คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12
โดย ประสงค์ วิสุทธิ์ prasong_lert@yahoo.com
เรื่อง ราวอื้อฉาวที่เกิดขึ้นในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มีสภาพที่เรียกว่า "น้ำลดตอผุด" เพราะมีการร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มากมาย รวมถึงมีการส่งเอกสารหลักฐานไปยังผู้ใหญ่ในวงการกฎหมาย อาทิ อดีตประธานศาลฎีการายหนึ่ง
ล่าสุด มีข่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 แต่งตั้งนายภักดี โพธิศิริ เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนกรณีที่มีการกล่าวหา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ สตง.รายหนึ่งว่า ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เนื่องจากมีผู้ร้องเรียนและส่งเอกสารหลักฐานระบุว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงรายดังกล่าวนำเจ้าหน้าที่ สตง.จำนวน 40 เดินทางยุโรปช่วงพฤศจิกายน 2546 และได้ตั๋วโดยสารเครื่องบินฟรีไป-กลับจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน )จำนวน 10 ใบ แต่กลับเบิกค่าใช้จ่ายในส่วนของตั๋วเครื่องบินฟรีดังกล่าวด้วย
น่า แปลกที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มิได้มีการแถลงข่าวนี้ ทั้งๆ เมื่อมีการแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนกรณีอื่นๆ กลับแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ (ดูเอกสารแถลงข่าวของ ป.ป.ช.ที่ http://nccc.thaigov.net/nccc/1.php)
อย่าง ไรก็ตาม เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้รับเอกสารหลักฐานที่ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่า ทำไมคณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติแต่งตั้งอนุกรรมการขึ้นมาไต่สวนคดีข้างต้นทันที โดยไม่ต้องให้เจ้าหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม เพราะเอกสารหลักฐานที่ได้รับนั้นมีมูลเพียงพอที่จะทำให้เชื่อได้ว่า "บิ๊ก สตง." อมตั๋วเครื่องบินที่ได้รับมาจากการบินไทยฟรี เพียงแต่อาจจะต้องสอบยันเอกสารและปากคำพยานเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยเท่านั้น
สำหรับข้อเท็จจริงของเรื่องร้องเรียนดังกล่าว สรุปได้ดังนี้
1.สต ง.จัดโครงการฝึกอบรมผู้บริหารหลักสูตร "ผู้บริหาร/ผู้เชี่ยวชาญ สตง.ยุคใหม่" โดยส่วนหนึ่งเป็นการศึกษาดูงานในต่างประเทศตั้งแต่วันที่ 5-14 พฤศจิกายน 2546 ในประเทศฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี
2.วัน ที่ 8 ตุลาคม 2546 สตง.มีหนังสือขอความอนุเคราะห์ค่าโดยสารเครื่องบินในราคาพิเศษถึง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ การบินไทย (นายกนก อภิรดี) โดยอ้างว่า จะนำไปใช้ในการเดินไปฝึกอบรมดังกล่าว
3.วันที่ 14 ตุลาคม 2546 การบินไทย มีหนังสือตอบว่า ยินดีให้ส่วนลดค่าตั๋วเครื่องบินชั้นธุรกิจและชั้นประหยัด และยังมอบตั๋วเส้นทางกรุงเทพฯ-ปารีส ชั้นประหยัดให้ฟรีอีก 10 ใบ
4.วัน ที่ 9 ตุลาคม 2546 สตง. ทำสัญญาจ้างบริษัท คาริสม่า แทรเวล เซอร์วิสในการให้บริการนำคณะศึกษาดูงานของ สตง. จำนวน 40 คนไปยุโรป โดยมีค่าจ้างรวม 3.12 ล้านบาท แบ่งชำระเป็น 3 งวด ค่าจ้างดังกล่าวรวมตั๋วเครื่องบินไป-กลับโดยสายการบินไทยชั้นนักท่องเที่ยว อยู่ด้วย
5.สตง.จ่ายเงินเพื่อชำระค่าจ้างตามสัญญาให้แก่บริษัท คาริสม่า เต็มตามสัญญา 3.12 ล้านบาท เป็นเช็คธนาคารกรุงไทย สาขาย่อยกระทรวงการคลัง จำนวน 3 ฉบับ เป็นเงิน 1,544,421 บาท, 926,651.78 บาท และ 572,767.85 บาท ตามลำดับ
6.ตามสัญญาจ้าง ระบุจำนวนผู้เดินทาง 40 คน แต่ข้อเท็จจริงมีผู้เดินทางไปกับคณะรวม 42 คน ผู้ที่ร่วมเดินทางเพิ่มจากที่ระบุไว้ในสัญญา ได้แก่ น้องสาวและลูกสาวของ "บิ๊ก สตง.รายหนึ่ง" ที่มิได้เป็นเจ้าหน้าที่ของ สตง.
