วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553



ภาพถ่ายผู้ที่กระทำการเผา เซ็นทรัลเวิลด์... ข้อ สังเกตุ... ผ้ารัดข้อมือ พร้อมกับสวมถุงมือ ไว้ด้วย
ภาพเหล่านี้ แสดงลักษณะการแต่งกาย เฉพาะ ตน กลุ่มคนที่ใส่เสือแบบนี้ ... เป็นกลุ่มไหนน่าาาา


























ออ... พวกนี้ นี้เอง...
























-------------------------------------------------







รวม 28 พระคาถา จากหลวงพ่อฤาษีลิงดำ(พระราชพรหมยาน)

1. พระพุทธคาถา

สัมมาสัมพุทธัสสะ พระอะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ

สวดทุกคืน คืนละ 7 จบ
อานุภาพคาถามีดังนี้

1. ศัตรูจะพินาศไปเองเมื่อคิดประทุษร้าย
2. จะเกิดผลในด้านมงคลทุกประการตามที่ปรารถนา
3. จะสามารถเห็นได้แจ่มแจ้งด้วยญาณ เห็นได้ชัดเจนทุกประการ และทุกขณะที่ประสงค์จะเห็น
4. เป่าให้ศิษย์ผู้เรียนทิพยจักขุญาณ และเรียนไปปรโลกได้ มีญาณเครื่องเห็นแจ่มใส

..............................................

2. คาถาพระปัจเจกพระพุทธเจ้า

ตั้ง นะโมฯ 3 จบก่อนแล้ว นมัสการสรณคมณ์ (พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆังสรณัง คัจฉามิ) แล้วให้สมาทานศีล 5 (ปาณา ฯลฯ สุราเมระยะฯ )แล้วจึงท่อง พุทธะ มะ อะ อุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมานะ พุทธัสสะ สวาโหม

สวดเช้าเย็น ครั้งละ 9 จบ จะทำให้มีความคล่องตัวในความเป็นอยู่ เงินไม่ขาดมือ

............................

3. คาถาอภิญญารวม

โสตัตตะภิญญา

.........................

4. คาถารวมจิต

อิติ สัมมาสัมพุทธัสสะ มะมะ จิตตัง

....................................

5. คาถาปราโมทย์

ปราโมทย์

.....................................

6. คาถาพระนิพพานนิมิต

นิมิตจิตติ นิมิตจิตตา นิพพานจิตติ นิพพานจิตตา

.......................................

7. คาถาขีณาสวา อนิยตา และนิพพานสุขัง

ขีณาสวา อนิยตา และนิพพานสุขัง

........................................

8. คาถาเรียกจิตคน

เอหิจิตตังปิยังมะมะมามา ยัง มะมะ(เรียกจิตคนสำหรับเทศน์ อบรม สนทนา ทำให้ใจคนน้อมมาหา)

........................................

9. คาถาสนองกลับผู้กระทำไสยศาสตร์

สัมปจิตฉามิ

.................................................

10. คาถาป้องกันคุณไสย และกันยาพิษ ยาสั่ง

เมสัมมุขา สัพพาหะระติ เตสัมมุขา

..........................................

11. คาถากำบังตัว

สัมปะติจฉามิ

......................................

12. คาถากันฟ้าผ่า

อากาเสจะ พุทธทิปังกะโร นะโมพุทธายะ

..........................................

13. คาถาสมเด็จพระพุทธกัสสป

พุ ทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ ศัตรูทั้งหลาย วินาศสันติ พุทธัง มัดจิต ธัมมัง มัดใจ โรคภัยทั้งหลาย วินาศสันติ ฆะเตสิ ฆะเตสิ กิงกะระณัง ฆะเตสิ อะหังปิตัง ชานามิ ชานามิ

.............................................

14. คาถาพระอินทร์

สหัสสเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสทายิ

(ใช้กับการเรียน ให้อ่านหนังสือแล้วจำได้ ทำข้อสอบได้)

......................................

15. คาถาพระยายม

นะโมพุทธายะ

......................................

16. พุทธคาถา

มหาวิชโย โหหิ อสังวาโส

(ภาวนากันอันตรายทุกอย่าง ผู้คิดร้าย จะย่อยยับไปเอง เป็นมหามงคลทุกอย่าง)

..........................................

17. คาถาเมตตา

พระอรหัง สุคโต ภควา นะเมตตาจิต

(คาถา บทนี้ หลวงพ่อบอกว่าให้ใช้เวลาไปติดต่อผู้อื่น เพื่อขอความช่วยเหลือ โดยก่อนจะออกจากบ้าน ให้นึกใบหน้าของผู้ที่เราจะไปหาก่อน แล้วภาวนาคาถาบทนี้ไปด้วย เมื่อไปพบแล้วจะสำเร็จผลตามที่ต้องการ

คาถาบทนี้หลวงพ่อท่านบอกว่าเป็นคาถาของ หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง ภูเก็ต)

.........................................

18. คาถาสมเด็จประทาน

มหาโคตมะ ปาทะเกหิ จะ อปาทะเกหิ เม เมตตัง เมตตัง

(เสกของต่างๆ ให้มนุษย์ จะได้มีจิตเมตตาต่อกัน เสกอะไรก็ได้)

....................................

19. คาถาพระโมคคัลลานะ ประทาน

1. อิติ สุกขติ สุกขโต
(ทำน้ำมนต์ให้คนอยู่ในบ้าน จะได้รับความเมตตาเป็นพิเศษ)

2. อิติ สุคติ สุคโต
(ทำน้ำมนต์ให้คนเดินทาง จะประสบผลสมประสงค์และปลอดภัยทุกประการ)

.........................................

20. คาถาท่านท้าวเวสสุวัณ

พยัคฆา พยัคฆัง มานี่ให้หมด

(เป็นคาถาภาวนาให้คนมารวมกัน อธิษฐานเอาตามใจ ภาวนาเรียกเสกแป้ง สีผึ้งก็ได้)

.......................................

21. คาถาป้องกันอันตราย

รูปพระพุธโธ โหหิ

(ภาวนาคาถานี้ เสกน้ำลายกลืนลงไปก่อนออกจากบ้าน ท่านกล่าวว่า แม้ปืนก็ยิงไม่ออก)

.......................................

22. คาถานวด

อิมัสมิงมาเล อิมังเต มาสัง วัสสัง อุเปมิ

(นึกถึงพระรัตนตรัยก่อนว่าคาถา แล้วให้ภาวนาเรื่อยไปขณะนวด)

................................................

23. คาถาเสกของขายภายในร้าน

นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอออนออะ นะอะกะอัง อุมิอะมิ มหิสุตัง สุนะพุทธัง สุอะนะอะ

...........................................

24. คาถาให้สารภาพ

กัณหัง อเสนโต อเทสยิ

(บอกความจริงให้หมด)

...............................................

25. คาถาท่านท้าวมหาราชทั้ง 4

อิติ สัมมาสัมพุทธัสสะ พระอรหังรักษา

(ท่านบอกว่าท่องคาถาบทนี้แล้ว ไม่ต้องกลัวอันตราย)

..........................................

26. คาถาสมเด็จพระพุทธกัสสป

จิเจตะสา มหามันตัง

(สอนให้ทำน้ำมนต์ ใช้การทุกอย่างสวัสดี เป็นมหาเมตตา และทำลายโชคร้ายทั้งหมด ให้กลายเป็นดี รักษาโรคทั้งหมด ตามแต่จะอธิษฐาน)

...........................................

27. คาถาโรยทราย (นะจังงัง)

นะโม พุทธายะ (ว่า 1 จบ)
อิติ ศัตรู ยามาคะตา (โรยไปว่าไป)

(ป้องกันศัตรู)

................................................

28. คาถาเสกขี้ผึ้งสีปาก เมตตามหานิยม

(คาถาพระพุทธกัสสป)

นาสังสิโม ปาสุอุชา

.............................................

อสาธุง สาธุนา ชิเน

พึงชนะคนไม่ดี ด้วยความดีของตน

Clip 2nd Asian Cup Semi Final Round ไทย - เกาหลี ครับ

ไทย ชนะ 3 - 2 เซ็ต

Part1 :

Part2 :

Part3 :

Part4 :

Part5 :

part6 :

Part7 :

Part8 :

part9 :

สำหรับคนที่พลาดชมครับ

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

สังคมไทยเกิดอาการวิปริตอาเพศรอวันแตกหักถึงขั้น‘กลียุค’!

“ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ” นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์การเมืองและอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นหนึ่งในนักวิชาการที่กล้าพูด กล้าวิจารณ์การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมไทย โดยเฉพาะเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่กลายเป็นหลุมดำที่ฉุดให้บ้านเมืองต้องดำดิ่งสู่เหวนรก พร้อมๆกับเหตุการณ์นองเลือด “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่ยากจะเกิดการปรองดองสมานฉันท์ แต่จะรอวันแตกหักและการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง

4 ปีการทำรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549

ถ้ามองย้อนกลับไป 4 ปีการรัฐประหารรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ต้องบอกว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่าเสียใจและส่งผลเสียมากกว่าผลดีกับประเทศชาติ ผมคิดว่าน่าเสียดายที่ไม่สามารถใช้กลไกในแง่ของประชาธิปไตยกับในแง่ของ กฎหมายจัดการกับปัญหา เราใช้กำลังอาวุธ ใช้กองกำลังทหารมาจัดการกับปัญหาทางการเมือง อันนี้เป็นส่วนที่ผมคิดว่าน่าเสียดายและเสียใจ

เรามีรัฐบาลจากการเลือกตั้งที่ชนะอย่างถล่มทลายของพรรคไทยรักไทยที่นำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ จากนั้นก็มาเกิดวิกฤตอย่างที่เห็น เป็นวิกฤตตั้งแต่ปี 2547 ที่เกิดขบวนการโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ เกิดขบวนการม็อบเสื้อเหลือง เกิดขบวนการอ้างและอิงสถาบันพระมหากษัตริย์ในการกำจัดศัตรูทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมากต่อสังคมไทย อันนี้ผมคิดว่าเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญมาก แล้วก็จบลงด้วยเหตุการณ์รัฐประหาร

แปลว่าพัฒนาการทางการเมืองของไทยซึ่งล้มลุกคลุกคลานตลอดเวลา 100 ปี ผมคิดว่าตอนนี้ก็ยังล้มลุกคลุกคลานต่อไปไม่จบสิ้น แล้วดูเหมือนอีกด้านหนึ่งถอยหลัง และอีกด้านหนึ่งก็จมดิ่งลงไปอยู่ในหลุมดำ ผมมองว่าเป็นหลุมดำทางการเมือง เป็นสิ่งที่ผมมองจากประวัติศาสตร์ช่วงยาวๆของสังคมการเมืองไทยในช่วงประมาณ 100 ปีที่ผ่านมาที่ทั้งถอยหลังและตกต่ำลงลึกไปพร้อมๆกัน

