วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2553

บทที่ 4 รูปลักษณ์การรบ

ผู้สันทัดการรบในอดีต จักทำให้ตนมิิอาจพิชิตได้ก่อน เพื่อรอโอกาสข้าศึกจะถูกพิชิต มิอาจพิชิตเป็นฝ่ายตน ถูกพิชิตเป็นฝ่ายข้าศึก ฉะนั้น ผู้สันทัดการรบ อาจทำให้ตนมิอาจพิชิตได้ แต่ไม่อาจทำให้ข้าศึกจะต้องถูกพิชิต ดังนี้จึงว่า ชัยชนะอาจล่วงรู้ แต่ไม่อาจกำหนดได้ ผู้ที่เราไม่อาจเอาชนะ พึงตั้งรับ ผู้ที่เราอาจเอาชนะ พึงเข้าตี ตั้งรับเพราะกำลังไม่พอ เข้าตีเพราะกำลังเหลือเฟือ

ผู้สันทัดการตั้งรับ จักประหนึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้บาดาล ผู้สันทัดการเข้าตี จักประหนึ่งเคลื่อนตัวอยู่เหนือฝากฟ้า ฉะนั้น จึงสามารถพิทักษ์ตนเอง ให้ได้รับชัยชนะได้อย่างสมบูรณ์

หยั่งเห็นในชัยชนะมิเกิดซึ่งคนทั้งปวงรู้ หาใช้ความยอดเยี่ยมที่แท้ไม่ รบชนะเป็นที่สรรเสริญแก่ชาวโลก หาใช้ความยอดเยี่ยมที่แท้จริงไม่ ฉะนั้น ยกขนนกขึ้นได้ใช้ว่าทรงพลัง เห็นแสงเดือนตะวัน ใช่ว่าตาสว่าง ได้ยินเสียงฟ้าคำรณใช้ว่าโสตไว

ที่โบราณเรียกว่าผู้สันทัดการรบนั้น คือชนะผู้ที่เอาชนะได้ง่าย ฉะนั้น ชัยชนะของผู้สันทัดการรบ จึงมิได้ชื่อว่ามีสติปัญญา มิมีความชอบในเชิงกล้าหาญ ฉะนั้น ชัยชนะของเขาจึงมิพึงกังขา เหตุที่มิพึงกังขา ก็เพราะปฏิบัติการของเขาจักต้องชนะ จึงชนะ ผู้ที่ต้องพ่ายแพ้ ฉะนั้นผู้สันทัดในการรบจึงตั้งอยู่ในฐานะไม่แพ้ และไม่สูญเสียโอกาสทำให้ข้าศึกต้องแพ้

เหตุนี้ ฝ่ายชนะรู้ว่าชนะก่อนจึงออกรบ ฝ่ายแพ้รบก่อนแล้วจึงหวังว่าชนะ

ฉะนั้น ผู้สันทัดการบัญชาทัพ จักจรรโลงไว้ซึ่งมรรคและกฎระเบียบ ฉะนั้น จึงสามารถกำหนดชัยชนะและพ่ายแพ้ได้

หลักแห่งการทำศึก มี หนึ่งคือวินิจฉัย สองคือคำนวณ สามคือประมาณ สี่คือเปรียบเทียบ ห้าคือชัยชนะ

พื้นที่ก่อให้เกิดการวินิจฉัย การวินิจฉัยก่อให้เกิดการคำนวณ การคำนวณก่อให้เกิดประมาณ ประมาณก่อให้เกิดการเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบก่อให้เกิดชัยชนะ

ฉะนั้น กองทัพที่ชนะจึงประดุจเอาหนึ่งอี้ไปเปรียบกับหนึ่งจู กองทัพที่แพ้จึงประดุจเอาหนึ่งจูไปเปรียบกับหนึ่งอี้ ไพร่พลของฝ่ายชนะ จึงเสมือนปล่อยน้ำที่กักในลำธานสูงแปดพันเชียะ ให้ทะลักกระโจมลงมา นี้คือรูปลักษณ์การรบ
บทวิเคราะห์