แต่ที่สำคัญ คือ น้องสาวและลูกสาวของ "บิ๊ก สตง." รายนี้ใช้ตั๋วเครื่องบินฟรีที่ได้รับจากบริษัทการบินไทย ทั้งๆ ที่การบินไทยได้มอบตั๋วดังกล่าวให้เพื่อใช้ประโยชน์ของราชการหรือ กิจการของ สตง. เจ้าหน้าที่ สตง.จึงได้ใช้ตั๋วฟรีที่เหลืออีก 8 ใบ
ข้อเท็จจริงข้างต้นนั้น มีสำเนาเอกสารหลักฐานพร้อม รวมทั้งเอกสารของการบินไทยที่ระบุชื่อผู้โดยสารที่ใช้ตั๋วฟรีเดินทางด้วย
ภารกิจ ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพียงแต่สอบยันว่า เอกสารเหล่านี้เป็นเอกสารจริงหรือไม่และลูกสาวและน้องสาวของบิ๊ก สตง.เดินทางไปจริงหรือไม่ เพื่อให้หลักฐานแน่นหนาขึ้น
ถ้าจริงก็ฟันธงได้ทันทีว่า "บิ๊ก สตง." อมตั๋วเครื่องบินฟรีซึ่งเป็นทรัพย์สินของ สตง.ไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว
นอก จากนั้น อาจต้องสอบยืนยันว่า ในการทำสัญญาจ้างบริษัททัวร์มูลค่า 3.12 ล้านบาทนั้น มีการหักค่าตั๋วเครื่องบินฟรี 10 ใบออกจากค่าจ้างหรือยัง ถ้ายัง ก็อาจมีการทุจริตเกิดขึ้น เพราะหลังจากนั้น บริษัททัวร์ดังกล่าวอาจเอาค่าตั๋วฟรีจำนวน 10 ใบ ที่ยังมิได้หักออกจากค่าจ้างตามสัญญาส่งกลับให้ "บิ๊ก สตง." นำเข้ากระเป๋าสบายๆ
ในฐานะคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการการตรวจเงินแผ่นดิน ได้รับการยอมรับนับถือจากสังคมว่า "ตงฉิน" และเคยประกาศยืนอยู่แถวหน้าว่า จะปราบทุจริตอย่างเด็ดขาด น่าที่จะตรวจสอบกรณีดังกล่าวเองว่า มีการฉ้อฉลเกิดขึ้นใน สตง.จริงหรือไม่ แล้วแถลงให้สาธารณชนทราบ หรือเปิดกว้างให้ ป.ป.ช.เข้าตรวจสอบอย่างเต็มที่
เพราะถ้าผลออกมาว่า ไม่เป็นตามที่กล่าวหา จะทำให้สาธารณชนศรัทธา สตง.มากยิ่งขึ้น
หน้า 2
^
^
^
น้ำลด ตอผุด
คนดีศรีสังคม ทำมั้ยทำไม มันถึงได้มีแต่เรื่องฉาวโฉ่ว
คฤหาส ราคา 4 ล้านบาท
เอาลูกสาวลูกชาย ตามไปดูงานที่ต่างประเทศ
จนมาถึงตั๋วเครื่องบินอื้อฉาว
งานนี้ สงสัยพระผู้เป็นเจ้า คงต้องหลบฉากนะคุณหญิง
เพราะความงามหน้ามันโผล่ออกมาราวกับดอกเห็ดเหลือเกิน
รีบ ๆ ไปเปิดดูมาตรา 309 นะว่าคุ้มครองถึงกรณี นี้ด้วยหรือเปล่า
เวรกรรมไม่ต้องรอชาติหน้า
จำคำนี้ได้ไหม คุณหญิง
เวรกรรมไม่ต้องรอชาติหน้า
55555555555555555555555
+++++++++++++++++++++
ถึงบางอ้อ เรื่องคำสั่งห้ามเข้าวังของ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี
เรื่องที่คนในวังสวนจิตรเขาคุยกันอย่างอึงมี่ก็เช้าวันที่ ๒๐ กย ๔๙ สมุหราชองครักษ์ ไม่เห็น พล.ต.อ.วิเชียร มารายงานตัวเตรียมความเพียงคนเดียวเลยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาโทรฯ ไปหา วิเชียร แจ้งให้มารายงานตัวด่วน คำตอบที่สมุหราชองครักษ์ได้รับรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาว่า พล.ต.อ.วิเชียรแจ้งว่า ได้ไปรายงานตัวที่ สตช คือสำนักงานตำรวจแห่งชาติเรียบร้อยแล้วตามคำสั่ง คปค ไม่มีเหตุจำเป็นต้องเข้าไปที่วังสวนจิตรลดาอีก เพราะไม่มีหน้าทีปฏิบัติ ทำแต่เรื่องนโยบายเท่านั้นและไม่ค่อยมีเวลาว่าง สมุหราชองครักษ์เจอคำตอบแบบนี้ ถึงกับอึ้ง เมื่อรอครบเจ็ดวัน พล.ต.อ.วิเชียร ก็ยังไม่ยอมมารายงานตัว เลยต้องกราบบังคมทูลให้ทราบเรื่อง แค่นั้นแหละ พระบรมราชโองการก็ออกมาวันนั้นเลย
คำชี้แจง เรื่องหนังสือ พล.ต.อ.วิเชียร ถึงนายกฯ
ประเด็นที่ วิเชียรมาอ้างว่า พล.ต.ท.ฉัตรชัยได้รับการสอบสวนหาข้อเท็จจริงโดยองคมนตรีสองท่าน ปรากฏว่า ไม่มีมูล เพราะถ้าหากมีมูล จะต้องไม่มีหนังสือสมุหราชองครักษ์ คัดค้านการย้าย พล.ต.ท.ฉัตรชัย ไป สตช และ พล.ต.ท.ฉัตรชัยก็ไม่เคยถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนจาก สตช การอ้างดังกล่าวจึงเป็นเท็จ แต่เหตุที่สมุหราชองครักษ์ไม่สามารถคัดค้านคำสั่ง สตช ได้ เพราะ คนละหน่วยงานซึ่ง นายกฯสุรยุทธเป็นเพื่อนรุ่นพี่วิเชียรจึงให้ ผบ ตร สั่งย้าย พล.ต.ท.ฉัตรชัยตามอำนาจหน้าที่ เรื่องนี้ บุคคลที่ทราบเรื่องดีที่สุดคือสมุหราชองครักษ์ ถ้านายกฯมีตวามประสงค์จะทราบความจริง ไปสอบถามจากสมุหราชองครักษ์ได้ เพราะข้อมูลที่ สตช ทำหนังสือสอบถาม ราชเลขาธิการเป็นหนังสือที่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพียงพอ จึงมี หนังสือตอบอย่างเป็นกลางๆ เพราะถ้าได้เห็นบันทึกการสอบสวนว่าไม่มีความโปร่งใส การสอบสวนที่ไม่ได้ไปหาหลักฐานความเป็นจริงจากสมุหราชองครักษ์ คำตอบก็น่าจะออกมาอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่เหมือนกับหนังสือที่ตอบ สตช ไปประเด็นที่ วิเชียรมาอ้างว่า พล.ต.ท.ฉัตรชัยได้รับการสอบสวนหาข้อเท็จจริงโดยองคมนตรีสองท่าน ปรากฏว่า ไม่มีมูล เพราะถ้าหากมีมูล จะต้องไม่มีหนังสือสมุหราชองครักษ์ คัดค้านการย้าย พล.ต.ท.ฉัตรชัย ไป สตช และ พล.ต.ท.ฉัตรชัยก็ไม่เคยถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนจาก สตช การอ้างดังกล่าวจึงเป็นเท็จ แต่เหตุที่สมุหราชองครักษ์ไม่สามารถคัดค้านคำสั่ง สตช ได้ เพราะ คนละหน่วยงานซึ่ง นายกฯสุรยุทธเป็นเพื่อนรุ่นพี่วิเชียรจึงให้ ผบ ตร สั่งย้าย พล.ต.ท.ฉัตรชัยตามอำนาจหน้าที่ เรื่องนี้ บุคคลที่ทราบเรื่องดีที่สุดคือสมุหราชองครักษ์ ถ้านายกฯมีตวามประสงค์จะทราบความจริง ไปสอบถามจากสมุหราชองครักษ์ได้ เพราะข้อมูลที่ สตช ทำหนังสือสอบถามราชเลขาธิการเป็นหนังสือที่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพียงพอจึงมี หนังสือตอบอย่างเป็นกลางๆ เพราะถ้าได้เห็นบันทึกการสอบสวนว่าไม่มีความโปร่งใส การสอบสวนที่ไม่ได้ไปหาหลักฐานความเป็นจริงจากสมุหราชองครักษ์ คำตอบก็น่าจะออกมาอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่เหมือนกับหนังสือที่ตอบ สตช ไป
พล.ต.อ. วิเชียร หยุดแถได้แล้ว ต้องตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้
๑ไปโรงพยาบาลตำรวจ ทำไม ในเมื่อแพทย์หลวงในวังสวนจิตรลดาก็มี จะได้ถวายงานไปด้วย
๒ โรคความดันโลหิตสูงเพียงแค่เดือนเดียว ไม่มีผลอันตรายมากกับร่างกาย จนถึงกับไม่ทำงาน มีคนเป็นโรคความดันโลหิตสูงหลายสิบปีก็ยังใช้ชีวิตอยู่ อย่างปกติได้
๓ แพทย์ให้พักผ่อนแค่สามวันทำไม ครบสามวันไม่ไปรายงานตัวหลังจากนั้น
๔ ในเมื่อว่าป่วยไปรายงานตัวไม่ได้ แล้ววันที่ ๒๐ กย ไปรายงานตัวที่ สตช ตามคำสั่ง คปค ทำไม ในเมื่อป่วย กลัวคำสั่ง คปค มากกว่า หน้าที่ถวายความปลอดภัยในหลวงหรือ
๕ การเปลี่ยนแปลงบทบาทหน้าที่ในองค์กร แล้วไม่พอใจใช่หรือไม่เลยประท้วงด้วยการไม่ไปถวายรายงานตัว แล้วทำไม พล.ต.อ ปรุง บุญผดุง หน นรป คนปัจจุบันถึงยังทำงานในตำแหน่ง หน นรป ตามปกติไม่เห็นมีปัญหาอะไร
๖ อ้างว่าคุมแต่นโยบายไม่ได้คุมการปฏิบัติ เข้าวังสวนจิตรลดาแล้วอาจจะเกิดการสับสน ก็เข้าไปแล้วไม่ต้องสั่งงานก็ได้ แต่นี่ไม่ไป แล้วที่อ้างว่าคุมแต่นดยบายไม่ต้องปฏิบัติแล้วหนังสือสั่งการให้จัดที่นั่ง รถขบวนเสด็จให้ ๑ ที่นั่ง ที่ตนเองลงนามในคำสั่งฉบับวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๔๙ นี่ไม่ใช่คำสั่งให้ตนเองปฏิบัติหน้าที่ถวายความปลอดภัยหรือ
๗ ทำไม พบแพทย์วันที่ ๑๘ กย ครังแรก และครั้งที่ ๒ วันที่ ๒๑ กย ทำไม แพทย์จึงมีใบรับรองแพทย์ให้พักผ่อนวันที่ ๒๐ ถึง ๒๒ ก.ย. ปกติ พบแพทย์ วันที่ ๑๘ กย ใบรับรองแพทย์ต้องให้หยุดพักผ่อนตั้งแต่ ๑๘ กย ถึง ๒๐ กย แต่ในใบรับรองแพทย์กลับโดข้ามวันที่ ๑๙ กย ปได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่ทำหลักฐานเท็จขึ้นมาภายหลัง
๘ ในบันทึกอ้างว่าได้ไปพบแพทย์โรคหัวใจอีกครั้งหนึ่งในวันที่ ๒๑ กย ปรากฏว่าแพทย์ที่ไปพบที่อ้างว่าเป็นแพทย์โรคหัวใจนั้น ความเป็นจริงพล.ต.ต. นายแพทย์ เอกพันธ์ ศรีศักดิ์สกุลไม่ได้เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจตามที่กล่าวอ้างในบันทึก ให้ปากคำไว้กับ ผบก กองวินัย
๙ มีคำสั่งของ พล.ต.อ โกวิท วัฒนะ ให้ หน นรปรับผิดชอบเรืองการถวายความปลอดภัยทั้งหมด โดย พล.ต.ท. ฉัตรชัย โปรตระนันทน์มีหน้าที่เป็นฝ่ายอำนวยการประจำ หน นรป ปฏิบัติตามคำสั่งของ หน นรป อย่างเคร่งครัด หนังสือลงวันที่ ๒๘ ธค ๒๕๔๘ หนังสือคำสั่งที่ ๙๗๘/๒๕๔๘
แค่นี้ก็พอแล้วกระมังที่จะบอกว่าให้เลิกแถได้แล้ว ยังมีอีก แต่ขี้เกียจพิมพ์แล้วมีอีกมากมายเลย ข้อพิรุธในบันทึการสอบสวนที่ ช่วยเหลือให้ วิเชียรพ้นผิด
เมื่อใดประเทศไทยระบบยุติธรรมที่เป็นธรรมจริง ๆ กลับคืนมา เมื่อนั้น สตช หรือนายกฯจะต้องดำเนินการให้มีการสอบสวนคดี พล.ต.อ.วิเชียร ละเว้นการถวายอารักขาในหลวงรื้อฟื้นขึ้นมาพิจารณาใหม่อย่างเป็นธรรม ผิดก็ไล่ออกและดำเนินคดีอาญาแผ่นดินด้วย
ทำไมคนทำผิดขนาดนี้ สตช ยังช่วยให้พ้นผิด ทีดา ตอปิโด ผิดแค่วาจาก้าวล่วงต้องนอนอยู่ในคุก แต่ผิดมหันต์แบบ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ถึงได้ตำแหน่ง รักษาการ ผบ ตร
ต่อ ด้วยนี้ อีก
http://www.prachataiwebboard.com/webboard/wbtopic2.php?id=825936
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น