ขึ้นฟ้องร้องในเดือนตุลาคมนี้ โดยเอาผู้นำรัฐบาลไทยเป็นจำเลย ข้อหาก่ออาชญากรรมล้างเผ่าพันธุ์
ขณะที่นายโรเบิรต อัมสเตอร์ดัม ทนายของทักษิญ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ ให้สัมภาษณ์ว่าจะเป็นการยื่นฟ้องต่อศาลในหลายประเทศ เหมือนกับที่ผู้นำเผด็จการหลายชาติเคยโดนมาแล้ว
ถึงขณะนี้ยังไม่รู็ว่า จะฟ้องร้องแบบไหน ฟ้องได้หรือไม่ แต่เชื่อว่าคงมีการนำคดีนี้ไปพึ่งศาลระหว่างประเทศแน่นอน
เพราะรู้กันดีว่า กระบวนการสอบสวนในบ้านเรานั้นล่าช้าอย่างมาก และมีแนวโน้มพึ่งพิงได้ยาก
ในเมื่อรัฐบาลเป็นผู้ถูกกล่าวหา เป็นผู้ออกคำสั่งให้ใช้มาตรการทางการทหารจัดการกับม๊อบแดงจนมีคนตายเป็น จำนวนมากนั้น ยังไม่ยอมถอยจากอำนาจ
หน่วยงานที่สอบสวนอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลนี้
แถมยังเป็นหน่วยดีเอสไอ ที่มีนายธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นอธิบดีเสียอีก หมดความน่าเชื่อถือไปตั้งแต่ทำหน้าที่แถลงข่าวเป็นโฆษกโฆษณาชวนเชื่อให้ ศอฉ.โน่นแล้ว
ไม่ต่างจากหมอพรทิพย์ ที่นั่วแถลงเคียงข้างนายธาริต ก็ยังพยายามเข้ามาทำหน้าที่ตรวจสอบวิถีกระสุน ซึ่งระดับความน่าเชื่อถือในกรณ๊สลายม๊อบนั้น เที่ยบได้ใกล้เคียงกัน
พอกันทั้งดีเอสไอ และสำนักนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม พร้อมบริการรัฐฐาบสุดหัวจิตหัวใจ
ยิ่งกรณีหมดพรทิพย์ เพื่งหมดราคามาจากคดีของนายห้างทอง ซึ่งศาลทั้งสองศาลพิพากษา ยกฟ้องนายนพดล คนที่ถูกหมอพรทิพย์กล่าวหา ตอนนี้คงต้องไปเตรียมแก้คดีที่จะถูกนายนพดลฟ้องกลับ กระทั่งยื่นฟ้องต่อแพทย์สภาเพื่อสอบสวนอยู่
ในการตรวจสอบคดีปกติก็น่าเป็นห่วงอยู่แล้ว เพราะมากด้วยจินตนาการ เหนือกว่าพยานหลักฐานข้อเท็จจริง
นี่ยังเป็นการสังหารหมู่ประชาชนที่โยงใยอำนาจทางการเมืองยิ่งเข้ารกเข้าพงไปกันใหญ่
เพราะกระบวนการสอบสวนในบ้านเราเป็นเช่นนนี้ แทบจะไม่มีความหวังในการทำความจริงให้ปรากฏ
ดังนั้นความพยายามในกานำคดีไปยังศาลต่างประเทศหรือศาลโลกแทนนั้น จึงเป็นหนทางที่พูดกันอย่างกว้างขวาง จะเป็นไปขนาดไหนยังไม่รู้
แต่เชื่อว่าคงต้องดำเนินการแน่ ดีกว่าปล่อยให้ความจริงและความตายของคนเกือบร้อยศพ โดนหมกอยู่ใต้อำนาจอธรรม
ขณะเดียวกัน กระบวนการตรวจพิสูจน์ รวบรวมพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงทางคดี ได้มีผู้ดำเนินการอย่างเป็นเรื่องเป็นราวมาในระยะเวลาพอสใควรแล้ว
โดยหลังเหตุการณ์ 19 พฤษภาคม ผ่านพ้นไปและดูท่าทีรัฐบาลอภิสิทธิยังกอดอำนาจแน่น จึงมีกลุ่มผู้รอบรู้ทางกฏหมายและการสืบสวนสอบสวน
ได้ลงมือรวบรวมพยานหลักฐานอย่างละัเอียด เป็นขั้นเป็นตอน น่าเชื่อถือ เก็บพยานวัตถุ สอบปากคำพยานบุคคลที่รู้เห็นเหตุการณ์เป็นจำนวนมาก สอบกันแบบมืออาชีพ
สำคัญที่สุดผลการตรวจพิสูจน์ผู้เสียชีวิต เท่าที่สามารถรวบรวมได้ โดยผลการตรวจพิสูจน์ทางนิติเวช ยืนยันได้ว่า ส่วนใหญ่ผู้เสียชีวิตถูกกระสุนเข้าที่ศรีษะ
นั่นหมายความว่า คนตายจำนวนมากถูกยิงจากที่สูง ไม่ใช่ยิงในแนวระนาบ
เหมือนกรณี 6 ศพในวัดปทุมวนาราม ซึ่งมีการตรวจพบรอยกระสุนยิงลงบนพื้นซีเมนต์จนเป็นรูเต็มไปหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้ว่าจะยิงจากแนวราบ ต้องยิงจากที่สูงทั้งนั้น
ขณะที่มีภาพถ่าย คลิปวีดีโอ ละเอียดทุกมุม เห็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ พร้อมอาวุธยืนเล็งปืนอยู่เต็มรางรถไฟฟ้าบีทีเอส หน้าวัดปทุมนั่นเอง
ทีมนักกฏหมายและผู้รอบรู้ด้านการสืบสวนสอบสวนในไทยได้ลงมือรวบรวมพยาน หลักฐานเหล่านี้มาระยะหนึ่งแล้ว ก่อนประสานกับนายโรเบิรต์ อัมสเตอร์ดัม เพื่อนำไปประกอบการฟ้องร้องต่อศาลในต่างประเทศ
อย่งน้อยก็ไม่ใช่การฟ้องร้องอย่างเลื่อนลอย
หากแต่แนบพยานหลักฐาน รวมทั้งผลการตรวจพิสูจน์ศพ การตรวจที่เกิดเหตุ ที่รวบรวมอย่างเป็นระบบและหนาแน่นน่าเชื่อถือ พร้อม ๆ กับการยื่นฟ้องร้องด้วย
อย่างว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นในกลางเมืองหลวง ต่อหน้าต่อตาประชาชนมากมาย ในยุคที่อุปกรณ์ไฮเทคมีอยู่ทุกครัวเรือน
ดังนั้นการบันทึกพยานหลักฐานในเหตุการณ์ดังกล่าว จึงยุบยั่บไปหมด
ขณะเดียวกันนักกฏหมายและผู้เชี่ยวชาญด้้านสืบสวนสอบสวนจำนวนมาก ก็ไม่สามารถทนดูการเข่นฆ่ากันกลางเมืองโดยคำสั่งอันผิดพลาดของรัฐบาลได้
จึงมีการแอบลงมือรวมรวมเป็นรูปคดีสมบูรณ์แบบ เพื่อประสานกับทนายความระดับสากล ในการนำคดีนี้ไปพิสูจน์ในศาลระหว่างประเทศ
ก่อนหน้านี้รัฐบาลก็คงรู็ดีว่า การทำเป็นเงียบ ๆ เฉย ๆ สำหรับ 91 ศพ คงเป็นไปได้ยาก
อย่างน้อยนายกญี่ปุ่น และรัฐบาลอิตาลี ที่นักข่าวของเขามาตายในเหตุการณ์นี้คงไม่ยอมนิ่งเฉย
ขนาดรัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่น ยังบินมายืนไว้อาลัยถึงจุดเกิดเหตุแยกคอกวัว
อีกหน่อยดขาคงต้องทงถามคดีอีก และอาจเพิ่มมาตรการในกาทงถามมากขึ้น
รัฐบาลจึงมีคำสั่งไปยังนายธาริต เพื่อให้ขยับแข้งขยับขา มีท่าทีสอบสวนหาความจริงในคดีนี้บ้าง
นายธาริตก็เริ่มต้นจากการประกาศลดจำนวนคนตายจาก 91 ศพ ให้เหลือเพียง 89 ศพ พร้อมตั้งคณะสอบสวนสารพัดชุดขึ้นมาทำงาน
จากนั้นก็ยังสร้างความตื่นตะลึงให้คนทั่วไปได้อีก เมื่อประกาศว่าจะขอความร่วมมือกับกองทัพ เพื่อตรวจสอบว่าได้ใช้กำลังหนาวยใดบ้าง เข้าไปปฏิบัติการในพื้นที่ผ่านฟ้า ไปจนถึงแยกราชประสงค์
พร้อมกับประกาศจะอขตรวจสอบอาวุธปืนในช่วงเหตุการณ์ดังกล่าวด้วย
ได้ฮากันทั้งเมือง ว่าจะขอไปตรวจสอบปืนเป็นหลักฐานสำคัญ ก็อุตส่าห์ตะโกนไปทั่ว เหมือนบอกข้อสอบล่วงหน้า
แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขาพยายามหอบหลักฐานไปพึ่งศาลต่างประเทศได้อย่างไร
ที่สำคัญหากมีการสืบพยานเบิกความคดียนี้ในศาลระหว่างประเทศจริง
เราอาจได้เห็นกระบวนการซักถามพยานที่เกี่ยวข้อง จนเห็นภาพเหตุการณ์ และนำไปสู้คำอธิบายที่ว่า เหตใดจึงดุเดือดเลือดพล่านยิ่งกว่ายุคถนอม ยอดสูงยิ่งกว่ายึค รสช.เสียอีก
เพราะนี่เหมือนไม่ใช่คำสั่งสลายม๊อบปกติ
แต่น่าจะเป็นการปราบปรามผู้ก่อการร้าย
ปัญหาคือคนตายทั้งหมด ไม่เห็นมีใครเป็นผู้ก่อการร้ายแม้แต่คนเดียว
----------------------------------------------------------
คอลัมน์ชกคาดเชือก
วงศ ตาวัน
มติชนสุดสัปดาห์ ....
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น