บทนี้ ที่สำคัญ ซุนวูได้ให้คำอธิบายเรื่องการรบของกองทัพว่า จะต้องทำให้ตนเอง “ตั้งอยู่ในฐานะไม่พ่ายแพ้”

ซุนวูเห็นว่า การเปรียบเทียบกำลังทหารที่แท้จริงระหว่างสองฝ่ายเป็นรากฐานแห่งความมีชัยหรือพ่ายแพ้ของการรบ “กองทัพที่ชนะจึงประดุจเอาอี้ไปเปรียบกับจู” “กองทัพที่แพ้จึงประดุจเอาจูไปเปรียบกับอี้” ( อี้และจูเป็นมาตราชั้งสมัยโบราณของจีน 1 อี้เท่ากับ 20 ตำลึง 1 ตำลึงมี 24 จู 1 อี้จึงเท่ากับ 480 จู ) แม่ทัพผู้สันทัดในการรบ มักจะสร้างความได้เปรียบอย่างสมูบรณ์ทางกำลัง “ฝ่ายชนะรู้ว่าชนะก่อนจึงออกรบ” กองทัพเช่นนี้เมื่อรบ ก็เหมือนดั่งน้ำทีสะสมอยู่ในลำธารสูงที่เป็นพันเชียะ ไหลพุ่งออกมาอันไม่อาจต้านทานได้

โดยเริ่มต้นจากจุดนี้ ซุนวูจึงได้เสนอความคิดชี้นำการรบซึ่ง “จักทำให้ตนมีอาจพิชิตได้ก่อน เพื่อรอโอกาสข้าศึกจะถูกพิชิต” เข้าเน้นว่าหากต้องการช่วงชิงให้ได้ชัยชนะในสงคราม ก่อนอื่นจะต้องทำให้ตนเองตั้งอยู่ในฐานะไม่แพ้ และรอเวลาที่จะตีข้าศึกให้พ่ายไป

ซุนวูเห็นว่า จะสามารถทำถึงขั้น “จักทำให้ตนมิอาจพิชิตได้ก่อน” กุมอำนาจการเป็นฝ่ายกระทำอยู่ในมือของตนนั้น จะทำได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการ “จรรโลงไว้ซึ่งมรรค ( หมายถึง การสร้างเงื่อนไขต่างๆทุกวิธีทาง เพื่อให้ได้รับชัยชนะ ) และกฎระเบียบ” พยายามคิดหากลอุบายอย่างเต็มที่ก็สามารถ “กำหนดชัยชนะหรือพ่ายแพ้ได"้

แต่ข้าศึกจะมีช่องโหวให้ฉกฉวยหรือไม่ ฝ่ายเราจะได้ชัยชนะจากข้าศึกหรือไม่ ยังอยู่ที่ข้าศึก ฉะนั้น ซุนวูกล่าวว่า “ผู้สันทัดในการรบอาจทำให้ตนมิอาจพิชิตได้ แต่ไม่อาจทำให้ข้าศึกจะต้องถูกพิชิต” อย่างไรก็ดี ขอแต่เพียงว่าก่อนอื่นจะต้องทำให้ตนตั้งอยู่ในฐานะไม่พ่ายแพ้ ความเป็นไปได้ในการรอคอยข้าศึกให้แพ้ไปก็มักจะดำรงอยู่เสมอ

ความคิดชี้นำการรบของซุนวูข้อนี้ เน้นให้ถือกำลังที่แท้จริงของตนเองเป็นพื้นฐาน ไม่ปล่อยโอกาสรบใดๆ ที่สามารถรบชนะให้ผ่านไปมีความมั่นคงแน่นอนพร้องทั้งตระเตรียมอย่างเอาการเอางาน ด้วยเหตุนี้เองความคิด “ฝ่ายชนะรู้ว่าชนะก่อนจึงออกรบ” ของซุนวู จึงได้ความสนใจอย่างสำคัญของนักการทหารทั้งหลายตลอดเวลาทีผ่านมา