ประเด็นต่อมาผมมองว่าเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นรัฐประหารที่อาจเรียกได้ว่าล้มเหลวมากที่สุดก็เป็นได้ เพราะทำให้สังคมเกิดความขัดแย้ง เกิดความแตกแยกอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของไทย ผมมองว่าเป็นรัฐประหารที่ล้มเหลวที่สุด ถ้ามองว่ายึดอำนาจปี 2549 แล้วเราก็มีรัฐบาลชั่วคราวของกลุ่มขิงแก่ ก็พูดได้ว่าไม่มีอะไรดีขึ้นอย่างที่คาดหวังกันว่าถ้าได้คนดี คนอาวุโสเข้ามาแล้วจะทำให้อะไรดีขึ้น ปรากฏว่าไม่ใช่

ประชาธิปไตยที่น่าละอาย

สิ่งที่ตามมาในปี 2550 คือมีรัฐธรรมนูญขึ้นมาเป็นฉบับที่ 18 แล้วเป็นรัฐธรรมนูญซึ่งผมมองว่าเอื้ออำนวยต่อการรักษาอำนาจของกลุ่มคนที่ เป็นอนุรักษ์นิยมกับกลุ่มคนที่เป็นชนชั้นสูงของบ้านเมือง เพราะฉะนั้นรัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงเป็นฉบับที่เป็นประชาธิปไตยน้อยกว่ารัฐ ธรรมนูญฉบับปี 2540 และน้อยกว่าฉบับปี 2517 อาจเรียกว่ามีการหมกเม็ดก็ได้ คือแอบซ่อนอะไรๆไว้เยอะมาก

แต่สิ่งที่ผมคิดว่าน่าเกลียดมากๆคือ ส.ว.สรรหา ผมคิดว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมในแง่ของประชาธิปไตย ถือเป็นความน่าละอายของคนที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ขึ้นมา และเป็นการหมกเม็ดเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มตัวเองที่จะได้รับการสรรหา โดยไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งเพื่อเข้ามาดำรงตำแหน่ง เป็นจุดที่เลวร้ายมากๆในแง่ของรัฐธรรมนูญปี 2550

ผมมองว่าปี 2549 เป็นการถอยหลัง เป็นการตกต่ำลงดิ่ง ปี 2550 ทั้งรัฐบาลขิงแก่ก็ดี ทั้งรัฐธรรมนูญก็ดี ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น แล้วก็ตามมาด้วยการเลือกตั้งและมีรัฐบาลที่นำโดยนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่ง 2 รัฐบาลนี้พูดง่ายๆว่าแม้จะมีการร่างรัฐธรรมนูญไว้เพื่อกำจัดอำนาจของฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้ม็อบการเมืองเสื้อสีเหลืองมาดำเนินการ ซึ่งผมคิดว่าจุดนี้เป็นจุดที่ผมมองว่าเป็นการสร้างสิ่งที่เรียกว่าสภาพของ ความเป็นอนาธิปไตยขึ้นมา มันไม่ใช่ประชาธิปไตย ถึงแม้ว่าทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็น คมช .ที่ทำรัฐประหารจะอ้างว่าเป็นประชาธิปไตยซึ่งมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็ตาม หรือฝ่ายม็อบสีเหลืองเรียกตัวเองว่าเป็นประชาธิปไตยอะไรก็ตาม

ตุลาการธิปไตย-ตุลาการภิวัฒน์

อันนี้ตรงกับสิ่งที่ท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ พูดเอาไว้ก็คือทำให้เกิดสภาพที่เป็นอนาธิปไตย เมื่อเกิดสภาพนี้แล้วก็เกิดการยึดอำนาจที่ทำให้ไม่เป็นประชาธิปไตย โดยทั้งฝ่าย คมช. และม็อบสีเหลือง ผมคิดว่าเมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วก็นำมาสู่การผลักดันให้เกิดกระบวนการตุลาการ ธิปไตย บางคนอาจเรียกเป็น “ตุลาการภิวัฒน์” เอากระบวนการตุลาการและกฎหมายมาแก้ปัญหา

แต่ผมคิดว่าศัพท์ที่ถูกต้องของฝ่ายนิติศาสตร์กลุ่มที่ทวนกระแสนี้ควร เรียกว่าเป็น “ตุลาการธิปไตย” คืออำนาจสูงสุดอยู่ที่ฝ่ายตุลาการ ฝ่ายนักกฎหมาย เมื่อกำจัดรัฐบาลนายสมัครและรัฐบาลนายสมชายได้ก็มาถึงการมีรัฐบาลชุดของนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เป็นผลต่อเนื่องให้ม็อบสีแดงเติบโตอย่างรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วก็นำมาซึ่งวิกฤตการณ์และความปั่นป่วนของบ้านเมืองต่อมาอย่างที่เห็น อย่างเหตุการณ์สงกรานต์เลือดปี 2552 หรือเหตุการณ์เมษา-พฤษภาอำมหิตปี 2553 เพราะฉะนั้นแปลว่าปี 2549 ที่ทำรัฐประหารยึดอำนาจ ปี 2550 มีรัฐธรรมนูญ ต่อมาก็มีการเลือกตั้ง ปี 2551 นั้นเกิดสภาพอนาธิปไตย

สงกรานต์เลือดถึงเมษา-พฤษภาอำมหิต

ปี 2552 เกิดสงกรานต์เลือด ปี 2553 เกิดเมษา-พฤษภาอำมหิตอะไรทำนองนี้ เราก็มาอยู่ตรงนี้ ถ้ามองในแง่ประวัติศาสตร์ในช่วง 4 ปีมีแต่เลวร้ายลงทุกที ไม่ใช่ถอยหลังอย่างเดียว แต่ดำดิ่งลงไปในหลุมดำทางการเมือง ซึ่งดูดทุกอย่างลงไปหมด รวมทั้งการปลุกกระแสเรื่องปราสาทพระวิหาร เหมือนกับไปสะกิดแผลเก่าให้หนองแตกและเลือดไหล ทั้งๆที่น่าจะจบไปแล้วตามคำพิพากษาของศาลในปี 2505 สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ และยูเนสโกก็ขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกปี 2551 ที่ประเทศแคนาดา

ผมมองว่าโดยรวมแล้วทั้งในแง่ของการเมืองภายใน ความขัดแย้งระหว่างม็อบสีเหลืองกับม็อบสีแดง ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายอำมาตย์กับฝ่ายไพร่ ทำให้เห็นว่า 4 ปีที่ผ่านมาเป็นสถานการณ์ที่น่าวิตกมาก เราก็มาถึงจุดตรงนี้ ณ เวลานี้

รอการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง

คำถามก็คือเมื่อเลวร้ายอย่างนี้ แตกแยกกันอย่างนี้ แล้วเราจะปฏิรูป จะปรองดอง จะสมานฉันท์ หรือจะเกี๊ยะเซียะกันได้ไหม ผมคิดว่ายากมากๆ คือผมมองว่าด้านหนึ่งการเมืองที่เราเห็นเป็นการเมืองของตัวแทนหรือนอมินี คนที่ออกมาเล่นไม่ใช่ตัวจริง เป็นตัวแทนทั้งหมด ดังนั้น เมื่อเป็นตัวแทนก็ไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้

ประเด็นที่ 2 เป็นการเมืองที่เป็นเกมรอ ผมคิดว่าเป็นการรอวันที่จะแตกหัก ตอนนี้สถานการณ์อึมครึม ผู้คนมีความวิตกกังวลมากๆ ผมยกตัวอย่างงานวิจัยของต่างประเทศบอกว่าคนไทยในระดับชั้นกลางกับชั้นสูงมี ปัญหาใหญ่คือความวิตกกังวล คือไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จริงๆแล้วก็หวั่นวิตกกับอนาคต มนุษย์จะมีปัญหามากถ้าไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ก็จะเกิดความวิตกกังวลผิดปรกติ กลายเป็นปัญหาด้านจิตใจและจิตวิทยา

ทำให้ส่งผลต่อไปคือไม่กล้าเผชิญหน้ากับความจริงและไม่กล้าพูดความจริง ทำให้ต้องพูดเท็จ ต้องโฆษณาชวนเชื่อ ประชาสัมพันธ์กันอย่างหนักหน่วง ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังเห็นอยู่ในปัจจุบัน แล้วก็อาจจะก้าวเลยไปอีกในแง่ที่เราพูดถึงการปฏิรูป การปรองดอง สมานฉันท์ เกี๊ยะเซียะ ที่เห็นชัดๆคือชุดของคุณอานันท์ ปันยารชุน ชุดของ นพ.ประเวศ วะสี ชุดของคุณคณิต ณ นคร และชุดของอาจารย์สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ ผมคิดว่าอาจไม่มีอะไรเลยในแง่ของการปฏิรูปหรือการปรองดอง

เพราะเอาเข้าจริงๆผู้ที่มีอิทธิพลทางการเมืองตัวจริงก็ไม่ได้ออกมาเล่น อย่างที่ผมใช้คำว่าเป็นตัวแทน แล้วในแง่ของผู้ที่ออกมาเล่นก็เห็นๆกัน ม่ว่าจะเป็นผู้นำของพรรคต่างๆทั้งรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน สิ่งที่ขาดก็คือเจตจำนงทางการเมืองที่จะปฏิรูป ที่จะปรองดอง แต่ละฝ่ายเล่นเกมตัวแทนมากกว่า โดยเฉพาะเล่นเกมเพื่อการรอเวลาสำคัญที่จะเกิดขึ้น เกิดการระเบิดและการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ผมว่าสภาพแบบนี้ทำให้คนแบบเราๆท่านๆวิตกกังวลและเกิดความเครียดไปหมด

