วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

ตีแผ่! วิธีการที่แกนนำ พธม. ใช้ในการชี้นำกองเชียร์ เปิดเผยเบื้องลึก

ท่านเคยสงสัยหรือไม่ เหตุใด บุคคลรอบข้างท่าน โดยเฉพาะชนชั้นกลาง
ถึงได้เชื่อ พธม.แบบทุ่มสุดตัว
แม้กระทั่งบุคคลระดับที่สามารคเรียกได้ว่าเป็น ปัญญาชน เหตุใดถึงได้คลั่ง
พธม. เสียมากมาย

ผมจะตีแผ่ วิธีการ ที่แกนนำ พธม. ใช้ในการปลุกปั่นมวลชนคนเสื้อเหลือง
ให้หลงเชื่อ ถวายตัว ถวายหัว ทุ่มสุดตัว ทุ่มสุดใจ จากประสบการณ์
ที่เฝ้าดูพธม. ติดตามความเคลื่อนไหว และวิธีการที่ใช้ตลอดมา.

สนธิ ลิ้มทองกุล สื่อมวลชนโดยหน้าที่ บุคคลคนนี้ฝีมือไม่ธรรมดา
เรื่องทฤษฎีการสื่อสารมวลชน เขาได้นำมาใช้แทบทุกแง่มุม
ไม่ เว้นแม้แต่ สิ่งที่เป็นด้านมืดของสื่อมวลชน
เขาไม่ลังเลที่จะหยิบมันมาใช้
ถ้ามันเป็นวิธีที่ทำให้ไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการ เขาจะใช้มันโดยทันที

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เคยกล่าวไว้ว่า
"If you tell a big enough lie and tell it frequently enough, it will
be believed."
"หากท่านโกหกเรื่องใหญ่มากพอ, โกหกบ่อยครั้งเพียงพอ, เรื่องนั้นจะถูกเชื่อ"

นี่คือหลัก นี่คือหัวใจที่ สนธิ ใช้ในการปลุกปั่นมวลชนมาโดยตลอด จาก
นั้นก็ใช้การโฆษณาชวนเชื่อ(propaganda) เพื่อที่จะสร้างระบบจิตวิทยามวลชน
อุปาทานหมู่ เพื่อชี้นำความคิดมวลบชนไปยังความต้องการของตน

เทคนิคการโฆษณาชวนเชื่อ(Propaganda Techniques) อาจสรุปลงง่ายๆ 7 ข้อ ได้แก่

1. Ad Hominem : โจมตีตัวบุคคล
สร้างศัตรูบุคคลขึ้นมาเป็นหุ่นรับการโจมตีหลัก แล้วจับผิด โจมตี ด่าทอ
ต่อว่า ทั้งเรื่องส่วนตัว
และคำพูดทุกคำพูดของคนๆนั้น
รวมถึงการสร้างภาพให้ฝ่ายศัตรูที่ตั้งขึ้นมาโจมตีเป็นปีศาจร้าย
เปรียบเทียบกับความชั่วร้ายในโลกทั้งมวล
ทั้งในพระคัมภีร์ศาสนาและประวัติศาสตร์

ตัวอย่าง เช่น การโจมตีทักษิณว่าต้องการโค่นล้มสถาบัน
การลากโยงว่ามีความสัมพันธุ์ในเชิงชู้สาวกับนักร้องรุ่นลูก การว่าเป็น:-)
เป็นเทวทัตกลับชาติมาเกิด

2. Ad nauseum : พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก มีสุถาษิตไทยบทหนึ่งว่า
"อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลัก ไปมาผลักบ่อยเข้าเสายังไหว"

กระบวนการปราศัยของ แกนนำ พธม. จะมีวิธีการหนึ่งเรียกว่า
พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก โจมตีจุดเดียวในแต่ละวันที่ขึ้นเวที
เดี๋ยวมันก็เชื่อเอง
วิธีการ พธม. จะใช้คนพูดในระดับรองๆ ที่ไม่ได้เด่นดังมากนัก
ขึ้นพูดในช่วงเย็นๆก่อน เพื่อหยั่งกระแสดูท่าทีว่ากองเชียร์รู้สึกอย่างไร
ถ้า มีแนวโน้มว่าจะเชื่อเรื่องไหน วันนั้น คนพูดระดับแม่เหล็กคนต่อๆ มา
ก็จะพูดเรื่องนั้นซ้ำไปซ้ำมา กันทุกคน แต่จะทำให้ดูเหมือนมีระบบ ก็คือ
แต่ละคนจะพูดเรื่องเดียวกัน แต่คนละแง่ เช่นในแง่ของสังคม
ในแง่ของเศรษฐกิจ ในแง่ของวัฒนธรรม แต่ทั้งหมดล้วนแล้วแต่
"เป็นการพูดเท็จ ซ้ำไปซ้ำมา" จนกระทั้งทำให้ความคิดของกองเชียร์เปลี่ยนไป
เช่น จากคิดว่า "ไม่ใช่" กลายเป็น "ลังเล" เข้าสู่ "ไม่แน่ใจ 50 50"
ผันไป "น่าจะใช่ 80 20" สุดท้าย "ใช่แน่ๆ 100%"

3. Big Lie : โกหกคำโต โยเซฟ เกิบเบิลส์(1897-1945)
รัฐมนตรีกระทรวงโฆษณาการ(minister of propaganda) มือขวาของฮิตเลอร์
กล่าวว่า
"The bigger the lie, the more it will be believed."
"ยิ่งโกหกคำโตเท่าไร, มันยิ่งน่าเชื่อไปเท่านั้น" และ
"The great masses of people will more easily fall victims to a big lie
than to a small one."
"ฝูงชนมหาศาลถูกหลอกด้วยการโกหกเรื่องใหญ่ ง่ายกว่าโกหกเรื่องเล็กๆ"
การ โกหกเรื่องเล็กๆที่มีรายละเอียดปลีกย่อย อาจมีผู้จับโกหกได้ง่าย
แต่การโกหกเรื่องใหญ่ๆเพื่อหลอกให้เชื่อ
มันย่อมครอบคลุมเรื่องต่างๆหลากหลาย อย่างน้อยต้องมีข้อใดข้อหนึ่งที่
ถูกจริตผู้ฟัง และเมื่อคนพูดพูดในสิ่งที่คนฟังอยากจะเชื่ออยู่แล้ว
เขาก็พร้อมจะยอมเชื่อโดยดี แม้ว่าคำโกหกเรื่องใหญ่นั้น จะเท็จครึ่ง
จริงครึ่ง หรือไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความจริงอยู่เลย

ตัวอย่าง ที่เห็นได้ชัดก็คือ ปฏิญญามือถือ เรื่องที่ฮาสุดคลาสิค
"ปฏิญญาฟินแลนด์" เป็นเรื่องที่โกหกได้ยิ่งใหญ่
แต่แหกตากองเชียร์ได้ผลมากมาย เกิดผลกับสังคมได้อย่างรุนแรงพอสมควร
กินเวลาอยู่หลายอาทิตย์ กว่าจะมีการออกมาแก้เกมส์ ว่าจริงๆ มันเป็นเรื่อง
"โจ๊กใส่ไข่ ใส่ผักชี" ลอง ดูปัจจุบันซิครับ มีใครคนไหนในแกนนำ พธม
กล้าเอ่ยเรื่องนี้บ้าง มีกองเชียร์คนไหนกล้าถกเรื่องนี้บ้าง แต่ละคน
"ทำเป็นลืม กันเสียหน้า" ว่าพลาดที่ไปเชื่อ

4. Name calling : สร้างสมญานาม การสร้างชื่อแทนใช้เรียกย่อๆ ง่ายๆ
และตีความได้เข้าข้างตัวเอง หรือสร้างภาพเสียหายให้ศัตรู
เป็นเทคนิคของการโฆษณาชวนเชื่ออย่างหนึ่ง

เช่น ระบอบทักษิณ ทุนนิยมสามานย์ หรือแม้แต่กระทั่งชื่อ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ฟังดูดี ฟังว่าทำเพื่อประชาธิปไตย
ทั้งๆ ที่การกระทำนั้น ทำลายระบอบประชาธิปไตยอย่างรุนแรง