ในบทนี้ ซุนวูยังได้อรรถาธิบายปัญหาการรุก การรับ และ “พิทักษ์ตนเองให้ได้ชัยชนะอย่างสมบูรณ์” ซุนวูเห็นว่า เมื่อเงื่อนไขแห่งชัยชนะไม่พอเพียง ก็ควรจะใช้การตั้งรับ เมื่อเงื่อนไขแห่งชัยชนะพอเพียงก็ควรจะเข้าโจมตี ซุนวูยังชี้อีกว่า “ผู้สันทัดการตั้งรับ จักประหนึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้บาดาล” ทำให้ข้าศึกไร้ร่องรอยที่จะสังเกตเห็น ไม่มีช่องโหว่ที่จะฉกฉวย “ผู้สันทัดการเข้าตีจักประหนึ่งเคลื่อนตัวอยู่เหลือฟากฟ้า” ทำให้ข้าศึกรับมือไม่ทัน จนปัญญาจะต้านทาน ดังนี้ ก็จะสามารถบรรลุ จุดประสงค์ในการ “พิทักษ์ตนเองได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์”

ตอนสุดท้ายของบทนี้ ซุนวูได้กล่างไว้ว่า “หลักแห่งการทำศึกมี หนึ่งคือวินิจฉัย สองคือคำนวณ สามคือปริมาณ สี่คือเปรียบเทียบ ห้าคือชัยชนะ” และได้อรรถาธิบายต่อไปว่า “พื้นที่ก่อให้เกิดการวินิจฉัย การวินิจฉัยก่อให้เกิดการคำนวณ การคำนวณก่อให้เกิดปริมาณ ปริมาณก่อให้เกิดการเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบก่อให้เกิดชัยชนะ” นั้น มีผู้รู้อธิบายความหมายเป็น 2 นัยด้วยกันคือ

นัยหนึ่งว่า ดำเนินการวินิจฉัยเพื่อใช้ภูมิประเทศให้เป็นประโยชน์โดยพิจารณาตามสภาพความคับขันหรือปลอดโล่ง ความกว้างหรือแคบ ตามลักษณะเป็นหรือตายของพื้นที่ซึ่งคือภูมิประเทศ อาศัยการวินิจฉัยต่อภูมิประเทศ กำหนดปริมาณจัดวางกำลังทหาร อาศัยปริมาณกำลังทหารทีทั้งสองฝ่ายอาจจะทุ่งเข้าไปในพื้นที่ ดำเนินการเปรียบเทียบ และจากนี้ก็กำหนดความมีชัยหรือพ่ายแพ้ได้

อีกนัยหนึ่งก็ว่า วินิจฉัย คือวินิจฉัยความใหญ่เล็กของพื้นที่ คำนวณ คือคำนวณความมากน้อยของทรัพย์ยากรวัตถุ ดังนี้ ความหมายของคำนี้ทั้งคำก็คืออาณาเขตพื้นที่ของทั้งสองฝ่ายไม่เท่ากัน ก่อให้เกิดการ “คำนวณ” คือทรัพยากรวัตถุที่แตกต่างกัน ทรัพยยากรวัตถุที่แตกต่างกันก่อให้เกิด “ปริมาณ” แห่งการระดมพลและการคงไว้ซึ่งกำลังพลที่แตกต่างกัน กำลังพลมากน้อยที่แตกต่างกัน ก็ก่อให้เกิดการ “เปรียบเทียบ” ทางกำลังพลที่ต่างกัน ความแตกต่างทางกำลัง ก็ก่อให้เกิดความแตกต่างกันแห่งชัยชนะและพ่ายแพ้ของคู่ศึกทั้งสอง

ความคิดของซุนวูต่าง ๆ ดังกล่าวมาข้างต้น มีคุณค่าที่แน่นอน หนึ่งในการชี้นำการรบ ทั้งนี้ก็สุดแท้แต่ว่า ใครจะสามารถยึดกุมความคิดของซุนวูได้อย่างแท้จริง และสามารถนำไปใช้โดยปรับให้เข้ากับสถานการณ์ที่ตนเผชิญอยู่นั้นๆ ได้อย่างเหมาะสมเป็นสำคัญ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น