วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

# ทำบุญ เดือน ธันวาคม 2554

ปิดกองบุญ ซ่อมแซมพระ วัดสันทราย
เวลาที่สั่งทำรายการ : 31/12/2011 12:54
วันที่ทำการโอนเงิน : 31/12/2011
หมายเลขอ้างอิง : 259797611920111231
บัญชีที่โอน : นายxxxxxxxxxx A/C No. : 0810000210
บัญชีผู้รับโอน : กองทุนเพื่อการเผยแพร่ศีลธรรม วัดสันทราย A/C No. : 5450143435
จำนวนเงินที่โอน : THB 3,009.97
ค่าธรรมเนียม : THB .00

*********
ร่วมเป็นเจ้าภาพทำบุญทอดผ้าป่าสามัคคีสร้างพระมหาเจดีย์ 9 วัด ทำบุญบังสุกุลถวาย 9 วัด ให้กับผู้ล่วงลับ





















*********
ร่วมเป็นเจ้าภาพบล็อกพิมพ์พระสมเด็จองค์ปฐมหน้าตัก 4 ศอก 









































วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ทฤษฏี ในการปฏิบัติงาน...

ทฤษฏี ที่ 1
 
ถ้าเรา รับเงินมาถูก ลงรายการถูก ทอน/จ่าย ถูก เงินในลิ้นชักเราก็ต้องถูกต้อง
ตอนนั่ง เคาร์เตอร์ใหม่ ๆ ผมก็กลัวนะ เรื่องเงินขาด - เงินเกิน พนักงานรอบ ๆ ตัวก็ดูหวาดกลัว เห็นเงินเยอะ ๆ ผมมอง ๆ ดูแล้วก็ต้องทำใจ คิดหาวิธีทำงานให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ให้ตัวเองดีกว่า

ผมก็เลยตั้ง ทฤษฏี ขึ้นมา

*****************
ถ้าเรา รับเงินมาถูก ลงรายการถูก ทอน/จ่าย ถูก เงินในลิ้นชักเราก็ต้องถูกต้อง
*****************
ผมลองยึดหลัก ทฤษฏี นี้เป็น แก่น ในการทำงาน จิตใจก็นิ่งขึ้นมีสมาธิการลงรายการมากขึ้น ปัญหาเงินขาด-เกิน ก็น้อยมาก

ผม มาจาก สนญ. มานั่งดู ๆ เค้าทำงานอยู่ 1 - 2 วัน ก็นั่ง ทำเลย นับเงินก็ยังช้า เค้าก็ว่าช้า ๆ จี้กันใหญ่

เวลารับเงิน ผมก็โกย ๆ เงินไว้ในลิ้นชักด้านซ้าย ส่วนด้านขวา จะเป็น ลิ้นชัก ที่มีถาดจัดเรียงเงินไว้เป็นระเบียบ ไว้สำหรับ เอาไว้ทอนเงินลูกค้า ทั้งนี้เืพื่อจะได้ลดเวลาแต่ละคิวให้น้อยลง สักนิดก็ยังเอา ครับ

พอลูกค้า ซ่าลงแล้วผมก็ค่อย ๆ เอาเงินมาจัดให้เป็นระเบียบ

มันทำให้ผมรู้ว่า การมานั่งสนใจเงิน ในลิ้นชัก การต้องมาคอยจัดเงินให้ เรียบร้อย นั้น

มันไม่ได้ช่วยให้เงินในลิ้นชัก ตรง ได้เลย มันแค่ให้คุณ ตรวจนับ/กระทบยอด ได้รวดเร็วแค่นั้นเอง ไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องไปคอยกังวลกับมัน...

อย่างตอนผม นั่งเคาร์เตอร์ มาได้สัก 3 เดือน ผมก็ต้องมานั่งรับเงินจองหุ้น ช่อง 9 โห้ 44,000.- 88,000.- แบบเนี่ยทั้งวัน ปิดระบบ เงินในลิ้นชัก 3 ล้านกว่า ไม่รู้มันยัดเข้าไปได้ยังไง แต่เอาออกมานับมันก็ตรง เป๊ะ เลย

เพราะฉนั้น อย่างไปกังวลกับมันให้เสียสมาธิ
ถ้ายึดหลัก ทฤษฏี ที่ 1 และทำได้ดี ก็จะไม่มีปัญหาอะไร...

ทฤษฏีที่ 2

ถ้าลูกค้าเบิกเงิน ให้นำเงินที่กระทบแล้วมาจ่ายเท่านั้น...

เงินขาด สงสัย เครื่องปั่น ปั่นไปเกิน อะไรแบบนี้

จริง ๆ สมัย ผมนั่งใหม่ ผมก็ใช้ของ แคชเชียร์ ใช้ร่วมกัน เพราะนั่งข้างหลัง เยื่อง ๆ ไปหน่อย

พอมาย้ายตึก ก็เป็นคนละส่วนกัน ทำให้ลำบากมาก ก็ซื้อเครื่องปั่นเล็ก ๆ มาช่วยงาน

ก็ทำได้ดีไม่ค่อยมีปัญหาอะไร แต่คนอื่น ๆ ที่ใช้ร่วมกัน ก็มักจะบ่น ว่ามีปัญหา ฟังคำพูดแล้วหมดอารมณ์ ก็เลยปล่อยไปตามเวรตามกรรม

ที่นี้มีน้อง ๆ มาบ่นอีก เราก็เลยต้องคิดวิธีให้น้อง ๆ เค้าหน่อย เราเป็น พี่ ก็ต้องดูแลปกป้องน้อง ๆ

คือ กลัวว่าเงินที่ปั่นไปจะเกินไป ก็คิดได้ว่าควรทำแบบนี้

ผมก็ตั้ง ทฤษฏี ว่า ถ้าลูกค้าเบิกเงิน ให้นำเงินที่กระทบแล้วมาจ่ายเท่านั้น...

1. ทำ รับ จากแคชเชียร์ รับมาเลย รับมา แสน จ่ายไป แสน ก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีกต่อไปเงินใน เซฟ นั้นก็เป็นเงินที่กระทบยอดแล้ว


2. เงินที่เรากระทบยอด ในลิ้นชักแล้ว ถ้ามันตรง ก็แสดงว่าที่เรานับ ๆ ไว้นั้น มันถูกต้อง ถ้ามันเกินแหนบใดแหนบหนึ่ง เงินในลิ้นชักเราก็ต้องขาด ... ( แต่ถ้าโชคร้าย ทำรายการ ผิดไป 1 ใบ แล้ว เงินในแหนบ เกินไปอีก 1 ใบ พอดีกันเป๊ะ เลย แล้วแหนบนั้นก็ดันจ่ายไปซะอีก โอกาสก็มีแต่คงน้อยมาก ก็ต้องย้อนกลับไปที่ ทฤษฏี ที่ 1 )

ทำมัยถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้ เครื่องปั่น ก็ไม่ได้่รับประกันความถูกต้อง 100 %

เงินที่รับ ๆ มาสมัยก่อน ผมต้องมียางลบ ไว้คอยลบ พวกคราบเหนียว ๆ ที่ติดบนธนบัตร บ่อย ๆ เจอบ่อยนะครับ

ธนบัตรที่สภาพน่าจะเป็นปัญหา ผมมักจะแยกออกไว้ต่างหาก ไม่เอามาปน จะทำให้มีปัญหาภายหลังได้...

ข้อดีอีกข้อ หนึ่งคือ เวลาเรานับเงินจ่าย จะสะดวกรวดเร็วมาก

นับยังไง ก็ไม่เกิน 50 ใบ

ถ้าเบิก 70,000.- ก็เอาในแหนบ แล้วนับแค่ 30 ใบ แล้วเอาที่เหลือไปปั่น จบ

ทำให้ความเร็วในการนับเงินจ่าย ลดลง มากกว่า 50 %

เป็นวิธีทำงานที่ รวดเร็ว และ มีความปลอดภัยในระดับ ดีเลย ครับ...

============

ผมไ้ม่ได้บอกว่า ทฤษฏี ขอผมนั้น ดีเลิศประเสริฐ สุด อะไร มันก็แค่ ทฤษฏี

ทฤษฏี ตั้งได้ ก็คัดง้างได้ ไม่ได้แปลกอะไร

เพียงแต่ผมคิดได้เท่านี้... ครับ

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ไว้อาลัย... อากง ส่ง SMS ถูกตัดสินติดคุก 20 ปี โดย มล.ปลืม

คลิป วิดีโอ. มล.ปลืม รายการ DaliDose

http://www.youtube.com/watch?v=vuBHVv3e_Y0&feature=player_embedded#!

คณะกรรมการสิทธิฯเอเชียจี้ปล่อยตัว 'อากง' และนักโทษคดีหมิ่นฯ -พ.ร.บ. คอมพ์ฯ
Fri, 2011-11-25 02:44
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย (AHRC) ออกแถลงการณ์จี้ปล่อยตัวอำพล หรือ 'อากง' ที่ถูกตัดสิน 20 ปีจากการถูกกล่าวหาว่าส่งเอสเอ็มเอสหมิ่นหาเลขาฯ อภิสิทธิ์ ระบุศาลไทย "เป็นที่ที่ไม่อาจหาความยุติธรรม"

สืบเนื่องจากกรณีการตัดสินคดีจำคุก 20 ปี กรณีอำพล (ขอสงวนนามสกุล) หรือ 'อากง' ด้วยข้อหาละเมิดกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการถูกกล่าวหาว่าส่งข้อความหมิ่นเบื้องสูงหาเลขาอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 54 ทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย (Asian Human Rights Commission) จึงได้ออกแถลงการณ์ต่อกรณีดังกล่าว โดยเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวอำพล รวมถึงนักโทษที่ถูกตัดสินในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และ พ .ร.บ. คอมพิวเตอร์ เนื่องจากมองว่ากฎหมายดังกล่าวถูกใช้เป็นเครื่องมือที่ละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชนที่คิดเห็นต่าง ในนามของ 'ความมั่นคงของชาติ' ที่มีการนิยามอย่างคลุมเครือ

นอกจากนี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชียชี้ว่า กรณีนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงวิกฤติด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยอย่างชัดเจน และระบุว่า จะคอยจับตาคดีที่เกี่ยวข้องกับการใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งเรียกร้องให้ประชาชนที่ห่วงใยความยุติธรรมทำเช่นเดียวกัน

0000

แถลงการณ์โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย

ประเทศไทย: โทษจำคุก 20 ปี สำหรับเอสเอ็มเอส 4 ข้อความ

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย ประสงค์แสดงความกังวลต่อกรณีล่าสุดที่ตัดสินลงโทษบุคคลด้วยอาชญากรรมด้านเสรีภาพในการแสดงออกในประเทศไทย เนื่องด้วยในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2554 คดีดำหมายเลข 311/2554 อำพล (สงวนนามสกุล) (หรือรู้จักกันในชื่อ ‘อากง’) ชายอายุ 61 ปี ถูกตัดสินจำคุก 20 ปีสำหรับข้อความ 4 ข้อความที่ถูกตัดสินว่าละเมิดกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2551

การกระทำที่อำพลถูกกล่าวหาคือการส่งข้อความทางโทรศัพท์ (SMS) 4 ข้อความไปยังสมเกียรติ ครองวัฒนสุข เลขานุการส่วนตัวของอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชาชีวะ โดยโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) องค์กรพัฒนาเอกชนไทยที่ทำงานด้านกฎหมายสิทธิรายงานว่า 4 ข้อความดังกล่าวถูกอ้างโดยเจ้าหน้าที่รัฐว่ามีข้อความที่หยาบคาย หมิ่นประมาทราชินีและดูหมิ่นเหยียดหยามพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์

ข้อความตรงตัวของข้อความทางโทรศัพท์ดังกล่าวยังไม่ถูกเปิดเผยจากทางการ เนื่องจากการผลิตซ้ำของข้อความที่ถูกอ้างว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอาจเป็นการละเมิดกฎหมายอาญามาตรา 112 ได้ ผู้สื่อข่าวจึงไม่สามารถรายงานข้อความดังกล่าวได้ตรงตัว เนื่องจากอาจเสียงต่อการถูกดำเนินคดี

นอกจากความอยุติธรรมที่เขาได้รับจากการถูกตัดสินดังกล่าวแล้ว อำพล (สงวนนามสกุล) ยังทรมานจากโรคมะเร็งที่ลิ้นและไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลในระหว่างการคุมขังก่อนและหลังการไต่สวน ไม่มีเหตุผลที่เชื่อได้ว่าจะการตัดสินดังกล่าวจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงอีก และที่จริง อาจมีข้อกังวลด้านสุขภาพและความปลอดภัยของเขามากกว่าเดิมด้วย ขึ้นอยู่กับเรือนจำที่เขาจะถูกส่งไปจำคุก

และที่ชัดเจนเช่นเดียวกับในกรณีของดารณี ชาญเชิงศิลปกุล ที่ในขณะนี้อยู่ในเรือนจำเนื่องจากถูกตัดสินจำคุก 18 ปี ด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และทุกข์ทรมานจากโรคกระดูกขากรรไกร เจ้าหน้าที่รัฐไม่มีข้ออ้างปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือด้านการรักษาพยาบาลและละเมิดสิทธิของนักโทษการเมือง

ในวันที่ 3 สิงหาคม 2553 กลุ่มตำรวจจำนวน 15 นายเข้าบุกค้นบ้านพักของอำพล และจับกุมเขา จากนั้นเขาถูกควบคุมตัวในคุกเป็นเวลา 63 วันในชั้นสอบสวน ก่อนที่จะได้รับการประกันตัวในวันที่ 4 ตุลาคม 2553 และเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2554 เขาถูกสั่งฟ้องโดยอัยการด้วยข้อหาละเมิดกฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ และถูกจำคุกตั้งแต่นั้นมา ศาลได้ปฏิเสธการให้ประกันตัวเนื่องด้วยความร้ายแรงของข้อหาและความเสี่ยงในการหลบหนี

การไต่สวนเขาเริ่มขึ้นในวันที่ 23 และระหว่างวันที่ 27-30 กันยายน 2554 ตั้งแต่เริ่ม อำพลยืนยันในความบริสุทธิ์ของตนเอง โดยกล่าวว่าเขาไม่ทราบวิธีส่งข้อความทางมือถือ และเบอร์โทรศัพท์ที่ส่งหาสมเกียรติไม่ใช่เบอร์ของเขา แต่ท่าทีของอัยการคือไม่ยอมรับคำให้การดังกล่าว และระบุว่า หมายเลขประจำเครื่องโทรศัพท์ (อีมี่) ของมือถือที่ส่งข้อความดังกล่าวไปหาสมเกียรติ เป็นของอำพล ดังนั้นเขาจึงต้องรับผิดชอบ

ตั้งแต่มีการรัฐประหาร 19 กันยา 2549 โดยเฉพาะรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ได้มีการใช้กฎหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์สูงขึ้นกว่าเดิมมาก โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน (ไอลอว์) ชี้ว่า ในขณะที่อำพลถูกตัดสินจำคุกในข้อหาละเมิดมาตรา 112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ แต่เขาถูกลงโทษภายใต้กฎหมายอาญา 112 ซึ่งมีโทษที่หนักกว่า นอกจากนี้ มาตราในพ.ร.บ คอมพิวเตอร์ ยังถูกใช้ร่วมกับกฎหมายหมิ่นฯ เพื่อปิดปากผู้ที่เห็นต่างในสังคม และใช้ข่มขู่นักเคลื่อนไหวทางสังคมและพลเมืองอีกด้วย

กฎหมายอาญามาตรา 112 ระบุว่า “บุคคลใดที่หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกสามปีถึงสิบห้า ปี” ส่วนมาตราใน พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับในกรณีนี้คือ มาตรา 14 วรรค 2 และ 3 ซึ่งระบุว่า “ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไปเกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ: (2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน; (3) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา”

