วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

แถลงการณ์ทหารตำรวจประชาธิปไตย ๒๕๕๔ ฉบับที่ ๒

แถลงการณ์ฉบับที่ 2 มีข้อความดังต่อไปนี้

คณะ ทหาร ตำรวจประชาธิปไตย 2554 จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเปิดเผยความจริง เพื่อยุติความแตกแยกของประชาชนในแผ่นดิน ถึงแม้ว่าความจริงนี้จะเป็นความเจ็บปวดอย่างยวดยิ่งของพวกเรา ที่เป็นทหารและตำรวจจากการที่ได้รับการอบรมสั่งสอน ในโรงเรียนเตรียมทหารโรงเรียนนายร้อยจปร และโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน ถึงคำกล่าวที่ว่า”รุ่นพี่ที่เลวที่สุดย่อมดี กว่ารุ่นน้องที่ดีที่สุด”

ใน ครั้งนี้น้องๆในคณะเราทุกคนเห็นว่า พวกเราพร้อมจะเป็นคนเลวที่สุดของกองทัพ เพราะมิอาจ จะยอมรับความเลวอย่างร้ายกาจของรุ่นพี่ ที่ทำลายกองทัพ ประเทศชาติ และทำร้ายประชาชนอย่างเลือดเย็นได้อีกต่อไป จึงขอเปิดเผยหลักฐานและข้อมูลการปฏิบัติการทางทหาร ของ ศอฉ. อันเป็นข้อมูลที่แท้จริงของฝ่ายการเมืองและฝ่ายทหารที่ปฏิบัติการใน ห้วง 10 เมษายนและ 19 พฤษภาคม 2553 และการสั่งการ การสังหารประชาชนที่วัดปทุมวนาราม และเบื้องหลังการสั่งการของชายชุดดำต่อการปฏิบัติการลับ ในการสังหารนายทหารชั้นผู้ใหญ่ทั้ง พล.ต. วลิตโรจนภักดีและพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ดังนี้

1. การปฏิบัติการของฝ่ายการเมืองที่สั่งการในเหตุการณ์ เมื่อ 10 เมษายน 2553 และ 19 พฤษภาคม 2553 ได้สั่งการชัดเจนจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ณ ห้องน้ำเงินในกองบังคับการกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ต่อ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณโดยมี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ(ยศในขณะนั้นเรียกกันว่าแม่ทัพศูนย์) ทั้งนี้มีผู้คัดค้าน และไม่เห็นด้วยคือ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ เพียงผู้เดียว แต่ก็ได้รับการยืนยันอย่างหนักแน่นจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับสัญญาณว่า ยืนยันให้ปฏิบัติได้และเป็นการเริ่มวาทะกรรม”กระชับวงล้อมและกระชับพื้นที่ ตั้งแต่ตอนนั้น” โดยให้ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา และ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ วางแผนอย่างละเอียด โดยมีขั้นตอนและสมมุติฐาน ดังนี้

– รวมผู้ชุมนุมให้อยู่ในที่เดียว เพื่อรวมกำลังเข้าปิดล้อมแล้วสร้างความหวาดกลัว ให้คนออกจากที่ชุมนุมแล้วห้ามคนเข้า เมื่อปริมาณคนเหลือน้อยกว่า 2,000 คนจึงให้ทำการสลายการชุมนุมโดยมีคำถามว่าผู้ชุมนุมจำนวนเท่านี้ จะมีการสูญเสียเท่าไร … คำตอบคือถ้าไม่ยอมอย่างน้อย 500