บทบาททหารหรือกองทัพ

ต้องยอมรับว่าทหารหรือกองทัพยุ่งเกี่ยวกับการเมืองมาโดยตลอด ยุ่งมาประมาณ 100 ปีแล้ว ซึ่งทหารพยายามจะยึดอำนาจและมีบทบาททางการเมืองตั้งแต่ต้นรัชกาลที่ 6 ที่เรียกว่ากบฏ ร.ศ.130 ซึ่งพวกเรามักมองแค่การปฏิวัติเมื่อปี 2475 แต่ความจริงมันกลับไปตั้งแต่ปี 2454-2455 กบฏ ร.ศ.130 ที่ในช่วงแรกอาจพูดได้ว่าผู้นำรุ่นใหม่ของทหารยังมีความคิดในแง่ของ ประชาธิปไตยสูงมากๆ และในความพยายามของกลุ่มยังเติร์กที่เรียกว่ากบฏ ร.ศ.130 นั้นสาระสำคัญก็อยู่ที่ความเป็นประชาธิปไตย รวมทั้งกลุ่มทหารบกและทหารเรือที่ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475

คนอย่างพระยาพหลพลพยุหเสนา หลวงพิบูลสงคราม หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ หลวงศุภชลาศัย คนเหล่านี้มีความคิดทางการเมืองในแง่ของความเป็นประชาธิปไตย และมีส่วนอย่างยิ่งในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและจำกัดอำนาจของพระมหา กษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่หลังจากนั้นแล้วไม่ใช่ ผมคิดว่าหลังจากรัฐประหารปี 2490 ของจอมพลผิน ชุณหะวัณ ถือว่าทหารประชาธิปไตยหายากมาก

กลายเป็นสถาบัน เป็นกลุ่มผลประโยชน์ และต้องการรักษาสถานะของตัวเองไว้มากกว่าทหารสมัยกบฏ ร.ศ.130 หรือทหารรุ่นปฏิวัติ 2475 ผมคิดว่าทหารนับตั้งแต่ปี 2490 เป็นต้นมาเป็นกลุ่มที่กลายเป็นสถาบันที่มีอำนาจในสังคมสูงมากและต้องการ รักษาสถานะอันนี้ไว้ เพราะฉะนั้นพวกนี้จะไม่แฮปปี้ต่อระบอบประชาธิปไตย ไม่แฮปปี้ต่อการเลือกตั้ง ไม่แฮปปี้กับนักการเมือง จะเห็นว่ามีความพยายามที่จะยึดอำนาจตลอดเวลา ถ้ายึดอำนาจสำเร็จก็เรียกว่าปฏิวัติหรือปฏิรูป แต่ถ้าไม่สำเร็จก็กลายเป็นกบฏไป

มันกลายเป็นอย่างที่เราเห็น คือถ้าดูการเมืองไทยในช่วงเกือบ 100 ปีที่ผ่านมา เรามีปฏิวัติรัฐประหารที่สำเร็จหรือไม่สำเร็จ 3-4 ปีครั้งหนึ่ง และเราก็มีรัฐธรรมนูญที่ใช้ 3-4 ปีต่อ 1 ฉบับ จนประเทศไทยเป็นประเทศที่มีรัฐธรรมนูญมากที่สุดในโลก คือมีแล้วถึง 18 ฉบับ และผมเชื่อว่าฉบับที่ 19 คงจะตามมาถ้าดูจากประวัติศาสตร์การเมืองยาวๆ มองกลับไปสัก 100 ปี มันเดินมาอย่างนี้ ก็จะต้องเดินไปอย่างนี้ถ้าไม่แก้ปัญหาที่เป็นรากฐาน แต่ขณะนี้ทหารจะยังไม่ยึดอำนาจเพราะน่าจะพอใจกับการมีตัวแทนอย่างรัฐบาลชุด ปัจจุบัน

4 เดือน “พฤษภาอำมหิต”

เหตุการณ์ความรุนแรง “พฤษภาอำมหิต” ที่ครบรอบ 4 เดือน ผมมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นตราบาปและรอยด่างต่อไป ผมคิดว่าเรื่องนี้คงไม่จบและจะอยู่ต่อไปอีกยาวนาน ขึ้นอยู่กับการเมืองในระดับบนจะเป็นอย่างไร ตอนนี้การเมืองระดับบนถูกคุมอยู่เรื่องนี้ก็ดูเบลอๆ ผมว่าคนจำนวนไม่น้อยก็หวังว่าถ้าเวลายืดนานออกไปคนก็จะลืม เหมือนเหตุการณ์ 14 ตุลา 6 ตุลา พฤษภา 35 แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าปัจจุบันจะเป็นเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่ เพราะความแตกแยก ความร้าวฉานมันลงลึกมากๆ

ผมไม่คิดว่าจะได้เห็นผลการสอบสวนคดี 91 ศพ หรือแม้กระทั่งคำขอโทษและการแสดงความรับผิดชอบของรัฐบาล เพราะเกมของราชการไทยคือการตั้งคณะกรรมการเพื่อศึกษา และจะตั้งอนุกรรมการหลายๆชุดเพื่อศึกษา ถ้าผลการศึกษาออกมาก็จะส่งรายงานเข้ามาแล้วเก็บขึ้นหิ้งแล้วก็จบ ผมคิดว่าไม่มีผล อันนี้เป็นวิธีการปฏิบัติที่ฝ่ายราชการทำมาเป็นเวลานานมากแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์พฤษภาอำมหิตคงไม่เสียชีวิตแบบสูญเปล่า เพียงแต่จะเรียกร้องจากคณะกรรมการที่รัฐบาลตั้งไม่ได้ ต้องไปเรียกร้องที่อื่น

ผมสงสัยว่าคนที่มีอำนาจอยู่เชื่อว่าตัวเองทำถูกอย่างจริงใจหรือ เรื่องที่จะขอโทษหรือแสดงความรับผิดชอบจึงไม่มี ผมเข้าใจว่าเขาคงคิดว่าสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องมากๆจึงทำให้ปฏิรูปไม่ ได้ ปรองดองไม่ได้ เกี๊ยะเซียะไม่ได้ ในอนาคตข้างหน้าจึงมีแต่รอวันแตกหัก และเท่าที่ผมประเมินเหตุการณ์ที่จะแตกหักในอนาคตจะมีความรุนแรงกว่าเหตุ การณ์พฤษภาอำมหิต

ผมอยากให้กลับไปดูเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยานั้นพยากรณ์ได้ถูกต้องที่ สุด ทำให้เห็นภาพอะไรต่างๆได้ดีกว่า เกิดอาการวิปริตอาเพศไปหมด และจะรุนแรงอย่างที่เรียกว่า “กลียุค” นั่นเอง

สังคมไทยได้บทเรียนอะไร

เหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่กำลังจะครบรอบ 4 ปี ให้บทเรียนว่าเราไม่เรียนจากประวัติศาสตร์หรือไม่เรียนอะไรจากความผิดพลาด เลย ผมคิดว่าเราไม่เคยเรียนจากความผิดพลาดของเหตุการณ์ 14 ตุลา เราไม่เคยเรียนความผิดพลาดของเหตุการณ์ 6 ตุลา เราไม่เคยเรียนจากเหตุการณ์พฤษภาเลือด 2535 และผมรับรองว่าเราก็จะไม่เรียนความผิดจากเหตุการณ์เมษา-พฤษภาอำมหิตนี้ เหมือนกัน เพราะวิชาประวัติศาสตร์เป็นวิชาการที่ตกต่ำที่สุดในประเทศไทย ในมหาวิทยาลัยต่างๆแทบไม่มีใครอยากเรียนวิชานี้

ทางออกของวิกฤตการเมือง

1.จะต้องปฏิรูปและปรองดองกับกลุ่มคนทุกชนชั้น ทุกระดับ 2.ทำให้รัฐธรรมนูญเป็นของประเทศสยามสำหรับทุกคน ไม่หมกเม็ดสำหรับกลุ่มบางกลุ่ม 3.ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันสูงสุด เป็นสถาบันกลางที่เป็นที่เคารพสักการะบูชาของประชาชนทั้งประเทศ ไม่ให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเอาไปอ้างไปอิงเพื่อประโยชน์ของกลุ่มตัวเอง และ 4.สถาบันทหาร ตำรวจ พลเรือน และตุลาการ จะต้องเป็นกลาง ไม่ใช่เข้ามากุมอำนาจเพื่อประโยชน์ของสถาบันของตัวเอง เรียกว่าต้องมีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนด้วย

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 277 วันที่ 18 – 24 กันยายน พ.ศ. 2553 หน้า
16 คอลัมน์ ฟังจากปาก โดย กิตติพิชญ์ ยิ่งวรการสุข

"รัฐไทยกำลังล้มเหลว"

โดย เกษียร เตชะพีระ



นิตยสาร ราย 2 เดือน Foreign Policy ในอเมริกาซึ่งนักรัฐศาสตร์ Samuel P. Huntington ร่วมก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ.1970 แล้วภายหลังเซ้งต่อให้บริษัทหนังสือพิมพ์ The Washington Post ไปดำเนินการ ได้เผยแพร่ The Failed States Index หรือดัชนีชี้วัดรัฐล้มเหลวประจำปี ค.ศ.2010 ออกมาในฉบับเดือนกรกฎาคม/สิงหาคมศกนี้ (www.foreignpolicy.com/failedstates) โดยตั้งชื่อว่า "ฉบับผู้ร้าย" (The Bad Guy Issue) และเอารูปถ่ายของประธานาธิบดีโรเบิร์ต มูกาเบ้ แห่งซิมบับเว, ประธานสภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ พลเอกอาวุโสตาน ฉ่วย แห่งพม่า, ประธานคิมจองอิล แห่งเกาหลีเหนือ ฯลฯ ขึ้นปกพร้อมพาดหัวตัวโตว่า "คณะกรรมการทำลายโลก" ในฐานะที่ ฯพณฯ เหล่านี้ถูกจัดอันดับเป็นจอมเผด็จการยอดวายร้ายผู้ปู้ยี่ปู้ยำรัฐของตนจนผุ โทรมจวนล้มเหลวอยู่รอมร่อ (www.foreignpolicy.com/articles/2010/06/21/ the_worst _of_ the_worst)

อันที่จริงนิตยสาร Foreign Policy ร่วมกับกองทุนเพื่อสันติภาพ (The Fund for Peace - สถาบันคลังสมองของสหรัฐ) ได้สำรวจประเมินและจัดอันดับดัชนีรัฐล้มเหลวทั่วโลกรายปีต่อกันมาตั้งแต่ ค.ศ.2005 เป็นเวลา 6 ปีแล้ว โดยดูตัวชี้วัดที่อาจก่อปัญหาบั่นทอนบ่อนทำลายสมรรถภาพของรัฐ 12 ตัว ได้แก่ : - www.fundforpeace.org/web/index.php?option=com_content&task=view&id=452& Itemid=900)

ตัวชี้วัดทางสังคม : -

I-1.แรงกดดันจากปัญหาความหนาแน่น, แบบแผนการตั้งถิ่นฐาน, สัดส่วนโครงสร้างประชากร

I-2.ผู้ลี้ภัยหรือผู้พลัดถิ่นในประเทศถูกบังคับให้เคลื่อนย้ายขนานใหญ่ก่อเกิดภาวะฉุกเฉินทางมนุษยธรรมที่ยุ่งยากซับซ้อน

I-3.กลุ่มคน/ชุมชนมีความทุกข์ร้อนหรือหวาดระแวงสืบทอดกันมาในลักษณะอาฆาตพยาบาท

I-4.ทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญพากันอพยพหลบหนีไปต่างประเทศต่อเนื่องเรื้อรังและยืนนาน

ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ : -

I-5.การพัฒนาเศรษฐกิจไม่สม่ำเสมอสร้างความแตกต่างเหลื่อมล้ำระหว่างกลุ่มต่างๆ

I-6.เศรษฐกิจเสื่อมทรุดอย่างเฉียบพลัน/หนักหน่วง

ตัวชี้วัดทางการเมือง : -

I-7.รัฐเสื่อมถอยความชอบธรรม/มีพฤติการณ์เยี่ยงอาชญากร

I-8.บริการสาธารณะทรุดโทรมลงเรื่อยๆ

I-9.ระงับใช้หลักนิติธรรมหรือใช้โดยพลการตามอำเภอใจและละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวาง

I-10.กลไกความมั่นคงดำเนินงานเยี่ยง "รัฐในรัฐ"



I-11.ชนชั้นนำแตกแยกเป็นฝักฝ่าย

I-12.รัฐอื่นๆ หรือตัวกระทำการทางการเมืองภายนอกเข้าแทรกแซง

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

ในแต่ละตัวชี้วัด จะมีการประเมินระดับความล้มเหลวของรัฐต่างๆ เป็นคะแนนจาก 1 ถึง 10 แล้วเอามาบวกรวมกัน

รัฐไหนประเทศใดแสดงอาการล้มเหลวหนัก คะแนนก็จะขึ้นมาก อันดับก็ไต่สูงไปสู่ที่หนึ่ง

ตรงกันข้าม รัฐไหนประเทศใดสุขภาพสมรรถนะเข้มแข็งมั่นคงดี คะแนนก็จะลดน้อย อันดับก็ต่ำลง

ยิ่ง คะแนนตัวชี้วัดทั้ง 12 รวมกันใกล้ 120 เต็มเข้าไปเท่าใด ก็ถือว่ายิ่งติดอันดับสุดยอดรัฐล้มเหลว อาการถึงขั้นโคม่า รัฐใกล้จะล่มสลายแหล่มิล่มแหล่เข้าไปเท่านั้น โดยจัดแบ่งอาการล้มเหลวของรัฐต่างๆ ในโลกเป็น 4 ประเภทจากหนักไปหาเบาดังนี้ : -

[Alert = เตือนภัย] --> [Warning = พึงระวัง] --> [Moderate = ปานกลาง] --> [Sustainable = มั่นยืน]

ปรากฏ ว่ากรณีรัฐไทยในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา (สะท้อนช่วงความปั่นป่วนวุ่นวายขัดแย้งแตกแยกทางการเมืองจากปลายสมัยรัฐบาล ทักษิณถึงศกก่อน) The Failed States Index สำรวจประเมินให้คะแนน 12 ตัวชี้วัดและจัดอันดับเอาไว้ดังตารางข้างล่างนี้ : - (ดูตารางประกอบ)

ส่งผลให้ประเทศไทยติดแหง็กค้างคาอยู่ในประเภท รัฐพึงระวัง (Warning) ว่าจะล้มเหลว มาโดยตลอด

หาก สังเกตคะแนน 12 ตัวชี้วัดในตารางข้างบนให้ดีก็จะพบว่ามีบางตัวที่คะแนนของไทยแย่ลง/ไม่ค่อย ดีขึ้นในช่วง 6 ปีที่แล้วมา, ขึ้นๆ ลงๆ อยู่ระหว่าง 7-8 คะแนน ซึ่งนับว่าอาการค่อนข้างหนักได้แก่ :-

I-3.กลุ่มคน/ชุมชนมีความทุกข์ร้อนหรือหวาดระแวงสืบทอดกันมาในลักษณะอาฆาตพยาบาท

I-5.การพัฒนาเศรษฐกิจไม่สม่ำเสมอ สร้างความแตกต่างเหลื่อมล้ำระหว่างกลุ่มต่างๆ

I-7.รัฐเสื่อมถอยความชอบธรรม/มีพฤติการณ์เยี่ยงอาชญากร

I-10.กลไกความมั่นคงดำเนินงานเยี่ยง "รัฐในรัฐ"

I-11.ชนชั้นนำแตกแยกเป็นฝักฝ่าย

หาก ตามไปดูข้อมูลแสดงลักษณะเฉพาะของประเทศไทยที่เรียบเรียงโดยคณะผู้จัดทำ The Failed States Index เมื่อปี พ.ศ.2550 (www.fundforpeace.org/web/index.php?option=com_content&task=view&id=238&Itemid=378) ก็จะเห็นภาพประเมินตัวชี้วัดทางการเมือง/การทหารที่เตะตาดังนี้ : - (ดูภาพประกอบ)

และถ้าเราลองประเมินสืบต่อกันเองตามหลักข้างต้นผ่าน เหตุการณ์เมษา-พฤษภาอำมหิตจนถึงปัจจุบันก็น่าคิดว่าคะแนนตัวชี้วัด I-3, I-7, I-10, I-11 จะพุ่งปรี๊ดไปถึงไหน? สถาบันรัฐแกนกลางอื่นใดจะอ่อนเปลี้ยเสียเครดิตลงไปอีกมั่ง?



ไทย แลนด์จะถึงแก่ติดอันดับท็อปประเภท "Alert = เตือนภัย" (คะแนน 90 ขึ้นไป) กลายเป็นรัฐใกล้ล้มเหลวขั้นโคม่าแบบพม่า, ซิมบับเว, เกาหลีเหนือ ฯลฯ บ้างหรือไม่ อย่างไร?

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

พูดอย่างจริงจังขึ้น ผมคิดว่ามีแนวโน้ม 4 อย่างที่น่ากังวลเกี่ยวกับรัฐไทยโดยรวมในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา กล่าวคือ : -

1) รัฐไทยขยายขอบเขตอำนาจออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณจนถึงหลังรัฐประหาร คปค. ด้วยกฎหมายความมั่นคงและปกครองฉบับต่างๆ (เช่น พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2548, พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน 2550, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550, พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550, พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ 2551, พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร 2551), ทั้งในแนวระนาบ (เหนือสังคมการเมืองและประชาสังคม), และแนวดิ่ง (เหนือองค์กรปกครองในระดับต่างๆ ที่ต่ำกว่า), ในลักษณะอำนาจนิยม (authoritarianism) ซึ่งสวนวิถีพัฒนาของรัฐไทยที่เคยโน้มไปในทางเสรีนิยม (liberalism) มากขึ้นหลังเหตุการณ์พฤษภาประชาธรรม 2535 เป็นต้นมา

2) แต่ขณะเดียวกัน ความชอบธรรมทางการเมือง (political legitimacy) ของรัฐไทยบนฐานประชาธิปไตยและการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างเสรีกลับลดต่ำลง ทั้งจากการรัฐประหาร 2549 และการร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ด้วยอำนาจเผด็จการทหาร, การปราบปรามฝ่ายต่อต้านรัฐบนท้องถนนด้วยความรุนแรงและละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อ เนื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่าในภาคใต้และทั่วประเทศ โดยเฉพาะในเหตุการณ์ 7 ตุลาเลือด 2551, สงกรานต์เลือดเมษายน 2552 และล่าสุดเมษา-พฤษภาอำมหิต 2553 จนกล่าวได้ว่านับวันการใช้อำนาจที่เพิ่มขยายขึ้นของรัฐไทยกลับต้องเผชิญการ ต่อต้านของกลุ่มพลังมวลชนไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งในสังคมอย่างเด็ดเดี่ยวเหนียว แน่นหนักหน่วงเรื้อรังออกไปทุกทีและรัฐไทยได้แต่หันไปกินบุญเก่า-พึ่งพาทุน ความชอบธรรมเก่าของสถาบันตามประเพณีเพียงถ่ายเดียวยิ่งขึ้น

3) พร้อมกันนั้น ประสิทธิภาพของสถาบันและกลไกของรัฐในบางด้านที่สำคัญ (state efficiency) ก็ขาดพร่องมากขึ้นอย่างชัดเจน หากจำแนกคุณประโยชน์ทางการเมือง (positive political goods) ที่รัฐสมัยใหม่พึงสนองให้แก่สังคมว่าได้แก่ [ก.ความมั่นคง ข.กฎหมายและระเบียบสังคม ค.การมีส่วนร่วมทางการเมือง และ ง.บริการต่างๆ และโครงสร้างสาธารณูป-โภคพื้นฐาน รวมทั้งการบริหารจัดการเศรษฐกิจ] แล้ว ก็เห็นได้ชัดว่ารอบ 6 ปีหลังนี้รัฐไม่สามารถสนองตอบในด้านความมั่นคง, กฎหมายและระเบียบสังคม, รวมทั้งการมีส่วนร่วมทางการเมืองให้แก่ประชาชนในสังคมเท่าที่ควร เกิดเหตุการณ์ก่อการร้ายทางการเมืองทั้งเล็กใหญ่โดยกลุ่มฝ่ายต่างๆ แทบไม่ว่างเว้น อันนำไปสู่สภาพบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป ขณะที่ประชาชนถูกปิดกั้นการมีส่วนร่วมใช้อำนาจทางการเมืองทั้งโดยตรงและโดย อ้อมลงเรื่อยๆ สะท้อนว่ารัฐไทยกำลังบกพร่องในหน้าที่มูลฐานบางด้านที่สำคัญอย่างร้ายแรง ทั้งที่รวบริบเอาอำนาจไปมากขึ้นซึ่งอาจเกิดจากความแตกแยกภายในหน่วยงานรัฐ เอง, การถูกฝ่ายการเมือง/ฝ่ายรัฐประหารแทรกแซงกดดันช่วงใช้จนกฎระเบียบและเขต อำนาจทับซ้อนคลุมเครือสับสนวุ่นวาย, เจ้าหน้าที่รัฐเสียขวัญกำลังใจเนื่องจากถูกเล่นงานลงโทษโดยฝ่ายการเมือง เมื่อเปลี่ยนข้างรัฐบาล, เจ้าหน้าที่รัฐปล่อยเกียร์ว่างเพราะไม่มั่นใจว่าจะเกิดผลกระทบในอนาคตระยะ ยาวอย่างไรจากการปฏิบัติงานตามหน้าที่ ฯลฯ

4) ในสภาพที่รัฐไทย [อำนาจมาก-ชอบธรรมน้อย-ประสิทธิภาพต่ำ] เช่นนี้ ข้อน่าวิตกในทางกลับกันคือกลไกที่สังคมเลือกใช้เพื่อส่งอิทธิพลต่อรัฐก็โน้ม ไปในทางลบมากขึ้นด้วย จะเห็นได้ว่าหลายปีหลังนี้กลุ่มพลังการเมือง-สังคมต่างๆ โน้มเอียงที่จะขยับเปลี่ยนจากช่องทางถูกกฎหมาย-ตามสถาบัน ไปใช้ -->เส้นสายอุปถัมภ์ไม่เป็นทางการ -->วิธีการผิดกฎหมายทุจริตคอร์รัปชั่น -->การใช้ความรุนแรงทางการเมือง เพื่อกดดันให้รัฐยอมตามความเรียกร้องต้องการของตน เช่น รัฐสภาถูกใช้น้อยกว่าท้องถนน, เอ็ม 79 ยิงถล่มได้ทุกที่ เป็นต้น

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

จาก แนมโน้มทั้ง 4 ทำให้ประเมินได้ว่ารัฐไทยกำลังล้มเหลว (a failing state) อาจจัดอยู่ในขั้นตอนที่ 2 ของกระบวนการล้มเหลวของรัฐรัฐหนึ่งที่คลี่คลายขยายตัวจาก 1.รัฐเปราะบาง (fragile state)ไปเป็น -->2.รัฐในวิกฤต (crisis state) และ -->๓.รัฐล้มเหลว (failed state) ในที่สุด (ดู Jonathan Di John, "Conceptualising the Causes and Consequences of Failed States : A Critical Review of the Literature", Crisis State Research Centre, LSE, 2008)

------------------
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1284120872&grpid=&catid=02

รถหุ้มเกราะของแท้ สั่งปุ๊บ !! มาส่งถึงที่ปั้ํ๊บ จากยุโรปตะวันออก

, 09/21/2010 - 16:30 | by Porsche

ภาพรอยเตอร์ 20 ก.ย.2553 เจ้าหน้าที่กำลังลำเลียงรถถัง T-55 หนึ่งใน 50 ลำ
ลงจากเรือบรรทุก ที่เข้าเทียบท่าสีหนุวิลล์ในวันอาทิตย์
ทั้งหมดจะส่งเข้ากรุงพนมเปญเพื่อนำเข้าประจำการแทน T-54 และ T-55
รุ่นเก่าที่ใช้มาตั้งแต่ยุคสงครามกลางเมือง
เจ้าหน้าที่กล่าวแต่เพียงว่ายุทโธปกรณ์เหล่านี้ซื้อจาก "ยุโรปตะวันออก"

www.go6tv.com รถถังกับยานลำเลียงพลหุ้มเกราะ หรือ APC
(Armored Personnel Carrier) รวมจำนวนเกือบ 100 คัน
ส่งไปถึงท่าเรือสีหนุวิลล์แล้วในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
และมีการขนย้ายลงจากเรือบรรทุกขนาดใหญ่ในวันจันทร์ (20 ก.ย.) นี้
ซึ่งเจ้าหน้าที่กล่าวว่า ทั้งหมดจะส่งเข้ากรุงพนมเปญ

ภาพของสำนักข่าวรอยเตอร์ได้แสดงให้เห็นการลำเลียงรถถัง แบบ T-55
กับรถลำเลียงพลหุ้มเกราะแบบ BTR-60 ลงจากเรือที่ท่าสีหนุวิลล์
โดยมีเจ้าหน้าที่เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก นับเป็นรถถังรุ่นใหม่
เช่นเดียวกับรถลำเลียงพล
ที่จะนำเข้าประจำการแทนแบบเก่าที่ใช้มาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น

เจ้าหน้าที่การท่าเรือบอกกับสำนักข่าวซินหัวของทางการจีนในวันเดียวกันว่า
นอกจากรถถังกับรถลำเลียงพลแล้ว ยังมีพาหนะทางทหารอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง
ทั้งหมดซื้อจาก "ยุโรปตะวันออก"

พล.อ.ชุม สุชาติ (Chhum Socheat) โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา
กล่าวกับซินหัวก่อนหน้านั้นยืนยันว่า
ยุทโธปกรณ์ที่ซื้อทั้งหมดไปถึงท่าเรือทางภาคใต้ของประเทศแล้ว
แต่ปฏิเสธที่จะพูดถึงชนิดและจำนวน ตลอดจนรายละเอียดอื่นๆ
กล่าวแต่เพียงว่าทั้งหมดซื้อจาก "ยุโรปตะวันออก"

เจ้าหน้าที่การท่าเรือที่อยู่ในเหตุการณ์บอกกับซินหัวว่า
ได้เห็นการลำเลียงรถถังจำนวน 50 คัน ยานเอพีซีอีก 40 คัน
กับรถทหารอีกจำนวนหนึ่งลงจากเรือบรรทุกที่มีขนาดยาว 120 เมตร กว้าง 17 เมตร

สัปดาห์ที่แล้วสำนักข่าวเกียวโดของญี่ปุ่นเป็นแห่งแรกที่รายงานเรื่องนี้
โดยอ้างการเปิดเผยของแหล่งข่าวทางทหาร.

ภาพรอยเตอร์ 20 ก.ย.2553 ยานลำเลียงพลหุ้มเกราะ BTR-60
ที่ผลิตในรัสเซีย 1 ใน 40 คัน หลังขนย้ายลงจากเรือบรรทุก
ทั้งหมดจะต้องวิ่งอีกราว 230 กิโลเมตร
เข้าสู่กรุงพนมเปญเพื่อนำเข้าประจำการแทนยานรุ่นเก่า
ที่ใช้มาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น

ภาพรอยเตอร์ 20 ก.ย.2553 เจ้าหน้าที่กำลังยกยานลำเลียงพลหุ้มเกราะ BRT-60
ลงจากเรือบรรทุก ยานอีกหลายลำจอดอยู่บนพื้นเรียบร้อยแล้ว
บนเรือยังมีรถบรรทุกทหารอีกจำนวนหนึ่งปรากฏอยู่ด้วย ทั้งหมดเป็นยุทโธปกรณ์เกือบ
100 ลำที่ซื้อจาก "ยุโรปตะวันออก" ในคราวเดียวกัน

ภาพรอยเตอร์ 20 ก.ย.2553 เจ้าหน้าที่กำลังลำเลียงรถถัง T-55 หนึ่งใน 50 ลำ
ลงจากเรือบรรทุกและนำขึ้นบนรถบรรทุกใหญ่

http://www.go6tv.com/2010/09/blog-post_9922.html

ทำไม ต้องขึ้นศาลโลก...

ขึ้นฟ้องร้องในเดือนตุลาคมนี้ โดยเอาผู้นำรัฐบาลไทยเป็นจำเลย ข้อหาก่ออาชญากรรมล้างเผ่าพันธุ์

ขณะที่นายโรเบิรต อัมสเตอร์ดัม ทนายของทักษิญ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ ให้สัมภาษณ์ว่าจะเป็นการยื่นฟ้องต่อศาลในหลายประเทศ เหมือนกับที่ผู้นำเผด็จการหลายชาติเคยโดนมาแล้ว

ถึงขณะนี้ยังไม่รู็ว่า จะฟ้องร้องแบบไหน ฟ้องได้หรือไม่ แต่เชื่อว่าคงมีการนำคดีนี้ไปพึ่งศาลระหว่างประเทศแน่นอน

เพราะรู้กันดีว่า กระบวนการสอบสวนในบ้านเรานั้นล่าช้าอย่างมาก และมีแนวโน้มพึ่งพิงได้ยาก

ในเมื่อรัฐบาลเป็นผู้ถูกกล่าวหา เป็นผู้ออกคำสั่งให้ใช้มาตรการทางการทหารจัดการกับม๊อบแดงจนมีคนตายเป็น จำนวนมากนั้น ยังไม่ยอมถอยจากอำนาจ

หน่วยงานที่สอบสวนอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลนี้

แถมยังเป็นหน่วยดีเอสไอ ที่มีนายธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นอธิบดีเสียอีก หมดความน่าเชื่อถือไปตั้งแต่ทำหน้าที่แถลงข่าวเป็นโฆษกโฆษณาชวนเชื่อให้ ศอฉ.โน่นแล้ว

ไม่ต่างจากหมอพรทิพย์ ที่นั่วแถลงเคียงข้างนายธาริต ก็ยังพยายามเข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบวิถีกระสุน ซึ่งระดับความน่าเชื่อถือในกรณ๊สลายม๊อบนั้น เที่ยบได้ใกล้เคียงกัน

พอกันทั้งดีเอสไอ และสำนักนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม พร้อมบริการรัฐฐาบสุดหัวจิตหัวใจ

ยิ่งกรณีหมดพรทิพย์ เพื่งหมดราคามาจากคดีของนายห้างทอง ซึ่งศาลทั้งสองศาลพิพากษา ยกฟ้องนายนพดล คนที่ถูกหมอพรทิพย์กล่าวหา ตอนนี้คงต้องไปเตรียมแก้คดีที่จะถูกนายนพดลฟ้องกลับ กระทั่งยื่นฟ้องต่อแพทย์สภาเพื่อสอบสวนอยู่

ในการตรวจสอบคดีปกติก็น่าเป็นห่วงอยู่แล้ว เพราะมากด้วยจินตนาการ เหนือกว่าพยานหลักฐานข้อเท็จจริง

นี่ยังเป็นการสังหารหมู่ประชาชนที่โยงใยอำนาจทางการเมืองยิ่งเข้ารกเข้าพงไปกันใหญ่

เพราะกระบวนการสอบสวนในบ้านเราเป็นเช่นนนี้ แทบจะไม่มีความหวังในการทำความจริงให้ปรากฏ

ดังนั้นความพยายามในกานำคดีไปยังศาลต่างประเทศหรือศาลโลกแทนนั้น จึงเป็นหนทางที่พูดกันอย่างกว้างขวาง จะเป็นไปขนาดไหนยังไม่รู้

แต่เชื่อว่าคงต้องดำเนินการแน่ ดีกว่าปล่อยให้ความจริงและความตายของคนเกือบร้อยศพ โดนหมกอยู่ใต้อำนาจอธรรม

ขณะเดียวกัน กระบวนการตรวจพิสูจน์ รวบรวมพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงทางคดี ได้มีผู้ดำเนินการอย่างเป็นเรื่องเป็นราวมาในระยะเวลาพอสใควรแล้ว

โดยหลังเหตุการณ์ 19 พฤษภาคม ผ่านพ้นไปและดูท่าทีรัฐบาลอภิสิทธิยังกอดอำนาจแน่น จึงมีกลุ่มผู้รอบรู้ทางกฏหมายและการสืบสวนสอบสวน

ได้ลงมือรวบรวมพยานหลักฐานอย่างละัเอียด เป็นขั้นเป็นตอน น่าเชื่อถือ เก็บพยานวัตถุ สอบปากคำพยานบุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์เป็นจำนวนมาก สอบกันแบบมืออาชีพ

สำคัญที่สุดผลการตรวจพิสูจน์ผู้เสียชีวิต เท่าที่สามารถรวบรวมได้ โดยผลการตรวจพิสูจน์ทางนิติเวช ยืนยันได้ว่า ส่วนใหญ่ผู้เสียชีวิตถูกกระสุนเข้าที่ศรีษะ

นั่นหมายความว่า คนตายจำนวนมากถูกยิงจากที่สูง ไม่ใช่ยิงในแนวระนาบ

เหมือนกรณี 6 ศพในวัดปทุมวนาราม ซึ่งมีการตรวจพบรอยกระสุนยิงลงบนพื้นซีเมนต์จนเป็นรูเต็มไปหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ว่าจะยิงจากแนวราบ ต้องยิงจากที่สูงทั้งนั้น

ขณะที่มีภาพถ่าย คลิปวีดีโอ ละเอียดทุกมุม เห็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ พร้อมอาวุธยืนเล็งปืนอยู่เต็มรางรถไฟฟ้าบีทีเอส หน้าวัดปทุมนั่นเอง

ทีมนักกฏหมายและผู้รอบรู้ด้านการสืบสวนสอบสวนในไทยได้ลงมือรวบรวมพยาน หลักฐานเหล่านี้มาระยะหนึ่งแล้ว ก่อนประสานกับนายโรเบิรต์ อัมสเตอร์ดัม เพื่อนำไปประกอบการฟ้องร้องต่อศาลในต่างประเทศ

อย่งน้อยก็ไม่ใช่การฟ้องร้องอย่างเลื่อนลอย

หากแต่แนบพยานหลักฐาน รวมทั้งผลการตรวจพิสูจน์ศพ การตรวจที่เกิดเหตุ ที่รวบรวมอย่างเป็นระบบและหนาแน่นน่าเชื่อถือ พร้อม ๆ กับการยื่นฟ้องร้องด้วย

อย่างว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นในกลางเมืองหลวง ต่อหน้าต่อตาประชาชนมากมาย ในยุคที่อุปกรณ์ไฮเทคมีอยู่ทุกครัวเรือน

ดังนั้นการบันทึกพยานหลักฐานในเหตุการณ์ดังกล่าว จึงยุบยั่บไปหมด

ขณะเดียวกันนักกฏหมายและผู้เชี่ยวชาญด้้านสืบสวนสอบสวนจำนวนมาก ก็ไม่สามารถทนดูการเข่นฆ่ากันกลางเมืองโดยคำสั่งอันผิดพลาดของรัฐบาลได้

จึงมีการแอบลงมือรวมรวมเป็นรูปคดีสมบูรณ์แบบ เพื่อประสานกับทนายความระดับสากล ในการนำคดีนี้ไปพิสูจน์ในศาลระหว่างประเทศ

ก่อนหน้านี้รัฐบาลก็คงรู็ดีว่า การทำเป็นเงียบ ๆ เฉย ๆ สำหรับ 91 ศพ คงเป็นไปได้ยาก

อย่างน้อยนายกญี่ปุ่น และรัฐบาลอิตาลี ที่นักข่าวของเขามาตายในเหตุการณ์นี้คงไม่ยอมนิ่งเฉย

ขนาดรัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่น ยังบินมายืนไว้อาลัยถึงจุดเกิดเหตุแยกคอกวัว

อีกหน่อยดขาคงต้องทงถามคดีอีก และอาจเพิ่มมาตรการในกาทงถามมากขึ้น

รัฐบาลจึงมีคำสั่งไปยังนายธาริต เพื่อให้ขยับแข้งขยับขา มีท่าทีสอบสวนหาความจริงในคดีนี้บ้าง

นายธาริตก็เริ่มต้นจากการประกาศลดจำนวนคนตายจาก 91 ศพ ให้เหลือเพียง 89 ศพ พร้อมตั้งคณะสอบสวนสารพัดชุดขึ้นมาทำงาน

จากนั้นก็ยังสร้างความตื่นตะลึงให้คนทั่วไปได้อีก เมื่อประกาศว่าจะขอความร่วมมือกับกองทัพ เพื่อตรวจสอบว่าได้ใช้กำลังหนาวยใดบ้าง เข้าไปปฏิบัติการในพื้นที่ผ่านฟ้า ไปจนถึงแยกราชประสงค์

พร้อมกับประกาศจะอขตรวจสอบอาวุธปืนในช่วงเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย

ได้ฮากันทั้งเมือง ว่าจะขอไปตรวจสอบปืนเป็นหลักฐานสำคัญ ก็อุตส่าห์ตะโกนไปทั่ว เหมือนบอกข้อสอบล่วงหน้า

แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขาพยายามหอบหลักฐานไปพึ่งศาลต่างประเทศได้อย่างไร

ที่สำคัญหากมีการสืบพยานเบิกความคดียนี้ในศาลระหว่างประเทศจริง

เราอาจได้เห็นกระบวนการซักถามพยานที่เกี่ยวข้อง จนเห็นภาพเหตุการณ์ และนำไปสู้คำอธิบายที่ว่า เหตใดจึงดุเดือดเลือดพล่านยิ่งกว่ายุคถนอม ยอดสูงยิ่งกว่ายึค รสช.เสียอีก

เพราะนี่เหมือนไม่ใช่คำสั่งสลายม๊อบปกติ

แต่น่าจะเป็นการปราบปรามผู้ก่อการร้าย

ปัญหาคือคนตายทั้งหมด ไม่เห็นมีใครเป็นผู้ก่อการร้ายแม้แต่คนเดียว

----------------------------------------------------------
คอลัมน์ชกคาดเชือก

วงศ ตาวัน

มติชนสุดสัปดาห์ ....

มาร์กเข้าเฝ้าทูลเกล้า ฯ ถวายเงินเข้ามูลนิธิ แต่ปรากฏว่าเป็นเงินจากผลงานรัฐบาลทักษิณ

อาจจะเป็นข่าวทั่วไปที่หลายคนอ่านผ่าน ๆ แต่ลองดูรายละเอียดให้ดี

ข่าวสดรายงานว่า เงินที่นายอภิสิทธินำขึ้นทูลเกล้าถวาย ฯ เพื่อโดยเสด็จพระราชกุศลในมูลนิธิอานันทมหิดลและอีกมูลนิธิหนึ่ง (มีภาพระหว่างทูลเกล้าถวายออกตามสื่อทั่วไป) เป็นเงินรายได้จากการจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครอบรอบ 60 ปี และเงินจากการจำหน่ายของที่ระลึก เสื้อเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติครบรอบหกสิบปี ฯลฯ รวมกันเกือบเจ็ดสิบล้านบาท

แต่งานเฉลิมฉลองสิริราชสมบบัติครบรอบหกสิบปีนั้น ปรากฏว่าจัดขึ้นในสมัยรัฐบาลนายกทักษิณ ชินวัตร และได้รับการยอมรับว่ายิ่งใหญ่สมพระเกียรติที่สุด ประชาชนต่างสวมเสื้อเหลืองมาถวายพระพรนับแสนบนถนนราชดำเนิน มีกิจกรรมต่าง ๆ มากมายทั้งภาครัฐและเอกชนจนกล่าวขวัญกันไปทั่วโลก

ผู้จัดไม่มีโอกาสนำรายได้จากงานที่กลุ่มตนทุ่มเทกันจัดอย่างเต็มกำลัง ขึ้น ทูลเกล้า ฯ กลายเป็นนายอภิสิทธิ คนหนึ่งที่มีส่วนสำคัญในการล้มล้างรัฐบาลนายกทักษิณ

รู้สึกไงบ้างครับท่านทั้งหลาย

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

ที่มาของตำรา ที่ใช้ทำลายผม.. บัญญัติ 10 ประการของ CIA นี้เอง

มาดูกันว่าเค้าปรับใช้กับผมอย่างไรกัน...

บัญยัติ 10 ประการ ของ CIA ในการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิส

โดย นาย จอน ฟอร์เตอร์ ดาลัส อดีต รมต.
ผ่านทาง บุตรบุญธรรม นาย พ_น์ ส...สิน


โดย อจ. สุพจน์ ด่านตระกูล


1. ใช้ทุกสิ่งทุกอย่าง ล่อลวง และ ทำลายเยาวชน ของพวกเค้า (พวกเค้า = พวกคอมฯ / เสื้อแดง / เป้าหมายที่เป็นบุคคลก็ได้) อย่างสุดความสามารถ
ปลุกปั่น พวกเค้า ให้ดูหมิ่นเหยียดหยาม และก้าวไปอีกก้าวหนึ่ง ถึงขึ้นคัดค้านความคิดและการศึกษา ที่พวกเค้าได้รับมาแต่เดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตำราลัทธิคอมมิวนิสต์ (หรืออื่น ๆๆ ก็ได้ที่เค้ายึดถือ) ช่วยพวกเค้า สร้างอารมณ์ และโอกาส แห่งการปล่อยตัวปล่อยใจทางกามราคะ ยั่วยุพวกเค้าให้ก้าวไปอีกก้าวหนึ่ง มีสัมพันธ์ สำส่อน ให้พวกเค้าไม่รู้สึกละอายต่อความเบาปัญญา ฟุ้งเฟ้อ จะต้องทำลายล้าง จิตใจมานะบากบั่น ทรหดอดทนที่ พวกเค้า เคยมี ให้สิ้น.....

( อันนี้ ถ้าเสนอแนะอะไร จะต้องตามคัดค้าน ห้ามคิดพัฒนาอะไร จะต้องค่อยบ่อนทำลาย จะต้องว่าเลว ชั่ว ไม่ดี หรือเหยาะเย้ยถากถาง ต้องค่อยวางยา พร้อมข้ออ้างสารพัด หรือเช่น ถ้าไปปิ้งกับใครรักใคร ก็ต้องตามไปบ่อนทำลาย ยือหยุดฉุกกระชากบ่อนทำลาย พูดจา เลว ๆ ใส่หรือยัดคำพูดไม่ที่ไม่ดี ใส่ปากผม แล้วช่วย ๆ กันพูดว่าผมพูด แล้วเอาไปปล่อยข่าว แบบนี้ก็ทำ ทำให้เข้าใจกันผิด ทำลายความสัมพันธ์ หรือว่าไปเสี้ยมสอนทำเป็นหวังดี ต้องเล่นตัวไปเรื่อย ๆๆ รักกันต้องยากส์ซิ ถึงจะมีราคา หรือ ไปเที่ยวปั่นหัวให้คนมาชอบซ้อน บาง ทางฝ่ายผม / และฝ่ายผู้หญิง และ ค่อยยุยงส่งเสริม ร่วมด้วยช่วยกันทำลาย เพื่อเป็นข้ออ้างว่าที่ทำนี้ หวังดีกับน้องเค้า ฯลฯ )


2. จะต้องทำงานการโฆษณา ทุกอย่าง เท่าที่จะทำได้ อย่างสุดความสามารถ
รวมทั้งภาพยนต์ หนังสือ โทรทัศ วิทยุกระจายเสียง และ การเผยแพร่ ศาสนา ในรูปแบบใหม่ ขอแต่เพียง ให้พวกเค้า ใฝ่ฝัน ในรูปแบบ เสื้อผ้า อาหาร การอยู่อาศัย การสัญจร การบันเทิง และการศึกษาแบบเรา ก็ถือว่า สำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว...

( ทำประจบ เอาใจคนนั้นคนนี้ นี้ถ้ามาซบใต้กระโปรงฉันนะ เธอจะได้รับการดูแลเอาใจใส่แบบนี้ ถ้าไม่จะไม่มีใครคุยด้วย ไม่บอกอะไร เป็นหมาหัวเน่า จะมีแต่คนตามจับผิด ตามด่า ตามเยาะเย้ย เย้ยหยัน ส่อเสียดล่อเลียน แม้กระทั้งเด็กเล็กก็ไม่เว้น ต้องมาซบใต้ชายกระโปรงฉัน )

3. จะต้องชักนำความสนใจ ของเยาวชน ของเค้า ให้หันเหไปจากการถือรัฐบาลพวกของเค้าเป็นจุดศูนย์ร่วมที่สืบทอดกันมา ให้ความคิดอ่านของเค้าไปร่วมศูนย์อยู่ที่ การแสดง การกีฬา หนังสือ กามตัญหา การแสวงหาความสุข การละเล่น ภาพยนต์ และ อาชญากรรม ความเชื่องมงายในศาสนา...

( อะไรที่ผมชอบ จะ้ต้องขัดขวางทำลาย เช่น ไปทำบุญ ทำสังฆทาน ที่ท่ารถจอดจะต้องให้คนขายของมารังควาญ บังคับให้ซื้อ จอดนาน ๆๆ ไม่ยอมไป ไปถึงแล้วก็ไม่ให้ใครยินดีตอนรับ ให้รังเกียจ โดยปล่อยข่าวว่าเป็นโจร เป็นขโมย จะได้เบื่อไม่ไป หรือชอบสาวคนไหน ก็จะตามพูดสนตะพายให้เค้า เสียหาย ถ้ามาควงกับผม แล้วก็ไปเอาอีบ้าที่ไหนซักคนที่สนตะพายได้ครอบงัมได้ มาชอบซ้อนมาทำอาละวาดใส่ หรือ ไปเอาคนสวย ๆๆ มาล่อให้สนใจ กะว่าถ้าเพลอก็จะทำทะเลาะแล้วชิงไป อันนี้ต้องระวัง )


4. จะต้องให้ก่อเกิดกระแสคลื่นกวนน้ำให้ขุ่นอยู่เสมอ
แม้จะไม่มีเหตุการณ์ อะไรก็ตาม ร่วมถึงจะต้องโกหกก็ตาม แล้วให้ประชาชนพวกเค้าแสดงการวิภาควิจารย์อย่างเปิดเผย... ดังนี้ จะเป็นการปลูกฝั่งพืชแห่ง ความแตกแยกในความคิดของพวกเค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะต้องหาโอกาศดี ในชนชาติส่วนน้อยของพวกเค้า สร้างความอาฆาตใหม่ เป่าความแค้นเก่าให้ลุกโชน เรื่องนี้เป็นนโยบายที่จะมองข้ามมิได้โดยสิ้นเชิง...

( ไอ้นี้ สปาย สนญ. ไอ้นี้พวก สตง. เงินขาดอีกแล้ว ไอ้นี้แน่ ๆ เลย มือมันไว ไอ้นี้ กันท่าน้อง ๆ ไม่ให้ก้าวหน้า ฯลฯ )


5. จะต้องสร้างข่าวขึ้นมาไม่ขาดระยะ สร้างความอัปลักษณ์ แก่ผู้นำของเค้า...

ผู้สื่อข่าวของเราควรจะฉวยโอกาศเข้าสัมภาษณ์ พวกเค้า หลังจากนั้น ก็จัดเรียงถ้อยคำของพวกเค้า ไปโจมตีพวกเค้าเอง ในสถานที่นานาชาติ การถ่ายรูปจะต้องสนใจเป็นพิเศษ มันเป็นโอกาศที่ดีที่สุด ในการสร้างความอัปลักษณ์ ให้แก่พวกเค้า เราจะต้องอาศัยความเป็นไปได้ทุกอย่าง ให้แก่ประชาชนพวกเค้า ค้นพบ(เอง) โดยมิได้ตั้งใจว่า..ผู้นำพวกเค้ามีแต่ความอัปลักษณ์ พิกลพิการ ต่ำช้า โสโครก...


( การแย่งหญิง ก็เที่ยวพูดว่า ไอ้นี้ไม่รักจริง หลอกฟันบาง ไอ้นี้มีเมียแล้ว บาง เวลาพูดอะไร ก็จะต้องตามเบรคตลอด ช่วยกันโห้ห่า พูดอะไรก็ต้องเอาไปตีความทุกคำ แล้วก็ว่ามันอย่างนั้น มันอย่างนี้
หรือ ไม่ก็ สร้างสถานการณ์ ให้เป็นโจร ไม่ได้หยุดได้หย่อน ตังค์ขาดเยอะ ๆ บาง กระเป๋าโจรมาโผล่ข้างบ้านบาง โจรกดเอทีเอ็ม หน้าสาขาขณะผมเดินออกจากสาขาบาง ฯลฯ ไม่ได้หยุดได้หย่อน เช็คนำมาฝาก ไม่ทำ เชิดเช็คเค้า บาง ฯลฯ เชิดรายการเค้าบาง )


6. ไม่ว่าจะอยู่ภายสภาวะใด เราจะต้องป้าวร้อง ประชาธิปไตย (หรือในสิ่งที่ตัวเองถือหางอยู่) เมื่อมีโอกาส ก็จะต้องรีบปลุกระดมการเคลื่อนไหว(ในสิ่งที่ตัวเองถือหาง) ในทันที ไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือ ขนาดใหญ่
จะมีรูปแบบ หรือไม่มีรูปแบบ ก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ในกาละเทศะใด ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะใด เราล้วนแต่เรียกร้อง ประชาธิปไตย (หรือในสิ่งที่ตัวเองถือหางอยู่) ในทันที....ขอแต่พวกเราทุกคน พูดอย่างเดียวกันไม่ได้ขาด ประชาชน พวกเค้าก็จะต้องเชื่อว่า สิ่งที่เราพูดเป็นความจริง แม้จะโกหกก็ตาม เราได้มาหนึ่งคน ก็นับได้ว่ามาหนึ่ง เราครองพื้นที่ ได้มาหนึ่ง ก็ถือได้ว่าครองมาหนึ่งพื้นที่ จะต้องทำทุกอย่างไม่ว่าจะด้วยวิธีการอย่างไร (ทำทุกอย่างไม่เลือก ว่าจะต้องใช้วิธีสกปรกอย่างไร) และ องค์กร และ เจ้าหน้าที่ทางการค้า ของเรา ล้วนต้องไม่ถือการ ครองตลาดการค้า เป็นเป้าหมายสุดท้าย เป็นอันขาด เพราะตลาดการค้าพริบตาเดียว ก็สูญเสียไปได้ ถ้าแม้ยังไม่ได้ยึดครองตลาดการเมืองเอาไว้ได้...

( จะต้องไปหาคู่แข้ง แล้วมาทำยกยอป้อปัน พูดอะไรก็ต้องว่าดีว่างาม ค่อยแหกปากเชียร์ ร่วมหัวกันเชียร์ และถ้าผมพูดอะไร ทำอะไร ก็ต้องผิด ต้องเลว ต้องชั่ว ต้องจับผิดคำพูด คำพูดทุก ๆ คำต้องมาตีความ หาีที่ผิดมาให้ได้ ถ้าทำงานอะไรก็ต้องค่อยวางยา บ่อนทำลาย เช่น พวกแก๊งค์ ญี่ปุ่น )


7. เราจะต้องยุยงส่งเสริมให้ รัฐบาลพวกเค้า ใช้จ่ายสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่งเสริม ให้พวกเค้ากู้หนียืมสิน จากพวกเรา ดังนั้นเราก็จะมีความมันใจเต็มที่ ในการทำลายล้างเครดิต พวกเค้าได้
เราให้เงินตราของพวกเค้า ราคาถูก เกิดภาวะเงินเฟ้อ ขอเพียงแต่พวกเค้าเสียการควบคุมราคาสินค้าไปแล้ว ในจิตใจของประชาชน ของพวกเค้า ก็จะพังทะลายโดยสิ้นเชิง...


( ส่วนหนึ่งก็บอกว่าหวังดีให้ประหยัด แต่อีกทางหนึ่ง ก็บีบให้ ซื้อรถ ซื้อบ้าน ทำบัตรเคดิต ซื้อมือถือ ต้องอุดหนุนร้านค้าที่เป็นพวกมัน ไม่งั้น พวกกูวีนแตก มีรุ่มยำ ต้องใช้บริการพวกกู ทั้งที่ทำงาน/ตลาดร้านค้าต่าง ๆๆ แล้วบอกว่าเป็นวิชาการตลาด นับว่าเป็นวิชาการตลาดต่ำช้าที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา)



8. เราจะต้องใช้ความได้เปรียบทาง ศก.และ ทางเทคโนโลยี โจมตี อุตสาหกรรมของพวกเค้า ทั้งที่ มองเห็นและมองไม่เห็น เพียงแต่อุสาหกรรมของพวกเค้า เป็นอัมพาต ไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เราก็จะสามารถปลุกระดมความปั่นป่วนของสังคมขึ้นมาได้ แต่ทว่าภายนอกแล้ว เราจะต้องแสดงให้เห็นว่า ได้ช่วยเหลือเกื้อหนุ่น พวกเค้า ด้วยความเมตาการุณาปราณี อย่างเต็มที่ ดังนั้น รัฐบาลพวกเค้า จะอ่อนปวกเปียกอย่างเห็นได้ชัด ... รัฐบาลที่อ่อนปวกเปียกก็จะนำมาซึ่งความปั่นป่วน ที่ใหญ่ยิ่งขึ้น และ รุนแรงยิ่งขึ้น...


( พยายาม มะรุ่ม มะตุ่ม รุ่มกันตบทรัพย์ หรือให้ เสียสมาธิในการทำรายการ เช่น แหกปากคุยกันข้ามหัวไปหัวมา อยู่นาน เพื่อหวังผลให้ทำงานพลาด / ส่งพวกแขกอินเดีย มาตอนจะปิดสาขา มาเป็นกลุ่น ทำพูดคุยดัง ๆๆ กัน ทำวุ่นวาย ทำเสร็จแล้ว ปิดสาขาแล้วก็ยังปล่อยให้มาแลกเงิน อีก เดินดื่อ ๆๆ เข้ามา แลก แบ็งค์ร้อย แบ๊งค์ห้าร้อย รปภ. ไม่ต้องไปพูด เป็นหนี้บุญคุณพวกมัน ก็ต้องทำวางเฉยปล่อยผ่าน นี้คือการนัดแนะเตี้ยมกันมา มีแบบนี้อีกมากและก็ทำกันมานานแล้ว แล้วก็ทำมาตลอดหลายปี จะเอาให้ยุบ เอาให้เหี่ยว ตบทรัพย์ไม่ได้ ทำหน้าเสียใจ ตบได้ก็จะเฮกัน เป็นจิตวิทยาในการ ทำลายจิตใจในการทำงาน ทำให้เกิดความท้อแท้ในการทำงาน มีส่งคน มาชี้ชวนให้ลาออก มาทำนั้นซิ นี้ซิ รายได้ดี เหอะๆๆ แล้วทำมัยมันไม่ลาออกไปละว่ะ )



9. เราจะต้องใช้ทรัพยากร บรรดามี แม้นกระทั้ง การยกมือ ยกเท้า พูดจา ยิ้มหัว ก็ล้านแต่สามารถทำลาย ค่านิยมที่สืบทอดกันมาได้ แล้วจะใช้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไปทำลายจิตใจแห่งศิลธรรม ตามวิสัย พวกเค้าให้พินาศ
ทำลาย หัวกุญแจแห่งความภาคภูมิใจ และความเชื่อมั่น ในตัวเองให้สิ้นเชิง ซึ่งก็คือ โจมตีจิตใจ มานะบากบั่น ความทรหดอดทน อย่างสุดความสามารถ


( ส่งมา เงินเยอะ ๆๆ แหลก ๆๆ เกณสลิป มา เยอะ ๆๆ มาก็มาทำหยาบ ๆๆ คาย ๆๆ ใส่ ทำกร้างใส่ ทำหน้าทำตา เป็นเจ้านาย Bossy ใช้คำพูดเยาะเย้ยถากถางตลอดเวลา เด็ก อ่อน โง่ )



10. ส่งอาวุธ ยุทโธปกรณ์ อย่างลับ ๆ ให้กับผู้ที่เป็นศัตรูของพวกเค้า และผู้ที่อาจจะเป็น ศัตรู ของเค้าทั้งหมด


(ไม่ใช้แค่ อาวุธ ยุทโธปกรณ์ แต่ร่วมถึง ข้อมูล การคำปรึกษา ร่วมทั้งการฝึกอบรม ต่าง ๆๆ อีกด้วย)


( อันนี้ มีการเสี้ยสอน กลวิธี ในการยำเคาร์เตอร์ ให้คนนอกได้รู้ และบอกว่าเป็นการยำเทส ให้ช่วยด้วยร่วมกัน หรือเป็นการยำ เพื่อออกตัว เช่น พวกเดียวกันพลาดแบบนี้ โดนแบบนี้ ก็จะเกณ สลิปแบบนี้ กลวิธีแบบนี้ เพื่อแสดงว่าการพลาดแบบนี้เกิดขึ้นได้ ฝ่าย พนง. ตัวดีเลย ปัญหาแลกตังค์ แลกกันทั้งวี่ทั้งวัน ทำบุญ ขอใหม่ ๆๆ แคชเชียร์ ไม่รับ โยนให้เทเลอร์ 5555 กลัวจัดกลัวมาก แล้ว กูไม่กลัวหรือไงว่ะ ถึงกับสมคบคนนอกมาเล่นงานกู เพื่อออกตัวก็ยังเอา )








วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

เพิ่มเติม... เรื่องกระเป๋าที่หาว่าผมเอาไป

ตามที่ ได้ชี้แจ้งแล้วยังมาทำ ดรามากับผมอีก...

หายไปตอนไหนผมก็ไม่ทราบหรอกนะครับ กระเป๋ามึงอ่ะนะ

แล้วมาโผล่ที่ข้างบ้านผมยังไงผมก็ไม่รู้หรอกนะ

แต่ให้ผมเดา ... ก็ต้องหายที่ทำงาน...

หายตอนไหน ตอนพักเที่ยงเปล่า

เวรทานข้าวผม 13.00 - 14.00 น.

นั้นเป็นเวลาที่คุณต้องเข้างานแล้ว ยังหลับอีกเหรอครับ...

มึงนอน พักตอนเที่ยงนาจะเวลา 12.00 - 13.00 น. ในช่วงนี้

กู ยังปฏิบัติงาน ที่หน้าเคาร์เตอร์ อยู่ นะ ไอ้เหี้ย...

นั่งคนเดียวด้วย... ไปไหนก็ไม่ได้...

มึงหายตอนไหน หายยังไง ไอ้สัตว์

บอกให้กูรู้บางดิ ไอ้เหี้ย ไม่ใช่แม่งมึงเอาแต่ยัดข้อหาอยู่นั้นและ

# เชิญร่วมทำบุญ ในโครงการ ต่าง ๆ ตามศรัธา

โครงการซ่อมแซมพระพุทธรูปชำรุดทั่วประเทศ

เรียนเชิญสาธุชนชาวพุทธผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลาย
มาร่วมกันเป็นเจ้าภาพ และถวายจตุปัจจัยเพื่องาน
"ซ่อมแซมพระพุทธรูปชำรุด"
โครงการซ่อมแซมพระพุทธรูปชำรุดทั่วประเทศ

สำนักสงฆ์ร่มโพธิ์ธรรม
145/2 ม. 3 ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี 71190

นำโดยพระใบฎีกาวิชญ์จุฑา อินทวโส (พระซ่อมพระ)

ออกรายการ คนค้นคน ทางช่อง 9 ร่วมด้วย ผู้มีจิตศรัทธาและลูกศิษย์หลวงพ่อฯ
เบอร์โทรติดต่อโดยตรงกับหลวงพ่อฯ 08-9012-6530, 08-1011-9171

ชื่อบัญชี "ทุนซ่อมพระพุทธรูป เลขที่ 745-2-49768-3"
ธนาคาร กสิกรไทย สำนักราชบูรณะ บัญชีออมทรัพย์

ชื่อบัญชี "ทุนซ่อมพระพุทธรูป เลขที่ 221-2-78826-3"
ธนาคาร กสิกรไทย สาขากาญจนบุรี บัญชีออมทรัพย์

ดูรายระเอียดเพิ่มเติมจากเว็บหลวงพ่อ

**********************

กองทุนเผยแพร่ธรรมะทางวิทยุกระจายเสียง


โครงการนี้เป็นโครงการของทางมหาเถระสมาคม
ท่านใดประสงค์ร่วมกุศลเผยแพร่พุทธธรรมะแก่ชนหมู่มาก
สามารถร่วมปัจจัยได้โดยโอนปัจจัยไปที่

ชื่อบัญชี กองทุนเผยแพร่ธรรมะทางวิทยุกระจายเสียง
ธนาคาร ไทยพาณิชย์ เลขที่ บช 236-203-2177
สาขาย่อย รองเมือง

หากท่านประสงค์ได้รับใบอนุโมทนาบัตรดปรดแฟกซ์สำเนาไปที่ 02-2166248
อนึ่งเงินที่รวบรวมได้จะนำไปใช้ในการทอกกฐินเพื่อเป้นทุนในการเผยแพร่ธรรมะ
ทางสื่อต่างๆๆ เช่น วิทยุ โทรท้ศน์ ต่อไป โดยจะมีการทอดกฐินวันที่ 21/10/53 นี้

*****************************

วันศุกร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2553

# ทำบุญ เดือน กย. 2553

ไม่มีโรคอยู่สุขสบาย มาสร้างพระประจำวันเกิดเสดาะห์เคราะห์ต่อชีวิต ก่อนวันที่ 10 ต.ค (รับเป็นเจ้่าภาพสร้างพระประจำวันพฤหัสบดี 1 องค์) = 7,909.97 บาท


*********************

ขอเชิญร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิ หน้าตัก ๑๙ ศอก = 1,009.97


*********************

สร้างฉัตรพระธาตุเจดีย์ "รายงานผลการสร้างพระธาตุเจดีย์ = 1,009.97


******************

บุญใหญ่"เรือบุญ"นำพาชีวิตรุ่งเรือง = 1,009.97


******************

ร่่วมบุญสร้างกุฏิก่ออิฐถือปูนเพื่อให้เหมาะสมกับภูมิประเทศถ้ำจั๊กต่อ = 1,009.97


*******************
โครงการทำบุญถวายพระไตรปิฎก ณ วัดนวมินทรราชูทิศ ณ เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส = 1,009.97


***********************
โครงการกฐินแสนกอง ปี ๒๕๕๓ ปีที่ ๕ = 1,009.97


*******************
บุญใหญ่ สร้างพระธรรมจักร ณ สถานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระปฐมเทศนา กฐินสองแผ่นดิน = 1,009.97 & 509.97

































----------------------------