คำจำกัดความของ “ระบบคอมพิวเตอร์” ระบุไว้ในมาตรา 3 ซึ่งระบุว่า “อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมการทำงานเข้าด้วยกัน โดยได้มีการกำหนดคำสั่ง ชุดคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใด และแนวทางปฏิบัติงานให้อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติ” วิธีเขียนกฎหมายดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ อาจถูกใช้เพื่อโจมตีการสื่อสารและคำพูดที่ผ่านการส่งต่อผ่านทางเทคโนโลยีหลายรูปแบบ ไม่เพียงแต่ทางคอมพิวเตอร์เท่านั้น

การตัดสินคดีนี้ ส่งข้อความที่ชัดเจนไปยังประชาชนในประเทศไทยว่า ให้ระวังตัวไว้ เพราะว่าข้อความทางโทรศัพท์มือถืออาจทำให้ถูกมองว่าเป็นอาชญากรรม และคุณอาจจะเสี่ยงต่อการจำคุกเป็นเวลานานได้ การขาดการนิยามคำว่า "ความมั่นคง” ที่ชัดเจนในกฎหมาย หมายความว่ามันเปิดโอกาสให้มีการกระทำที่ละเมิดสิทธิได้เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐอาจชี้ที่ใครก็ได้ที่เห็นต่าง หรือข้อความที่ตีความเช่นใดก็ได้ ว่าเป็นการละเมิดความมั่นคงของชาติ

ในแถลงการณ์ที่เผยแพร่วานนี้โดยเครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนและสถาบันกฎหมายราษฎรประสงค์ก่อนการตัดสินคดี มีข้อความในจดหมายจากลูกสาวของอำพลที่ส่งหานักโทษอีกคนในเรือนจำที่ดูแลพ่อของเธอว่า

"สิ่งที่เราเป็นห่วงเตี่ยมากที่สุดคือ จิตใจที่อ่อนล้าและท้อแท้ของเตี่ย ความเข็มแข็งคงแทบจะหมดไปแล้ว ครั้งนี้ขอประกันตัวอีกกี่ครั้งก็ถูกปฏิเสธตลอด... แต่ความทุกข์ของครอบครัวเราก็ยังเบาบางลงเพราะมีพี่หนุ่มคอยดูแล คอยให้กำลังใจ คอยกระตุ้นจิตใจของเตี่ย...เพราะรู้ว่าไม่ได้สู้เพียงลำพังยังมีคนอื่นอีกมากมายที่โดนแบบเรา พวกเขาก็สู้เพื่อขอความยุติธรรมและอิสระภาพให้กับคนที่ต้องโดนแบบเตี่ยพวก เราพี่น้องทุกคนก็ไม่ท้อแท้แล้วยังมีหนทางสู้เพื่อเตี่ยของเรา พวกเราอยู่ข้างนอกต้องมีกำลังใจที่เข้มแข็งเพื่อคนข้างใน ครอบครัวของเราไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดกับพวกเราเพราะดูแล้วเป็น เรื่องที่ห่างไกลเหลือเกิน ในความเป็นคนไทยของเราครอบครัวเราทุกคน ให้รักความเทิดทูนเคารพบูชาสถาบันมากที่สุด และเสียใจมากที่สถาบันลูกนำมาใช้อ้างโดยที่สถาบันไม่รู้ไม่เห็น มันเป็นความสะเทือนใจสำหรับประชาชนชาวไทยทุกคนเพราะคนไทยรักและเคารพสถาบัน มากกว่าสิ่งใด พวกเราต้องสู้กับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองนี้ เพราะคดีนี้ถูกนำมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยที่มีมดปลวกอย่างพวกเราเป็นแพะคอยรับบาป"

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชียประสงค์จะแสดงความกังวลต่อการตัดสินคดีและการจำคุกของบุคคลต่ออาชญากรรมของเสรีภาพในการแสดงออก อำพล (สงวนนามสกุล) ถูกตัดสินจำคุกเป็นระยะเวลาที่นานที่สุดที่เคยปรากฎสำหรับข้อหาการละเมิดกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์

จากหลักฐานที่อ่อนที่ใช้ตัดสินต่อจำเลย และสภาพขัดข้องของจำเลยเนื่องด้วยสุขภาพและอายุ กรณีนี้ได้แสดงให้เห็นชัดถึงศาลไทยที่เป็นที่ที่ไม่อาจหาความยุติธรรมหากแต่ความอยุติธรรมกลับงอกเงย เมื่อฆาตกรสามารถเดินจากไปอย่างเสรี เช่นเดียวกับกรณีการหายตัวของสมชาย นีละไพจิตร กรณีการตัดสินจำคุกชายอายุ 61 ปีจำนวน 20 ปี สำหรับการกระทำที่อ้างว่าส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือ 4 ข้อความที่มีข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ก็เป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่าประเทศไทยมีวิกฤติการณ์ทางสิทธิมนุษยชน

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย เรียกร้องให้ทำการปล่อยตัวอำพลโดยทันที รวมถึงนักโทษคนอื่นๆ ที่ถูกจำคุกด้วยกฎหมายอาญามาตรา 112 และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ด้วย คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชียจะคอยจับตาคดีที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายหมิ่นฯ และ พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์อย่างใกล้ชิด และขอเรียกร้องให้ประชาชนที่ห่วงใยสิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมในประเทศไทยให้ทำเช่นนั้นด้วยเช่นกัน

ที่มา: แปลจาก THAILAND: Twenty years in prison for four SMS messages

วันพุธที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เรื่องงาน....

เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ผมทำงานอยู่ที่ชั้น 7 สนญ. นะ
และก็ทำ โอที ด้วย เลิกงานมาดึก ๆ ยังเห็นพวกสาขายังนั่งทำงานกันอยู่เลย (อืม... งานคงเยอะนะ)

ผมก็เดิน ๆ ผ่าน ก็อีม..(มีปิ้งสาวด้วย) เอาแ้ม้ ไปช่วยเค้าหน่อยเค้าก็ใจดีนะ เค้าให้ผมช่วยแยกสลิป
(ส่วนที่นี้ตอนมาทำใหม่ จะช่วยหยิบอะไร เ้ค้าเอาตัวกระแทกใส่เลย ไม่ให้ยุง บอกว่าผมเป็น Spy บาง อย่าสอนอะไรมันมาก เดียวมันก็ไปแล้ว)

ก็ไปช่วยเค้าแยกสลิป ปิดสาขา ก็ไปส่งไกลนะ
นั่งรถเมล จาก สนญ. ไปพงเพชร แถวบางเขน
ไกลมาก แล้วก็ันั่ง รถเมล กลับ ดาวคะนอง
คิด ๆ เรานี้ก็ทรหดดีนะเนี้ย...

พวกเค้าก็ดีนะ ต้อนรับดี มีเลี้ยงอะไรกัน ก็ชวนผมไปด้วย คุยกันสนุกดี

ไม่เหมือนตอนที่ผมมาทำสาขา จริง ๆ มันต่างยังกับหน้ามือ เป็นหลังมือ

มีเลี้ยง หลังสัมนา นี้ เดินไปไหนก็หาที่นั่งไม่ได้
ต้องไปนั่งกับแขกต่างชาติ ของ รร.

หลัง ๆ ผมรู้ทัน (ระบบหมาหัวเน่าไม่มีใครคบแหมแบบนี้ นี้เอง) มีเลี้ยงปั๊ป เดินไปกิน บุปเฟ่ รร.เลย ไม่กี่ร้อยเอง สะบายใจกว่ากันเยอะเลย

คือมันเป็นการแสดงความไม่ต้องการ
รังเกียจ ฯลฯ เรามันเหมือนเป็นส่วนเกิน
โดย... มีอำนาจนอกระบบ บงการมาอีกเป็นทอด ๆ

ผมก็รู้ตัวนะไม่ได้ดื้อด้านอะไร
พอจะขอย้ายกลับ ดันล๊อก ว่าต้อง 2 ปี ถึงย้ายกลับได้
พอ 2 ปี บอก ว่ามาทำ 7 วัน 1 ปี ย้ายได้เลย
พอ ครบปี ขอย้าย ย้ายไม่ได้...
แบบนี้ไ่ม่เรียกว่าหลอกกัน ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร

แล้ว ผมไปดือด้านตรงไหน เหรอครับ...
ผมก็ไม่ได้อยากทำ อยากอยู่หรอกนะ
เพราะมีแต่ข้อหา สารพัด มีปล่อยข่าวให้ผมเสีย ๆ หาย ๆ ทำไปก็เปลืองตัว วัน ๆ ก็มีแต่มาเยาะเย้ย
เย้ยหยัน ส่อเสียด ล้อเลียน มันน่าทำตรงไหน
เค้ามีแต่ความหวาดระแวง ไม่ได้มีความจริงใจ
แบบนี้มันก็ร่วมงานกันไม่ได้หรอก ผมก็ขยะแขยง เต็มที

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เรื่อง น้ำท่วม

คลิป น้ำตา ที่มาจากใจ ...





คลิป ข้อเท็จจริงการกักเก็บ ระบายน้ำ เขื่อนยันฮี (ภูมิพล) ดูเข้าใจง่ายพร้อมกราฟประกอบ ชัดเจน

ลำดับ เหตุการณ์ น้ำท่วม....

-เดือน มิถุนายน 2554..พายุไหหม่า (Haima) ถล่มเข้าประเทศไทย จังหวัด แพร่,เชียงราย,พะเยา,น่าน,ตาก,สุโขทัย, ดินถล่ม น้ำท่วม ประชาชนเดือดร้อน411,573 ครัวเรือน , พื้นที่การเกษตร เสียหายจำนวน 159,598ไร่ , สมัย พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล นายอภิสิทธิเป็นนายกรัฐมนตรี

-เดือน กรกฏาคม 2554..พายุนกเตน (Nockten) เข้าถล่มประเทศไทยเป็นลูกที่สอง พื้นที่ภาคเหนือ-ตะวันออกเฉียงเหนือ โดนอิทธิพลของพายุลูกนี้ เกิดภาวะน้ำท่วม แม่ฮ่องสอน,น่าน,แพร่,อุตรดิตถ์,พิษณุโลก,พิจิตร,หนองคาย,เลย,อุดร,สกลนคร,นครพนม...พรรคประชาธิปัตย์ ยังคงเป็นรัฐบาล นายอภิสิทธิ ยังคงเดินหล่ออยู่ ในตำแหน่ง รักษาการณ์นายกรัฐมนตรี

-เดือน กันยายน 2554 พายุ 2 ลูกก็เข้ามาเฉี่ยว ๆ ประเทศไทยคือ พายุไหถ่าง (Haitang) และ ไต้ฝุ่นเนสาท (Nesat) ส่งผลให้ ฝนตกหนักทุกภาคของประเทศไทยยกเว้นภาคใต้ น้ำท่วมครอบคลุมพื้นที่ภาคเหนือ-อีสาน-และภาคกลาง ,พรรคประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์รักษาการนายกรัฐมนตรี ก็ได้เวลาเกาไข่ อิดๆ ออดๆ ลุกออกไปจากตำแหน่งพอดี.

รัฐบาลยิ่งลักษณ์:

-วันที่ 8 สิงหาคม 2554...นส.ยิ่งลักษณ์ ได้รับการโปรดเกล้าให้ดำรงค์ตำแหน่งนายกรัฐมนตร

-วันที่ 9 สิงหาคม 2554.. ครมยิ่งลักษณ์ ได้รับการโปรดเกล้า...

-วันที่ 11 สิงหาคม 2554.. ครม.ยิ่งลักษณ์เปิดประชุมนัดแรก

-วันที่ 23-24-25 สิงหาคม 2554 รัฐบาลยิ่งลักษณ์ แถลงนโยบาย

สรุป รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เข้าบริหารประเทศได้ในเดือน กันยายน 54, ในขณะที่น้ำที่พรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ ทิ้งค้างไม่ทำอะไรเอาใว้ ไหลเข้ามาถึงคอหอยพอดี.....................

ผู้เชียวชาญเนเธอร์แลนด์ วิเคราะห์น้ำท่วม แนะวิธีแก้ไข ฉบับเต็ม

1..

2..

ร่วมภาพ สายธารน้ำใจ FARED ช่วยผู้ประสบภัย

จตุพร พรหมพันธุ์ อภิปรายประชุมร่วมรัฐสภา 11 พย. 54 น้ำมันท่วมได้อย่างไร ทำมัยมันถึงท่วม...

คลิป รบ.ช่วยผู้ประสบภัยทั่วไทย 1 จังหวัด ช่วย 1 เขต กทม. ยิ่งใหญ่ทรงพลัง...

เรื่อง... ยังแดงไม่หยุด
สารคดี "ประเทศไทย-ความยุติธรรมที่ปลายกระบอกปืน" โดย BBC พร้อม Sub ภาษาไทย ...

แอนดรูว์ แมคเกรเกอร์ มาร์แชล นักข่าวมือแฉ "วิกิลีกส์ไทย" ซัด "เอกยุทธ" น่ารังเกียจ-หมิ่นสาวเหนือขายบริการ

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ตอบคำถามลอย ๆ ปากแข็ง

เออ... คงต้องท้าวความกันยาว มันเป็นเรื่อง ที่เล่าไม่หมด หรือไม่ก็ไม่ยอมเล่าออกมาเองเพื่ออะไรสักอย่าง...

ผมไม่ได้ปากแข็ง เราคุยกันแล้ว... แต่คุยกัน 2 คน เค้าไม่ได้เล่าให้พวกคุณฟังเหรอ

ออ.. เค้าคงลืมไปแล้วมัง หรือเค้ามีเหตุผลอื่นแอบแฝง อะไรก็สุดแท้แต่

ผมไม่ได้ โกรธแค้น ชิงชัง เค้าหรอกนะ เข้าใจ ผมเฉย ๆ

( สิ่งที่ตรงข้าม กับความรัก ไม่ใช่ความโกรธแค้นชิงชังอะไร แต่เป็นความเฉย ๆ )

ที่ผมเฉย ๆ ตอนแรก ก็เพื่อรอ รอการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น แต่ก็เปล่าประโยชน์

นานไป ก็กลายเป็น คนแปลกหน้า ไป สุดท้าย ก็กลายเป็นความรู้สึกเฉย ๆ

มันเป็นของมันแบบนั้น มันก็คงเหมื่อน พวกดารา หล่อ สวย แล้วก็จบไป ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับเรา

-----------------------------

เรื่องราว มันมีจุดเปลี่ยน มากมาย จุดเหล่านั้น เมื่อก่อนผมมองไม่ออก

ตอนนี้ผมลองนึกย้อนกลับไป ผมมองออกแล้ว...

ญาติ ผมเอง ผมเป็นคนโชคร้าย มีญาติคอยตามหวังดี ตลอด 20 กว่า ปี ไม่ได้หยุดได้หย่อนเลย

เค้าต้องการ ควบคุม บงการ สั่งการ ชีวิตผม ตามที่เค้าคิด เค้าเห็น เค้าต้องการ

แน่ละ ก็ไม่ใช่ความต้องการของผมสักกะหน่อย แล้วใครเล่าจะไปยอม

เค้าก็จะสร้าง คอนเน็กซ์ชั่น แล้วก็เสี้ยมสอน สนตะพาย บงการอยู่หลังฉาก

เค้าใช้วิธี เหยีบหยาม เยาะเย้ย ถากถาง ดักด่า ฝากด่า ด่าลอย

อะไรที่เป็นความสุขของเรา เค้าจะคอยตามยึด ตามบ่อนทำลาย

นั้นเป็นสิ่ง ที่ญาติผม เค้าเป็นโดยสายเลือดเลยนะ

เค้าทำกันตั้งแต่พวกเค้ายัง หนุ่ม ๆ ตอนนี้ก็แก่ลงโลงไปหลายคนแล้ว

ก็ยังทำกันอยู่ เค้าเป็นพวกอำมาตย์ เค้าใช้วิธีแบบอำมาตย์

ก็นั้นเป็นควาเชื่อ ของเค้า ไม่ใช่ของผม

----------------------------------

เค้าจะไม่ให้ใครคบด้วย พูดด้วย หรือ คุยกันก็ต้องคอยเบรก คอยวีน จ้องจับผิดคำพูด

คอยดักด่า ที่สุดแล้วทำไรไม่ได้ กูวางยา จะได้ด่าได้ หรือไม่ก็ให้คนมาพูดล่อเป้าแบบนี้ ก็ถมไป... เป็นกันมาก ถือว่าเป็นวิชาการปกครอง เค้าคุยกันแบบนั้นนะ แล้วก็เฮฮากัน เวลาทำเป้าได้ ข้านี้เจ้ง ข้านี้แน่มัย อะไรแบบนั้น เป็นกันมา 20 กว่าปีแล้ว

ไม่ให้ผมคบใครก็ได้จัดให้ ให้เป็นหมาหัวเน่า ได้จัดให้ ไม่จำเป็นก็ไม่คุยกับใครก็ได้

ไม่ให้มีเพื่อน จัดให้ ไม่ให้มีแฟน จัดให้ (กลัว คอนเน็กชั่นจะขาดก็หลอกเค้าว่าทำแบบนี้นะ แล้วจะได้ ชีแกก็โง่บัดซบเชื่อไปได้ จบกันชีวิตผม มีคนเอาไปเที่ยวเร่ขาย กันเป็นทอด ๆ โห้เยอะนะแบบนี้ มากมายหลายราย ไม่ได้หยุดได้หย่อนเลย)

หรือไม่ ก็ให้สาว ๆ มาหลอกให้รัก แล้วก็ทิ้งไป แบบนี้ก็มีบ่อย ๆ

ตอนนี้ ผมไม่หลวมตัวแล้วนะ ผมก็ตั้งเป้าว่า ไม่รักใคร คุยเล่นได้

แต่ไม่รัก ไม่ชอบ เพราะที่สุดแล้ว กลุ่มสนตะพาย ก็จะตามมาทำลายอยู่ดี

หรือไม่ คนที่มาก็ได้รับโปรแกรม สั่งการ ไว้แล้ว สู้เราไม่รักใคร ดีเลิศประเสริฐสุด

ความเงียบเหงา เป็นเพื่อนที่ไม่น่าคบเท่าไรนัก แต่ก็เป็นเพื่อที่จริงใจที่สุดที่ผมมี

นั้นคือเส้นทางของผม

ในเมื่อ ผมไม่มีเคยมีอะไรหรือได้อะไร ผมก็ไม่มีอะไรที่ผมต้องสูญเสีย


วันพุธที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

2 เขื่อนยักษ์ ปริศนาลับ! กำจัดปู! บทพิสูจน์น้ำ “หมื่นล้านคิว” มาจากไหน?ใครวางงาน?

เอ้าคุณ "เอิน กัลยกร" เอาข้อมูลไปอีก เผื่อหูตาจะสว่างขึ้นบ้าง
ปกติเขื่อนภูมิพล จะต้องมีระดับความจุเก็บกักน้ำต่ำสุดคือ 3,800 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ส่วนเขื่อนสิริกิติ์ความจุเก็บกักน้ำต่ำสุดคือ 2,850 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งก็จะมีปริมาณน้ำที่แม้จะน้อยแต่ก็พอประคองสถานการณ์ภัยแล้งได้บ้าง
แต่ในปีนี้การดูแลน้ำในเขื่อนทั้ง 2 เกิดความวิตกในเรื่องภัยแล้งมากจนเกินเหตุ ทำให้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ทั้งๆที่ระดับน้ำในเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ มีอยู่ที่ความจุ กว่า 6,000 ล้าน ลบ.ม. แล้ว แต่กลับไม่มีการพร่องน้ำเอาไว้เลยแม้แต่น้อย (ดูกราฟที่ 1 และ 2 ประกอบ)
ทำให้ในช่วงเดือน พฤษภาคม มิถุนายน จนถึงกรกฎาคม น้ำในเขื่อนถูกเก็บกักเอาไว้สูงขึ้นเรื่อย
ประกอบกับในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม มีการเลือกตั้ง ทำให้เกิดช่วงสุญญากาศทางการเมือง รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นรัฐบาลรักษาการอยู่จนถึงต้นเดือนสิงหาคม ทำให้การดูแลระดับน้ำในเขื่อนอยู่ในการดูแลรับผิดชอบของกรมชลประทาน
เนื่องจากกว่ารัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์จะสามารถทำหน้าที่ได้ ก็เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม เวลาประมาณ 21.30 น. ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งคณะรัฐนตรี รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จากนั้นในวันที่ 10 ส.ค. นางสาวยิ่งลักษณ์ นายกรัฐมนตรี จึงได้นำคณะรัฐมนตรีเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 14 รพ.ศิริราช
ซึ่งในวันที่ 13 สิงหาคม ตามกราฟจะเห็นว่า เขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ มีความจุน้ำพุ่งขึ้นไปถึง 8,400 ล้าน ลบ.ม.แล้ว ทำให้เมื่อเจอกับพายุเข้า 3-4 ลูกติดๆกัน น้ำในเขื่อนใหญ่ทั้ง 2 จึงขยับขึ้นมาเต็มเขื่อนอย่างรวดเร็ว
เมื่อน้ำในเขื่อนสิริกิติ์แตะระดับ 9,500 ล้าน ลบ.ม. และเขื่อนภูมิพลแตะ 13,500 ล้าน ลบ.ม. ในต้นเดือนกันยายน จึงทำให้เขื่อนต้องเร่งระบายน้ำ และกลายเป็นมวลน้ำจำนวนมหึมาที่เกิดขึ้นในขณะนี้นั่นเอง และกลายเป็นโศกนาฎกรรมใหญ่ในครั้งนี้

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

"ปฐม พยัคฆ์ร้ายเเห่งคลองบางหลวง" ตอบ "เอิน กัลยกร"

น.ส.กัลยกร นาคสมภพ หรือ "เอิน กัลยกร" อดีตนักร้องและนักแสดงชื่อดัง ได้เขียนบทความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ที่ใช้ชื่อว่า Kalyakorn Earn Naksompop โดยแสดงการวิพากษ์วิจารณ์บทบาท และการทำงานของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในช่วงสถานการณ์น้ำท่วมที่กำลังรุมเร้ากรุงเทพมหานครในขณะนี้ จนก่อให้เกิดกระแสการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง บทความดังกล่าวมีชื่อว่า "จากผู้หญิง (ธรรมดา) ถึงผู้หญิง (ที่เป็นนายก)" ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันพุธที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยเนื้อหาทั้งหมดมีดังนี้

จากผู้หญิง (ธรรมดา) ถึงผู้หญิง (ที่เป็นนายก)

ตอนแรกก็ว่าจะเก็บไว้เขียนหลังน้ำท่วม ..แต่ก็นะ เราก็ไม่รู้ว่าวันนั้นมันจะถึงเมื่อไหร่ ที่สำคัญคือ หลังจากที่ได้ดู นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ออกแถลงการณ์ทางทีวีเมื่อคืนนี้ ...บอกตรงๆ ละเหี่ยใจ และอดใจไม่ให้เขียนบทความนี้ไม่ได้แล้ว

คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2554 เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 และเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย

จริงๆ ตอนที่คุณยิ่งลักษณ์ได้ตำแหน่ง ผู้หญิงทั้งในและต่างประเทศ ก็รู้สึกยินดีที่ประเทศไทยได้มีนายกหญิงคนแรก เราเองได้เขียนลงเฟซบุ๊คว่า ส่วนตัวไม่ถือว่าคุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกหญิงคนแรก เหตุเพราะคุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้รับการเลือกตั้งเพราะความสามารถของเธอเอง แต่เป็นเพราะคนต้องการผู้ชายที่อยู่เบื้องหลังเธอต่างหาก ประชาชนที่เลือกเธอ ไม่ใช่เพราะชื่อ "ยิ่งลักษณ์" แต่เป็นเพราะนามสกุล "ชินวัตร" ที่เป็นสิ่งการันตีว่าเธอคนนี้คือ "สายตรง" ดังนั้นเราจะนับว่าคุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกไม่ได้

เราจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกจริงๆก็ต่อเมื่อ เธอคนนั้นต่อสู้ฟันฝ่ามาด้วยตัวเอง และพิสูจน์ให้ประชาชนเห็นว่า "ผู้หญิงคนนี้มีความสามารถที่จะเป็นผู้นำประเทศได้" เท่านั้น

แต่ก็ช่างมันเถอะค่ะ สรุปว่า ประเทศไทยได้มีนายกรัฐมนตรีหญิงประดับประวัติศาสตร์กับเขาเสียที และจากวันที่เธอรับตำแหน่ง เราก็ควรจะดูแต่ผลงานของรัฐบาลภายใต้การนำของเธอคนนี้ ซึ่งแรกๆ นั้นเป็นไปได้ด้วยดีค่ะ คุณยิ่งลักษณ์ แม้จะดูไม่แข็งแรงห้าวหาญ แต่เธอมีความละมุนในบุคลิกที่ทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลซึ่งเต็มไปด้วยบุคคลที่เป็นที่กังขาของสังคมดูดีขึ้นแม้นโยบายของเธอจะเป็นที่ถกเถียงในวงกว้างแต่ก็มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย อยู่ที่ว่าใครมองมุมไหน แต่เวลาเธอไปเยี่ยมประเทศเพื่อนบ้านแล้วถ่ายรูปลงหนังสือพิมพ์นี่สิคะ แม้... ดูดี

สรุปว่าภาพลักษณ์ดูดีขึ้น เพราะเรามีนายกหญิงที่ดูดี ดูสง่า เป็นหน้าเป็นตาให้ประเทศไทย

จำได้ว่าตอนหาเสียง ผู้สนับสนุนเธอชอบบอกว่าเธอนี่แหล่ะ ที่จะเป็น "สตรีขี่ม้าขาว" ที่จะเข้ามากอบกู้ประเทศไทย ตามคำทำนายของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

แม้ไม่ได้สนับสนุนพรรคเธอ ก็แอบหวังลึกๆ ว่า "เป็นจริงก็ดี" ถึงตอนนี้ ถ้ามีคนที่สามารถพาประเทศไทยฝ่าวิกฤติทางการเมืองไปได้ จะเป็นใครมาจากฝั่งไหนก็สนับสนุนทั้งนั้น ยิ่งเธอปะยี่ห้อว่าเป็นผู้หญิงคนแรก ที่ได้รับหน้าที่สำคัญที่สุดในประเทศ คือการรับผิดชอบดูแลคนกว่า 70 ล้านคน งานใหญ่นะคะ ในฐานะที่เป็นผู้หญิงทำงานด้วยกัน ก็แอบเชียร์อยู่ อยากให้เธอเป็นนารีขี่ม้าขาวจริงๆ ประเทศเราจะได้ก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงเสียที

แต่แล้วอุทกภัยก็มาถึง มวลน้ำมหาศาลที่เข้ามาท้าทายความสามารถในการเป็นผู้นำของคุณยิ่งลักษณ์ ผลเป็นอย่างไร ...ไม่ต้องอธิบายให้มากความ

ไม่ใช่แค่คุณยิ่งลักษณ์สอบตกทุกด้าน ในฐานะที่เป็นผู้นำของประเทศ เธอยังทำให้ภาพลักษณ์ของผู้หญิงนั้นเสียหาย

ผู้ชายอาจจะไม่เข้าใจ แต่การเป็นผู้หญิงทำงาน เพื่อจะพิสูจน์ว่าตัวเองมีความสามารถ เหมาะสมกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย หลายคนต้องทำงานหนักกว่าผู้ชาย หลายคนต้องใช้เวลามากกว่าผู้ชาย เพื่อจะลบอคติที่ว่า "ผู้หญิงอ่อนแอ" หรือ "ผู้หญิงมีดีได้แค่สวย" เป็นผู้หญิง ต้องทนคนที่เข้ามาหวังหาเศษหาเลย ต้องปกป้องตัวเองโดยต้องไม่ให้กระทบกับงาน ในขณะเดียวกันก็ต้องแสดงให้เห็นว่าเราเก่งพอ เพราะเราไม่สามารถไปนั่งกินเหล้า "เที่ยวผู้หญิง" กับเจ้านายเหมือนผู้ชายคนอื่นได้ เพราะเราไม่สามารถเล่นมุกฮาแบบลามกเต็มที่เหมือนผู้ชายคนอื่นได้ เราไม่สามารถมีช่วงเวลาส่วนตัวขนาดนั้นกับเจ้านายหรือผู้มีอำนาจซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชายได้ เราจึงต้องใช้ความสามารถเท่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์

หลายคนอาจจะบอกว่านี่มันยุคนี้แล้วไม่มีแล้วเรื่องความไม่เท่าเทียม...มีค่ะ ยังมีอยู่ เป็นผู้หญิงค่ะ ทำงานค่ะ และยังเจอทุกสิ่งอย่างที่พูดมากับตัวเองค่ะ และไม่ใช่ผู้เขียนคนเดียวที่เจอ จึงได้เข้าใจและพูดได้

คุณยิ่งลักษณ์ ในฐานะที่เป็นผู้หญิง นอกจากจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นนายกที่ดีได้ ยังต้องพิสูจน์ด้วยว่า "ความสามารถไม่เกี่ยวกับเพศ" คุณเป็นนายกหญิงคนแรกนะคะ คุณแบกรับภาพลักษณ์ตรงนี้เอาไว้อยู่ค่ะ คุณต้องลุย (ลุยจริงๆ ไม่ใช่แค่ลุยออกสื่อ) คุณต้องแข็งแรง และคุณต้องเก๋า ...ต้องเอาให้อยู่

...แต่คุณยิ่งลักษณ์ทำไม่ได้ค่ะ

การที่สื่อที่เป็นผู้ชายไม่กล้าว่าหนักๆเหมือนที่ว่านักการเมืองคนอื่นหรือนักวิชาการไม่กล้าวิจารณ์แรงๆเหมือนที่วิจารณ์นักการเมืองผู้ชายเพราะเกรงว่าจะเป็นการ "รังแกผู้หญิงตัวเล็กๆ" หรือเพราะ "สงสาร" ก็ตาม คือหลักฐานว่ามันมีเส้นหนาๆกั้นอยู่ระหว่างเพศชายและหญิง ส่วนตัวนายกเองก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะเธอออกมาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เคยแข็งแรง ด้วยคำพูดที่ไม่เคยเข้มแข็ง และด้วยข้อความที่ไม่เคยชัดเจน นอกจากนั้นเธอยังไม่เคยแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการคิดเองได้เลย

เธอทำให้เห็นเลยว่า ความละมุนของเธอนั้น จริงๆแล้วมาจากความอ่อนแอ

คุณยิ่งลักษณ์ตอกย้ำทุกวัน ว่าผู้หญิงอ่อนแอ ว่าผู้หญิงพูดจาเป็นงานเป็นการไม่รู้เรื่อง ว่าผู้หญิงคุมลูกน้องไม่ได้ ว่าผู้หญิงตัดสินใจไม่เป็น ว่าผู้หญิงเป็นผู้นำไม่ได้ สิ่งที่คุณยิ่งลักษณ์ทำ หรือทำไม่ได้ ตอกย้ำว่าผู้หญิงทำงานใหญ่ไม่ได้ ว่าผู้หญิงสุดท้ายก็เป็นได้แค่ผู้หญิงวันยังค่ำ ที่ได้แต่แต่งตัวสวยไปวันๆโดยที่ทำอะไรไม่เป็น ...เสียค่ะ เสียหายอย่างยิ่ง

ลองนึกดูนะคะ แม้ในอนาคตจะมีผู้หญิงที่มีความสามารถ แต่ใครจะอยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย มันขยาดนะคะ ประมาณว่าทดลองแล้ว ไม่สำเร็จ ก็จบแล้ว ยิ่งถ้าคนที่ไม่มีแบ๊คใหญ่ขนาดแบ๊คของคุณยิ่งลักษณ์ ยิ่งไม่ต้องหวัง

แล้วก็พาลสงสัย ว่าประวัติที่ผ่านมาของคุณยิ่งลักษณ์ ก็เป็นผู้บริหารบริษัทใหญ่ระดับประเทศทั้งนั้น แล้วบริษัทเหล่านั้นรอดมาได้อย่างไร สงสัยแม้กระทั่งว่าคุณยิ่งลักษณ์เคยทำงานเองจริงๆหรือไม่ หรือได้แค่ใช้วุฒิการศึกษาที่ดูดี แต่งตัวดีๆ แต่งหน้าดีๆ ไปนั่งเฉยๆ ให้บริษัทนั้นดูภาพลักษณ์ทันสมัยขึ้น แค่นั้น? ...ถามจริงๆเถอะ ความสามารถในการสื่อสารและการทำงานระดับนี้ ถ้าไม่มี "พี่ชาย" คอยผลักคอยดันอยู่ข้างหลัง ป่านนี้คุณยิ่งลักษณ์จะทำอะไรอยู่ที่ไหน? ให้เดานะคะ ...แต่งตัวสวยๆ กลางวันไปช็อปปิ้ง ไปสปา กลับมานั่งสวยรอให้สามีชื่นชม

สรุปคือผิดหวังค่ะ เสียใจ และรู้สึกแย่ที่ผู้หญิงซึ่งได้รับตำแหน่งใหญ่ขนาดนี้คนแรก กลับทำให้ภาพลักษณ์ของผู้หญิงด้วยกันตกต่ำลงกว่าเดิม แต่งตัวสวยๆ หน้าผมเป๊ะนั้นไม่ผิดหรอกค่ะ ที่ผิดคือทำได้แค่นั้นจริงๆ

ยอมรับค่ะ ว่าการที่เขียนบทความนี้ขึ้นมาก็กลัวเหมือนกันว่าจะมีผลกระทบกับชีวิต ว่าอาจจะมีผู้สนับสนุนนายกออกมาล่าหัว โทษฐาน "วิจารณ์ผู้นำอันเป็นที่รักยิ่ง" แต่ต้องพูดค่ะ พูดอย่างเป็นกลางโดยไม่ฝักฝ่ายทางการเมือง พูดในฐานะประชาชนในระบอบประชาธิปไตยที่สามารถวิจารณ์ฝ่ายการเมืองได้ ...พูดในฐานะที่เป็นผู้หญิง

ย้ำนะคะ ไม่ว่าคุณยิ่งลักษณ์จะมาจากพรรคไหนก็ตาม หากได้เป็นนายกแล้วทำงานอย่างนี้ ก็จะออกมาพูดแบบนี้เหมือนกัน

เพราะคุณยิ่งลักษณ์ได้พิสูจน์แล้วว่าเธอไม่ได้ขี่ม้าขาว และเธอไม่ใช่สตรีในตำนาน (ก็อย่างที่คนข้างตัวเคยพูดไว้) สุดท้าย คุณยิ่งลักษณ์ ก็เป็นได้แค่ "สตรีขี่ม้าน้ำ" เท่านั้น

กัลยกร นาคสมภพ
26 ต.ค. 2554

___________________

อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา ได้มีผู้ใช้นามว่าว่า "ปฐม พยัคฆ์ร้ายเเห่งคลองบางหลวง" เขียน "จดหมาย" เพื่อโต้ตอบ "เอิน กัลยกร" ผ่านทางเฟซบุ๊กเช่นกัน โดยใช้ชื่อบทความว่า "จดหมายจากคลองกระจง ถึง คุณเอิน กัลยากร นาคสมภพ" ซึ่งมีข้อความดังนี้

จดหมายจากคลองกระจง ถึง คุณเอิน กัลยากร นาคสมภพ

ถ้าใครยังไม่รู้เรื่องราวของ คุณเอิน กัลยากร นาคสมภพ และสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ลองไปอ่านก่อนนะครับ

มีคนเอาลิงค์มาแปะในคอมเมนต์ ไปแวะอ่านกันก่อนแล้วค่อยอ่านของผมทีหลังหรือจะอ่านของผมก่อนแล้วไปอ่านของเอิน ก็แล้วแต่ท่านเหอะ

ในโลกนี้มีผู้หญิงที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำมากมายนะครับเอิน... อินทิรา คานธี , มาร์กาเร็ต แธตเชอร์ ชื่อเหล่านี้คงคุ้นหูเอินบ้างไม่มากก็น้อย แต่วันนี้ผู้หญิงที่ดูมีบทบาทมากที่สุดในโลกก็คงจะปฏิเสธ ฮิลลารี่ คลินตั้น กับ อองซานซูจี ไม่ได้เลย หลายคนคงพอเดาได้นะครับว่าข้าพเจ้ากำลังจะพูดถึงเรื่องอะไร ประเด็นไหน... ประเด็นแรกที่ข้าพเจ้าอยากบอกเอินคือ ผู้หญิงที่เป็นระดับผู้นำในโลกนี้หลายคนที่เอ่ยชื่อมาล้วนไม่ต่างกับ ยิ่งลักษณ์ เท่าไหร่ เพราะเขาก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้วยอาศัยบารมีเก่าของคนในครอบครัว เพราะคุณเอินได้เขียนในบันทึกของคุณว่า ยิ่งลักษณ์ได้เป็นนายกเพียงเพราะเป็นคนนามสกุล "ชินวัตร" ไม่ได้ต่อสู้มาด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงไม่นับว่า ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก ข้าพเจ้าเลยจะบอกคุณเอินว่ารายนามข้างต้นนั้นก็ไม่ควรจะยกให้เป็นระดับผู้นำ อินทิรา คานธี ก็อาศัยบารมีของคุณพ่อคือ ศรีเนห์รู

อินทิรา คานธี ตอนขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำใหม่ ๆ เธอก็เป็นดั่งหุ่นเชิดจนมีคนตั้งฉายาว่าเธออย่างเจ็บแสบว่า ตุ๊กตาหน้าโง่ (ข้าพเจ้าขออภัยที่จำฉายานั้นเป็นภาษาฮินดีไม่ได้) แต่จากนั้นห้าปีเธอได้สะสมประสบการณ์และก้าวขึ้นการเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่ใครไม่อาจจะปฏิเสธได้เลย เธอสะสมประสบการณ์ทางการเมืองและในทางเดียวกันเธอก็เข้าถึงใจคนจนที่นักปกครองทุกรุ่นหลงลืม จนสุดท้ายชื่อของเธอโดดเด่นเป็นตัวของตัวเอง เธอลบคำสบประมาทว่าก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำได้เพราะพ่ออย่างหมดสิ้นและสิ้นเชิง คุณเอินว่า การเริ่มต้นของอินทิรากับยิ่งลักษณ์พอ ๆ กันไหมครับ เพราะเธอเข้าสู่ตำแหน่งวันแรก ๆ ผู้ชายก็รุมด่าเธอตั้งฉายาให้เธอว่า "ตุ๊กตาบาร์บี้" ไม่ต่างจาก อินทิรา เท่าไหร่ว่าไหม...

มาร์กาเร็ต แธตเชอร์ ล่ะ... คนนี้หญิงเหล็กของโลกเลยนะครับคุณเอิน แต่คุณเอินรู้ไหมว่ากว่าเธอจะก้าวสู่ตำแหน่งผู้นำเธอต้องได้รับการสนับสนุนจากใครบ้าง ไม่เพียงแต่ต้องการเสียงในสภาเสียงประชาชนเท่านั้น เพราะ มาร์กาเร็ต แธตเชอร์ ที่เธอมาถึงวันนี้ได้ก็เพราะว่าเธออาศัยรากฐานของครอบครัวเธอเป็นสำคัญ

อองซานซูจี ล่ะ... มิใช่ว่าเพราะพ่อของเธอหรอกเหรอ เธอถึงก้าวเป็นสัญลักษณ์ของพม่าในเวลาอันรวดเร็ว เธอเป็นแกนนำมวลชนเรียกร้องประชาธิปไตยในพม่าได้นั้นส่วนหนึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เพราะเธอเป็นลูกของ นายพลอองซาน อองซานซูจีโดดเด่นในเวทีพม่าเพราะอาศัยรากฐานจากพ่อและเป็นที่สนใจของชาวโลกเพราะการสนับสนุนของอเมริกา

ฮิลลารี่ คลินตั้น ก็เช่นกัน จริง ๆ คนนี้เป็นผู้หญิงที่เก่งมากครับ เธอเก่งมาแต่เดิม แต่เธอทำทุกอย่างเพื่อสนับสนุนสามีเป็นหลังบ้านที่ดีเพื่อให้ บิลล์ เป็นหมายเลขหนึ่งของโลก แต่เราจะปฏิเสธได้หรือไม่ว่าวันนี้ที่เธอโดดเด่นและมีบทบาท เพราะอาศัยรากฐานจากสามีเช่นกัน

ทั้งหมดทั้งมวลที่ข้าพเจ้าไล่มานั้นเพียงเพื่อจะชี้ให้เห็นว่า ผู้นำที่โดดเด่นเหล่านี้จริงๆ แล้วถ้ามองในมุมคุณเอินจะเห็นว่าไม่มีใครต่อสู้ขึ้นมาด้วยตัวเองเลยแม้แต่คนเดียวเพราะเกือบทั้งหมดถ้าไม่อาศัยพ่อก็ต้องอาศัยผัวไม่อาศัยผัวก็ต้องพึ่งพานามสกุล ซึ่งนั่นเป็นความจริงครับคุณเอิน เพราะมันเป็นรากเป็นฐาน อย่างคุณเอินและพี่สาว (หรือน้องสาว) ของคุณเนี่ย ถ้าไม่ได้นามสกุล "นาคสมภพ" จะได้เข้าสู่วงการบันเทิงหรือไม่... จะมีฐานะเป็นที่รู้จักของคนเป็นเบื้องต้นหรือไม่... คุณเอินลองถามและตอบตัวเอง

แต่ผู้หญิงเหล่านั้นต่างจากคุณเอินครับ เพราะเมื่อเขามีรากฐานมาเขาได้โอกาสและพวกหล่อนคว้ามันไว้และทำโอกาสให้เป็นสิ่งดีงาม พวกเธอก็อยู่ในใจของผู้คน ซึ่งแตกต่างจากคุณเอินที่มีรากฐานได้โอกาส แต่เชื่อไหมครับว่าวันนี้ใครหลาย ๆ คนยังต้องระลึกชาติเลยว่า "คุณเป็นใคร" นั่นคือความต่างของ รากฐาน ที่คุณว่าไว้ ถ้าจะถามว่ายิ่งลักษณ์ได้ต่อสู้มาไหมในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ข้าพเจ้าต้องเรียนคุณเอินว่า คุณยิ่งลักษณ์ได้ต่อสู้มาตลอดด้วยตัวของเธอเองแม้จะมีคนสนับสนุนแต่เธอก็ฝ่าฟันมาได้เอง ถ้าคุณเอินย้อนไปคิดดูตอนช่วงรณรงค์เลือกตั้ง คุณจำได้ไหมครับว่า คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ และ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อีกทั้งลูกหาบทั้งหลาย มั่นใจในคะแนนนิยมของพรรคประชาธิปัตย์แค่ไหน อย่างไร... มั่นใจมากหรือไม่ให้ไปดูวาทกรรมว่า "จะขุดรูอยู่" ของ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็แล้วกัน

จากวาทกรรมฆ่าตัวเองของประชาธิปัตย์ มันชี้ให้เห็นว่าตอนแรกคะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยคงไม่เท่าไหร่ แต่ยิ่งลักษณ์ก็หมั่นลงพื้นที่หมั่นเข้าหาประชาชน ความอึดของเธอไม่ได้แพ้ผู้ชายอกสามศอกอย่างอภิสิทธิ์เลย ในขณะที่อภิสิทธิ์เอาสายสิญจน์ล้อมหัวหนุนชะตา ยิ่งลักษณ์ก็ยังลงพื้นที่โดยไม่มีเชือกใดมาพันกบาล ความแตกต่างตรงนี้คุณเอินพอมองเห็นอะไรบ้างไหมครับ

ยิ่งลักษณ์จริงอยู่ที่มีนามสกุล "ชินวัตร" เป็นพื้นฐาน แต่ถ้าเธอไม่เอาไหนรักษาโอกาสไม่ได้อย่างคุณ เธอก็คงถูกลืมเลือนและคงไม่ชนะเลือกตั้ง แต่คุณยิ่งลักษณ์รู้จักบริหารโอกาสรู้จักเข้าไปในใจประชาชน เธอจึงได้เป็นผู้นำ

การทำงานของยิ่งลักษณ์ในวันนี้... ข้าพเจ้าก็เห็นข้อผิดพลาดของเธอมากมายและหลายครั้งก็นึกเหมือนกันว่าถ้าข้าพเจ้าเป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้จะแก้ปัญหาอย่างไร ข้าพเจ้านึกได้เพียงสามนาทีแล้วก็ต้องเลิกคิดเพราะมันเป็นความสยดสยองที่ผุดขึ้นมาแทนที่ความฝันอันเรืองรอง ข้าพเจ้าไม่ทราบจริงๆ ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร นักวิชาการเรื่องน้ำของประเทศเราวันนี้มีเยอะครับแต่มันเยอะจนเกินไปจนไม่รู้จะเลือกเชื่อใครสักคน ใครที่ว่าเก่งว่าเจ๋งก็คาดการณ์ผิดหน้าตาแหกกันเป็นแถวๆ ถ้าข้าพเจ้าเป็นนายกรัฐมนตรีก็คงตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกเชื่อใครดี แต่เธอก็กล้าหาญพอที่จะตัดสินใจและแก้ไขปัญหาอย่างเต็มความสามารถ ในสายตาของข้าพเจ้าแล้วคิดว่าเธอทำงานได้ดีแม้ไม่สง่างาม ภาวะวิกฤตน้ำแบบนี้ข้าพเจ้าเชื่อว่าไม่ว่าใครมาทำงานตรงนี้คงไม่เหลือความสง่างามให้เห็น แม้แต่ผู้ชายอย่าง ประยุทธ์ จันทร์โอชา , สุขุมพันธ์ บริพัตร สองคนนี้สภาพเหมือน...ตกน้ำซึ่งดูไปแล้วแย่ยิ่งกว่าสภาพปรัตยุบันของนายกรัฐมนตรีอย่างยิ่งลักษณ์เสียอีก

การจะมองความสามารถการทำงานนั้นต้องเทียบกับความหนักหนาของงานเป็นสำคัญ น้ำท่วมประเทศไทยหนนี้น่าจะจารึกในประวัติศาสตร์ชาติไทยได้เลยว่าเป็นปัญหาน้ำท่วมที่มีมวลน้ำหนักหนามากที่สุดและเป็นปัญหาที่รับช่วงต่อจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในตอนที่ อภิสิทธิ์ รับมือกับน้ำท่วมที่ไม่หนักหนาเท่านี้ข้าพเจ้าพูดอย่างตรงไปตรงมาได้เลยว่า ทำงานได้ไม่สมชาย และแก้ปัญหาเพ้อเจ้อไม่สมกับเป็นเด็กอังกฤษ ถ้าเทียบกับยิ่งลักษณ์ตอนนี้ ข้าพเจ้าพูดด้วยความสัตย์ว่า ยิ่งลักษณ์ดูดีกว่ามากมายมหาศาล เธอไม่ท้อแม้จะมากแค่ไหน เธอตั้งใจ ไม่โทษใคร เธอต้องเดินฝ่าสงครามน้ำลายที่เพศชายโจมตีเธอ เธอก้มหน้าทำงานไม่ฟ้องประชาชนว่า "ผู้ชายไม่ได้ช่วยงานแถมเล่นสกปรกกับผู้หญิง" เธอมีสิทธิที่จะพูดแต่เธอไม่ได้พูดเรื่องใด แม้มีคนใส่ร้ายเธอมากมาย เธอก็ไม่เคยโจมตีกลับอะไรซึ่งผิดกับผู้ชายอกสามศอกที่หลุดอาการออกบ่อย ๆ ด้วยซ้ำไป ถ้านึกไม่ออกคุณเอินลองไปหาภาพอภิสิทธิ์ปรี่เข้าหานักข่าวหญิงได้นะครับ...

การที่คุณจะมองว่า ยิ่งลักษณ์ สอบตกทุกเรื่องนั้นก็เป็นสิทธิของคุณล่ะครับ แต่ถ้าเรามองความจริงและเอายิ่งลักษณ์มาเทียบกับอภิสิทธิ์และผู้นำคนก่อน ๆ ของไทย (เว้นไว้แต่ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์) ยิ่งลักษณ์ทำงานได้ไม่แพ้กับผู้นำประเทศของเราที่ผ่านมา เธอรับมือได้ดีและทำงานให้ผู้ชายเห็นว่า ผู้หญิงทำงานได้ดีกว่าผู้ชาย แม้เธอจะพูดไม่เก่งเหมือนอภิสิทธิ์แต่เธอก็ทดแทนด้วยการทำ... และทำ... และยอมรับความจริงจนดูเหมือนยอมพ่ายแพ้ แต่เธอก็ไม่ได้ทำผิดกับประชาชน ไม่ได้ฆ่าประชาชนแล้วบอกว่าไม่ฆ่า ไม่ได้ทำไม่ได้แล้วบอกว่าทำได้...

สำหรับคุณ ยิ่งลักษณ์อาจสอบตก สำหรับข้าพเจ้าเธอ "พอผ่าน" เพราะข้าพเจ้ามีมาตรฐานผู้นำที่สูง แต่สำหรับคนไทยทั่วไปที่ชินกับผู้นำแบบไทย ๆ โดยเฉพาะเทียบกับอภิสิทธิ์... เธอผ่านฉลุย

วันนี้สิ่งที่คุณเอินทำอยู่นั้นทำให้ข้าพเจ้านึกเรื่องหลาย ๆ เรื่องออก... สิ่งที่คุณเอินทำนั้นทำให้ข้าพเจ้านึกถึง โยนออฟอาร์ค เธอก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อชาติและรับใช้พระเจ้าของเธอ แต่เธอก็ถูกผู้ชายรุมทำร้าย รุมใส่ความ แม้ติดคุกก็เจอผู้ชายข่มขืนในยามโดนเผาก็มีคนส่วนหนึ่งสาปแช่ง ในหมู่คนสาปแช่งโยนออฟอาร์คคงมีสักคนที่เป็นผู้หญิงและหมั่นไส้เธอแต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำเป็นอย่างไร คนที่สาปแช่งเธอนั้นไม่ได้มีความพอที่จะตัดสินมีแต่อารมณ์ขุ่นเคือง จึงสาปแช่งเพศเดียวกันที่กำลังทำทุกอย่างเพื่อความถูกต้องของเธอ อีกเรื่อง เกิดขึ้นในตะวันออกกลาง คุณเอินเคยได้ยินเรื่องการประหารด้วยการปาหินไหมครับ ถ้ามีผู้หญิงคนหนึ่งถูกผู้ชายตัดสินว่ามีความผิดไม่ว่าเธอจะทำจริงหรือไม่จริง เธอต้องถูกประหารชีวิตด้วยการขว้างหิน ซึ่งผู้หญิงในตะวันออกกลางที่ตายไปนั้นมีกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซนต์ที่เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ด้วยความเลวของชายจึงจับเธอมาประชาทัณฑ์ คุณเอินก็เป็นคนหนึ่งที่ขว้างหินใส่ผู้หญิงคนนั้น คุณเอินฆ่าคนและสาปแช่งคนโดยผู้ชายบอกว่า... สิ่งที่คุณด่าคุณยิ่งลักษณ์ ข้าพเจ้าอ่านสองรอบ ข้าพเจ้าไม่พบข้อมูลใดที่เกี่ยวพันทางการเมืองการปกครอง จะมีก็แต่อารมณ์ความรู้สึกและเรื่องราวที่เขาบอกมาเท่านั้น แสดงว่าคุณเอินไม่มีข้อมูลในมือในการด่าคุณยิ่งลักษณ์นอกจากอารมณ์และสิ่งที่เขาบอกให้ด่า แล้วคุณเอินจะต่างกับผู้หญิงที่สาปแช่งโยนออฟอาร์คหรือผู้หญิงที่ปาหินเพื่อประหารผู้หญิงด้วยกันโดยไม่รู้ความถูกผิดตรงไหนกันครับ...

แต่นั่นคือสิทธิของคุณเอินครับ แต่ข้าพเจ้าอยากฝากบอกไว้หน่อยว่า ถ้าคุณไม่ยอมรับว่า คุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกและเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ยี่สิบแปดของคนไทยเพราะเขาคือหนึ่งในตระกูลชินวัตร ก็อยากเพิ่มตรรกะอีกอย่างให้คุณเอินได้ลองพิจารณา ว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นับว่าเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ยี่สิบเจ็ดหรือไม่... เพราะเขาคือคนที่ขึ้นสู่ตำแหน่งด้วยความช่วยเหลือจากกองทัพมิใช่มาโดยครรลองของระบอบประชาธิปไตย ลองพิจารณา

ก่อนจะจบจดหมายนี้อยากพูดกับคุณเอินเรื่องวิทยาศาสตร์นิดหนึ่งครับ... ข้าพเจ้าก็จำไม่ได้ว่าอ่านเจอจากไหนแต่พอเจอกรณีจั๊ดจัดและกรณีคุณเอินแล้ว ทำให้นึกถึงบทความนี้ที่เคยอ่านเจอ นักวิทยาศาสตร์ชาวตะวันตกผู้เชี่ยวชาญเรื่องสิ่งเร้นลับ เขาได้เขียนบทความว่า "คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมในภาพยนตร์ผี ๆ มักจะมีฉากไฟติด ๆ ดับ ๆ โทรศัพท์ปิด ๆ เปิด ๆ เครื่องใช้ไฟฟ้ารวนเมื่อผีจะออกมา" เขาได้ให้เหตุผลต่อว่า "จากการศึกษาของผมเมื่อวิญญาณจะปรากฏตัวจะเกิดปรากฏการณ์อย่างนั้นจริง เพราะวิญญาณนั้นถ้าจะปรากฏตัวจะดูดพลังงานจากสิ่งต่างๆ ถ้าใช้ไฟฉายเขาก็จะดูดพลังงานจากแบตตอรี่ ดูดพลังงานทั้งหมด เพราะเขาจะปรากฏตัวให้เห็นไม่ได้ถ้าเขาไม่มีพลังงาน และเขาก็ไม่สามารถสร้างพลังงานได้ ต้องดูดเอาจากสิ่งรอบตัว"

คุณเอินกับจั๊ดจัดก็คล้าย ๆ กันกับวิญญาณแหละครับ เพราะปกติแทบไม่มีใครเห็นไม่มีใครรู้จักอยู่แล้ว... คุณต้องดูดพลังงานจากคนอื่นด้วยการด่าคนอื่น เพราะยิ่งคุณด่าคนอื่นมากเท่าไหร่ตัวตนของคุณจะปรากฏออกมาต่อสาธารณชน...

แต่จริง ๆ แล้ว ถ้าคนเราอยากมีตัวตนในสายตาคนอื่น เรามีวิธีอื่นนี่ครับ... จริงไหม... ไม่จำเป็นต้องทำร้ายใครเพื่อสร้างตัวตนของเราขึ้นมาเลย เคยได้ยินคำว่า "ความรู้ทำให้คนสง่างามไหมครับ" คุณจะมีตัวตนได้นะครับ ถ้าใช้วิชาความรู้ให้ถูกที่ถูกทาง หรือว่าคุณเอินกับจั๊ดจัดไม่ชินกับการสร้างตัวตนโดยวิธีปกติ ชอบทางลัดด้วยการทำร้ายคนและเป็นช่างปั้นเรื่อง เหรอครับ...

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ข้อมูลเด็ดจากIF เรื่องการวางแผนเก้บน้ำของเขื่อน

โดย longtime flynow เมื่อวันเสาร์ ที่ 01 ตุลาคม 2011

ดูแล้วชวนสงสัยว่าน้ำท่วมครั้งนี้เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่ถูกวางแผนไว้โดนเริ่มปฎิบัตืการมาตั้งแต่เดือนเมษายนปีนี้

โดยเริ่มจากเขื่อนสิริกิตติ์มีข้อมูลว่า
- เมษา 54 ปริมาณน้ำในเขื่อน 50.21% แต่กลับปล่อยน้ำออกเพียง 7.0 ล้านลบม. ในขณะที่ปี 53 ปริมาณน้ำ 37.95% ระบายน้ำถึง 12 ล้านลบม.

- พค 54 ปริมาณน้ำในเขื่อน 52.63% แต่กลับปล่อยน้ำออกเพียง 7.5 ล้านลบม. ในขณะที่ปี 53 ปริมาณน้ำ 36.90% ระบายน้ำถึง 8.3 ล้านลบม.

- มิย 54 ปริมาณน้ำในเขื่อน 60.27% แต่กลับปล่อยน้ำออกเพียง 0.0 ล้านลบม. ในขณะที่ปี 53 ปริมาณน้ำ 34.10% ระบายน้ำถึง 11.0 ล้านลบม.

ตอนนี้ หายสงสัยแล้วว่าปริมาณน้ำส่วนเกินมันมาจากไหน พอเริ่มปล่อยน้ำออกมาก็พอดีกันกับที่ฝนตกชุก พอน้ำจากเขื่อนสิริกิตติ์ปล่อยลงสู่แม่น้ำน่านก็ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมสมัย ปลายรัฐบาลอภิสิทธิ์และส่งกระทบเป็นโดมิโนไปยังทุก ๆ เขื่อน

ไม่อยาก สรุปเลยว่าอภิสิทธิ์ยุบสภาหนีน้ำท่วม แต่ที่พวกมันคาดการณ์ผิดก็คือปีนี้ฝนมาเร็วกว่าปกติหนึ่งเดือนทำให้เกิดน้ำ ท่วมตั้งแต่สมัยอภิสิทธิ์

เอาไว้วันหลังจะเอาตารางสรุปการเก็บและปล่อยน้ำของทุกเขื่อนมาให้ดูคะขอเวลารวมรวมข้อมูลหลักฐานก่อน
นำข่าวเก่าของเมื่อปีที่แล้วมาเสริมครับ

วันที่ 2 ตุลาคม 2553 "
นายสุทธิโรจน์ กองแก้ว ผอ.โครงการส่งน้ำ และบำรุงรักษาลำตะคอง สน.ชลประทานที่ 8 นครราชสีมา
ให้สัมภาษณ์ว่า สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำลำตะคอง อ.สีคิ้ว ยังต้องการน้ำอีกจำนวนมาก

แม้นจะมีพายุอีก 2-3 ลูก พัดผ่านก็ยังรองรับน้ำได้อย่างสบาย ล่าสุดเมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา มีปริมาณน้ำ
164 ล้านลูกบาศ์กเมตร หรือ 52 % ของความจุเต็มที่ 314 ล้านลูกบาศ์กเมตร"

รูปภาพ

ให้ดูระดับน้ำในอ่างลำตะคอง (ช่องที่ 3) และปริมาณน้ำที่ระบายออกจากอ่างในช่องสุดท้ายขวามือนะครับ
เราจะพบว่าระดับในอ่างลำตะคองเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมเป็นต้นมา ตั้งแต่ระดับเพียง
173 ล้าน ลบ.ม.หรือประมาณ 55.10% ของความสามารถกักเก็บน้ำทั้งหมด จนถึงวันที่ 15 ตุลาคม
ปรากฏว่าระดับน้ำได้เพิ่มขึ้นมาถึง 246 ล้าน ลบ.ม. หรือเท่ากับ 78.34% ของความสามารถ
กักเก็บน้ำทั้งหมด แต่น้ำจากในอ่างไม่ได้ค่อย ๆ ถูกระบายออกมาเลยแม้แต่ ลบ.ม. เดียว

จากการให้ข่าวของ นายจักรกฤษ แจ้งกรณ์ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำตะคอง
เมื่อ 17 ตค. 53 ซึ่งวันนั้นปริมาณน้ำในอ่างเกิน 85% แล้ว

"จักรกฤษณ์ ผอ. เขื่อนลำตะคอง เผยฝนตกหนัก ยังไม่เปิดประตูระบายน้ำ ยันยังรับน้ำได้ ไม่มีเขื่อนแตกแน่
เฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง

นายจักรกฤษ แจ้งกรณ์ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำตะคอง กล่าวว่าขณะนี้ปริมาณน้ำ
ภายในอ่าง เก็บน้ำลำตะคอง ที่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา อยู่เต็มระดับกักเก็บที่ 314 ล้านลูกบาศก์เมตร
และระดับน้ำเหลืออีกเพียง 30 เซนติเมตร ก็จะล้นบานประตูระบายน้ำ ( สปริลเวย์ ) ไหลลงสมทบ
ในลำน้ำลำตะคองที่อยู่เบื้องล่าง เนื่องจากยังคงมีฝนตกหนัก ในพื้นที่เหนืออ่างเก็บน้ำ โดยเฉพาะที่
อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และกำลังไหลบ่ามาอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม ทางโครงการส่งน้ำ
และบำรุงรักษาลำตะคองยังยืนยันว่า จะไม่มีการเปิดการระบายน้ำ ทางช่องทางอื่น นอกเหนือจาก
ปล่อยให้ล้นออกทางสปริลเวย์เท่านั้น เพื่อไม่ให้ปริมาณน้ำภายในอ่างไหลลงสู่ลำคลองธรรมชาติ
ซ้ำเติมสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ใต้เขื่อน ที่กำลังประสบกับปัญหาอย่างหนัก และขอประกาศเตือนประชาชน
ที่อยู่ติดกับลำน้ำลำตะคองตั้งแต่ อ.สีคิ้ว , สูงเนิน , เมือง รวมถึง อ.พิมาย ให้ขนย้ายข้าวของไปไว้บนที่สูง
และเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลัน อย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง"

.. แต่สุดท้ายน้ำก็ล้นเขื่อน บริหารงานด้วยความประมาทหรือเหตุสุดวิสัย ?? ..

เครดิต : สำนักข่าว INN

Daily News Online
หวั่นเขื่อนแตก ลำตะคองปล่อยน้ำ
วันอาทิตย์ ที่ 17 ตุลาคม 2553 เวลา 19:06 น
ลำตะคองสุดอั้น!!! รับน้ำไม่ไหวหวั่นเขื่อนแตก เตรียมปล่อยน้ำคืนนี้ ประกาศเตือนชาวบ้านใต้เขื่อน ระวัง

เมื่อ เวลา 17.45 น.วันที่ 17 ต.ค. ได้มีประกาศจากศูนย์วิทยุตำรวจ สภ.สีคิ้ว ศูนย์วิทยุ สภ.สูงเนิน ศูนย์วิทยุหน่วยกู้ภัยสว่างแสงธรรมสูงเนิน ศูนย์วิทยุหน่วยกู้มูลนิธิพรหม ธรรมสีคิ้ว และวิทยุชุมชนบางสถานีในพื้นที่ ว่าได้รับแจ้งจากกรมชลประทานว่าอ่างเก็บน้ำเขื่อนลำตะคอง ต.คลองไผ่ อ.สีคิ้ว จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ มีความจุในการกักเก็บน้ำได้ ถึง 310 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะนี้ฝนได้ตกอย่างรุนแรงในท้องที่ อ.ปากช่อง ซึ่งอยู่เหนือเขื่อน เป็นเหตุให้น้ำไหลเข้าตัวเขื่อน เป็นจำนวนมากจนเหลือเพียง 30%เท่านั้น น้ำก็จะล้นเขื่อน ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ สำนักงานชลประทานลำตะคอง จึงจำเป็นต้องระบายระดับน้ำในลำตะคองก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากระดับน้ำที่ 55.10% ในวันที่ 1 มาจนถึงระดับเกือบ 100%
ในอีกเพียงแค่ 2 สัปดาห์คือในวันที่ 16 ตค. 53 และในวันเดียวกันนั้นเอง น้ำได้หลากจากอำเภอสีคิ้ว,
ปักธงชัย, เขตอุทยานทับลาน และเขาใหญ่ มาบรรจบกันเข้าท่วมเขตอำเภอต่าง ๆ ของนครราชสีมารวมทั้ง
อำเภอเมือง ซึ่งแน่นอนว่าน้ำปริมาณมหาศาลจากทั้ง 4 แหล่งที่หลากมานั้น ได้ไหลลงอ่างเก็บน้ำลำตะคองด้วย
จนปริมาณน้ำในอ่าง ฯ ล้นระดับสันเขื่อนจนต้องแอบปล่อยน้ำออกจากเขื่อนลำตะคองในกลางดึกของคืนวันที่ 17 ตค.
ซึ่งเป็นเหตุให้น้ำจำนวนมหาศาลได้ไหลเข้าท่วมซ้ำเติมในหลายพื้นที่ของนครราชสีมาจนถึงระดับวิกฤติอย่างรวดเร็ว
และเกิดความสูญเสียรวมทั้งเสียหายหนักกว่าที่ควรจะเป็น

ที่ผมมองอย่างนี้เพราะได้พบพิรุธอีกข้อนึงในรายงานสภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำและเขื่อนทั่วประเทศซึ่งจัดทำโดย
สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและเกษตรในวันที่ 17 ตค. 53 ซึ่งเป็นวันที่ต้องสงสัยว่ามีการปล่อยน้ำออกจาก
เขื่อนลำตะคองมากจนเข้าท่วมซ้ำเติมเมืองโคราชนั้น หายไปจากระบบฐานข้อมูล อย่างน่าแปลกใจโดยตลอด
ทั้งเดือนนั้นอยู่ครบ ต้องมาเจาะจงหายแม่มวันนั้นวันเดียว !!น้ำออกจากเขื่อนภายในเวลา 24.00 น.คืนนี้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการแตกร้าว ของตัวเขื่อนซึ่งอาจจะเกิด อันตรายกับประชาชนที่อาศัยอยู่ใต้เขื่อน
สรุปคือ ไม่มีการปล่อยน้ำออกจากเขื่อน แทนที่จะทยอยปล่อยไปเรื่อย ๆ กับเก็บกักน้ำไว้ อ้างว่าจะไปท่วมซ้ำเติมข้างล่าง แต่ก็รู้อยู่ว่า ฝนจะตกลงมา เติมน้ำในเขื่อน จนเต็มต้องปล่อยน้ำออกมาแน่ พอเต็มต้องปล่อย ก็พอดีกับเขื่อนอื่นต้องปล่อยด้วย น้ำเลยท่วมมากยี่งขึ้น
น่าสนใจนะ

น้ำจะท่วมไปเรื่อย ๆ จนกว่าคนเสื้อแดงจะยอมแพ้หรือไม่ก็อมาตย์สูญพันธุ์
เจ้าของ อำแดงเหมือน
viewtopic.php?f=2&t=10000

วันนี้ได้ยินอธิบดีกรมอุตุฯแถลงว่าน้ำท่วมปีนี้เกิดจากน้ำมือมนุษย์ไม่ใช่ปริมาณน้ำฝน
เจ้าของ อำแดงเหมือน
viewtopic.php?f=2&t=10125

==========================

ขอเชิญทุกท่านเข้าไปดูได้ที่เว็บกรมชลประทาน
เพื่อเข้าไปพิจารณาถึงความไม่ชอบมาพากลของปัญหาน้ำท่วมที่เลวร้ายอย่างสุดขีด เพราะ เพียงแค่ดูข่าวทีวี เห็นภาพน้ำท่วมบ้านเรือน อาจจะทำให้ไม่รู้ถึงสภาพของปัญหา แต่คงไม่ทำให้ท่านได้เห็นปัญหาที่แท้จริงว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร

อย่างที่ผมเคยตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับน้ำท่วมปีที่แล้วไว้ในกระทู้ก่อนหน้านี้
ในปีนี้ก็เช่นเดียวกัน น้ำที่ไหลมาเป็นน้ำที่ค่อนข้างใส เพราะมวลน้ำดังกล่าวเคยถูกกักเก็บไว้ในเขื่อน
และเมื่อดูระดับกักเก็บน้ำในเขื่อนย้อนไปตั้งแต่ต้นปี ก็จะพบความสอดคล้องกันของสิ่งที่ผมสงสัย

ข้อมูลต่าง ๆ ดูได้จากเว็บไซต์นี้ กรมชลประทาน
โดยทางด้านซ้ายจะมีรายชื่อเขื่อน เมื่อคลิ๊กที่ชื่อ จะเห็นภาพกราฟขึ้นมา เช่น เขื่อนแม่กวง

สำหรับคนที่ยังไม่เคยดูกราฟในลักษณะนี้มาก่อน อาจทำให้ดูแล้วไม่เข้าใจ ผมจึงของอธิบายไว้ ณ ที่นี้

======== คำอธิบายในการดูกราฟ ==========

- กราฟนี้ เริ่มต้นในวันที่ 1 เมษายน ของทุกปี เรียกว่า ปีน้ำ (Water Year)

- "เส้นกราฟเกณฑ์กักเก็บน้ำ สูงสุด-ต่ำสุด" คือ เกณฑ์ระดับกักเก็บน้ำที่แนะนำไว้

ถ้าช่วงเวลาใดเส้นกราฟลาดลง แสดงว่าช่วงนั้นควรระบายน้ำให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์
(ระบายน้ำออกจากเขื่อน ในปริมาณที่มากกว่า น้ำไหลเข้ามาเติมในเขื่อน) ซึ่งจะเป็นช่วงฤดูแล้ง ไม่มีฝนตก การระบายน้ำสู่ระบบชลประทาน

ส่วนช่วงเวลาที่เส้นกราฟขึ้นสูง แสดงว่าช่วงนั้นควรกักเก็บน้ำสะสมไว้ (ปริมาณน้ำไหลเข้าสู่เขื่อน มากกว่าที่ระบายน้ำออกไป) จะเป็นช่วงฤดูฝน มีฝนตกทั่วไป ซึ่งเป็นโอกาสที่จะสะสมน้ำไว้ในเขื่อนสำหรับช่วงฤดูแล้ง

โดยแต่ละเขื่อนจะมีระดับเกณฑ์แนะนำที่แตกต่างกันไปตามฤดูกาลในแต่ละภูมิภาค

- "เส้นกราฟสี ระดับกักเก็บน้ำจริง" คือ เส้นระดับกักเก็บน้ำในเขื่อนจริงของแต่ละปี

ถ้าเส้นกราฟระดับกักเก็บน้ำลดลงก็แสดงว่ามีการระบายน้ำ แต่ถ้าเส้นกราฟสูงขึ้นแสดงว่ามีการกักเก็บน้ำ

======================================

จะเห็นได้ว่า เขื่อนแม่กวง ที่ผมยกตัวอย่างมานี้
ในปี 2554 นี้เริ่มมีการกักเก็บน้ำตั้งแต่เดือน 20-30 เมษายน 54

ซึ่งมันผิดปกติเป็นอย่างมาก เพราะสวนทาง (หรือเส้นกราฟตัดกัน) กับเส้นกราฟแนะนำไว้ และเป็นเช่นนี้เหมือนกันในอีกหลาย ๆ แห่ง

เป็นไปได้มั๊ยว่าน้ำท่วมครั้งนี้เกิดจากปัญหาวิกฤติการเมืองของคนบางกลุ่ม
เพื่อกลบขี้ที่ตัวเองได้ทำไว้
เพื่อเบียงเบนความสนใจของประชาชน
เพื่อเพิ่มภาระให้กับรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ไม่ให้มีโอกาสดำเนินตามนโยบายที่วางไว้

ถ้าอย่างที่ผมสงสัยเป็นจริง
นี่อาจจะเป็นขั้นตอนหนึ่งที่นำไปสู่การขีดเส้นตาย 6 เดือน
ที่มีคนกำหนดให้กับรัฐบาลคุณปูยิ่งลักษณ์

จากคุณ : Jump Master

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

ฮุนเซนแฉมาร์คส่งสุเทพมาพบ 3 ครั้ง เคยเจรจาลับน้ำมัน ประวิตรถือเอกสารคุยเตียบัญ ที่ ตาเคมา…

ข่าวทีวี ช่อง 3

http://www.youtube.com/watch?v=ZpgBPoUEzRU&feature=player_embedded

อ่าน นสพ.

POST TODAY on-line 13 ก.ย. 2554, 20:17 น.

เว็บไซต์ฟิฟทีนมูฟ เผยแพร่ข้อมูลหนังสือพิมพ์เกาะสันติภาพ และเว็บไซต์สำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่รายงานคำกล่าวของนายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เคยเจรจาลับเรื่องน้ำมัน โดยมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรมว.กลาโหมของไทยเป็นผู้ถือเอกสารมาเจรจา

นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวว่า หลังองค์การปิโตรเลียมแห่งชาติกัมพูชา ได้ประกาศข่าวเกี่ยวกับการเจรจาลับ มีสมาชิกสภาของพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ พร้อมกับคนอีกจำนวนหนึ่ง โจมตีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่ามีการเจรจามีผลประโยชน์กับกัมพูชา ยืนยันว่ามีการเปิดการเจรจาอย่างเปิดเผย โดยมีคณะกรรมการร่วม 2คณะ คือ คณะหนึ่งสำหรับกำหนดเขตแดน และอีกคณะเกี่ยวกับพื้นที่พัฒนาร่วม แต่ยังไม่มีความเห็นชอบใดๆทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม ในการเจรจายอมรับว่า มีการแบ่งส่วนออกเป็น3 โซน ตรงกลางแบ่ง 50 เปอร์เซ็นต์ พื้นที่ที่อยู่ใกล้ไทยกว่า ตอนแรกแบ่ง 10-90 ต่อมาเอา20-80 ส่วนพื้นที่ข้างกัมพูชา 80-20 ส่วนกัมพูชาเสนอกลับไปว่าให้แบ่งเป็นบล็อค ๆ แล้วจับฉลากเลือกแต่ไม่มีเรื่องผลประโยชน์ซ่อนเร้นตามที่พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหา แต่ต่างจากรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ขณะนั้น ไม่ได้เตรียมตัวหารือกับสุเทพ และรมว.กลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ แต่อย่างใด

“นายสุเทพมากัมพูชาสามครั้ง ครั้งแรกในเดือนเมษายน มาไกล่เกลี่ยเพื่อรับรองให้ไปพัทยาร่วมการประชุมอาเซียน หลังจากมีเรื่องในสภาไทย ที่กษิต ภิรมย์ เรียกผมว่าเป็นนักเลง ภายหลังนายสุเทพก็มากัมพูชาอีกพร้อมกับรัฐมนตรีกลาโหมแต่ไม่ได้พูดถึงเรื่องน้ำมัน วันที่ 27 มิถุนายน ภริยาผมทำอาหารเลี้ยงส่วนตัว คือทำแกงเลียง3 ให้เขารับประทาน หากแต่เรื่องที่แปลกคือนายสุเทพได้เอาเอกสารแผนที่เกี่ยวกับบล็อคน้ำมันในทะเลมาด้วยและได้แจ้งว่านายอภิสิทธิ์ได้แต่งตั้งเขาให้มาเจรจาให้เสร็จภายในสมัยของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ แต่ได้แจ้งกลับไปว่า ผมมีรองนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบเจรจาเรื่องนี้ ไม่สามารถเป็นคู่เจรจากับ ฯพณฯได้”นายฮุนเซน กล่าว

ฮุน เซน กล่าวพาดพิงถึงนายอภิสิทธิ์ว่า ถ้าไม่ชัดเจนก็อย่าพูด นำคนต่อต้าน ผมไม่ต้องการพูดถึง หรือว่าผมต้องสอนอภิสิทธิ์อีก เมื่อตอนที่เป็นนายกรัฐมนตรีเหมือนกัน ผมก็สอนแล้วสอนอีก ตอนนี้ผมยังต้องสอนอีกหรือ ผมขอแนะนำไปถึงอภิสิทธิ์ และสุเทพที่กรุงเทพฯ ว่า ใครคนไหนหอบเอาเอกสารมาที่บ้านผมที่ตาเคมา สุเทพรับรู้เรื่องนี้ และกล่าวต่อว่า“ใครคนไหนหอบเอาเอกสารไปที่ตาเคมา ผมไม่รับรู้ด้วย ดังนั้น ขอให้ฝ่ายไทยไปดูไปตรวจสอบให้ถูกต้องถึงมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญไทย เรื่องที่มาลักลอบเจรจาลับอย่างนั้น

นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวอีกว่า “ตอนนี้ ตั้งแต่ออกจากตำแหน่ง อภิสิทธิ์ก็มาโจมตีว่าเนื่องจากรัฐบาลไทย (ยุคอภิสิทธิ์) ไม่สนองผลประโยชน์ของกัมพูชาทำให้ไม่ถูกกัน ผมก็จะแจ้งกลับไปที่อภิสิทธิ์ว่า ถ้ารัฐบาลก่อนไม่ถูกกันแล้ว ใครคนไหนที่ส่งคนมาเจรจาลับ ไอ้ที่ลับเป็นอะไร?” แล้วกล่าวต่อว่า “เขาต้องการรู้เรื่องลับนี้ไหม ถ้าต้องการรู้ว่าลับหรือไม่ลับ ต้องเริ่มต้นที่ตาเคมา จ.กัณดาล ฟังให้ชัดผู้นำเอกสารมา คือพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เตีย บัญ ลี ยงพัต และคำปูน ซท6 ได้เห็นเอกสารนี้”

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

นิวส์วีคยกย่อง’ทักษิโณมิกส์’เรียกทักษิณว่า “นักคิดทางเศรษฐกิจผู้ยิ่งใหญ่”


Posted by: Jess on สิงหาคม 25, 2008

นิวส์วีค นิตยสารชื่อดังของสหรัฐอเมริกาที่เคยขึ้นปก 4 ผู้นำในเอเชียและมีรูปของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยเป็นหนึ่งในผู้นำทั้ง 4 คนรวมอยู่กับนายหม่า อิง จิ่ว ผู้นำของไต้หวันนายลี เมียง บัก ประธานาธิบดีนักธุรกิจของเกาหลีใต้ และ นายอันวาร์ อิบราฮิม อดีตรองนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ภายใต้บทความที่นำเสนอในชื่อว่า The Politics of Practical Nostalgia หรือ การเมืองแห่งการโหยหาอดีตที่ทำได้จริง

ล่าสุดนิตยสารนิวส์วีคฉบับประจำวันที่ 1 กันยายน 2551 ซึ่งออกวางตลาดในเร็วๆนี้ได้ลงตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับ พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยอีกครั้งในบทความที่มีชื่อว่า A Leader Who Looms/ ผู้นำที่ยังคงยืนเด่นเป็นตระหง่าน โดยเนื้อหาของบทความชิ้นนี้ได้ยกย่อง “ทักษิโณมิกส์” ว่าเป็นนโยบายที่ได้รับการยอมรับในภูมิภาคเอเชียอย่างกว้างขวาง มีผู้นำในแถบเอเชียหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียแม้กระทั่งประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีนและอินเดียก็ยังเดินตามรอย “ทักษิโณมิกส์” ของอดีตนายกรัฐมนตรีไทย

แถมไม่พลาดที่จะเหน็บพวกปัญญาชนว่า “พวกปัญญาชนผู้รอบรู้เคยหัวเราะเยาะทักษิณแต่นโยบายเศรษฐกิจแบบประชานิยมของเขากำลังได้รับความนิยมแพร่หลายในเอเชีย”

นอกจากนี้นิวส์วีคยังกล่าวยกย่องชมเชยกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจของทักษิณที่ออกมาในรูป “นโยบายคู่ขนานหรือทักษิโณมิกส์” ว่าเป็น“ความคิดที่ฉลาดหลักแหลม” พร้อมเอ่ยชมอดีตนายกฯทักษิณว่าเป็น “นักคิดทางเศรษฐกิจผู้ยิ่งใหญ่”

โดยในตอนท้ายนิวส์วีคสรุปว่า “นโยบายคู่ขนานที่เฉียบแหลม” นั้นมันทำงานได้ผลจริงๆ

สำหรับ George Wehrfritz แห่งนิตยสาร NEWSWEEK ผู้เขียนบทความ A Leader Who Looms/ ผู้นำที่ยังคงยืนเด่นเป็นตระหง่านนี้เคยเขียนบทความเรื่อง Buddhist Economics/พุทธเศรษฐศาสตร์ มาแล้วเมื่อต้นปี 2007

ผู้นำที่ยังคงยืนเด่นเป็นตระหง่าน

ถอดความภาษาไทยโดย Thinking in ink

พวกปัญญาชนผู้รอบรู้เคยหัวเราะเยาะทักษิณแต่นโยบายเศรษฐกิจแบบประชานิยมของเขากำลังได้รับความนิยมแพร่หลายในเอเชียแม้กระทั่งจวบจนวาระที่เขาอำลาประเทศไทย

โดย จอร์จ เวอห์ฟริซส์
นิตยสารนิวส์วีคระหว่างประเทศ
ฉบับวันที่ 23 สิงหาคม 2551

ในศัพท์ทางการเมือง คุณทักษิณ ชินวัตรไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่า “ผู้สูญเสียอำนาจ” เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วอดีตนายกรัฐมนตรีแอบดอดเดินทางไปต่างประเทศมุ่งสู่คฤหาสน์หลังงามในอังกฤษของเขาอย่างเงียบๆ เป็นการจบความคาดหวังที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าการกลับคืนสู่มาตุภูมิด้วยความภาคภูมิใจในชัยชนะของเขาเมื่อเดือนมกราคมอาจเป็นลางบ่งบอกถึงการหวลกลับคืนสู่เวทีการเมืองระดับชาติอีกครั้งจากที่ต้องลี้ภัยอยู่หลายเดือนหลังถูกโค่นล้มอำนาจจากการทำรัฐประหารอย่างไม่เสียเลือดเนื้อเมื่อปี 2549

การลี้ภัยแบบคาดไม่ถึงของมหาเศรษฐีพันล้าน(เหรียญสหรัฐ) ผู้สร้างฐานะด้วยตนเองครั้งนี้ก่อให้เกิดการถกเถียงถึง ความถูกต้องของข้อกล่าวหาที่เขากำลังเผชิญอยู่ ทั้งเรื่องที่ทางกรุงเทพฯ ควรดำเนินการเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่และตัวจักรทางการเมืองของคุณทักษิณในอนาคต

แต่แทบไม่มีการกล่าวถึงผลงานที่อยู่ยืนยงสถาพรของคุณทักษิณเลย นั่นคือ: “การพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานราก” ที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในหมู่ประเทศกำลังพัฒนา ในการโปรโมทตัวเองนิดหน่อยอย่างไม่ต้องอาย คุณทักษิณประทับตรายุทธศาสตร์การพัฒนานี้ว่า “ทักษิโณมิกส์” ยุทธศาสตร์นี้ถูกนำไปใช้ในการรณรงค์หาเสียงว่าเป็นนโยบายเพื่อยกระดับฐานะของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตที่เขาลงสมัคร (ชาวไทยชนบท) ให้พ้นจากความยากจน นโยบาย "ทักษิโณมิกส์" ถูกนำไปใช้ปฏิบัติจริงหลังจากที่เขาชนะเลือกตั้งกลับเข้ามาเป็นรัฐบาลเมื่อปี 2544

นักวิพากษ์วิจารณ์ได้ประณามนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของคุณทักษิณว่าเป็น “นโยบายประชานิยมที่ผลาญเงินงบประมาณอย่างมหาศาล” แต่ผู้ที่ไม่ยอมรับนโยบายของทักษิณเหล่านี้ต้องรีบเปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว เมื่อนโยบายประชานิยมอย่าง การพักหนี้เกษตรกรและกองทุนหมู่บ้านได้กระตุ้นภาคอุตสาหกรรมการผลิตและบริการให้เกิดขึ้นในระดับรากหญ้าและการปรับปรุงสวัสดิการพื้นฐานที่อ่อนแอของประเทศไทยให้ดีขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดให้มีโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรค (เกือบฟรี) ได้ช่วยปลดปล่อยครัวเรือนในชนบทให้เกิดการออมน้อยลงและออกไปจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้น (ยกระดับการบริโภคภายในประเทศ) คุณทักษิณเรียกยุทธศาสตร์นี้ว่า “การพัฒนาแบบคู่ขนาน” หรือ “การพัฒนาเศรษฐกิจทวิวิถี” ซึ่งกระตุ้นให้เกิดอุปสงค์จากตลาดภายในประเทศมากขึ้นควบคู่ไปกับภาคการส่งออกและมันทำงานได้ผลจริงๆ

ประธานาธิบดีของอินโดนีเซีย ซูซิโล บัมมัง ยุดโดโยโนได้เดินตามรอย “ทักษิโณมิกส์” ในการช่วยเหลือครัวเรือนที่ยากจนที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากปัญหาราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นโดยออกมาตราการใช้เงินอุดหนุนพยุงราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศเพื่อไม่ให้คนยากจนต้องใช้น้ำมันแพง หรือ นายมันโมฮัน ซิงห์ นายกรัฐมนตรีของอินเดียได้ริเริ่มโครงการสร้างงานในชนบทหลายล้านตำแหน่ง ความต้องการในการบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจของเขาสะท้อนให้เห็นถึงการเดินตามนโยบายประชานิยมของทักษิณเป็นอย่างมาก หรือ ประธานาธิบดีกลอเรีย มาคาปากัล อาร์โรโย แห่งฟิลิปปินส์ที่ครั้งหนึ่งเคยประกาศว่า “ฉันเป็นสานุศิษย์ของทักษิโณมิกส์อย่างไม่อาย” และนับตั้งแต่ปี 2549 เมื่อจีนเปิดตัวโครงการขนาดยักษ์ใหญ่เพื่อปรับเปลี่ยนทิศทางการลงทุนของรัฐที่ต้องการเนรมิตโครงการ “การพัฒนาชนบทตามแนวทางสังคมนิยมรูปแบบใหม่” ขึ้นในพื้นที่ชนบทห่างไกล ทางปักกิ่งได้ยกเลิกภาษีการเกษตรทั่วประเทศ จัดสรรเม็ดเงินหลายร้อยล้าน (เหรียญสหรัฐ) ให้กับอุตสาหกรรมในชนบทและนอกจากนี้ยังหาหนทางเพื่อช่วยฟื้นฟูจังหวัดที่ยากจนทางตอนกลางของประเทศ (ย้อนไปในปี 2003 จีนได้ส่งคณะผู้แทนชุดหนึ่งไปยังประเทศไทยเพื่อศึกษา “ทักษิโณมิกส์” ตามรายงานของทางการจีน)

http://shiningjessica.wordpress.com/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B9%8C%E0%B8%A7%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%8A%E0%B8%B9%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B4%E0%B9%82%E0%B8%93%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B9%8C/

จากคุณ : WTKn

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

# ทำบุญ เดือน กันยายน 2554

โครงการทำบุญมหากฐิน 4 ภาค

-------------------------
บริจาคทองเหลืองร่วมหล่อหลวงปู่เทพโลกอุดร

----------------------
กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี

------------------------
เป็นเจ้าภาพใบระกา พระอุโบสถวัดวังน้ำต้อง


-----------------------
เป็นเจ้าภาพถวายต้นเงิน ต้นละ ๕๐๐ บาทสมทบทุนสร้างเจดีย์

----------------------
บุญภาพจิตกรรมฝาผนังพระอุโบสถ วัดฉลองราชฯ

-----------------
"ซุ้มลูกนิมิต+ใบเสมา"พระอุโบสถ วัดฉลองราชฯ

--------------------------
ร่วมเป็นเจ้าภาพหล่อ “ระฆัง พระพุทธเจ้า 5 พระองค์”

------------------------
วัน เสาร์ ที่ 3 กย. 2554 เป็นเจ้าภาพกระฐิน วัดท่าขนุน 1 กอง

จำนวนเงิน 10,000.- บาท พร้อม เลสคอมือทองคำ 1 เส้น หนัก 2 บาท

(ตอนนับตังค์จะใส่ซอง พอนับเสร็จก็เกิดอยากถวาย ก็แกะตะขอถอดวางเลย ก็เลยได้ถวายไว้ในพระพุทธศาสนาสมใจ....พระท่านก็ถามใส่มาทำมัย ก็เรียนท่านไปว่ามันแพงไม่อยากใส่แล้ว...)

# ทำบุญ เดือน สิงหาคม 2554

เจ้าภาพฉัตรบนหลังคาอุโบสถ 1 ช่อ (วัดฉลองราชฯ)

----------------------
เชิญร่วมสร้างโรงครัว หลวงพ่อจรัญ 






 

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

'กิตติรัตน์' เคลียร์หมดเปลือก ค่าแรง300-เงินเดือนป.ตรี 1.5หมื่น (ตอนที่ 1)

ตัวอย่างคำถาม

1. การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำว่าจะเริ่มวันที่ 1 ม.ค. 2555 แน่นอนแล้วใช่หรือไม่ ?

กิตติรัตน์ : อาจจะเริ่มต้นได้ก่อนนั้น แต่ต้องขอเล่ากระบวนการว่าหากรัฐใช้วิธีการสั่งให้บริษัทปรับขึ้นค่าแรงให้สูงขึ้น โดยนายจ้างไม่อยากจ่ายสิ่งที่เกิดขึ้นคือ การไม่จ้างงาน ก็จะทำให้นโยบายไม่เป็นผล เพราะสิ่งที่รัฐบาลทำคือต้องการให้คนมีงานทำและมีค่าแรงที่สูงขึ้น ดังนั้นวิธีที่จะทำให้เกิดค่าจ้างขั้นต่ำจาก 215 บาท เป็น 300 บาทในไตรภาคีจึงไม่ใช่วิธีการหลัง แต่วิธีการหลักของรัฐบาลคือ รัฐในฐานะผู้จ้างต้องสำรวจตัวเองก่อนว่ามีแรงงานที่ได้ไม่ถึง 300 บาทอยู่มากแค่ไหน ซ่ึงต้องบอกว่ามีแน่นอน ลูกจ้างรัฐที่มีค่าแรงขั้นต่ำส่วนเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท อันนี้หนักกว่าค่าแรงขั้นต่ำ เพราะไม่มีการควบคุมของไตรภาคีปริญญาตรี ดังนั้น สิ่งที่ทำคือนโยบายของรัฐ รัฐก็จะต้องเดินหน้าก่อน คำว่ารัฐเดินหน้าก่อนก็จะต้องไปโยงกับเรื่องงบประมาณที่ต้องผ่านสภาฯ ดังนั้นการแถลงนโยบายต่อสภาฯทำให้รัฐบาลต้องเร่งทำงานเพื่อเรื่องทั้งหมดกลับเข้ามาภายในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต้นเดือน ก.ย.ให้ได้ วันก่อนผมได้คุยกับพวกสมาพันธ์แรงงาน ก็มีคำถามว่าขึ้นค่าแรง 1 ม.ค. 2555 หรือเปล่า ผมก็บอกว่ารอมาได้ตั้งนาน รัฐบาลนี้ทำให้คุณแน่นอน แล้วถ้าถามว่าจะมั่นใจได้อย่างไร ก็บอกว่าถ้าทำไม่ได้รัฐบาลต้องไปถามว่าไปยังไงก็ไม่มีคนเลือกอีกไง

2. หลักการขึ้นเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท คืออะไร

กิตติรัตน์ : หลักการขึ้นเงินดือนปริญญาตรี 15,000 บาท คือ การกระจายรายได้ หมายความว่าคนที่มีรายได้น้อยต้องได้เงินเพิ่มมากกว่าคนที่มีรายได้สูง อย่างพวกอธิบดีก็จะไม่มีสิทธิ์ได้ในสิ่งตรงนี้ แต่ถ้ารัฐบาลบอกเพิ่มทั้งฐาน เช่น บางบริษัทที่กำลังคิดอยู่บอกว่าการเพิ่มเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 หมายความว่าฐานปริญญาตรีที่จะได้เพิ่มคืออีก 30-40% งั้นผู้บริหารระดับบนบริษัทเพิ่มให้อีก 10% ด้วย ผมก็บอกเลยว่าคุณคิดดี ถ้า 10% เงินเดือน 100,000 บาท จะได้เพิ่มอีก 10,000 บาท แต่พนักงานระดับล่างได้เพิ่ม 2-3 พันบาท อันนี้จะไม่ใช่การกระจายรายได้ตามที่รัฐบาลบอก ซึ่งกระบวนการคิดของรัฐบาลคือ 1.ใครต่ำกว่า 15,000 บาท ให้ปรับเป็น 15,000 บาท ส่วนคนที่สูงกว่าไม่ต้องเอา 2.บริษัทต้องสำรวจว่า พนักงานเก่าที่เงินเดือน 16,000-18,000 บาท ที่มีความเก่าแก่ตามกาลเวลาหรือประสบการณ์ ควรที่จะได้รับอะไรมากกว่านั้นหรือไม่


3. ตอนหาเสียงบอก 300 บาททั่วประเทศ แต่ตอนนี้บอกว่าเริ่มที่ข้าราชการ-รัฐวิสาหกิจ และแรงงานในกรุงเทพฯก่อน ส่วนที่เหลือรอไตรภาคี

กิตติรัตน์ : ก็ไปฟังคุณอภิสิทธิ์ มากไป คำว่าทั่วประเทศผมหมายความว่า รัฐบาลเดินเปรี้ยง ถ้า 300 บาทกับพนักงานที่อยู่กทม.ก็ 300 บาทกับพนักงานที่แม่ฮ่องสอน กระบี่ก็ 300 บาท ถามว่าทั่วประเทศทันทีหรือเปล่าทั่วประเทศ ถามว่าทันที ทันทีที่อะไร ทันทีที่งบประมาณฝั่งรัฐบาลเดินออกไปได้ พนักงานร้านเซเว่น อยู่ที่ไหนก็ 300 บาท ถามว่าทำไม 300 บาท เพราะบริษัทฯให้ความร่วมมือ


4. แล้วบริษัทขนาดเล็กอย่างเอสเอ็มอีจะมีวิธีการช่วยเหลืออย่างไร เพราะหลายแห่งออกมาโอดครวญ

กิตติรัตน์ : มีสำรวจแล้ว และพบหลายเรื่อง เช่น เอสเอ็มอีจำนวนหนึ่งบอกขาดทุน ถ้าขึ้นค่าแรงมาตายแน่ ต้องย้อนกลับไปว่าเอสเอ็มอียอมรับก่อนหรือไม่ที่บอกขาดทุนเยอะ เพราะแจ้งงบการเงินเป็นเท็จเพื่อหนีภาษี ถ้าถามต่อว่าทำไมถึงหนีภาษีเพราะอัตราภาษีสูงจึงไม่อยากเสีย เลยต้องไปโยงกับการลดอัตราภาษีซึ่งต่างจาก นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรมว.คลัง ที่บอกอันนั้นประชานิยม อันนี้ก็บริษัทนิยม ไม่ต้องบริษัทนิยมทุกคนก็พูดกันอยู่แล้วว่าประเทศไทยจะเข้าสู่อาเซียน สิงคโปร์เสียภาษี 18% ไทยเก็บ 30% จะให้นักธุรกิจไปแข่งกับต่างประเทศอย่างไร อยากเล่าให้ฟังว่าไม่ใช่ว่าอันนี้ประชานิยมเอาใจแรงงาน อันนี้ประชานิยมเอาใจเกษตรกร อันนี้เอาใจบริษัท ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ต้องเปลี่ยนแปลง การที่ประเทศไทยยืนบนภาษี 30% มันน่าหนีจะตาย ส่วนจะลงเท่าไหร่นั้นตามที่รัฐบาลประกาศคือปี 2555 เหลือ 23% และในปี 2556 เหลือ 20%


มีการคุยกับแบงก์ชาติหรือไม่

กิตติรัตน์ : ไม่คุย

มีปัญหากันใช่หรือไม่

กิตติรัตน์ : ไม่มี

แต่ทำไมดูเหมือนหลายๆนโยบายแบงก์ชาติสกัดหมดเลย

กิตติรัตน์ : ธปท.ก็คิดของเค้าผมก็คิดของผม

แล้วจะทำงานด้วยกันได้หรือ

กิตติรัตน์ : ได้ เพราะอะไรเพราะเพิ่งแถลงนโยบายเสร็จจะให้ผมเดินไปคุยกับธปท.ก่อนเดี๋ยวก็จะบอกว่ายังไม่แถลงนโยบายมีสิทธิ์อะไรมาบริหารราชการแผ่นดิน

มีแพลนที่จะคุยหรือไม่

กิตติรัตน์ : ต้องคุยแต่ไม่ใช่หน้าที่ผมที่ต้องคุยต้องเป็นหน้าที่นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง ที่ต้องคุยกัน

ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/eco/197359



อ่านเพื่อประเทืองปัญญาพรรคฝ่ายค้านครับ สรุปทำได้แน่นอนครับ


ถ้าบางคน " มือไม่พาย เอาเท้ามาราน้ำ "

จากคุณ : ภูจอห์น
เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 11:34:45 A:202.67.122.114 X:

วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โอกาส"ทอง"(จริงๆ):Dow/Gold ratio

โอกาส"ทอง"(จริงๆ):Dow/Gold ratio
เครดิตคุณ...Nexttonothing

ผมเคยนำทองคำแท่งที่มีอยู่ เอาออกมาวางแล้ว “จ้อง”(ใครจะลองทำตามก็ได้นะครับ)
มองซ้ายก็แล้ว มองขวาก็แล้ว พบว่า "มันนอนนิ่งของมันอยู่เฉย"
แต่พอหันมาดู “ราคา” ทองคำกลับเปลี่ยนแปลง
วิ่งขึ้นวิ่งลงอยู่ตลอดทุกวัน

จึงขอสรุปเอาง่าย ๆ ตามที่ตาเห็นว่า
“ทองคำไม่เคยเปลี่ยน ราคาที่จะเอามาใช้ ซื้อ-ขาย มันต่างหากที่เปลี่ยน”

-ราคาขึ้น ต้องเอา เงินปึกหนาขึ้น มาซื้อ

-ราคาลง เอาเงินปึกบางลง มาซื้อ

แสดงถึง มูลค่าของเงินที่เปลี่ยนแปลง บางวันแข็ง-บางวันอ่อน(ทองไม่เกี่ยว)

ทำให้เราต้องมองไปถึง “ที่มา” ของเงิน ซึ่งคือ ธนาคารกลางทั่วโลก
ก็พบว่าในอดีต-ปัจจุบัน-ยันถึงแนวโน้มในอนาคต เค้าไม่เคยหยุดพิมพ์
หนำซ้ำมีแต่จะพิมพ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อแก้ปัญหาหนี้ และวิกฤตเศรษฐกิจ

หากคุณเข้าใจในพื้นฐานความจริงข้อนี้ ในระยะยาวราคาทองคำจึงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
นอกจาก “ขึ้น” สถานเดียว

ผมเคยบอกกับคนอื่นๆว่า ทองคำจะขึ้นราคาต่อไปทุกปี แม้มันจะขึ้นมาหลายปีแล้วก็ตาม

“เค้าไม่เชื่อ”

ผมเลยบอกใหม่ว่า ค่าของเงินจะเล็กลงๆต่อไปทุกๆปี ปรากฎว่าคราวนี้

“เค้าเชื่อ”

อืมม....มันเรื่องเดียวกันครับ

...............................................................

ในบทความตอนที่แล้ว ผมพูดว่าเมื่อเวลาผ่านไปราคานั้นเป็นตัววัดมูลค่าที่ “แย่มาก”
วันนี้เราจะมาดูกันต่อว่า แย่ยังไง?

จำได้มั๊ยครับ

ตอนทองบาทละ 10000 ครั้งแรกคนบ่นว่า “ทองแพง”
ตอนทองบาทละ 12000 คนบ่นว่า ทองแพง
ตอนทองบาทละ 16000 คนบ่นว่า ทองแพง
ตอนทองบาทละ 19000 คนก็ยังบ่นว่า “ทองแพง” ??

ถึงเวลานี้ คนที่เคยบอกว่า -ทองแพง- นั้นเข้าใจผิด
ที่เข้าใจผิดก็เพราะเค้าใช้ “ราคา” (Price) เป็นไม้บรรทัดวัด "มูลค่า" (Value)ของทอง

ไม่ได้ผิดที่ทองแต่ผิดที่ “ไม้บรรทัด” ราคาที่แพงขึ้นๆ ไม่ได้เป็นการบอกว่า ทองแพง
อย่างที่เข้าใจ เพราะมันก็แพงขึ้นไปอีกตลอด

พอเถอะครับ

วันนี้เรามาเปลี่ยน “วิธีวัด” กันใหม่ดีกว่า

ในเมื่อทองเป็น สินทรัพย์ ชนิดหนึ่ง ผมขอใช้สินทรัพย์อีกชนิดหนึ่ง “วัด” สิ่งนั้นคือ
“ดัชนีหุ้นดาวน์โจนส์” (Dowjones)

คนที่เล่นหุ้นคงรู้จักเป็นอย่างดี เมื่อคุณซื้อหุ้น = คุณซื้อบางส่วนของกิจการ หุ้นของคุณมีมูลค่าที่แท้จริง
เป็นสินทรัพย์ที่แท้จริง ดีพอจะเอามาใช้วัดมูลค่าของทองคำ
อีกแง่นึงในทางกลับกัน ทองคำก็สามารถเอาไปใช้วัด มูลค่าของหุ้นได้ด้วย

หากคุณไม่เคยเล่นหุ้น หรือ ไม่รู้จัก ดาวน์โจนส์ ไม่เป็นไรเลยครับ คุณแค่รู้ไว้ว่า
ขณะนี้ มันอยู่ที่ระดับ 11,000 จุด (ก็พอ)
ที่จริงเราสามารถใช้ สินทรัพย์ประเภทอื่นวัดก็ได้ เช่น อสังหาริมทรัพย์ หรือ น้ำมัน
แต่ที่ผมใช้ Dow วัดทองคำ เพราะ สองสิ่งนี้ เท่าที่ศึกษา มันสัมพันธ์กันอย่างน่าประหลาดมีวัฎจักรและทฤษฎีรองรับ

ทฤษฎีนี้คือ Dow/Gold Ratio = 1:1

หลักการก็คือ
ไม่ว่า หุ้นดาวน์โจนส์จะขึ้นหรือลงไปอยู่ที่ราคาเท่าไหร่ ไม่ว่าราคาทองคำจะขึ้นหรือลงไปอยู่ที่ราคาเท่าไหร่
สุดท้ายมันจะกลับมาเท่ากัน (1:1)



วิธีการวัดก็คือ ต้องใช้“ทองกี่ออนซ์” ถึงจะเทียบเท่าดัชนีหุ้นดาวน์โจนส์
เช่น : คณิตศาสตร์ระดับประถม

ให้ดัชนีหุ้น Dow = 10,000 จุด

ให้ราคาทอง = 1,000$/oz

อัตราส่วน Dow/Gold จะเท่ากับ 10

นั่นหมายความว่า ทอง 10 ออนซ์ มีค่าเทียบเท่า ดัชนีหุ้น Dow


จากกราฟ:ในช่วงปลายทศวรรษที่ 20

Dow/gold ratio เคยขึ้นไปสูงถึงระดับเกือบ 20:1
แต่หลังจากนั้น ตุลาคม 1929 ตลาดหุ้น Dow ร่วงดิ่งเหวเหลือเพียง 35 จุด (เหตุการณ์ Black Monday)
มาชนกับราคาทองคำในขณะนั้นคือ 35$/oz พอดี
ทำให้อัตราส่วนลดลงอย่างรวดเร็วเหลือ 1:1

จากกราฟ :ช่วงทศวรรษที่ 60

Dow/gold ratio ขึ้นไปใหม่ถึงระดับ เกือบ 30:1 ในขณะนั้น
นักเศรษฐศาสตร์ออกมาเตือนให้ระวังประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยแต่ “ไม่มีใครเชื่อ”
เพราะเห็นว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว ยุคนี้เป็นยุคใหม่ บ้านเมืองเจริญก้าวหน้า นาซ่า ส่งคนไปดวงจันทร์
เป็นยุคของ เอลวิส เพรสรีย์ และเดอะ บีทเทิ้ล อันโด่งดัง

แต่วัฎจักรก็วนมาอีกครั้ง

ปี 1980 ตลาดหุ้นร่วงลงอย่างหนัก พร้อมๆกับ ราคาทองที่ทะยานสูงขึ้น จนไปพบกันที่
Dow 850 จุด : ทองคำ 850$/oz

1:1

จากกราฟ : ปี 2000

Dow/gold ratio ขึ้นไปทำสถิติสูงสุดตลอดกาลมากกว่า 40:1 แต่หลังจากนั้นก็เหมือนเดิม
ตลาดหุ้นเริ่มร่วงจากเหตุการณ์ Dot-com ,วินาศกรรม 9-11 ,ฟองสบู่ อสังหาริมทรัพย์ (Housing bubble)
ในขณะเดียวกันทองคำเริ่มปรับมูลค่าของตัวเองสูงขึ้นเรื่อยๆ

ปี 2010 จากอัตราส่วนกว่า 40:1 บัดนี้เหลือเพียง 8:1

ผมเฝ้าติดตามอัตราส่วนนี้มาตลอด
จากระดับ 10:1 เมื่อปีก่อน ลดเหลือ 9 จนเหลือ 8 “คล้ายกับการนับถอยหลัง”
มันเกิดขึ้นมาแล้ว 2 ครั้ง มันกำลังจะเกิดขึ้นอีก
ราคาทองคำและดัชนีดาวกำลังปรับตัวเข้าหากัน


(อีกครั้ง) หากคุณไม่เคยเล่นหุ้น หรือ ไม่รู้จัก ดาวน์โจนส์ ไม่เป็นไรเลยครับ
คุณแค่ รู้ไว้ว่า
ขณะนี้มันอยู่ที่ระดับ 11,000 จุด (ก็พอ)

:excl: หาก ตลาด หุ้นล่มสลายไปปิดตลาดที่ 2000 จุด ทองก็จะไป 2000$/oz ด้วย

:excl: หากตลาดหุ้นลงถล่มทลาย กว่า 50% ไปปิดตลาดที่ 5000 จุด ทองก็จะไปเจอที่ 5000$/oz

:excl: หรือต่อให้ตลาดหุ้น ไม่ลง ยืนอยู่ระดับ 11000 จุดเหมือนเดิม ทองก็จะวิ่งไปหา ที่ 11000$/oz อยู่ดี

ผมไม่สนว่า Dowjones จะเป็นเท่าไหร่ หรือราคาทองคำจะไปไกลแค่ไหน
ผมรู้แค่ว่า สุดท้าย ตัวเลขสองตัวนี้ มันจะมาเจอกันที่ 1:1



นั่นเป็นเพราะในระยะยาวไม่มีใครสามารถ “กด” หรือ “ปั่น” ราคาตลาด (ไม่ว่าหุ้นหรือทอง)ได้ตลอดไป
เมื่อระบบที่บิดเบือนราคาตลาดอ่อนกำลังลง ของทุกอย่างจะปรับมูลค่าของมันกลับไปสู่พื้นฐานราคาที่แท้จริง

เหมือนกับการ “ปรับตามอัตราเงินเฟ้อ” ที่พูดถึงเมื่อคราวก่อน ผมสรุปทิ้งท้ายเอาไว้ว่า
อัตราเงินเฟ้ออย่างเป็นทางการนั้น “ต่ำกว่าความเป็นจริง”
คำถามคือ แล้วตามความเป็นจริงนั้นควรจะเป็นอย่างไร ? เรามาดูกันต่อครับ

มีองค์กรอยู่องค์กรนึง ก่อตั้งโดย John William มีชื่อว่า “Shadow Government Statistics : SGS”
เค้าคงจะทนไม่ได้ กับการตบแต่งตัวเลข หลายๆรายการจากองค์กรภาครัฐ แล้วนำเสนอ ต่อประชาชนทั่วไป

-อัตราการว่างงานที่ต่ำเกินจริง
-ตัวเลข GDP ที่สูงเกินจริง
-อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำเกินจริง

เหล่านี้ล้วนออกมา สร้างความเชื่อมั่นและภาพพจน์ที่ดูดีให้กับรัฐบาล
แต่ตรงข้ามกับความจริงที่ประชาชนในประเทศต้องเผชิญ
SGS จึงรวบรวมข้อมูลและจัดทำตัวเลข “อัตราเงินเฟ้อ”
ขึ้นมาเอง

จริงๆแล้วก็ไม่มีอะไรมาก SGSแค่ยึดหลักการคำนวณอัตราเงินเฟ้อที่ใช้กันมาอย่างยาวนาน
ก่อนที่ BLS จะมาเปลี่ยนวิธีการคำนวณใหม่
โดยใช้ระบบ CPI’s hedonic adjustments (มั่วราคา)
เข้ามาช่วยคำนวณ (ย้อนอ่านบทความตอนที่แล้ว)
SGS จึงตัดระบบ Hedonic ออกไปเพราะมันทำให้เงินเฟ้อนั้นต่ำกว่าความเป็นจริง
ปรากฎว่าตัวเลขที่ได้ สูงกว่าของ BLS กว่าเท่าตัว !


เช่น มิถุนายน 2010 ตัวเลข CPI จาก BLS คือ 4.3%

แต่ มิถุนายน 2010 ตัวเลข CPI จาก SGS คือ 8.4%

ตัวผมเองนั้นขอเชื่อถือตัวเลขจาก SGS และไม่ขอเชื่อถือตัวเลข “อย่างเป็นทางการ (Official)”
จาก BLS เพราะการคำนวณของเค้านั้น ไม่แฟร์

เมื่อได้ตัวเลขจาก SGS มาแล้ว แน่นอนครับย่อมต้องย้อนกลับไปเข้าเรื่องของเรา นั่นคือ นำเอาราคาทองคำมาปรับตามอัตราเงินเฟ้อ
ผลที่ได้ก็คือ

:excl: กราฟนี้ปรับตาม BLS เราจะได้ราคาทองที่ประมาณ 2200$ เพื่อให้เท่า 850$ เมื่อ 30 ปีที่แล้ว



:excl: กราฟนี้ปรับตาม SGS เราจะได้ราคาทองที่ประมาณ 7500$ เพื่อให้เท่า 850$ เมื่อ 30 ปีที่แล้ว



สรุปแล้วหาก “ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย”
ทองคำมีโอกาสแตะระดับ 7500$/oz และหุ้นดาวน์โจนส์ มีโอกาสร่วงลงเหลือ 7500 จุด เป็นไปตามทฤษฎี 1:1


.......................................


โอกาสมาเคาะประตูหน้าบ้านของคุณ ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะเปิดรับมันหรือปล่อยมันผ่านเลยไป
ตัวเลขในวันนี้ ดูเหมือนจะเป็นตัวเลขในจินตนาการ หรือ ตัวเลขแค่ในทางทฤษฎี
แต่ผมก็ได้แสดงให้คุณเห็นแล้วว่า ตัวเลขพวกนี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต
ด้วยเหตุและปัจจัยเดียวกันกับที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้

ผมไม่ได้การันตี ว่ามันจะเกิดซ้ำ แต่ มันมีแนวโน้มมากเหลือเกินที่มันจะเป็นไปได้ และ หากมันเกิดขึ้นอีก
ผมไม่อยากพลาดครับ

โอกาสการลงทุนแบบนี้ ในชั่วชีวิตของคนๆนึง จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว หากคุณพลาด โอกาส “ทอง”(จริงๆ)ครั้งที่ 1
เมื่อ 30 ปีที่แล้ว(ซึ่งผมก็พลาด) คราวนี้ เราจะไปด้วยกัน
และหน้าที่ของผมคือพยายามสื่อสารและพาคนไปกับผมให้มากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้


เช่นเดิม:ขอให้โชคดีและมีความสุขในการลงทุนทุกท่านครับ


ปล. ยังต้องตามกันต่อนะครับสำหรับตอนหน้า เนื้อหาจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ผมเขียนเรียงลำดับจากเบาไปหาหนักอยู่แล้วครับ :)