– สร้างเหตุให้ผู้ชุมนุมทำร้ายฝ่ายทหารก่อน โดยใช้สไนเปอร์ยิงด้วยกระสุนขนาด 22 มิลลิเมตรและใช้กระสุนขนาด 56 มิลลิเมตร(M16) กระทำต่อผู้ชุมนุม เพื่อให้โกรธแค้นแล้วทำร้ายทหารเพื่อทำลายสมมุติฐานของ ฝ่ายผู้ชุมนุม เมื่อมีการเสียชีวิตของประชาชนแล้วจะเกิดความชอบธรรมที่จะต้องทำให้รัฐบาลลา ออก แต่เมื่อทหารถูกทำร้ายก่อนจึงกลับกลายเป็นความชอบธรรมของฝ่ายปราบแทน ซึ่งรัฐบาลไม่ต้องลาออก … แต่การยิงด้วยกระสุนขนาด 22 มิลลิเมตรไม่ ได้ผลจึงต้องใช้กระสุนขนาด 56 มิลลิเมตร(M16) และทหารแต่งกายชุดดำออกมาปฏิบัติการเพื่อให้การสร้างเหตุของความชอบธรรม ในการสลายการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้ากระทำได้ตามสมมุติฐานของฝ่ายทหารได้ จริง(และเรื่องชายชุดดำนั้นเป็นการกระทำถึงขั้นแผนซ้อนแผนของฝ่ายเดียวกัน ที่จะแย่ง ชิงอำนาจทางทหารซึ่งจะกล่าวต่อไป)

–.. การคัดค้านของ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ ไม่เป็นผลเหมือนเมื่อครั้งสงกรานต์เลือด ในปี 2552 ที่มีคลิปลับการสั่งการของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มีการตัดต่อเพราะเสียงที่หายไป คือ เสียงของ พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ และ พล. อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร และ ในการสั่งการครั้งนี้ ณ ห้องน้ำเงิน บนตึกกองบังคับการชั้น 2 ของ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ในคืนวันที่ 9 เมษายน 2553 เวลาประมาณ 20.00 น จึงไม่มีใครคัดค้านได้ การปฏิบัติการใน 10 เมษายน 2553 จึงเกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงรายละเอียดของกองกำลังที่ใช้ที่มาจากพล.1 รอ , พล.ร.2 รอ และ พล.ร.9 ที่เข้าปฏิบัติการจนทำให้เกิดการสูญเสียเกิดขึ้น

นี่เป็นการยืนยันของความเลวร้ายที่กองทัพรับใช้นักการเมือง เพื่อรักษาสถานภาพของอำนาจของตน แม้จะต้องสังหารประชาชนของตนเองก็ตาม

2. การปฏิบัติการของทหารที่แต่งกายชุดดำ มีเหตุที่สืบเนื่องจากการแย่งชิงอำนาจ ของผู้ที่หวังว่าจะก้าวขึ้นเป็น มทภ.1 และ ผบ.ทบ. ต่อไป กล่าวคือเมื่อบูรพาพยัคฆ์ก้าวขึ้นมายิ่งใหญ่ในกองทัพ ทหารฝ่ายวงศ์เทวัญเป็นได้เพียงแค่พระรองเท่านั้น ซึ่งมีตัวอย่างมาแล้วในครั้งที่ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เป็น รองมทภ.1 ก่อนถึง 2 ปี และเป็นถึงอดีต ผบ.พล.1 รอ และเป็นเพื่อนรักกับ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ยังถูก พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ รุ่นน้องที่มาเป็น รองมทภ.1 เพียงแค่ 6 เดือนแซงหน้าขึ้นไปเป็น มทภ.1 ได้ จึงเป็นเหตุให้ พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ซึ่งคาดหวังและประกาศกร้าวตลอดมาว่า จะไม่ยอมให้เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นกับตนเองเด็ดขาด

แต่เหตุก็ไม่ ได้เป็นอย่างที่ พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา คาดหวัง และวางแผนไว้ แม้จะอาสากับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อาสาลงไปทำงานที่ภาคใต้ โดยมีสัญญาใจว่าจะให้กลับมาเป็น มทภ.1 แต่ตำแหน่ง มทภ.1 กลับตกเป็นของ พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร ทหารเสือราชินี และรู้อีกว่า บูรพาพยัคฆ์ นั้นได้จัดวาง พล.ต.วลิต โรจนภักดี ไว้ในที่ตำแหน่ง มทภ.1 เรียบร้อยแล้ว ตนเองนั้นไม่มีทางที่จะได้เป็น มทภ.1 อย่างที่หวังไว้อย่างแน่นอน