5. Black and White fallacy : ตรรกะผิด-ถูก แบบขาว-ดำ ผู้โฆษณาชวนเชื่อ
ต้องสร้างภาพการแบ่งแยกฝ่ายถูกผิดชัดเจนเป็นสีขาว-ดำ
ใครเข้าข้างจะเป็นฝ่ายถูกฝ่ายธรรมะ
ส่วนใครไม่เห็นด้วยก็จะถูกผลักไปเป็นฝ่ายผิด เป็นฝ่ายอธรรมทันที
ในความเป็นจริงแล้ว เรามีแต่สีเทา จะเทามากหรือเทาน้อย
ก็แล้วแต่ว่าเงื่อนไขใด ในทางอุดมคติเราต่างก็แสวงหาความดี
ความถูกต้องตาม หลักคำสอนทางจริยธรรมและศีลธรรมอยู่เสมอ
เมื่อแกนนำให้เข้าร่วมกับความถูกต้องชัดเจนย่อมไม่แปลกที่
จะหลงเชื่อในสิ่งที่แกนนำกล่าวอย่างง่ายดายและอาจไม่ฉุกคิดเลยว่า
สิ่งที่แกนนำพูดไม่ตรงกับการกระทำอย่างใดเลย

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด "เราทำเพื่อพ่อ เราทำเพื่อสถาบัน
ใครไม่อยู่ข้างเรา มันผู้นั้น ทรยศต่อชาติ ราชบัลลังค์ ใช่ไม่ใช่พี่น้อง"
ทั้งๆ ที่ไม่เคยอะไรเชิงสร้างสรรค์ ในการแสดงออกเรื่องการรักสถาบัน
การรักชาติ ขนาดขบวนเสด็จยังไม่ให้ผ่าน ม๊อบไม่หลีกทางให้

6. Flag Waving, Beautiful thing, and Great People reference :
ชูธงสูงส่ง อ้างสิ่งสวยงาม ตามหลักมหาบุรุษ
การโฆษณาชวนเชื่อนั้นจะอ้างตนเองและกลุ่ม แนว คิดของตน ให้ดูยิ่งใหญ่
สูงส่ง อลังการ มีคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรม ด้วยคำพูดและป้ายประกาศ
ใช้ข้อความที่ดูดี อ้างอิงสิ่งเหนือธรรมชาติหรือนามธรรมที่คนยอมรับว่าดี
เช่นเทพเจ้า พระเจ้า เทพยดา อ้างแนวทางของบุคคลในประวัติศาสตร์
ศาสดาที่ยิ่งใหญ่ เช่น พระพุทธเจ้า พระมะหะหมัด พระคริสต์ มหาตมะคานธี
อับราฮัม ลินคอล์น อ้างพระคัมภีร์ของศาสนาต่างๆ ฯลฯ แต่
การอ้างดังกล่าวแตกต่างไปจากการเผยแผ่หรือโน้มนำที่ดีตามปกติ
ด้วยว่าการโฆษณาชวนเชื่อ
จะนำภาพลักษณ์ที่ดูสูงส่งสวยงามเหล่านั้นมาบิดเบือนให้เข้าข้างแนวคิดของตน

ตัวอย่าง เช่น สนธิอ้างว่า ได้นั่งทางใน เป็นผู้วิเศษ ปะพรมน้ำมนต์
เพื่อให้ภาพลักษณ์ตัวเองดูเป็นผู้วิเศษ
ตอกย้ำความเชื่อสาวกให้ศรัทธาเลื่อมใส และ
แกนนำพธม.มักจะอ้างหลักทางพุทธศาสนา ว่าพวกพธม. เป็นกองทัพธรรมที่สูงส่ง
แต่ทักษิณเป็นซาตาน เป็นเทวทัต กลับมาชาติมาเกิด แบบนี้อยู่เนืองๆ


7. Disinformation by mass media : ควบคุมกำจัดข้อมูลผ่านสื่อสารมวลชน
การ บอกข้อมูลไม่ครบ บอกความจริงไม่หมด
เลือกแต่เฉพาะข้อมูลหรือข่าวที่ส่งผลดีต่อฝ่ายตนเอง ใช้การอ้างนอกบริบท
หรือนำคำพูดที่ไม่เกี่ยวข้องกันมาแต่งเติมเสริมเข้าไปให้ดูดี
ยิ่งใช้สื่อมวลชนที่เข้าถึงคนหมู่มาก ยิ่งบอกผ่านกันไปปากต่อปาก
และยิ่งดูน่าเชื่อถือ หลายๆคนพอตั้งข้อสงสัย ก็ถูกตอบว่า
"ก็ทีวีว่ามาอย่างนี้" "ก็นักวิชาการท่านโน้น ท่านนี้บอกมาอย่างนี้"

วิธี นี้เป็นวิธีที่ แกนนำ พธม.ใช้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะเรื่องการบอกไม่ครบ
แม้กระทั่งปัจจุบันยังนำมาใช้ในการบิดเบือนข่าวสาร โดยไม่ลงเนื้อหาให้ครบ
ทำให้คนเข้าใจผิดแม้กระทั่งในม๊อบ ก็ยังใช้วิธีการบอกต่อ แบบปากต่อปาก
ว่าแกนนำได้รับการสนับสนุนจากคนโน้นคนนี้ ว่าทักษิณทำอย่างโน้นอย่างนี้
แบบที่พูดบนเวทีไม่ได้พธม. จะมีหน่วยหน้าม้า กระจายข่าวในกลุ่ม
ในหมู่กองเชียร์ เพื่อชี้นำความคิดไปในทิศทางของตน

วิธีการโฆษณาชวนเชื่อ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับกองเชียร์ พธม.
ที่หลงเชื่อเป็นอันมาก
มัน ทำให้ตรรกะของกองเชียร์บิดเบี้ยวโดยไม่รู้ตัว
กองเชียร์จะเห็นคนอื่นที่ไม่ใช่ พธม. ด้วยกัน เป็นคนผิดหมด เป็นคนโง่
รู้ไม่เท่าทันเหมือนตนหนักเข้า กองเชียร์ก็จะโดนแกนนำโน้มน้าวว่าให้ปิดหู
ปิดตา ไม่ต้องดูสื่ออื่นๆ นอกจากสื่อที่แกนนำบอกให้ดู
ซึ่งกองเชียร์ก็เชื่อ ดูข่าวจากแหล่งเดียวและเชื่อโดยทันที
หรือแม้กระทั้งกองเชียร์บางคนกลาย เป็นคนใช้ถ้อยคำหยาบคาย ด่าทอ เสียดสี
คนที่ไม่เห็นด้วย ทั้งๆที่ไม่เคยมี พฤติการ หรือนิสัยหยาบคายมาก่อน
กองเชียร์พร้อมบริจาค ทุ่มเททั้งกำลังกายและทรัพย์สินให้กับแกนนำ
โดยไม่เหลือให้ตัวเองและครอบครัว ไม่คิดหน้าคิดหลัง ให้จนสุดตัว
บ้าจนหมัดตัว ทุ่มจนสุดใจ ซึ่งกว่าจะรู้ตัว สิ่งแวดล้อม สังคม
เพื่อนฝูงของกองเชียร์แฟนพันธุ์แท้เหล่านี้
ก็จะเหลือเพียงคนที่เป็นกองเชียร์ด้วยกันเท่านั้น เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง
ที่เคยคบหากันด้วย ต่างก็หลบลี้หนีหน้า

มันช่างน่าสงสารเสียจริงๆ รักชาติจนป่นปี้ รู้ทันจนบรรลัย...

*ข้อสังเกต บรรดาแฟนพันธุ์แท้ของ พธม. ที่หลงเหลืออยู่ พวกเหนียวแน่น
จะมีคุณสมบัติหนึ่งที่คล้ายคลึงกันคือ เป็นพวก รู้แบบครึ่งๆ กลางๆ
รู้ไม่จริง ซะเป็นส่วนมาก และใครแตะต้องวิจารณ์แกนนำไม่ได้เด็ดขาด
จะต้องปฏิบัติการโต้ตอบแบบอดรนทนไม่ไหว ตามแต่วิธีการ

จากคุณ : ปูอิศรีย์1

http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P8770759/P8770759.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น