงตี่) พ.ศ. 1147 - พ.ศ. 1160 ภายในพระราชสำนักเกิดความวุ่นวาย
แต่ภายนอกประเทศยังเกิดกรณีย์พิพาทกันคนต่างชาติ สร้างความลำบากยุ่งยาก ยากจนสิ้นเนื้อประดาตัว
แก่บรรดาเหล่าราษฎร ด้วยการรีดนาทาเร้นภาษีอากรของรัฐบาล ในขณะเดียวกัน ก็เกิดเภทภัยธรรมชาติ
อุทกภัยและความแห้งแล้งไปทั่วทุกหัวระแหง การดำรงชีพความเป็นอยู่ของเหล่าประชาชนสุดแค้นแสนลำบาก
จึ่งเกิดบรรดาเหล่าผู้กล้าของแต่ละท้องที่ พากันลุกฮือขึ้นมา ขณะนั้น เจ้าเมือง ไท่หยวน (ไท้ง้วง)
หลี่ย่าน (หลี่เอี่ยง) ก็เป็นหนึ่งในผู้กล้าเหล่านั้น พ.ศ. 1160 เขาได้เริ่มก่อการขึ้นที่เมือง จิ้นหยาน (จิ่งเอี้ยง)
ปัจจุบันคือเมือง ไท่หยวน ในมณฑล ซานซี ยกทัพข้ามแม่น้ำเหลืองมาโจมตี นคร ฉานอาน (เชี่ยงอัง) หรือ
เมือง ต้าซิ่น (ไต่เฮง..ชื่อในสมัยนั้น) ปีต่อมา ข่าวการเสด็จสวรรคตของพระเจ้า สุยหยานตี้ ได้แพร่กระจาย
หลี่ย่าน จึ่งได้ทรงตั้งตนเป็น ฮ่องเต้ สถาปนาราชวงศ์ ถัน ซึ่งก็คือพระเจ้า ถันเกาจู่ (ทั้งเกาโจ้ว)
พ.ศ. 1161 - พ.ศ. 1169

ราชวงศ์ ถัน พ.ศ. 1161 - พ.ศ. 1450 ดำรงราชวงศ์มาได้ 289 ปี มีฮ่องเต้ ครองราชย์ 20 องค์ คือ

1 . พระเจ้า ถันเกาจู่ (ทั่งเกาโจ้ว) หลี่ย่าน (หลี่เอี่ยง) ครองราชย์ พ.ศ. 1161 - พ.ศ. 1169 อยู่ในพระราชสมบัติ 8 ปี

2 . พระเจ้า ถันไท่จง (ทั่งไท้จง) หลี่ซื่อหมิน (หลี่ซี้มิ้ง) ครองราชย์ พ.ศ. 1169 - พ.ศ. 1192 อยู่ในพระราชสมบัติ 23 ปี

3 . พระเจ้า ถันเกาจง (ทั่งเกาจง) หลี่ชิ่ (หลี่ตี่) ครองราชย์ พ.ศ. 1192 - พ.ศ. 1226 อยู่ในพระราชสมบัติ 34 ปี

4 ( 1 ) . พระเจ้า ถันจงจง (ทั่งตงจง) หลี่เซี่ยน (หลี่เ
+++่ยง) ครองราขย์ พ.ศ. 1226 - พ.ศ. 1227 อยู่ในพระราชสมบัติ 1 ปี

5 ( 1 ) . พระเจ้า ถันยวิ่ (ทั่งหยวย) หลี่ตั้น (หลี่ตั่ง) ครองราชย์ พ.ศ. 1227 - พ.ศ. 1233 อยู่ในพระราชสมบัติ 6 ปี

4 ( 2 ) . พระเจ้า ถันจงจง หลี่เซี่ยน ครองราชย์ พ.ศ. 1248 - พ.ศ. 1253 อยู่ในพระราชสมบัติ 5 ปี

5 ( 2 ) . พระเจ้า ถันยวิ่ หลี่ตั้น ครองราชย์ พ.ศ. 1253 - พ.ศ. 1255 อยู่ในพระราชสมบัติ 2 ปี

6 . พระเจ้า ถันเสี้ยนจง (ทั่งเ
+++่ยงจง) หลี่หลงจี (หลี่ล่งกี) ครองราชย์ พ.ศ. 1255 - พ.ศ. 1299 อยู่ในพระราชสมบัติ 44 ปี

7 . พระเจ้า ถันซู่จง (ทั่งซกจง) หลี่เฮง (หลี่เฮง) ครองราชย์ พ.ศ. 1299 - พ.ศ. 1305 อยู่ในพระราชสมบัติ 6 ปี

8 . พระเจ้า ถันไต้จง (ทั่งต่อจง) หลี่ยู่ (หลี่อื๋อ) ครองราชย์ พ.ศ. 1305 - พ.ศ. 1322 อยู่ในพระราชสมบัติ 17 ปี

9 . พระเจ้า ถันเต๋อจง (ทั่งเต็กจง) หลี่ซี่ (หลี่เส็ก) ครองราชย์ พ.ศ. 1322 - พ.ศ. 1348 อยู่ในพระราชสมบัติ 26 ปี

10 . พระเจ้า ถันซุ่นจง (ทั่งสุ่งจง) หลี่ซ่ง (หลี่สง) ครองราชย์ พ.ศ. 1348 อยู่ในพระราชสมบัติไม่กี่เดือน

11 . พระเจ้า ถันเสียนจง (ทั่งเอี่ยงจง) หลี่ซุ่น (หลี่สุง) ครองราชย์ พ.ศ. 1348 - พ.ศ. 1363 อยู่ในพระราชสมบัติ 15 ปี

12 . พระเจ้า ถันมู่จง (ทั่งมกจง (หลี่เฮง หลี่เฮง) ครองราชย์ พ.ศ. 1363 - พ.ศ. 1367 อยู่ในพระราชสมบัติ 4 ปี

13 . พระเจ้า ถันจิ่นจง (ทั่งเก่งจง) หลี่ทาน (หลี่ตำ) ครองราชย์ พ.ศ. 1637 - พ.ศ. 1369 อยู่ในพระราชสมบัติ 2 ปี

14 . พระเจ้า ถันเหวินจง (ทั่งบุงจง) หลี่อาน (หลี่อั่ง) ครองราชย์ พ.ศ. 1369 - พ.ศ. 1383 อยู่ในพระราชสมบัติ 14 ปี

15 . พระเจ้า ถันอู่จง (ทั่งบู่จง) หลี่ย่าน (หลี่เอี๋ยม) ครองราชย์ พ.ศ. 1383 - พ.ศ. 1389 อยู่ในพระราชสมบัติ 6 ปี

16 . พระเจ้า ถันซวนจง (ทั่งซวงจง) หลี่ซิ่น (หลี่ซิ่ม) ครองราชย์ พ.ศ. 1389 - พ.ศ. 1402 อยู่ในพระราชสมบัติ 13 ปี

17 . พระเจ้า ถันยิจง (ทั่งอี่จง) หลี่ซุย (หลี่สุย) ครองราชย์ พ.ศ. 1402 - พ.ศ. 1416 อยู่ในพระราชสมบัติ 14 ปี

18 . พระเจ้า ถันซีจง (ทั่งฮีจง) หลี่ฮวาน (หลี่ฮ้วง) ครองราชย์ พ.ศ. 1416 - พ.ศ. 1431 อยู่ในพระราชสมบัติ 15 ปี

19 . พระเจ้า ถันเจ้าจง (ทั่งเจียวจง) หลี่หัว (หลี่ฮั้ว) ครองราชย์ พ.ศ. 1431 - พ.ศ. 1447 อยู่ในพระราชสมบัติ 16 ปี

20 . พระเจ้า ถันไอตี้ (ทั่งไอตี่) หลี่จู๋ (หลี่จก) ครองราชย์ พ.ศ. 1447 - พ.ศ. 1450 อยู่ในพระราชสมบัติ 3 ปี

ยามเมื่อ หลี่ย่าน บุกยึดนคร ฉานอาน นั้น ทรงแก้ไขกฎหมายกดขี่ของราชวงศ์ สุย เช่น ทุกคน
แม้กระทั่งสามีภรรยา ต้องจ่ายค่าเช่านาให้แก่รัฐบาลเป็นข้าวเปลือกคนละ 3 สือ (เจี๊ยะ)
แก้ให้เป็นเสียคนละ 2 สือ สามีภรรยามิต้องเสีย ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎร
ขณะเดียวกันก็แก้ไขบทลงโทษทางอาญาต่อแผ่นดิน 12 ข้อ ยกเว้นการฆ่าคน, ปล้นสะดม, หนีทหาร,
เป็นกบฏ, ต้องโทษประหาร เป็นการซื้อใจประชาชนยังประโยชน์แก่สังคม ขณะเดียวกัน เหล่าผู้กล้า
ที่ลุกฮือขึ้นต่อต้านราชวงศ์ สุย พร้อมกับเขามีอีกจำนวนมิน้อย แต่ทว่า ดินแดนที่ หลี่ย่าน ยึดครอบครอง
ได้นั้นส่วนใหญ่อยู่ทาง กวนจง (กวงตง) เป็นพื้นที่ที่มิสำคัญแก่ทางการเมือง มิเหมาะแก่การส้องสุมกำลังทหาร
อีกทั้งเป็นทำเลมิเหมาะแก่การบุกหรือเฝ้ารักษา อีกทั้งโอรสองค์รองของ หลี่ย่าน เจ้าชาย หลี่ซื่อหมิน
เป็นนักรบระดับกุนซือหัวสมอง ทรงช่วยพระองค์ก่อการสำเร็จอย่างใหญ่หลวง พวกเขาได้วางแผนบุกยึด
ดินแดนแม่น้ำเหลือง และบุกตะลุยยึดถึงลุ่มใต้แม่น้ำ ฉานเจียน (เชี่ยงกัง) จนถึงปี พ.ศ. 1167
แต่ละพื้นที่ที่ถูกเก่งแย่งยึดอำนาจ ก็ถูกปราบปรามรวบรวมไว้ในพระราชอำนาจ เป็นการริเริ่มการรวบรวม
ประเทศจีนได้อีกครั้งหนึ่ง

พ.ศ. 1169 เมื่อผ่านกรณีย์ เสียนอู่เหมิน (เ
+++่ยงบู่ มึ้ง) คือภายหลังการครองราชย์ ของพระเจ้า ถันเกาจู่
ทรงแต่งตั้งโอรสองค์โตเจ้าชาย หลี่เจี้ยนเฉิน (หลี่เกี่ยงเซ้ง) เป็นองค์รัชทายาท โอรสองค์รองเจ้าชาย
หลี่ซื่อหมิน เป็นเจ้า ฉินหวาง (ชิ่งอ๊วง) โอรสพี่น้องทั้งสองมีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง

ฉะนั้น เมื่อเดือนที่ 6 เจ้า หลี่ซื่อหมิน ทรงซุ่มวางกองกำลัง ณ ประตูวัง เสียนอู่เหมิน ทรงยิงเกาทัณฑ์
ปลงพระชนม์องค์รัชทายาท สิ้นพระชนม์ พระเจ้า ถันเกาจู่ ทรงยกพระราชบัลลังก์แก่โอรสองค์รอง
เจ้าชาย หลี่ซื่อหมิน เมื่อเดือนที่ 8 ทรงเปลี่ยนชื่อปีเป็นศักราช เจินกวน (เจ็งกวง) นั่นก็คือพระเจ้า ถันไท่จง
อันมีชื่อเสียงทางประวัติศาสตร์จีน ภายใต้การนำการปกครองของพระองค์ ใต้หล้าสุขสงบร่มเย็น
ประชาราษฎร์มั่งมีมั่งคั่ง การศึกษาและการทหารเจริญรุ่งเรือง นักประวัติศาสตร์ขนานนามประวัติศาสตร์
ช่วงนี้ว่า “ระบบการปกครอง เจินกวน” เป็นยุคเริ่มสู่ความเจริญของราชวงศ์ ถัน เหตุเพราะว่า
พระเจ้า ถันไท่จง ทรงมีพระสติปัญญาเฉลียวฉลาดทันคน และรอบรู้ และเพราะว่าพระองค์ทรง
ตั้งพระทัยเป็น ฮ่องเต้ นักปกครอง พระเจ้า ถันไท่จง ทรงตรัสถามขุนนางของพระองค์ว่า

“การตั้งตนเป็นเจ้า กับการรักษาความเป็นเจ้า อย่างไหนลำบากยิ่งกว่า”

ขุนนาง ฝานเสี้ยนหลิน (ปั่งเ
+++่ยงเล้ง) ทูลตอบ

“รากหญ้าเพิ่งแตกราก พระองค์ทรงเก่งแย่งกับเหล่าผู้กล้า ภายหลังพระองค์ทรงร่วมแรงร่วมใจ
กับเหล่าขุนนางการตั้งตนเป็นเจ้าลำบากยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”

ขุนนาง เว่ยเจิ้น (งุ่ยเจ็ง) กราบทูลว่า

“แต่สมัยโบราณมา เจ้าทั้งหลายตั้งตัวเองลำบาก แต่หากปราศจาก
ความร่มเย็นเป็นสุข การรักษาความเป็นเจ้ายิ่งลำบากกว่าพ่ะย่ะค่ะ”


ถันไท่จง ทรงตรัสว่า

“เสี้ยนหลิน ร่วมกับข้าปราบปรามใต้หล้า ออกรบร้อยตาย กลับมาหนึ่งเป็น จึ่งรู้ว่าการตั้งตนเป็นเจ้า
แสนลำบาก เจิ้น ร่วมมือกับข้าปกครองใต้หล้าสุขสงบ หวังความสุขร่ำรวยนั้นอยู่ยั้งมั่นคง แต่ยังคงเกรงว่า
อุบัติเพสภัยจักเกิดกะทันหันเมื่อหนึ่งเมื่อใด จึ่งรู้ว่าการรักษาความเป็นเจ้าลำบากยากยิ่ง ในทางกลับกัน
การตั้งตนเป็นเจ้านั้นลำบาก แต่การรักษาความเป็นเจ้ายิ่งลำบาก ดั่งนั้น จึ่งต้องขอความร่วมมือร่วมใจ
ของเหล่าท่านทั้งหลายแล้ว”

จักเห็นได้ว่า สติปัญญาการชิงไหวชิงพริบ พระเจ้า ถันไท่จง ย่อมเหนือกว่าบุคคลธรรมดา

ในปลายยุคสมัยราชวงศ์ สุย การปกครองล้มเหลว ประชาชนลุกฮือขึ้นมาต่อต้านกันทั่วประเทศ
เป็นบทเรียนที่มิทรงลืมเลือนแก่พระเจ้า ถันไท่จง พระองค์ทรงตรัสว่า

“น้ำสามารถพยุงเรือลอย ทำนองเดียวกันก็สามารถทำให้เรือจม เหล่าประชาชน
จึ่งเปรียบเสมือนน้ำ ชนชั้นปกครองเปรียบเสมือนลำเรือ ดั่งนั้น การปกครอง
จึ่งต้องอาศัยความเป็นธรรม รักความยุติธรรม สร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ให้แก่ประชาชน เกิดความสุขสงบในสังคม”


พระองค์ทรงเลือกแฟ้นเหล่าขุนนางเป็นข้าหลวงปกครองท้องถิ่นด้วยทรงระมัดระวัง ทรงให้บันทึกชื่อ
ขุนนางที่มีความดีความชอบ หรือมีโทษเป็นที่เสื่อมศรัทธา พระองค์จักทรงพิจารณาด้วยพระองค์เอง
เป็นระบบการปกครองที่โปร่งใส สร้างความสุขสงบอันร่มเย็นแก่เหล่าประชาราษฎร์

พระเจ้า ถันไท่จง นอกจากทรงมีพระสติปัญญาเหนือผู้คนแล้ว พระองค์ยังทรงเป็นนักดูคน ทรงรู้จัก
การใช้ผู้คนอันชาญฉลาด นับว่าเป็น ฮ่องเต้ นักปกครองที่หาได้ยากยิ่งในประวัติศาสตร์
การคัดเลือกขุนนางไปเป็นข้าหลวงปกครองท้องถิ่นนั้น พระองค์ทรงพิถีพิถันทรงใช้เวลาไตร่ตรอง
ด้วยความรอบคอบ นับเป็นความสำเร็จของพระองค์ในการบริหารประเทศ ต่อเมื่อพระองค์ทรงขึ้นครองราชย์
พระองค์ทรงมิโปรดวงศ์ษาคณาญาติของพระองค์ผู้ใดเป็นใหญ่โดยส่วนพระองค์ พระองค์ทรงใช้แต่
ผู้ที่พระองค์ทรงเห็นว่ามีสติปัญญาความสามารถ ดั่งเช่น ฝานเสี้ยนหลิน, ตู้หรูฮุ่ย (โต่วยู่ห่วย), และ เว่ยเจิ้น ฯ ล ฯ

เมื่อยุคสมัย เจินกวน มีขุนนางผู้กล้ามีสติปัญญาจำนวนมาก มีเพียง ฉานซุนอู๋จี้ (เชี่ยงซุงบ่อกี๋) เท่านั้น
ที่เป็นพระประยูรญาติ ฝานเสี้ยนหลิน, และ ตู้หรูฮุ่ย เป็นขุนนางส่วนพระองค์เมื่อครั้งทรงดำรงตำแหน่ง
เป็นเจ้า ฉินหวาง ส่วนคนอื่นดั่งเช่น เว่ยเจิน, เดิมเป็นบริวารขององค์รัชทายาท หลี่เจี้ยนเฉิน เว่ยฉีจิ่นเต๋อ
(วุยชี่เก่งเต็ก), หลี่จิ้น (หลี่เจ๋ง), เป็นขุนนางที่เข้ามาสวามิภัคดิ์ ขุนนางเหล่านี้ ต่างให้ความคิดเห็นตรงไปตรงมา
บางครั้งก็สร้างความขุ่นเคืองให้กับพระองค์ นั่นก็คือขุนนาง เว่ยเจิน ได้ให้คำแนะนำที่ขัดแย้งเป็นที่
พิโรธแก่พระองค์

มีคนแอบทูลกระซิบพระองค์ว่า ขุนนาง เว่ยเจิน ช่างหลงใหลตนเอง กราบทูลพระองค์ก็เพื่อหวัง
ผลประโยชน์ส่วนตัว พระเจ้า ไท่จง ทรงใช้ขุนนาง อุนยานฟู่ (อุงง่างพัก) ไปสอบถามขุนนาง เว่ยเจิน
มิกี่วันต่อมา เว่ยเจิน เข้าเฝ้ากราบทูลว่า

“ข้าพระองค์ขอกราบทูลว่า ความซื่อสัตย์ของข้าพระองค์ ก็ดั่งขุนนางทั่วๆ ไป หากทั่ว ๆ ไป
มิเชื่อใจข้า ก็ดั่งขุนนางทั่ว ๆ ไป ซึ่งข้าพระองค์มิอาจกราบบังคมทูลพ่ะย่ะค่ะ”

ไท่จง จึ่งทรงเข้าพระทัย ทรงตรัสว่า

“ข้ารู้แล้วละ”

เจิน กราบทูลอีกว่า

“ข้าพระองค์ยินดียิ่งที่รับใช้ฝ่าบาท ข้าพระองค์รับใช้ฝ่าบาทด้วยใจ หาใช่ความสัตย์ไม่”

พระเจ้า ถันไท่จง ทรงตรัส

“ขุนนางประเสริฐ และขุนนางซื่อสัตย์ มิใช่เช่นเดียวกันหรอกหรือ”

เว่ยเจิน ทูลตอบ

“ที่ทาง, โฉนด, เนินน้ำ, อยู่ในควบคุมของขุนนางประเสริฐ หลงฟง (เล่งฮง), ปีกาน (ปี่กัง)
สละชีพเพื่อชาติ เป็นขุนนางผู้ซื่อสัตย์พ่ะย่ะค่ะ”

นี่คือความสามารถของผู้ที่โดดเด่นในประวัติศาสตร์ เขาเหล่านั้น ได้ร่วมเชิดชูราชวงศ์ด้วยความตั้งใจ
และสมัครใจ เป็นการใช้คนของพระเจ้า ถันไท่จง อย่างมีประสิทธิภาพ

พระเจ้า ถันไท่จง ทรงเห็นการตรวจสอบของขุนนางราชวงศ์ สุย อย่างมิมีประสิทธิภาพ เป็นเหตุให้
ราชวงศ์ สุย ล่มจมอย่างรวดเร็ว พระองค์จึ่งทรงตรวจสอบขุนนางอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเริ่มแรก
พระองค์ทรงพิโรธคำกราบทูลของขุนนาง เว่ยเจิน ทรงดำริคิดประหาร แต่ด้วยคำทูลอันหนักแน่น
ของขุนนาง เว่ยเจิน พระองค์ทรงจดจำเป็นบทเรียน ต่อเมืองขุนนาง เว่ยเจิน เจ็บป่วยถึงแก่อาสัญกรรม
พระองค์ทรงจัดงานศพด้วยน้ำพระเนตรร่วง ทรงตรัสว่า

“กระจกทองเหลือง เปรียบเสมือนหมวกเสื้อผ้าของคน กระจกโบราณ
เปรียบเสมือนรู้แจ้งความดีชั่ว กระจกของผู้คน สามารถสอดส่องอุปนิสัยของคน
ข้าสูญเสีย เว่ยเจิน เปรียบเสมือนกระจกของข้าสูญสิ้น”


การตรวจสอบขุนนางนั้นแม้นเป็นเรื่องยาก
แต่การตรวจสอบอุปนิสัยของขุนนางนั้นยิ่งยากกว่า

พระเจ้า ถันไท่จง ทรงนับได้ว่าเป็นผู้นำที่สามารถตรวจสอบจิตใจของขุนนางในประวัติศาสตร์

พระเจ้า ถันไท่จง ทรงสนับสนุนการศึกษาวิยาการ เมื่อพระองค์ยังทรงเป็นเจ้า ฉินหวาง
พระองค์ทรงตั้งสถานบันการศึกษา ทรงรวบรวมเหล่าบัณฑิตมาเผยแพร่

ความรู้ เมื่อพระองค์ทรงขึ้นครองราชย์ ขุนนางบัณฑิต หงเหวินเตี้ยน (ฮ่งบุงเต่ย) ได้รวบรวม
หนังสือวิชาการถึง 20 หมื่นบท

การรับบัณฑิตผู้มีความรู้มารับราชการ จำต้องเปิดโรงเรียนเผยแพร่ความรู้ จากจำนวนคนเป็นหมื่น
คัดเลือกคนมารับราชการมิกี่คน ด้วยพระราชดำริของพระเจ้า ถันไท่จง นี้ จึ่งมีเหล่าบัณฑิตเข้าเมืองหลวง
มาศึกษาทุกทิศทาง มีเหล่าบัณฑิตจากประเทศ เกาหลี, ไป่จี้ (เปะจี่), ซินลอ (ซิงล้อ..เกาหลี), ถู่ฟาน
(โถ่วฮวง..ธิเบต) มาร่วมชุมนุม ดังนั้น การศึกษาของยุคนี้ นับว่าเจริญยิ่ง