หน ทางเดียวที่จะได้เป็น มทภ.1 คือไม่มี พล.ต.วลิต โรจนภักดี เพื่อนร่วมรุ่น ตท.15 อีกต่อไป ทั้งนี้ พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ได้วางสายงานทางการข่าว โดยให้ พ.อ.วณัฐลัทธ ศักดิ์ศิริ(เสธ.ซัน ซึ่งเปลี่ยนชื่อมาเป็น วณัฐ) รายงานการเคลื่อนไหว และสถานการณ์เหตุการณ์ในกรุงเทพอย่างละเอียด และต่อเนื่องตลอดมา และ เสธ.ซัน ผู้นี้ คือ นายทหารฝ่ายการข่าวของ พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผบ.พล.1 รอ นั่นเอง ดังนั้น แผนของทหารชุดดำจึงได้รายงานถึง พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ซึ่งคณะนั้นคุมกำลังอยู่ที่ จ.นราธิวาส จึงได้ส่งทหารชุดดำของตนเองจำนวน 6 นายพร้อมด้วยอาวุธ M16 M79 AK47 และ Travo–21 เข้ามาดำเนินการโดยมี เสธ.ซัน เป็นผู้ชี้เป้า พล.ต.วลิต โรจนภักดี เพื่อสังหาร โดยมีสัญญาลับว่าเมื่อเป็นแม่ทัพ จะส่งเสริมให้เป็นผู้บังคับหน่วยตามที่มุ่งหวังต่อไป …

นี่คือ คำเฉลยของชายชุดดำซึ่ง พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ต้องการยิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว คือทำลายคู่แข่งทางการทหาร แม้เป็นเพื่อนร่วมรุ่น และสร้างสถานการณ์ผู้ชุมนุมทำร้ายทหาร เพื่อเป็นเงื่อนไขสร้างความชอบธรรมให้แก่ทหารและรัฐบาลต่อไป(ซึ่งเราจะลืม ไม่ได้เลยว่า พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา นี้ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผบ.พล.1 รอ. คือ กำลังสำคัญในการสลายการชุมนุม ครั้งสงกรานต์เลือดเมื่อปี 2552 ซึ่งถ้ารัฐบาลและทหารแพ้ในครั้งนี้ ความหวังทั้งปวงก็จะกระทบต่อ พล.ต.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ด้วยเช่นกัน)

3. การสังหาร พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล จากการเสียชีวิตของ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม และการบาดเจ็บสาหัสของ พล.ต.วลิต โรจนภักดี สร้างความโกรธแค้นให้แก่บูรพาพยัคฆ์เป็นอย่างยิ่ง และก็รู้ด้วยว่าไม่ได้เป็นฝีมือของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แต่ในขณะนั้นต้องการที่จะทำลายขวัญ และการบัญชาการแนวป้องกันต่างๆของฝ่ายเสื้อแดงที่ราชประสงค์ ซึ่งมี พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง เป็น ผบ.พื้นที่ โดยหลังจากเสร็จงานศพของ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม แล้วจึงมีการสั่งการให้เป็นเหตุอันต่อเนื่องที่จะเอาชนะผู้ชุมนุม โดยหาจุดอ่อนและจุดแข็งของฝ่ายเสื้อแดง ซึ่งได้พบว่า พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล นั้น มีผลต่อการตั้งรับในการกระชับวงล้อมของทหาร การกำจัด พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล นอกจากจะเป็นการทำลายผู้บัญชาการแนวป้องกันแล้ว ยังเป็นการทำลายขวัญของฝ่ายเสื้อแดง

จึงมีการเสนอแนะจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ. ที่ตกลงใจเปิดไฟเขียวให้ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา และ พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ(ยศในขณะนั้น)สั่งการลับให้สังหาร เสธ.แดง โดยผู้ที่สังหาร เสธ.แดง นั้น ชื่อ สอ.พรชัย ปะละมะ(ยศในขณะนั้น) และให้ นายชอน น้องชายของ อธิบดีกรมสนธิสัญญาเอเชียตะวันออก ซึ่ง นายชอน นี้ เป็น ซีไอเอ มียศเป็นพันเอกของกองทัพบกสหรัฐอเมริกา และมาแฝงตัวเป็นโฆษกร่วม ในการแถลงข่าวภาคภาษาอังกฤษของ นปช เป็นผู้ชี้เป้า โดยมีการสั่งการตั้งแต่คืนวันที่ 11 พฤษภาคม 2553 และข่าวเริ่มรั่วตั้งแต่ตอนเช้าของวันที่ 13 พฤษภาคม 2553 มีการแจ้งข่าวไปยัง เสธ.แดง แต่เพราะเป็นชะตากรรมที่ต้องเสียชีวิต เสธ.แดง ไม่เชื่อ ส่วน สอ.พรชัย ปะละมะก็ได้เลื่อนยศเป็นจ่าสูงขึ้น และคงจะก้าวหน้าเป็นนายทหารต่อไป ถ้าเปลี่ยนชื่อและนามสกุล หรือเวรกรรมตามทัน ก็คงจะไปอยู่กับ เสธ.แดง

นี่คือความจริง ที่น้องยอมเป็นคนเลวที่สุด โดยมิอาจจะให้พวกพี่ๆรับใช้นักการเมือง ฆ่าพี่ ฆ่าน้อง ฆ่าประชาชน เพื่อคงไว้ซึ่งอำนาจของตนเอง … ใครเลวกว่ากัน

ใน แถลงการณ์ฉบับต่อไป หากพี่ๆในกองทัพยังคงจะตั้งเป้าหมายต่อไป ที่จะคงอำนาจทางการทหารโดยยอมรับใช้นักการเมือง ข่มขู่ประชาชน ช่วยพรรคการเมืองบางพรรคก่อสงครามกับ เขมร เพื่อหวังผลทางการเมืองในประเทศ คณะนายทหาร-ตำรวจประชาธิปไตย 2554 จะไม่หยุดยั้งเพียงเท่านี้ จะเปิดเผยการทุจริตคอรัปชั่นบัญชีเงินต่างๆ ก่อนที่จะมีตำแหน่ง กับเมื่อมีตำแหน่งแล้ว ต่างกันราวฟ้ากับดิน พี่ๆเอาเงินมาจากไหน? และการสั่งการอันผิดพลาด จนทำให้มีการสังหารหมู่ที่วัดปทุมวนาราม นอกจากนี้แล้ว ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับสตรีที่มิได้เป็นภรรยาก็จะเปิดเผยต่อมา … พวกผมยอมเป็นคนเลว แต่ไม่อาจให้พวกพี่ทำความเลวกับประเทศชาติ ประชาชน ได้อีกต่อไป “มิเคยหวังจะเป็นวีรบุรุษ แต่ก็สุดเห็นชาติจะพินาศดับสลาย”

ทหารตำรวจประชาธิปไตย 2554
29 มิถุนายน 2554

......................................

แถลงการณ์ ฉบับที่1 และ 2 ห่างกันเพียงสองวัน แสดงว่าคณะนี้ทำงานกันไวพอสมควร และยังไม่เห็นมีการตอบรับจากฝ่ายทหารตำรวจที่ครองอำนาจอยู่ จึงเป็นเรื่องที่แปลกและน่าเฝ้าติดตามว่า คณะทหารตำรวจนี้จะมีแถลงการณ์ ฉบับที่ 3 ออกมาแฉอะไร? อีกอย่างไร?

ในนามประชาชนคนหนึ่ง ก็อดที่จะแอบให้กำลังใจไม่ได้ ถ้าคณะทหารตำรวจชุดนี้มีจริง เราประชาชนก็อยากเห็นข้อมูลที่ออกมาจากพวกท่านอีก และต่อไปก็อยากเห็นรูปธรรมที่ทำเพื่อชาติและประชาชนจริงๆ ประชาชนและชาติจะได้เจริญเสียที จมอยู่ใต้โคลนมานานแล้ว สวัสดี.

ที่มา : http://mcfah.wordpress.com/2011/07/03/แถลงการณ์ทหารตำรวจแตงโ-2/

1 ความคิดเห็น: